บทที่ 58 ท่านอาจารย์
แถบริมขอบของชายป่าชานเมือง กระบี่บินเล่มหนึ่งหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศอย่างว่าง่าย ประหนึ่งดุรณีน้อยที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาดีพบกับผู้อาวุโสที่เป็นคนตั้งกฎตระกูล จึงได้แต่ก้มหน้าหลุบตา ยอมยืนนิ่งสงบเสงี่ยมแต่โดยดี
ข้างกายของกระบี่บินคือปัญญาชนขงจื๊อวัยกลางคนที่ท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง จอนผมทั้งสองข้างยิ่งขาวซีด เมล็ดพันธ์บัณฑิตอย่างจ้าวเหยา ซ่งจี๋ซินสองคนอยู่ตรงนี้ด้วยก็จะค้นพบว่าในเวลาสั้นๆ เพียงสิบกว่าวัน ผมขาวของอาจารย์ในโรงเรียนท่านนี้เพิ่มขึ้นมาอีกเยอะมาก
ปลายแหลมของกระบี่บินชี้ไปทางวานรย้ายภูเขาของเขาตะวันเที่ยงที่ยืนเงียบ ทว่าทั่วร่างแผ่พลังอำนาจพลุ่งพล่านราวกับว่าหากพูดไม่เข้าหูคำเดียวก็พร้อมจะสู้ตัดสินเป็นตาย
ในที่สุดวานรย้ายภูเขาก็อดไม่ไหวเอ่ยถามเสียงหนัก “เมื่อครู่นี้ทำไมคนของเขาเจินอู่ทำได้ แต่ข้ากลับทำไม่ได้? ท่านฉี ท่านไม่รู้สึกว่าตัวเองลำเอียงเข้าข้างผู้มีอิทธิพลไปหน่อยหรือ?”
การซักถามซึ่งๆ หน้าเช่นนี้เรียกได้ว่าไร้มารยาทอย่างถึงที่สุดแล้ว แต่วานรย้ายภูเขากลับไม่รู้สึกว่ามีตรงไหนไม่เหมาะสม แม้เขาเจินอู่จะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของสำนักการทหารแห่งแจกันสมบัติทวีปบูรพา ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยมีความสามัคคีกัน จิตสำนึกของสำนักก็ยิ่งไม่แกร่งกล้า ผู้ฝึกตนที่มีวรยุทธ์ซึ่งเชี่ยวชาญวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ส่วนมากก็แค่มีชื่อแขวนไว้ในเขาเจินอู่เท่านั้น ซ้ำกฎเกณฑ์ของเขาเจินอู่ยังมีชื่อเสียงว่าดีแต่เปลือก ไม่มีพลังในการพันธนาการใดๆ แล้วจะเอาความปรองดองมาจากที่ไหน?
ฉีจิ้งชุนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าหันไปพูดกับกระบี่บินก่อน “ไปเถอะ เจ้านายของเจ้าปลอดภัยแล้ว”
กระบี่บินเล่มนั้นเหมือนได้รับอภัยโทษ ตัวกระบี่เด้งขึ้นอย่างเบิกบาน ครั้นแล้วจึงหันหัวกลับพุ่งจากไปทันที
วานรย้ายภูเขาที่คิดว่าตัวเองเดาสายสนกลในออกยิ่งเดือดดาลหนักมากกว่าเดิม “เด็กสาวคนนั้นคือเด็กรุ่นเยาว์ที่เจ้าฉีจิ้งชุนเลือกไว้จริงๆ ด้วย หากท่านฉีอยากได้คัมภีร์กระบี่ของสกุลหลิวมาตั้งแต่แรกก็พูดกับข้าตามตรงได้! ขอแค่ไม่ตกอยู่ในมือของสวนลมฟ้า หากลูกศิษย์ที่ท่านอาจารย์ฉีได้ไปก็ไม่มีปัญหา ทว่าท่านฉีกลับทำลับๆ ล่อๆ ทำไม ทั้งอยากเป็นนางโลม แล้วก็อยากตั้งป้ายว่าบริสุทธิ์ด้วยงั้นหรือ? (เปรียบเปรยว่าทั้งอยากจะทำเรื่องชั่ว แต่ก็ยังอยากจะให้คนชม) ผลประโยชน์เจ้าฉีจิ้งชุนแอบขโมยไป แต่ชื่อเสียงชั่วร้ายกลับโยนมาให้เขาตะวันเที่ยงของข้าแบกรับ?!”
