Skip to content

Sword of Coming 580

บทที่ 580 คนที่ชอบใช้เหตุผลที่สุดมาแล้ว

หลังจากที่เซียนกระบี่ต่างถิ่นผู้นั้นเปิดปาก เหยาชงเต้าเจ้าประมุขตระกูลเหยา ก็ตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

ไม่เสียแรงที่เป็นจั่วโย่ว ไม่ว่าจะพูดจาหรือทำอะไรก็ง่ายที่จะทำให้คนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก (ภาษาจีนใช้คำว่าจั่วโย่วเหวยหนัน) อยู่เสมอ เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดของใต้หล้าไพศาลที่จิตแห่งกระบี่พังทลายลงไปเหล่านั้น คิดดูแล้วคงเข้าใจสภาพการณ์ของเหยาชงเต้าในเวลานี้มากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น เฉาจวิ้นผู้มีพรสวรรค์จากทักษินาตยทวีป ผู้ที่เคยมีภาพบรรยากาศของจิตแห่งกระบี่ดั่งดอกบัวที่ผลิบานเต็มสระซึ่งตอนออกกระบี่แรกๆ ไม่รู้สึกลำบากใจแม้แต่น้อย ทว่าจุดจบกลับอเนจอนาถอย่างถึงที่สุด หลงเหลือเพียงซากดอกบัวแห้งเต็มทะเลสาบ หล่นร่วงจากแท่นบูชาเทพ กลายไปเป็นตัวตลกของคนทั้งทักษินาตยทวีป สุดท้าย ก็ได้แต่ออกเดินทางไกลมาเยือนแจกันสมบัติทวีป ระหว่างนี้ต้องเสียเวลาไปอย่าง เปล่าประโยชน์ถึงหนึ่งร้อยปี จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่อาจฝ่าทะลุสู่ขอบเขตหยกดิบได้ ต้องรู้ว่าปีนั้นเฉาจวิ้นก็คือผู้มีพรสวรรค์บนวิถีกระบี่ที่ร้อยปีจะพานพบสักครั้งซึ่งคน ทั้งทักษินาตยทวีปให้การยอมรับ

มีเซียนกระบี่ของที่แห่งอื่นสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของที่แห่งนี้แล้ว แต่ละคน คลี่ยิ้ม คิดว่าจะรอชมเรื่องสนุกเสียหน่อย คนที่ชอบดื่มเหล้าก็เปิดกาเหล้าออกรอเรียบร้อยแล้ว

ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ที่ไปชมศึกแถบถนนใหญ่แห่งนั้น คนที่มาปักหลักอยู่บนหัวกำแพงเมืองล้วนเป็นเซียนกระบี่ที่ผ่านศึกมาแล้วร้อยศึก แน่นอนว่าย่อมไม่ ส่งเสียงโห่ร้องหรือผิวปากแซว แล้วก็เพราะกลัวว่าหากจั่วโย่วอารมณ์ไม่ดีจะเรียกให้พวกเขามาร่วมวงต่อสู้ด้วย

วิชากระบี่ของจั่วโย่วสูงเกินไป ปราณกระบี่โชติช่วงเกินไป ค่อนข้างจะไร้เหตุผล ไม่กลัวการที่ต้องสู้กับคนทั้งกลุ่มเพียงลำพังที่สุด

สีหน้าของเหยาชงเต้าไม่น่ามองอย่างยิ่ง

ในฐานะเจ้าประมุขสกุลเหยา ไฟโทสะและความขุ่นเคืองที่อยู่ในใจเขาสะสมมานานหลายปีแล้ว

และในขณะที่เหยาชงเต้าคิดจะเรียกจั่วโย่วให้ไปตีกันที่ทางทิศใต้ของหัวเมืองนั้นเอง

เฉินผิงอันก็ฝืนใจทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยสถานการณ์ ช่วยเป็นกาวประสานใจด้วยการวางหนิงเหยาลง เอ่ยเรียกคำหนึ่งว่าท่านผู้เฒ่าเหยา จากนั้นก็บอกให้ หนิงเหยาไปพูดคุยกับผู้อาวุโสของตัวเอง ส่วนเขาจะไปพบผู้อาวุโสจั่ว

หนิงเหยาพาท่านตาของตัวเองไปเดินเล่น

เฉินผิงอันไปหาจั่วโย่วด้วยร่างที่พุ่งไปราวกับลูกธนู

ไม่เหลือเจ้าคนหนุ่มที่ไม่รู้กฎรู้เกณฑ์คนนั้นอีก ข้างกายเหลือแค่หลานสาวของตน สีหน้าของเหยาชงเต้าก็ดีขึ้นจากเดิมเยอะมาก

สำหรับบุตรสาวและบุตรเขย บางทีอารมณ์ของผู้เฒ่าอาจจะซับซ้อน ทั้งเสียใจ เสียดาย ไม่พอใจ เดือดดาล ทุกข์ระทม…ยากที่จะอธิบายได้อย่างชัดเจน แต่สำหรับ หนิงเหยาที่ห่างกันหนึ่งช่วงวัย ในใจผู้เฒ่ามีเพียงความภาคภูมิใจและรู้สึกผิด

หัวกำแพงฝั่งตรงข้าม เฉินผิงอันหยุดเท้าอยู่ห่างจากเซียนกระบี่วัยกลางคนที่ หันหลังให้ตัวเองสิบก้าว ไม่อาจขยับเข้าใกล้ได้มากกว่านี้ ช่องโพรงแทบทั้งหมดใน ฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกายของเขาล้วนเต็มล้นไปด้วยปราณกระบี่ ราวกับว่า เป็นศัตรูกับฟ้าดินใหญ่นอกร่างกายอยู่ทุกเวลานาที

ผู้ฝึกกระบี่ทั่วไปและผู้ฝึกลมปราณของสามลัทธิร้อยสำนัก ช่องโพรงลมปราณสำคัญที่วางวัตถุแห่งชะตาชีวิตไว้ด้านใน หากสามารถสะสมปราณวิญญาณไว้ อย่างเปี่ยมล้นได้ จากนั้นบุกเบิกที่ดินอีกเล็กน้อย ก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว

ได้พบจั่วโย่ว เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะ “ผู้น้อยคารวะผู้อาวุโสจั่ว”

จั่วโย่วยังคงนิ่งเฉย

เฉินผิงอันจึงเดินอ้อมไปเล็กน้อย กระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพง หันตัวกลับมา หันหน้าเข้าหาจั่วโย่ว แล้วนั่งขัดสมาธิ

ปราณกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งตัดสลับกัน กรีดผ่าความว่างเปล่า นี่หมายความว่าปณิธานกระบี่ที่แฝงอยู่ในปราณกระบี่ทุกเส้นล้วนอยู่ในขอบเขตที่บริสุทธิ์อย่างถึงที่สุดอย่างในตำนานแล้ว ถึงได้สามารถแหวกผ่าฟ้าดินขนาดเล็กได้อย่างกำเริบเสิบสาน ซึ่งก็หมายความว่าเมื่อไปถึงจุดเชื่อมต่อที่คล้ายคลึงจุดเชื่อมระหว่างชายหาด โครงกระดูกกับหุบเขาผีร้าย จั่วโย่วไม่จำเป็นต้องออกกระบี่ ถึงขั้นที่ไม่ต้องบังคับปราณกระบี่ ประตูใหญ่ของฟ้าดินขนาดเล็กก็จะเปิดออกด้วยตัวเองราวกับได้เข้าสู่ขอบเขตไร้ผู้คน

เฉินผิงอันเห็นว่าจั่วโย่วไม่ยินดีจะพูดคุย แต่จะให้ตนจากไปทั้งอย่างนี้ก็คงไม่ได้ แบบนั้นออกจะไม่มีมารยาทเกินไปสักหน่อย เพราะอยู่ว่างไม่มีอะไรทำ เขาก็เลย สงบจิตใจ เพ่งสายตามองการไหลเวียนของปราณกระบี่เหล่านั้น หวังว่าจะหา ‘กฎเกณฑ์’ บางอย่างให้พบ

ประมาณครึ่งก้านธูปต่อมา เฉินผิงอันที่สองตาเมื่อยล้าจิตก็ขยับเล็กน้อย เพียงแต่ว่า ไม่นานสภาพจิตใจของเขาก็สงบราวกับน้ำนิ่ง

เมื่อครู่นี้เห็นปราณกระบี่เสี้ยวหนึ่งคล้ายจะออกมาแต่ก็ไม่ออก ราวกับว่า กำลังจะหลุดพ้นจากพันธนาการของจั่วโย่ว ความรู้สึกตะลึงพรึงเพริดในชั่วขณะนั้น ก็ราวกับว่ามีคนถือภูเขาลูกหนึ่งไว้ในมือแล้วเตรียมจะทุ่มใส่ทะเลสาบหัวใจของ เฉินผิงอัน ทำให้เฉินผิงอันอกสั่นขวัญผวา

จั่วโย่วยังคงไม่ลืมตา เพียงแต่ว่าในที่สุดก็ยอมเปิดปากพูดคุย “มาหาข้ามีธุระอะไร?”

เฉินผิงอันถาม “ตอนนี้อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งอยู่ที่ใด? วันหน้าหากข้ามีโอกาสเดินทางไปยังทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ควรจะตามหาเขาอย่างไร?”

สีหน้าของจั่วโย่วดีขึ้นเล็กน้อย ตอบอย่างเฉยเมยว่า “อาจารย์ออกจากภูเขา สุ้ยซานแล้ว เดินทางไปบุกเบิกสถานที่ในยุคบรรพกาลที่อริยะปราชญ์แต่ละยุคสมัยของลัทธิขงจื๊อไม่เคยเปิดภูเขาฝ่าด่านไปได้ มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งของแผ่นดินกลาง คอยถือกระบี่เปิดทางให้ ส่วนอาจารย์ก็รับผิดชอบสร้างความมั่นคงให้กับเส้นทาง จะขาดใครคนใดคนหนึ่งไปไม่ได้”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ขอบคุณผู้อาวุโสจั่วที่ช่วยไขข้อข้องใจให้ผู้น้อย”

จั่วโย่วถาม “เรื่องการเรียนเป็นอย่างไร?”

เฉินผิงอันตอบ “เรื่องอ่านตำรา ไม่เคยเกียจคร้าน คอยถามใจตัวเองไม่หยุด”

จั่วโย่วกล่าว “ผลลัพธ์เป็นอย่างไร?”

เฉินผิงอันตอบอีกว่า “การศึกษาเล่าเรียนคือเรื่องที่ยาวไกล เร็วและมาก คุณสมบัติของผู้น้อยไม่ได้ความ ย่อมหลีกเลี่ยงความตื้นเขินไม่ได้ ไม่สู้ช้าแต่ถูกต้อง แสวงหาคำว่าลึกล้ำและหนาแน่น”

จั่วโย่วไม่เอ่ยอะไรอีก

บนหัวกำแพงฝั่งตรงข้าม เหยาชงเต้าที่เกิดใจริษยาเล็กน้อย เอ่ยขึ้นอย่างจนใจว่า “ตรงนั้นไม่มีอะไรน่าดู ขอบเขตต่างกันมากขนาดนั้น สองฝ่ายสู้กันไม่ได้หรอก”

หนิงเหยาทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่ได้พูด

เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเฉินผิงอันและจั่วโย่ว คนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ที่รู้เรื่องมีอยู่น้อยมาก ต่อให้จะเป็นป๋ายหมัวมัวและท่านปู่น่าหลัน หนิงเหยาก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้แม้แต่ครึ่งคำ

นี่ก็คือจุดที่น่าสนใจที่สุด หากเฉินผิงอันไม่มีความเกี่ยวข้องกับจั่วโย่ว ด้วยนิสัยของจั่วโย่ว บางทีคงคร้านจะลืมตามอง ยิ่งไม่มีทางเปิดปากพูดกับเฉินผิงอัน

ดังนั้นอันที่จริงตอนนี้เหยาชงเต้าก็ฉงนสนเท่ห์มากเหมือนกัน ไม่เข้าใจว่าเหตุใดก่อนหน้านั้นผู้ฝึกกระบี่นิสัยประหลาดที่ไม่สนใจเรื่องอื่นใดนอกจากกระบี่อย่างจั่วโย่ว ถึงได้ทำท่าจะหาเรื่องตน เรื่องในบ้านของเหยา หนิงสองตระกูล เจ้าจั่วโย่วให้ความสนใจเกินขอบเขตไปหน่อยไหม? ดังนั้นหากไม่เป็นเพราะเจ้าเด็กแซ่เฉินนั่นทำหน้าที่เป็นคนกลางไกล่เกลี่ยสถานการณ์โดยไม่จำเป็น ป่านนี้เขาเหยาชงเต้าก็คงไปอยู่ที่สนามรบอันกว้างขวางทางทิศใต้ของหัวกำแพงเมืองเพื่อขอความรู้ด้านวิชากระบี่จากจั่วโย่วว่าสูงส่งจริงหรือไม่ไปนานแล้ว