หากจะบอกว่าคำตำหนิก่อนหน้านี้เกิดจากโทสะจึงพูดไปโดยไม่คิด ถ้าเช่นนั้นคำพูดหยามเกียรติอย่างรุนแรงของวานรย้ายภูเขาเวลานี้ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องการจะฉีกหน้าฝ่ายตรงข้าม
สีหน้าของฉีจิ้งชุนเป็นปกติ กล่าวเนิบช้า “ข้าฉีจิ้งชุน ในฐานะลูกศิษย์สำนักขงจื๊อที่รับผิดชอบดูแลโชคชะตาของสถานที่แห่งหนึ่งเป็นเวลาหกสิบปี คำพูดบางอย่างคงต้องอธิบายให้เจ้าเข้าใจชัดเจน อันดับแรก ข้ากับเด็กสาวคนนั้นไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ต่อกัน แค่เห็นว่านางมีพรสวรรค์ดีเยี่ยม และในกรอบป้ายคำว่า ‘ชี่ชงโต้วหนิว’ ก็แฝงเร้นโชควาสนาแห่งวิถีกระบี่ส่วนหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปบูรพา ตอนที่เด็กสาวยืนอยู่ใต้กรอบป้าย อักษรสี่คำนี้เป็นฝ่ายส่งสัมผัสไปให้แก่นางด้วยตัวเอง น่าเสียดายที่วัสดุของกระบี่นางในเวลานั้นไม่มาพอให้ประคับประคองโชคชะตาของตัวอักษรทั้งสี่ ข้าจึงผลักเรือตามน้ำปลดสองตัวอักษรผสานเข้าไปในกระบี่ของนาง ความเกี่ยวข้องระหว่างข้ากับเด็กสาวผู้นี้จึงจบสิ้นเพียงเท่านั้น หาใช่เป็นลูกศิษย์ที่ข้าเลือกเองแต่ดันจำชื่อไม่ได้อย่างที่เจ้าคาดเดาไว้ไม่”
ฉีจิ้งชุนกล่าวเย้ยตัวเอง “หากข้าจะหน้าด้านขโมยของที่ตัวเองปกป้องไว้จริงๆ ในฐานที่เป็นเจ้าของบ้าน การที่จะข้าจะลูบคลำสิ่งของที่อยู่ในหน้าอกตัวเอง คนนอกจะมาล่วงรู้ได้อย่างไร? ก็แค่คัมภีร์กระบี่เล่มหนึ่งที่ฆ่าคนในความฝันเท่านั้น จำเป็นต้องให้ข้าฉีจิ้งชุนวางแผนเป็นเวลาเกือบหกสิบปีแล้วค่อยลงมือช่วงชิงมางั้นหรือ?”
ในฐานะที่เป็นบุคคลชั้นสูงของเขาตะวันเที่ยง วานรย้ายภูเขาจึงได้เห็นแผนการชั่วช้ามามากมาย ทั้งยังได้รับการชี้แนะจากเซียนผู้สูงศักดิ์ที่มีฝีมือร้ายกาจมาแล้วหลายครั้ง ไฉนเลยจะยอมเชื่อคำพูดก่อนหน้านี้ของปัญญาชนขงจื๊อง่ายๆ แต่เมื่อเทียบกับคำพูดรุนแรงก่อนหน้านั้นแล้ว เวลานี้เขากลับสงบสติอารมณ์ลงมาได้เยอะมาก จึงแค่หัวเราะหยัน “อ้อ? ถ้าอย่างนั้นข้าก็ใช้ความคิดคนถ่อยไปประเมินใจสุภาพชนสินะ?”
ฉีจิ้งชุนมองวานรย้ายภูเขา “ที่ข้ามาขัดขวางเจ้าตรงนี้ แต่ปล่อยคนของเขาเจินอู่ไป แท้จริงแล้วเหตุผลนั้นง่ายมาก หลายคนเอ่ยเย้ยหยันเขาเจินอู่ (วรยุทธ์/การต่อสู้ที่แท้จริง) ว่ามี ‘สองจริง’ สุภาพชนที่แท้จริงและคนถ่อยที่แท้จริง เป็นเหตุให้ไม่ว่าผู้ฝึกกระบี่สำนักการทหารคนนี้พูดอะไรกับข้า ข้าก็สามารถเชื่อเขาได้ แต่เจ้าไม่เหมือนกัน เจ้าทำร้ายหลิวเสี้ยนหยางบาดเจ็บสาหัส ทำลายอนาคตของเขา แต่กลับจงใจเว้นชีวิตเขาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกข้าขับออกจากขอบเขตเร็วเกินไป คนอย่างเจ้า…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ฉีจิ้งชุนพลันคลี่ยิ้ม “อ้อ เกือบลืมไป เจ้าไม่ใช่คน”
วานรย้ายภูเขาหรี่ตาลง มือสองข้างกำเป็นหมัดแน่นจนกระดูกข้อต่อส่งเสียงลั่นกร๊อบๆ
หากเป็นศัตรูคู่อาฆาตอย่างสวนลมฟ้าหรือผู้ฝึกตนที่รังเกียจเขาตะวันเที่ยงถากถางวานรย้ายภูเขาอย่างเขาว่า “ไม่ใช่คน” การตีฝีปากเช่นนี้ วานรย้ายภูเขาที่มีชีวิตอยู่มานับพันปีไม่คิดจะถือสาแม้แต่น้อย ทว่าเมื่อปัญญาชนขงจื๊อวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบอ่อนโยน วานรย้ายภูเขากลับรู้สึกเหมือนถูกหยามเกียรติอย่างรุนแรง
ฉีจิ้งชุนไม่รู้สึกรู้สากับโทสะของวานรย้ายภูเขาแม้แต่น้อย ยังคงพูดต่อว่า “ขวางเจ้าก็เพราะหวังดีต่อเขาตะวันเที่ยง ตอนนั้นเด็กสาวเกือบจะเรียกวัตถุแห่งชะตาชีวิตของนางออกมาแล้ว เจ้ามาจากเขาตะวันเที่ยง อยู่กับปราณกระบี่และปณิธานกระบี่มาเป็นพันๆ ปีจะสัมผัสไม่ได้ถึงแรงกดดันขุมนั้นเชียวหรือ?”
“นังเด็กน้อยนั่นก็แค่ดิ้นรนก่อนตาย เวทคาถาเล็กน้อยแค่นั้น ท่านฉีก็ยังกล้าเอามาข่มขู่คนอื่นงั้นหรือ?”
วานรเฒ่าหัวเราะร่า แสร้งทำเป็นกระจ่างแจ้ง “ก่อนหน้านี้มีคนบอกว่าอาจารย์ผู้มีพระคุณท่านนั้นของเจ้าฉีจิ้งฉุนล้มเหลวเมื่อตอนแก่ ตำแหน่งของเทวรูปจึงลดระดับลงครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายไม่เพียงแต่ถูกย้ายออกจากศาลเจ้าบุ๋น ยังถูกคนทุบซะไม่เหลือชิ้นดี ตอนนั้นข้ายังไม่เชื่อ ในใจคิดว่าพระอริยะอันดับสี่ของศาลเจ้าบุ๋นลัทธิขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่ หากวันหนึ่งมีโอกาสได้พบกับพระพุทธเจ้าหรือบรรพจารย์เต๋าในตำนานเข้าจริงๆ ก็ยังพอจะพูดประโยคของพวกบัณฑิตได้สักสองสามคำ แต่ตอนนี้มาดูแล้ว สายบุ๋นของลัทธิขงจื๊อจากอาจารย์ของเจ้ามาถึงเจ้าฉีจิ้งฉุนมีแค่สองรุ่นก็ต้องขาดออกเสียแล้ว! ใครเป็นคนพูดว่าเกียรติของสุภาพชน เพียงห้ารุ่นก็หมดสิ้น?[1] เหตุใดต้องมาเป็นสายของเจ้าที่ไม่เอาอ่าวขนาดนี้ หรืออาจารย์ของเจ้าเป็นอย่างที่สำนักศึกษาบางอย่างแห่งเขาเล่าลือกันจริงๆ ว่าไม่ใช่ปราชญ์ผู้สืบทอดลัทธิขงจื๊ออะไรทั้งนั้น แต่เป็นแค่นักต้มตุ๋นตัวเป้งที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนตลอดพันปี?”
แม้ฉีจิ้งชุนจะขมวดคิ้วน้อยๆ แต่ก็ยังรับฟังคำพูดของวานรย้ายภูเขาอย่างสงบ ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เอ่ยแทรกสักคำเดียว
วานรย้ายภูเขาแผดเสียงหัวเราะอย่างกำเริบเสิบสาน ก้าวเท้าออกมาหนึ่งก้าว ยื่นนิ้วชี้หน้าบัณฑิตที่ถูกตนเองกระหน่ำโจมตีด้วยคำพูด หัวเราะเหี้ยม “ฉีจิ้งชุน ลัทธิขงจื๊อของพวกเจ้ารักษากฎระเบียบเป็นที่สุดไม่ใช่หรือ? ข้ายังวางตัวอยู่ในกฎของที่นี่ เจ้าจะทำอะไรข้าได้?!”
ฉีจิ้งชุนหันกลับไปมองทางเมืองเล็ก ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันกลับมามองวานรย้ายภูเขาอีกครั้งแล้วถามว่า “พูดจบแล้วหรือ?”
วานรย้ายภูเขาอึ้งงัน มองประเมินปัญญาชนสำนักขงจื๊อตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่ง หดนิ้วกลับคืน แยกเขี้ยวพูด “น่าเบื่อนัก ขนาดพระโพธิสัตว์ดินเหนียวยังมีโทสะ นึกไม่ถึงว่านิสัยของบัณฑิตจะดียิ่งกว่า ด่าก็ไม่โต้กลับ ไม่รู้ว่าถ้าโดนตีแล้วจะเอาคืนหรือไม่?”