ส่วนแพ้ชนะนั้น ไม่สำคัญ

เพราะอย่างไรก็ต้องแพ้อยู่ดี

แม้ว่าหยางชงเต้าจะเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่ง แต่อายุมากแล้วจึงไม่มีหวังที่จะฝ่าทะลุขอบเขตมานานแล้ว หลายร้อยปีที่ผ่านมามีสงครามเกิดขึ้น นับไม่ถ้วน โรคร้ายจึงสะสมมายาวนานและลึกล้ำ ตัวหยางชงเต้าเองก็ยอมรับว่า เซียนกระบี่ใหญ่อย่างเขา ยิ่งนานวันก็ยิ่งไม่สมชื่อแล้ว ทุกครั้งที่เห็นพวกเด็กของ แต่ละแซ่ที่อายุน้อยๆ ก็ได้เป็นเซียนดิน ได้เห็นพวกคนรุ่นหลังขอบเขตหยกดิบที่ เต็มไปด้วยชีวิตชีวา หลายๆ ครั้งเหยาชงเต้าก็จะทั้งปลาบปลื้ม แล้วก็ทั้งเสียใจ มีเพียงมองหลานสาวของตัวเองอยู่ไกลๆ หลานสาวที่เป็นผู้นำของกลุ่มคนหนุ่มสาวได้อย่างสมศักดิ์ศรี ผู้เฒ่าที่ถูกอาเหลียงตั้งฉายาให้ว่าหน้ามะระ (เปรียบว่าหน้าตาบึ้งตึง ไม่เบิกบาน) ผู้นี้ถึงพอจะมีรอยยิ้มได้บ้าง เคยมีคนคนหนึ่งที่พอดื่มเหล้าจนเมามาย ก็หลุดปากบอกว่า พอเขาได้เห็นใบหน้ามะระของตาเฒ่าเหยาที่ราวกับสลักสี่คำว่า ‘ติดหนี้คืนเงิน’ ไว้ผู้นั้น มโนธรรมในใจก็จะบังเกิด นึกถึงค่าเหล้าที่ตัวเองติดหนี้ไว้นานหลายปีขึ้นมาได้

หลังจากนั้นมาร้านเหล้าเหลาสุราทั้งหมดในนามของตระกูลเหยาก็ไม่เคยขายเหล้า ให้เจ้าหมอนั่นอีกแม้แต่ครึ่งกา เงินค่าเหล้าที่ติดไว้ก็ไม่ต้องให้เขาคืน

เหยาชงเต้าถามชวนคุย “ดูจากท่าทางแล้ว เมื่อก่อนพวกเขาสองคนเคยรู้จักกัน?”

หนิงเหยาเล่าเพียงเรื่องเดียวว่า “ครั้งแรกที่เฉินผิงอันมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ เรือข้ามทวีปถูกขวางไว้ที่ร่องเจียวหลง เป็นจั่วโย่วที่ออกกระบี่เปิดทางให้”

เรื่องนี้คนที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็เคยได้ยิน เพียงแต่ว่าข่าวที่ได้รับมา ไม่ครบถ้วนนัก หนึ่งเพราะทางฝั่งของภูเขาห้อยหัวเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ เพราะว่าหลังจากเกิดเหตุพลิกผันขึ้นที่ร่องเจียวหลง จั่วโย่วกับเทียนจวินใหญ่แห่งภูเขาห้อยหัวที่เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเต๋าเหล้าเอ้อร์ก็ไปตีกันบนมหาสมุทรอย่างสาแก่ใจอีกครั้ง นอกจากนี้ก็เป็นเพราะว่าการออกกระบี่ของจั่วโย่วผู้นี้คล้ายจะไม่เคยมีเหตุผลมาก่อน

อันที่จริงผู้เฒ่ากับหนิงเหยาพบเจอกันไม่บ่อยนัก พูดคุยกันก็ยิ่งน้อย

ดังนั้นเมื่อเทียบจั่วโย่วกับเฉินผิงอันแล้วก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร

เฉินผิงอันกล่าว “ผู้อาวุโสจั่วออกกระบี่สังหารเจียวหลงในจุดที่เจียวหลงรวมตัวกัน พระคุณช่วยชีวิต ตลอดหลายปีมานี้ผู้น้อยจดจำได้ขึ้นใจอยู่เสมอ”

จั่วโย่วเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “สืบสาวไปถึงต้นสายปลายเหตุแล้ว ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้ารู้ว่าอันที่จริงตัวข้าเองไม่ได้ถูกผู้อาวุโสจั่วมองเป็นผู้น้อย”

จั่วโย่วเอ่ย “ไม่ต้องคิดมากเรื่องนี้ คน เรื่องราวและทัศนียภาพในใต้หล้าที่เข้าตาข้า มีน้อยจนนับนิ้วได้”

เฉินผิงอันเอ่ยอีกว่า “ข้าเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้องรับผู้อาวุโสจั่วเป็นศิษย์พี่ใหญ่”

จั่วโย่วยิ้ม ลืมตาขึ้น แต่สายตากลับมองไปยังทิศไกล “อ้อ?”

เฉินผิงอันสีหน้านิ่งสงบ ขยับตัวหันหลังกลับ มองไปยังทิศไกลเช่นกัน “ไม่ใช่ว่าปีนั้นยังเป็นเด็กน้อยไม่รู้ความ ตอนนี้เป็นคนหนุ่มกำลังวังชาเปี่ยมล้นอะไร นี่เป็นเพียงแค่ความในใจเท่านั้น”

จั่วโย่วยังคงไม่แสดงอาการขุ่นเคือง กลับกันยังเอ่ยประโยคหนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่คุยกันเลย “คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก นอกจากยืนยันให้แน่ใจว่าโลกใบนี้เป็น ฟ้าสูงแผ่นดินกว้างไกล หรือเล็กเท่าเมล็ดงากันแน่แล้ว เรื่องหลักที่สำคัญที่สุดก็คือพิสูจน์ความจริงแท้ของตัวเอง”