ฉีจิ้งชุนยิ้มบางๆ “เจ้าจะลองดูก็ได้”
วานรย้ายภูเขาเหมือนจะหวั่นไหว แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ลงมือ
วานรย้ายภูเขาเอ่ยถาม “ฉีจิ้งชุน เจ้าจะขัดขวางไม่ให้ข้าเข้าไปจริงๆ?”
ฉีจิ้งชุนตอบกลับ “ผลลัพธ์หนักหนาเกินกว่าที่เขาตะวันเที่ยงจะแบกรับได้ไหว”
วานรย้ายภูเขาถามเสียงหนัก “จริงรึ?”
ฉีจิ้งชุนไม่ได้แสร้งหลอกล่อให้อีกฝ่ายตายใจ แล้วก็ไม่ได้เปิดทางให้วานรย้ายภูเขาด้วยความโมโห ยังคงพยักหน้ารับอย่างอดทน “จริง”
วานรย้ายภูเขาลูบคลำปลายคาง สุดท้ายเหลือบตามองทิศไกลด้านหลังฉีจิ้งชุนแล้วแค่นเสียงเย็น “ถือว่าเจ้าเด็กสองคนนั่นโชคดี ฝากบอกพวกเขาด้วยว่า วันหน้าอย่าให้ข้าได้เห็นหน้าเด็ดขาดเชียว!”
วานรย้ายภูเขาหมุนกายก้าวยาวๆ จากไป ขณะที่หันลงให้ฉีจิ้งชุนก็พลันชูแขนข้างหนึ่งขึ้นสูงแล้วตั้งนิ้วโป้งขึ้น
เพียงแต่ว่านิ้วโป้งนั่นเริ่มเปลี่ยนทิศทาง คว่ำลงด้านล่าง
ฉีจิ้งชุนเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เป็นสีเทาขมุกขมัว ฝนใกล้จะตกแล้ว
ข้างหูพลันได้ยินเสียงหนึ่งที่ดังมาจากเมืองเล็ก คือเสียงขอร้องจากผู้ฝึกกระบี่สำนักการทหารเขาเจินอู่ผู้นั้น อีกฝ่ายหวังให้เขามีเมตตา อนุญาตให้เขาเชิญทวยเทพองค์หนึ่งที่เขาเจินอู่เคารพบูชาลงมา ฉีจิ้งชุนจึงพยักหน้ารับพลางเอ่ยเบาๆ “อนุญาต”
หลังจากฉีจิ้งชุนพูดประโยคนี้จบ เวลาเดียวกันนั้นหากมีคนเงยหน้าขึ้นมองพอดีก็จะเห็นว่าบนท้องฟ้าพลันมีแสงเท่าเมล็ดข้าวสารจุดหนึ่งปรากฏขึ้น จากนั้นเส้นสีทองที่เล็กบางมากเส้นหนึ่งก็หล่นลงมาจากท้องฟ้า พริบตาเดียวก็ร่วงลงมาในเมืองเล็ก
“ท่านฉี?”
ด้านหลังฉีจิ้งชุนมีเสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้น
ฉีจิ้งชุนหันกลับไปมอง เด็กหนุ่มเด็กสาวคู่หนึ่งก้าวเร็วๆ เข้ามาหาตน
มองเด็กสาวต่างถิ่นชุดเขียวเข้มผู้นั้น เขาก็ทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง ตอนนั้นจ้าวเหยาเมล็ดพันธ์บัณฑิตหลงรักนางตั้งแต่แรกพบ เขาจึงชี้แนะไปหนึ่งประโยค บรรยายเด็กสาวให้เป็นกระบี่ที่ไร้ฝักซึ่งสามารถทำร้ายจิตใจคนได้มากที่สุด จะอย่างไรเสียจ้าวเหยาก็ยังไม่รู้ว่าความรักคืออะไร จึงไม่เข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งของประโยคนี้ ยังคงร่วงหล่นสู่ห้วงเหวของอารมณ์ ฉีจิ้งชุนไม่สะดวกที่จะเปิดเผยเจตนารมย์ฟ้าดิน ไม่อาจพูดได้ว่าเด็กสาวผู้นั้นมีใจที่แสวงหาวิถีแห่งตน คือใจที่เลือดเย็นที่สุด
คำว่าเลือดเย็นนี้ หาใช่ความหมายที่ไม่ดีไม่ ตรงกันข้ามยังเป็นคำในเชิงบวกที่แฝงความชื่นชมไว้อีกด้วย
ความรักบนโลกใบนี้ รักระหว่างชายหญิงเป็นเพียงหนึ่งประเภทหนึ่งของความรักเท่านั้น
ในโลกของชาวบ้านร้านตลาดล่างภูเขา บางทีความรักเช่นนี้อาจทำให้คนซาบซึ้งตรงใจ ทำให้ชายหญิงที่ลุ่มหลงในรักยอมเพื่อให้ได้อยู่เคียงกันโดยไม่สนว่าจะเป็นหรือตาย ทว่าสำหรับการฝึกตนบนภูเขากลับซ้อนซ้อนกว่านั้นมาก
หลังจากที่เห็นเด็กหนุ่มรองเท้าแตะ รอยยิ้มของฉีจิ้งชุนก็เป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น เขาเอ่ยทักทายเสียงอ่อนโยน “การต่อสู้หลายครั้งที่ผ่านมาสะท้านฟ้าสะเทือนดินจนทั้งเทพและผีต้องหลั่งน้ำตาเลยทีเดียว”
เฉินผิงอันอึดอัดใจเล็กน้อย
ฉีจิ้งชุนจึงพูดเข้าประเด็นโดยตรง “มีเรื่องจะบอกเจ้าสองเรื่อง เรื่องแรกคือวานรย้ายภูเขาของเขาตะวันเที่ยงยอมถอยแล้ว อีกไม่นานก็จะไปจากเมืองแห่งนี้”
เฉินผิงอันถามตรงๆ อย่างไม่มีความลังเล “วานรเฒ่าออกจากเมืองทางประตูตะวันออกหรือ?”
ฉีจิ้งชุนยื่นฝ่ามือออกมากดลงด้านล่างเบาๆ สองครั้งแล้วกล่าวยิ้มๆ “ฟังที่ข้าจะพูดให้จบก่อน หลิวเสี้ยนหยางรอดแล้ว”
ร่างของเด็กหนุ่มขึงเกร็ง เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ท่านฉี หลิวเสี้ยนหยางจะไม่ตายแล้วใช่ไหม?”
ฉีจิ้งชุนพยักหน้ารับ “มีคนลงมือให้ความช่วยเหลือ หลิวเสี้ยนหยางจึงไม่มีภัยถึงชีวิต เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัย แต่ข่าวร้ายก็คือร่างกายของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส วันหน้าก็ใช่ว่าจะสามารถเคลื่อนไหวได้ตามใจชอบเหมือนในอดีต”
เฉินผิงอันยิ้มกว้าง
หลายวันมานี้จิตใจของเด็กหนุ่มเหมือนสายธนูที่ถูกง้าวจนสุดเป็นทรงพระจันทร์เต็มดวง ไม่เคยคลายลงเลยแม้แต่นาทีเดียว พอได้ยินว่าหลิวเสี้ยนหยางรอดแล้ว ร่างของเขาก็ผ่อนคลายจนผงะหงายไปด้านหลังแล้วหมดสติไปทันที
หนิงเหยารีบเข้าไปกอดเด็กหนุ่มเอาไว้
ฉีจิ้งชุนพูดอธิบาย “ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันถูกไช่จินเจี่ยนแห่งเขาเมฆาเรืองแตะเปิดช่องโพรง บังคับทำลายประตูหัวใจ อันที่จริงจิงชี่เสินของเขาจึงไหลหายไปข้างนอกตลอดเวลา ผลกลับกลายเป็นว่ามาเกิดเรื่องกับหลิวเสี้ยนหยางเวลานี้พอดี เขาจึงได้แต่ทุ่มสุดชีวิตเพื่อกระตุ้นพลังแฝง นี่ก็คือการทุบหม้อที่แตกให้แหลกไปทีเดียว (เปรียบเปรยว่าเมื่อทำเรื่องพังไปแล้วก็ปล่อยเลยตามเลย) อายุขัยที่เดิมทียังเหลืออยู่ครึ่งปี ตอนนี้อย่างมากสุดคงแค่สิบวันกระมัง”
นี่หมายความว่าเริ่มจากตรอกหนีผิง ไปที่หลังคา แล้วไปถึงธารน้ำเล็กในภูเขาลึก สุดท้ายมาถึงป่ารกร้างแถบนี้ ทุกครั้งที่วิ่งตะบึงล้วนเป็นการลดทอนอายุขัยของเด็กหนุ่มรองเท้าแตะลงอย่างฮวบฮาบ และเด็กหนุ่มก็รู้เรื่องนี้ดี
หนิงเหยาถาม “ขอแค่ท่านฉีบอกข้ามาว่าจะช่วยเฉินผิงอันได้อย่างไร!”