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้าว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะขอพูดความจริงในใจเพิ่มอีกสัก สองสามประโยค อาจจะไม่มีเหตุผลอะไรนัก แต่หากไม่พูดก็คงไม่ได้ ตลอดชีวิตของ ผู้อาวุโสจั่ว ทั้งเรื่องศึกษาหาความรู้และเรื่องการฝึกกระบี่ล้วนไม่มีความผิดพลาด สุดท้ายค่อยๆ สะสมให้มากแล้วนำมาใช้ทีละน้อย มีขึ้นมีลง เต็มไปด้วยสีสัน ตระการตา เคยทำให้ตัวอ่อนเซียนกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนต้องก้มหัวให้ ภายหลัง ยังออกมหาสมุทรไปเยี่ยมเยียนเซียน หนึ่งคนอาศัยหนึ่งกระบี่ไปถามกระบี่ที่ อุตรกุรุทวีป สุดท้ายยังไปถามกระบี่ที่ใบถงทวีป สังหารตู้เม่า ขัดขวางการบินทะยานของเขา ทำเรื่องมากมายขนาดนี้ แต่เหตุใดไม่ยอมไปเยือนแจกันสมบัติทวีปดูสักครั้ง อาจารย์ฉีคิดอย่างไรก็เป็นเรื่องของอาจารย์ฉี ศิษย์พี่ใหญ่ควรทำอย่างไร นั่นก็เป็นเรื่องที่ศิษย์พี่ใหญ่คนหนึ่งควรจะทำ”

จั่วโย่วเงียบงัน

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน “นี่ก็คือประโยคเดียวที่ข้าต้องการพูดหลังจากมาถึง กำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วได้ยินว่าผู้อาวุโสจั่วก็อยู่ที่นี่ด้วย”

เฉินผิงอันเตรียมจะขอตัวลาจากไป

จั่วโย่วกลับเอ่ยว่า “คุยกับผู้ใหญ่ อย่ายืนสูงขนาดนั้น”

เฉินผิงอันจึงได้แต่กลืนคำบอกลากลับลงท้อง แล้วนั่งลงที่เดิมอย่างว่าง่าย

บอกตามตรง เฉินผิงอันมาเยือนหัวกำแพงครั้งนี้ก็เตรียมใจมาไว้ก่อนแล้วว่าจะต้องโดนซ้อมรอบหนึ่ง อย่างมากก็แค่นอนอยู่ที่จวนเหยาสักเดือนหนึ่ง

คนทั้งสองต่างก็พากันเงียบ

เฉินผิงอันถาม “ผู้อาวุโสจั่วมีเรื่องจะพูดหรือ?”

จั่วโย่วส่ายหน้า “คร้านจะอธิบายเหตุผล นี่ไม่ใช่เรื่องที่ข้าถนัด ดังนั้นจึงกำลังสองจิตสองใจเรื่องพละกำลังในการออกกระบี่ ขอบเขตของเจ้าต่ำเกินไป นี่กลับกลายจะเป็นปัญหา”

เฉินผิงอันไม่รู้สึกเลยว่าจั่วโย่วกำลังล้อเล่น ดังนั้นเขาจึงเอ่ยว่า “อาจารย์ผู้เฒ่า เหวินเซิ่งชอบดื่มเหล้า แล้วก็ชอบท่องไปทั่วทิศ แต่ไม่เคยมาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่บ้างเลยหรือ? อันที่จริงเหล้าของที่นี่ก็ไม่เลวเลย”

จั่วโย่วมีท่าทางอัดอั้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ไสหัวไปเลย!”

ผู้อาวุโสสั่ง ผู้น้อยก็ต้องทำตาม เฉินผิงอันรีบลุกขึ้นยืน เอ่ยเรียกหนิงเหยาแล้วก็เรียกเรือยันต์ออกมาจอดลอยอยู่นอกหัวกำแพงเมือง

เหยาชงเต้าพยักหน้าให้หนิงเหยา หนิงเหยาจึงทะยานลมเข้าไปในเรือยันต์ กลับไปยังนครที่ยังคงมีแสงไฟสว่างเรืองรองอยู่ท่ามกลางม่านตรีพร้อมกับเฉินผิงอัน ที่แสร้งทำเป็นสุขุม

จั่วโย่วชำเลืองตามองคนหนุ่มชุดเขียวที่อยู่บนเรือยันต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปิ่นหยกสีขาวที่คุ้นเคยอย่างถึงที่สุดชิ้นนั้น

จั่วโย่วหลับตาลงอีกครั้ง ขัดเกลาวิถีกระบี่ของตัวเองต่อไป

ชิงฟ้องอาจารย์ก่อน

ใครฟ้องก่อนก็ได้เปรียบ แล้วยังเป็นฝ่ายมีเหตุผลด้วย

ปีนั้นในขณะที่ทุกคนอายุยังน้อย ในบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก เรื่องแบบนี้ใครที่ถนัดที่สุด?

เหยาชงเต้าเดินมาใกล้จั่วโย่ว มองไปยังเรือยันต์ลำน้อยและนครขนาดใหญ่ แล้วถามว่า “จั่วโย่ว เจ้าให้ความสำคัญกับคนหนุ่มคนนี้มากหรือ?”

จั่วโย่วกล่าวอย่างเฉยชาว่า “ความประทับใจที่ข้ามีต่อตระกูลเหยานั้นธรรมดามาก ดังนั้นอย่าได้อาศัยว่าตัวเองอายุมากมาพูดจาไร้สาระกับข้า”

ไฟโทสะของเหยาชงเต้าเกือบจะพุ่งขึ้นสามจั้ง คิดว่าตนเป็นพระโพธิสัตว์ที่ ไร้อารมณ์จริงๆ หรือไร?

ตีก็ตีกันเลยสิ ใครกลัวกันเล่า

เจ้าจั่วโย่วจะฆ่าข้าให้ตายได้จริงๆ หรือ?

ผลคือผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่คนนั้นยิ้มเดินออกมาจากกระท่อม มายืนอยู่ตรงหน้าประตู แหงนหน้าขึ้นเอ่ยเบาๆ “แขกที่หาได้ยาก”

แต่เพียงไม่นานเฉินชิงตูก็เดินกลับเข้าไปในกระท่อม ในเมื่อผู้ที่มาเยือนเป็นแขกไม่ใช่ศัตรู ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องเป็นกังวลแล้ว เฉินชิงตูเพียงแค่กระทืบเท้าหนึ่งครั้ง ตราผนึกก็ถูกร่ายขึ้นทันที ตลอดทั้งหัวกำแพงล้วนถูกสกัดกั้นออกจากฟ้าดินขนาดเล็ก หลีกเลี่ยงไม่ให้มีการลอบสังเกตการณ์ที่เกินความจำเป็น

นอกจากเฉินชิงตูที่สัมผัสได้ถึงเบาะแสเล็กน้อยนั่นก่อนใครแล้ว อริยะทั้งหลายที่เฝ้าพิทักษ์ที่นี่และใต้เท้าอิ่นกวานท่านนั้นต่างก็ทยอยกันตระหนักได้ถึงความผิดปกตินี้

ไม่มีใครที่ไม่ต้องเดินผ่านประตูใหญ่ของภูเขาห้อยหัว แล้วยังสามารถทะลุพันธนาการม่านฟ้าของฟ้าดินขนาดใหญ่สองแห่งเข้ามาในกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้โดยตรงอย่างเงียบเชียบเช่นนี้

ไม่เพียงแต่เทียนจวินใหญ่ลัทธิเต๋าที่เฝ้าพิทักษ์ภูเขาห้อยหัวท่านนั้นที่ทำไม่ได้

เกรงว่าแม้แต่อริยะปราชญ์ที่มีรูปปั้นตั้งบูชาอยู่ในศาลบุ๋นซึ่งรับผิดชอบดูแล อาณาบริเวณของทวีปหนึ่งในใต้หล้าไพศาลที่มีแผ่นหยกอยู่ในมือก็ยังทำไม่ได้เหมือนกัน

เซียนกระบี่มากมายที่ปักหลักเฝ้าอยู่บนหัวกำแพงก็ยังตระหนักไม่ได้ว่ามีคนลอบเข้ามาบนหัวกำแพง คนที่อยู่นอกกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยิ่งสัมผัสไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

รอจนเกิดภาพเหตุการณ์ประหลาดขึ้นบนหัวกำแพง คิดจะตรวจสอบอีกครั้ง นั่นก็ยากราวกับเดินขึ้นสวรรค์แล้ว

แล้วนับประสาอะไรกับที่ไม่ว่าใครก็ไม่กล้ากระทำการบุ่มบ่าม เซียนกระบี่ทั้งหลายจึงตั้งใจฝึกตนของตัวเองต่อไป

จั่วโย่วอึ้งงันไปเล็กน้อย จากนั้นก็เตรียมจะลุกขึ้นยืน

ผลคือเขาถูกฝ่ามือหนึ่งตบลงมาบนศีรษะ “พูดกับผู้ใหญ่แบบนี้หรือ? กฎเกณฑ์อยู่ที่ไหน?”

จั่วโย่วลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังคิดจะลุกขึ้น อาจารย์มาเยือนขนาดนี้ จะอย่างไร ก็ควรต้องลุกขึ้นคารวะ ผลกลับต้องถูกตบหัวอีกรอบ “ยังไม่ยอมเชื่อฟังอีกใช่ไหม? คิดจะเถียงข้าใช่ไหม? สามวันไม่ตีขึ้นไปรื้อกระเบื้องหลังคาใช่ไหม?”

จั่วโย่วจึงได้แต่หยุดอยู่ตรงนั้น จะยืนก็ไม่ยืน จะนั่งก็ไม่นั่ง เขาพูดกับเหยาชงเต้าว่า “เป็นผู้น้อยที่เสียมารยาทแล้ว ต้องขอโทษผู้อาวุโสเหยาด้วย”

จากนั้นเหยาชงเต้าก็ได้เห็นผู้เฒ่ายากจนลักษณะเหมือนลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อคนหนึ่ง ยื่นมือมาประคองจั่วโย่วที่ค้างอยู่ในท่าชวนอึดอัดพลางหันมายิ้มกว้างเอ่ยกับตนว่า “เจ้าประมุขตระกูลเหยา เซียนกระบี่ใหญ่เหยาใช่ไหม เลื่อมใสมานานๆ ให้กำเนิดบุตรสาวที่ดี ช่วยหาลูกเขยที่ดี แล้วลูกสาวที่ดีลูกเขยที่ดีก็ให้กำเนิดหลานสาวที่ดีมากๆ ผลคือหลานสาวที่ดีก็ยังช่วยหาหลานเขยที่ดีที่สุดมาให้อีก เซียนกระบี่ใหญ่เหยา ช่างโชคดีจริงๆ เลยนะ ข้าอิจฉายังแทบไม่ทัน ก็มีแค่ลูกศิษย์ไม่กี่คนที่อบรมสั่งสอนมานี่แหละที่พอจะถูไถอยู่บ้าง”

ในที่สุดจั่วโย่วก็สามารถยืนพูดได้แล้ว เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าว ประสานมือคารวะ “อาจารย์!”

ปราณกระบี่น่าตะลึงพรึงเพริดที่อยู่รอบกายจั่วโย่วไม่ส่งผลใดๆ ต่อผู้เฒ่า ลัทธิขงจื๊อชุดเขียวที่เรือนกายล่องลอยไม่หยุดนิ่งคนนั้นได้เลย

เหยาชงเต้ามีสีหน้าเหลือเชื่อ ก่อนจะถามหยั่งเชิงว่า “อาจารย์เหวินเซิ่ง?”

ซิ่วไฉเฒ่ามีสีหน้าลำบากใจ “เหวินเซิ่งไม่เหวินเซิ่งอะไรกัน ไม่มีมาตั้งนานแล้ว ข้าอายุน้อย รับคำเรียกขานว่าอาจารย์ไม่ได้หรอก ก็แค่โชคดีที่เคยมีความรุ่งเรือง ในอดีตอันน้อยนิดนั่นอยู่บ้าง ตอนนี้อย่าพูดถึงเลยดีกว่า ข้าอายุไม่มากเท่าเจ้าประมุขตระกูลเหยา เรียกข้าว่าน้องชายก็พอแล้ว”

เหยาชงเต้ามึนงงไปเล็กน้อย

ไม่รู้ว่าควรจะพูดคุยกับเหวินเซิ่งลัทธิขงจื๊อที่มีชื่อเสียงเลื่องลือผู้นี้อย่างไรดี

ลัทธิขงจื๊อใต้หล้าไพศาลมีพิธีการยิบย่อย ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ผู้ฝึกกระบี่ของ กำแพงเมืองปราณกระบี่ดูแคลนที่สุดพอดี

ซิ่วไฉเฒ่ากวาดตามองไปรอบด้านแล้วพูดอย่างรีบร้อนว่า “ข้ารีบมา แล้วก็ต้องรีบไป จะอยู่นานไม่ได้ ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ท่านนั้น พวกเรามาคุยกันหน่อยดีไหม?”