ฉีจิ้งชุนถอนหายใจอยู่ในใจ
นี่ก็คือความมหัศจรรย์ของใจแห่งการฝึกตน
ใช่ว่าเด็กสาวจะไม่มีความรู้สึกกับเฉินผิงอัน หาไม่แล้วคงไม่รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขามาจนถึงขั้นนี้
คนทั่วไปหลังจากที่ได้ยินข่าวร้ายต้องตกใจ เสียใจและเห็นใจ ถ้าจะต่างก็เพียงแค่ว่าจะช้าหรือเร็ว จะสั้นจะยาว หรือจะลึกจะตื้นเท่านั้น
ทว่าหนิงเหยากลับไม่มีอารมณ์เหล่านั้นเลย
นางกระโดดไปยัง “ผลลัพธ์” ที่ตัวเองต้องการมากที่สุดในทันที ข้าควรจะช่วยคนอย่างไร
การฝึกตนบนโลกใบนี้ พลังการฝึกตนสามารถวิเคราะห์ได้ ขอแค่เดินไปข้างบนต่อเนื่องอย่างระมัดระวัง ความต่างก็อยู่ที่แค่ทุกก้าวที่ก้าวออกไปจะกว้างหรือแคบเท่านั้น ส่วนใจของการฝึกตนนั้นเป็นมายาเลื่อนลอย สี่ทิศแปดด้าน ทุกที่ล้วนมีหนทาง ราวกับว่าทุกเส้นทางล้วนสามารถพาไปพิสูจน์ถึงมหามรรคา แต่ก็เหมือนว่าทุกเส้นทางเป็นทางที่เบี่ยงเบน ไม่มีใครคอยให้คำชี้นำ ในด้านของใจแห่งการฝึกตน ผู้ที่มีจิตแสวงหาวิถีแห่งการฝึกตน เรียกว่าเพียงก้าวเดียวก็ขึ้นสู่สวรรค์
ดังนั้นเด็กสาวจึงเปิดเผยตรงไปตรงมา มองเด็กหนุ่มรองเท้าสานด้วยสายตากระจ่างใสแล้วถามตรงๆ ว่าเขาชอบตนหรือไม่
ฉีจิ้งชุนนึกถึงนักพรตหนุ่มที่สวมกวานดอกบัวผู้นั้น อารมณ์ก็ยิ่งหนักอึ้ง
หนิงเหยาย่อตัวลง แบกเฉินผิงอันไว้บนร่างของตัวเองอย่างอ่อนโยนพลางถามว่า “ท่านฉีบอกข้าสักทีเถอะ แต่บอกไว้ก่อนนะ ข้ารู้สึกว่าความสามารถในการช่วยชีวิตคนของเถ้าแก่ร้านตระกูลหยางไม่ได้เรื่องอย่างมาก กลับเป็นผู้เฒ่าคนหนึ่งในร้านตระกูลหยางที่เฉินผิงอันรู้จักมากกว่าที่ร้ายกาจมาก”
ฉีจิ้งชุนมองเด็กสาวที่สีหน้าเต็มไปด้วยความจริงจัง แล้วถามคำถามแปลกๆ “บนโลกใบนี้มีสายน้ำใดไหลทวนสู่เบื้องบน มีการกระทำใดที่ละเมิดต่อสวรรค์มากที่สุด?”
หนิงเหยาตอบเสียงดังโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิด “หนึ่งคนหนึ่งกระบี่สังหารเผ่าปีศาจสิ้นซาก!”
ฉีจิ้งชุนไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี กล่าวอย่างอ่อนใจว่า “คือการฝึกตนต่างหาก”
หนิงเหยาคิดอย่างละเอียด “อันที่จริงก็เหมือนกันนั่นแหละ”
ฉีจิ้งชุนชี้ไปยังตำแหน่งที่คนทั้งสองยืนอยู่ก่อนหน้านี้ แล้วก็ชี้ไปอีกตำแหน่งหนึ่ง “เจี้ยนหลูสามารถหล่อเลี้ยงร่างกายและจิตวิญญาณ สามารถสร้างจิตใจให้แข็งแกร่งเป็นพันปี เพียงแต่ว่าสำหรับเฉินผิงอันแล้ว อย่างมากสุดก็ได้แค่ฝืนประคับประคองสมดุลกำลังที่เข้าและออกเท่านั้น หากโชคดี ไม่แน่ว่าอาจได้รับผลประโยชน์บ้างเล็กน้อย ดังนั้นหากเขาตื่นขึ้นมาแล้ว ช่วยบอกเขาแทนข้าว่า วันหน้าเมื่อฝึกวิชาหมัด ต่อให้จะไม่แสวงหาสิ่งอื่นใด เพียงแค่เพื่อให้มีชีวิตรอด ก็ต้องตั้งใจฝึกฝนให้ดี”
หนิงเหยาผ่อนลมหายใจ อันที่จริงสภาพของนางเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าเฉินผิงอันสักเท่าไหร่ เพียงแต่ว่ารากฐานดีกว่ามาก ถึงได้ไม่เป็นลมหมดสติไปอย่างอีกฝ่าย “ท่านฉี ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ข้าควรจะพาเฉินผิงอันไปรักษาบาดแผลที่ตรอกหนีผิง? หรือไปดูสถานการณ์ทางฝ่ายของหลิวเสี้ยนหยางก่อน?”