เฉินชิงตูที่นั่งอยู่ในกระท่อมพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นก็คุยกัน”

อริยะลัทธิขงจื๊อท่านหนึ่งที่เฝ้าพิทักษ์กำแพงเมืองปราณกระบี่มาปรากฏตัว ด้วยตัวเอง แล้วประสานมือคารวะ “คารวะเหวินเซิ่ง”

อริยะสามลัทธิที่เฝ้าพิทักษ์ที่แห่งนี้ก็มีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปเช่นกัน เวลาสั้นยาวไม่แน่นอน

อริยะลัทธิขงจื๊อท่านนี้เคยได้รับการขนานนามว่าพระใหญ่แห่งใต้หล้า พอมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ เนื่องจากมีวิชาอภินิหารและความรู้ควบสองลัทธิ เวทคาถาสูงมาก จึงเป็นบุคคลที่ขนาดใต้เท้าอิ่นกวานก็ยังไม่ค่อยยินดีจะไปมีเรื่องด้วย

ซิ่วไฉเฒ่าทอดถอนใจเอ่ยว่า “ก็แค่เถียงแพ้เท่านั้น ไม่ใช่ว่าความรู้ของเจ้าไม่ลึกซึ้งถึงแก่น แล้วก็ไม่ใช่ว่าความรู้ด้านลัทธิพุทธของพวกเจ้าไม่ดีสักหน่อย ตอนนั้น ข้าก็เกลี้ยกล่อมเจ้าแล้วว่าอย่าทำเช่นนี้ เหตุใดยังต้องบากหน้ามาขออาศัยลัทธิขงจื๊อของพวกเรา ตอนนี้กลับดีนัก ต้องลำบากแล้วเห็นไหม? คิดจริงๆ หรือว่าคนคนเดียว ก็สามารถกินความรู้อันเป็นรากฐานของสองลัทธิได้หมด? หากมันเป็นเรื่องดีที่ง่ายดายขนาดนั้น ถ้าอย่างนั้นยังต้องโต้เถียงกันไปอีกทำไม สาเหตุก็ไม่ใช่เพราะความสามารถในการไกล่เกลี่ยของมรรคาจารย์เต๋าศาสดาพุทธล้วนสูงไม่พอหรอกหรือ? อีกอย่าง เจ้าก็แค่เถียงไม่เก่ง แต่ต่อสู้เก่งมากนี่นา น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ”

คำพูดประโยคนี้หากดังเข้าหูลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อในสถานศึกษาศาลบุ๋น อาจฟังดูเนรคุณ เหมือนคนคิดทรยศต่อลัทธิของตัวเอง อย่างน้อยที่สุดก็เห็นคนอื่นดีกว่าคนของตัวเอง

อริยะลัทธิขงจื๊อที่หลังจากพ่ายแพ้ในการอภิปรายจึงเปลี่ยนสำนักใหม่ผู้นั้น ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยามที่ไร้ขีดจำกัด ก็คืออิสระเสรี”

คำพูดง่ายๆ ประโยคเดียว กลับชักนำให้ฟ้าดินของกำแพงเมืองปราณกระบี่เปลี่ยนสี เพียงแต่ว่าไม่นานก็ถูกปราณกระบี่บนหัวกำแพงเมืองสลายภาพเหตุการณ์ประหลาดนั้นไป

ซิ่วไฉเฒ่าส่ายหน้า ถอนหายใจเฮือกๆ แล้วร่างของเขาก็พุ่งวูบขยับมาอยู่ ข้างกระท่อม เฉินชิงตูผายมือออกมา ยิ้มกล่าวว่า “เหวินเซิ่งเชิญนั่ง”

ซิ่วไฉเฒ่าเก็บสีหน้าทั้งหมดกลับคืนมา เอ่ยว่า “ศาลบุ๋นต้องการยืมตัวคนสามคนจากเจ้า”

เฉินชิงตูถาม “ทำไมถึงเป็นเจ้าที่มา? ไม่ใช่หลี่เซิ่ง หย่าเซิ่งที่น่าจะถูกต้องตามหลักทำนองคลองธรรมมากกว่า แล้วก็ไม่ใช่รองเจ้าลัทธิของศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง?”

ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะร่า “ก็ข้าหน้าหนาไงล่ะ พวกเขามาแล้วก็มีแต่จะต้องหน้าหงายกลับไป”

เฉินชิงตูส่ายหน้า “ไม่ให้ยืม”

ซิ่วไฉเฒ่าพึมพำว่า “แบบนี้ไม่ค่อยประเสริฐแล้ว”

จั่วโย่วเดินมาหยุดอยู่นอกกระท่อม

ผ่านไปไม่นานเท่าไร ซิ่วไฉเฒ่าก็เดินออกมาจากกระท่อมด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม “คุยยาก แต่ต่อให้คุยยากแค่ไหนก็ยังต้องคุย”

จั่วโยวถาม “อาจารย์จะไปจากที่นี่เมื่อไร?”

ซิ่วไฉเฒ่าเกาหัว “ถึงอย่างไรก็ต้องลองดูอีกหน่อย หากคุยกันไม่รู้เรื่องจริงๆ ก็จนปัญญาแล้ว หากถึงเวลาต้องไปก็ยังต้องไป ช่วยไม่ได้ ชีวิตนี้เกิดมามีชะตา เหนื่อยยาก มีชะตาที่ต้องเป็นแพะรับบาปแทนคนอื่น”

จั่วโย่วเอ่ย “ไม่ไปพบเฉินผิงอันสักหน่อยหรือ?”

ซิ่วไฉเฒ่าพูดอย่างเดือดดาล “เจ้ามายุ่งอะไรกับข้าด้วย?”

จั่วโย่วจึงไม่เอ่ยอะไรอีก

ไม่เสียแรงที่เป็นบรรพบุรุษบุกเบิกภูเขาของสายเหวินเซิ่ง

ดูเหมือนซิ่วไฉเฒ่าจะรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะ จึงตบไหล่จั่วโย่ว “จั่วโย่วเอ๋ย ในที่สุดอาจารย์กับบัณฑิตที่เจ้าค่อนข้างเคารพผู้นั้นก็บุกเบิกเส้นทางสายหนึ่งร่วมกันได้สำเร็จแล้ว ที่นั่นคืออาณาบริเวณอันกว้างใหญ่ไพศาลของใต้หล้าลำดับที่ห้าเชียวนะ ไม่ว่าอะไรก็มีมาก ก็มีแต่คนที่ไม่มาก วันหน้าในเวลาชั่วครู่ชั่วยามก็คงจะมีคนเพิ่มได้ไม่มากสักเท่าไร นี่ก็ตรงกับความต้องการของเจ้าพอดีไม่ใช่หรือ? ไม่ไปดูที่นั่น สักหน่อยหรือไร?”

จั่วโย่วส่ายหน้า “อาจารย์ ที่นี่ก็มีคนไม่มาก อีกทั้งยังดีกว่าใต้หล้าใหม่เอี่ยม แห่งนั้นด้วย เพราะว่าที่แห่งนี้ ยิ่งเป็นช่วงหลังก็ยิ่งมีคนน้อย ไม่มีทางที่จะกรูกันเข้ามายิ่งนานวันก็ยิ่งมากคนอย่างแน่นอน”

ซิ่วไฉเฒ่าบ่นอย่างเศร้าใจ “อาจารย์อย่างข้าช่างน่าน้อยใจนัก ลูกศิษย์แต่ละคนไม่มีใครเชื่อฟังข้าเลย”

จั่วโย่วเอ่ยเสียงเบา “ก็ยังมีเฉินผิงอันไม่ใช่หรือ”

ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวังดีว่า “จั่วโย่วเอ๋ย หากเจ้ายังเอาแต่พูดแทงใจดำอาจารย์อยู่อย่างนี้คงไม่ค่อยเข้าทีแล้วนะ”

จั่วโย่วกล่าวอย่างกังขา “ทำไมการที่อาจารย์จะไปพบหน้าเฉินผิงอัน ถึงไม่เหมาะ?”

ซิ่วไฉเฒ่าทั้งยิ้มทั้งขมวดคิ้ว สีหน้าจึงแปลกประหลาดยิ่ง “ได้ยินว่าศิษย์น้องเล็กของเจ้าคนนั้นเพิ่งจะสร้างศาลบรรพจารย์ขึ้นที่ภูเขาบ้านเกิด แขวนภาพเหมือนของข้าเอาไว้ตรงกลาง สูงที่สุด อันที่จริงไม่ค่อยเหมาะเท่าไร แค่แอบแขวนไว้ในห้องหนังสือ ก็ได้แล้วนี่นา ข้าไม่ใช่คนที่พิถีพิถันในเรื่องเล็กน้อยสักหน่อย เจ้าก็เห็นว่าปีนั้นศาลบุ๋นยกรูปปั้นข้าออกไป อาจารย์อย่างข้าเคยถือสาไหม? ไม่ถือสาเลยสักนิด ชื่อเสียงเกียรติยศจอมปลอมบนโลกเป็นสิ่งฉาบฉวยไร้ต้นสายปลายเหตุ ประหนึ่ง ถั่วลิสงโรยเกลือที่กินแกล้มเหล้าคำแล้วคำเล่า”

จั่วโย่วเอ่ย “รบกวนอาจารย์ช่วยหุบรอยยิ้มบนหน้าหน่อย”

ซิ่วไฉเฒ่าร้องอ้อหนึ่งที สังเกตเห็นว่าตาเฒ่าเหยาผู้นั้นไม่ได้อยู่บนหัวกำแพงเมืองแล้ว เขาจึงขยี้แก้มตัวเอง กระโดดตัวสูง พลิกหลังมือตบป้าบเขาที่หัวของจั่วโย่ว “ยังจะมีหน้ามาพูดว่าคนอื่นพูดจาไร้สาระ เจ้าเองก็มีแต่คำพูดไร้สาระเป็นกระบุงโกยไม่ใช่ หรือไร ในบรรดาลูกศิษย์ก็เจ้านี่แหละที่ทึ่มที่สุด”

จั่วโย่วรู้สึกจนใจเล็กน้อย “ถึงอย่างไรก็เป็นผู้อาวุโสในครอบครัวของหนิงเหยา ศิษย์ย่อมทำอะไรไม่สะดวกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า”

ซิ่วไฉเฒ่ากล่าวอย่างกังขา “ข้าเองก็ไม่ได้บอกว่าการที่เจ้าเก็บมือเก็บเท้าเป็นสิ่งที่ผิดนี่นา ไม่ต้องขยับมือเท้า แต่ปราณกระบี่ของเจ้ามีมากขนาดนั้น บางครั้งไม่ทันระวัง ควบคุมไม่ได้สักเสี้ยวครึ่งเสี้ยว ปล่อยให้มันวิ่งเข้าไปหาตาเฒ่าเหยา หากตาเฒ่าเหยาโวยวาย พวกเจ้าสองคนก็ถือโอกาสคล้อยตามสถานการณ์ไปประลองฝีมือกันดู ต่างคนต่างได้ผลประโยชน์ เอาชนะตาเฒ่าเหยาได้ เจ้าค่อยเอ่ยประจบคนเขาดังๆ อีกสักสองสามคำ เรื่องก็จบลงอย่างงดงามแล้ว แค่นี้เจ้าก็ไม่เข้าใจหรือ?”

จั่วโย่วพยักหน้ารับ “ศิษย์โง่เขลา อาจารย์พูดมีเหตุผล”

ซิ่วไฉเฒ่าหมุนตัวได้ก็วิ่งไปทางกระท่อม “คิดถึงเหตุผลบางอย่างขึ้นมาได้ ลองไปต่อรองราคาดูอีกสักหน่อย”

จั่วโย่วจึงเดินมาข้างหัวกำแพง

ครู่หนึ่งต่อมา ซิ่วไฉเฒ่าก็เดินถอนหายใจเฮือกๆ มาหยุดอยู่ข้างกายจั่วโย่ว

จั่วโย่วถาม “อาจารย์ ท่านว่าพวกเราที่ยืนอยู่บนฝุ่นเม็ดหนึ่งแล้วเดินไปยังฝุ่น อีกเม็ดหนึ่ง จะถือเป็นขีดจำกัดของผู้ฝึกตนแล้วหรือเปล่า”

ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มกล่าว “ต้นไม้หนึ่งต้นกับต้นไม้อีกต้นมักจะทักทายกันท่ามกลางสายลม ภูเขาหนึ่งลูกกับภูเขาอีกลูกอยู่ร่วมกันอย่างเงียบงันไร้สำเนียงมานานร้อยปีพันปี ลำคลองสายหนึ่งกับลำคลองสายหนึ่ง เมื่อเติบใหญ่แล้วก็จะมาชนกัน เมื่อมองดู สรรพสิ่งเงียบๆ ก็มักจะหาความสำราญให้กับตนได้เสมอ”

จั่วโย่วใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ขออาจารย์โปรดพูดให้เข้าใจง่ายสักหน่อยเถิด”

ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ย “ก็อาจารย์ไม่รู้คำตอบของปัญหาข้อนั้นของเจ้านี่นา ก็เลยได้แต่หาประโยคอื่นมาทำให้เจ้าสับสนแทน”

จั่วโย่วหมดคำพูด

ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยอย่างปลงปนิจจังว่า “ตระกูลเซียนนั่งอยู่บนยอดเขา เส้นทางในโลกมนุษย์ย่อมเปื้อนเปรอะไปด้วยดินโคลน”