ฉีจิ้งชุนคลี่ยิ้ม “ตอนนี้เจ้าทำได้ทั้งสองอย่าง”
หนิงเหยาครุ่นคิด “เจ้าหมอนี่ที่อยู่ด้านหลังข้าต้องหวังว่าคนแรกที่ลืมตามาเห็นคือหลิวเสี้ยนหยาง ฉะนั้นข้าจะพาเขาไปที่ร้านอาจารย์หร่วนก็แล้วกัน”
ฉีจิ้งชุนพยักหน้ารับ “ข้าจะเดินไปเป็นเพื่อนพวกเจ้าสักระยะหนึ่ง”
คนทั้งสองจึงเดินเคียงบ่ากันไป
ลมวสันตฤดูพัดโชยมาปะทะใบหน้า บัณฑิตเดินเอามือทั้งคู่ไพล่หลัง เด็กสาวแบกเด็กหนุ่ม
หนิงเหยาเดินไปเดินมา จู่ๆ ก็ถามว่า “ท่านฉี ในฐานะที่เป็นเจ้าของถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กแห่งนี้ ท่านเคยรับลูกศิษย์ที่พรสวรรค์ดีๆ เพราะได้ใกล้ชิดกับคนมีฝีมือบ้างหรือไม่?”
ฉีจิ้งชุนส่ายหน้ายิ้ม “ไม่เคย แค่เคยรับเด็กรับใช้ที่ไม่ถือว่าเป็นลูกศิษย์ไว้คนหนึ่ง ก่อนหน้านี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงคำครหา ตอนนั้นลองมองย้อนกลับไปดูถึงได้รู้ว่าพลาดเมล็ดพันธ์ที่ดีไปหลายคนเลยทีเดียว”
หนิงเหยาถามอีก “ท่านฉี ท่านอยู่ที่นี่เลยรู้เรื่องทุกอย่างเลยใช่ไหม?”
ฉีจิ้งชุนยิ้มตอบ “ขอแค่เป็นเรื่องที่ข้าอยากรู้ก็ล้วนรู้ได้หมด แต่ก็ใช่ว่าจะรู้ความจริงทั้งหมด เพราะอย่างไรซะเรื่องบางเรื่องหากคลาดเคลื่อนเพียงนิดในตอนแรก ผลที่สุดก็จะก่อเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงได้”
มีบางประโยคที่ฉีจิ้งชุนไม่ได้พูด นับตั้งแต่ที่ออกมาจากเมือง เขาก็สูญเสียวิชาอภินิหารอย่าง “จิตมองกระจ่างทั่วฟ้าดิน” ไปแล้ว
เพราะมีคนเอากุยหยก[2]ชิ้นนั้นไป นั่นคือวัตถุที่เป็นหลักฐานยืนยันซึ่งหนึ่งในย่าเซิ่ง (亚圣 เมธีรอง เป็นรองจากเซิ่งเหริน) ของลัทธิขงจื๊อ แล้วก็เป็นหนึ่งในจุดเชื่อมโยงของค่ายกลใหญ่
หนิงเหยาลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังอดไม่ไหวที่จะถาม “ท่านฉี ตอนนี้ท่านอยู่ขอบเขตอะไร ได้เลื่อนถึงห้าขอบเขตบนหรือยัง? อีกอย่างฟ้าดินที่ท่านฉีพิทักษ์แห่งนี้ไร้ศัตรูจริงๆ หรือ? แน่นอนว่าหากท่านฉีรู้สึกไม่สะดวกใจจะไม่ตอบก็ได้ ข้าก็แค่ถามไปอย่างนั้นเอง”
แล้วฉีจิ้งชุนก็ไม่ตอบจริงๆ
เด็กสาวกลอกตามองบน ไม่พูดอะไรอีก
ฉีจิ้งชุนชะลอฝีเท้าเหมือนตั้งใจและเหมือนไม่ได้ตั้งใจ แล้วหันหน้ามามอง
เด็กหนุ่มขยิบตา
ชายวัยกลางคนก็ขยิบตาเช่นกัน
ฉีจิ้งชุนยิ้มอย่างรู้ใจ ก่อนจะเพิ่มความเร็วฝีเท้าอย่างให้ไม่เป็นที่จับสังเกต
สุภาพชนย่อมช่วยให้ผู้อื่นสมปรารถนา
หลังจากเดินมาด้วยกันได้ไกลมากแล้ว ฉีจิ้งชุนก็หยุดชะงักฝีเท้า เอ่ยยิ้มๆ “ข้าไม่ไปส่งแล้ว”
ปัญญาชนสำนักขงจื๊อจอนผมสองข้างเป็นสีขาวโพลนยืนอยู่ที่เดิม ทอดสายตามองไปยังเงาร่างที่ค่อยๆ จากไปไกลโดยไม่เอ่ยคำใด
เขาเดินออกไปหนึ่งก้าว
ฉีจิ้งชุนพลันขยับมาใกล้แท่นสังหารมังกรก้อนนั้นในชั่วพริบตา
เซิ่งเหรินสำนักขงจื๊อล้วนมีอักษรแห่งชะตาชีวิตอยู่ตัวหนึ่ง คือผู้นำเพียงหนึ่งเดียว
ไม่ว่าเจ้าเป็นใครในโลกใบนี้ ขอแค่ได้เขียน ได้ใช้ ได้ท่องคำนี้ก็จะสามารถเพิ่มตบะเสี้ยวหนึ่งให้แก่เซิ่งเหรินสำนักขงจื๊อผู้นั้น สั่งสมทีละน้อยไปจนมาก เหมือนน้ำที่หยดลงหิน
ฉีจิ้งชุนคือข้อยกเว้น
ใช่ว่าจะไม่มีสักตัวอักษรเดียว แต่มีถึงสองตัว
อีกทั้งความหมายของตัวอักษรนี้ยังยืนยาวยังถึงที่สุด และขอบเขตก็ลึกล้ำอย่างถึงขีดสุด
จิ้ง สงบใจสมปรารถนา (จากคำว่าจิ้งซินเต๋ออี้)
ชุน ใต้หล้ารับวสันต์ (จากคำว่าเทียนเซี่ยอิ๋งชุน)
ดังนั้นเขาถึงได้ถูกเนรเทศมายังฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ ตัดขาดกับฟ้าดินขนาดใหญ่ภายนอกอย่างสิ้นเชิง
แม้ฉีจิ้งชุนจะเป็นเพียงแค่หนึ่งในเจ้าขุนเขาของสามโรงเรียน เจ็ดสิบสองสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อ แต่กระนั้นก็ไม่อาจปฏิบัติต่อฉีจิ้งชุนตามหลักปกติได้อย่างแท้จริง
บัณฑิตขี้ขลาดที่ถูกวานรย้ายภูเขาแห่งเขาตะวันเที่ยงท้าทายหมิ่นเกียรติครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กลับไม่มีการตอบโต้ใดๆ หลับตาลง นึกถึงขีดอักษรที่สามของคำว่า “จิ้ง” จากนั้นก็ยื่นนิ้วสองข้างออกมาประกบกันแล้วตวัดลงกลางอากาศเบาๆ หนึ่งครั้ง
แท่นสังหารมังกรที่แข็งแกร่งไม่อาจดับทำลายก็พลันถูกผ่าออกเป็นสองชิ้น
ฉีจิ้งชุนสะบัดปลายแขนเสื้อ หินใหญ่สี่เหลี่ยมได้รูปสองก้อน ก้อนหนึ่งหล่นไปที่ร้านตีเหล็กของหร่วนฉง อีกก้อนหนึ่งมาปรากฏอยู่ในบ้านหลังเล็กของตรอกหนีผิง
หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ ฉีจิ้งชุนก็จมอยู่ในภวังค์ของการครุ่นคิด ประหนึ่งนักเล่นหมากล้อมระดับแคว้นที่ตกอยู่ในการขบคิดเป็นเวลายาวนาน จนกระทั่งฝนเม็ดบางหนาแน่นตกลงมา สุดท้ายก็กลายเป็นฝนเม็ดใหญ่ที่เทกระหน่ำ แม้สายฟ้าจะแลบแปลบปลาบพร้อมเสียงร้องคำรณสนั่นหวั่นไหว แต่ฉีจิ้งชุนก็ยังไม่คืนสติกลับมา
ฉีจิ้งชุนที่ถูกชาวบ้านในเมืองเรียกว่าท่านอาจารย์มาโดยตลอดกำลังนึกถึงอาจารย์ของตัวเอง
—-
[1] เกียรติของสุภาพชน เพียงห้ารุ่นก็หมดสิ้น คือ สุภาพชนผู้มีคุณธรรมและความสามารถโดดเด่นพยายามอย่างหนักเพื่อสร้างความสำเร็จให้เป็นเกียรติแก่คนรุ่นหลัง ทว่าผ่านไปแค่ไม่กี่รุ่น เกียรติยศนั้นก็ถูกใช้จนหมดสิ้นไป
[2] กุยหยกหรือเครื่องหยกซึ่งจักรพรรดิหรือบรรดาเจ้าครองนครรัฐต่างๆ ใช้ในการประกอบพิธีสำคัญอันยิ่งใหญ่ในสมัยโบราณ ส่วนบนจะแหลม ส่วนล่างเป็นเหลี่ยม