จั่วโย่วเอ่ย “อาจารย์กำลังตำหนิศิษย์”

ซิ่วไฉเฒ่าส่ายหน้า เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “ข้ากำลังเรียกร้องอริยะปราชญ์และวีรบุรุษผู้กล้าต่างหาก”

จากนั้นจั่วโย่วก็ชมทัศนียภาพร่วมกับอาจารย์ของตัวเองไปอีกตลอดทั้งคืนโดยที่ไม่เอ่ยอะไรอีก

เมื่อฟ้าสว่าง ซิ่วไฉเฒ่าก็หมุนตัวเดินไปที่กระท่อม พลางเอ่ยว่า “หากครั้งนี้ไม่อาจโน้มน้าวเฉินชิงตูได้ ข้าก็คงต้องไสหัวไปแล้วจริงๆ”

จั่วโย่วรอคอยคำตอบอยู่เงียบๆ ตลอดเวลา ยามเที่ยงวัน ซิ่วไฉเฒ่าก็เดินลูบหนวดออกมาจากกระท่อมเงียบๆ

จั่วโย่วเอ่ยเสียงเบา “เฉินผิงอันจะไปสู่ขอที่จวนหนิง ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ ตอบตกลงแล้วว่าจะทำหน้าที่เป็นพ่อสื่อให้”

ซิ่วไฉเฒ่าอึ้งตะลึง จากนั้นก็ตีอกชกตัว “ตาแก่อย่างเฉินชิงตูนี่หน้าไม่อายเอาซะเลย! เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเขาด้วย เห็นว่าอาจารย์อย่างข้าตายไปแล้วหรือไร ก็ได้ ต่อให้ข้าร่อแร่ใกล้ตาย…”

เสียงปังดังขึ้นหนึ่งที

เรือนกายของซิ่วไฉเฒ่าที่เดิมทีล่องลอยไม่หยุดนิ่งก็กลายเป็นเงามายากลุ่มหนึ่ง ที่หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับว่าอยู่ดีๆ ก็หายไปจากใต้หล้าแห่งนี้

จั่วโย่วหรี่ตาลง มือจับด้ามกระบี่ หันหน้ามาทางกระท่อม

ทว่าเพียงชั่วพริบตาก็มีแรงสั่นริ้วกระเพื่อมบางเบาเกิดขึ้น ซิ่วไฉเฒ่าหยุดยืนนิ่ง ท่าทางดูเหนื่อยล้าจากการเดินทางอย่างเห็นได้ชัด เขายื่นมือข้างหนึ่งออกมาตบแขนข้างที่กำกระบี่ของจั่วโย่วเบาๆ

จั่วโย่วยังคงไม่ปล่อยด้ามกระบี่

ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มกล่าว “ช่างเถอะ เรื่องใหญ่แค่ไหนกันเชียว”

เฉินชิงตูปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าประตูกระท่อม ยิ้มถามว่า “เจ้าคิดจะเล่นแง่ไม่ยอมจากไปอยู่แบบนี้น่ะหรือ?”

ซิ่วไฉเฒ่าถอนหายใจ “ต่อให้ข้าอยากอยู่นานๆ ก็ทำไม่ได้อยู่ดี ดื่มเหล้าแล้ว ข้าจะรีบม้วนเสื่อไสหัวกลับไปทันทีเลย”

นี่ก็คือการสยบกำราบจากฟ้าดิน

ตอนนั้นที่ลู่เฉินจากใต้หล้ามืดสลัวมายังใต้หล้าไพศาล แล้วเดินทางไปเยือน ถ้ำสวรรค์หลีจูก็ไม่ใช่เรื่องที่ผ่อนคลายเหมือนกัน ต้องเจอกับการสยบกำราบ มหามรรคาจากทั่วทุกหนแห่ง

เฉินชิงตูยิ้มเอ่ยเตือนว่า “พวกเราที่นี่ไม่มีเสื่อของอาจารย์เหวินเซิ่งหรอกนะ เรื่องอย่างกลยุทธจูงแพะติดมือ แนะนำเจ้าว่าอย่าทำดีกว่า”

ซิ่วไฉเฒ่าพลันกระจ่างแจ้ง “ก็ถูก ก็ได้”

……

กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ไม่มีสงคราม อันที่จริงก็สงบสุขอย่างมาก แล้วก็มีรถม้าแล่นสวนกันขวักไขว่อยู่นอกจวนประตูสูงใหญ่ มีเสียงไก่ขันหมาเห่าในตรอกเล็ก เก่าโทรม เพียงแต่ว่าที่นี่ไม่มีศาลบุ๋นบู๊ ศาลเทพอภิบาลเมือง ไม่มีความเคยชินในการติดภาพเทพทวารบาล กลอนคู่วันปีใหม่ แล้วก็ไม่มีขนบธรรมเนียมเซ่นไหว้หลุมศพบรรพบุรุษ

และถนนใหญ่ที่สภาพเละเทะไม่เหลือชิ้นดีสายนั้นก็กำลังอยู่ในช่วงของการซ่อมแซม พวกช่างพากันทำงานง่วน ส่วนตัวการร้ายที่ใหญ่ที่สุดผู้นั้น เวลานี้ก็กำลังมานั่งอาบแดดอยู่บนมานั่งหน้าประตูร้านที่ขายของเบ็ดเตล็ดร้านหนึ่ง

หนิงเหยาพูดคุยอยู่กับเตี๋ยจ้าง กิจการของร้านซบเซา เป็นเรื่องปกติอย่างมาก

เฉินผิงอันเห็นว่าเตี๋ยจ้างดูจะไม่ร้อนใจเลยสักนิด เขาถึงขั้นร้อนใจแทนนางแล้ว

เพียงแต่ว่าทั้งสองฝ่ายเพิ่งจะเคยพบหน้ากันแค่ไม่กี่ครั้ง เฉินผิงอันจึงไม่สะดวกที่จะเปิดปากพูดง่ายๆ สตรีที่อยู่ข้างกายสตรีผู้เป็นที่รัก จะต้องระวังเรื่องความเหมาะสมมากเป็นพิเศษ

เด็กตัวเท่าก้นคนหนึ่งแอบขยับเข้ามาใกล้ เขากำหมัดปัดจมูกตัวเองเพิ่มความกล้า เอ่ยถามว่า “เจ้าชื่อเฉินผิงอันใช่ไหม?”

เฉินผิงอันยิ้มถาม “ทำไม จะมาต่อสู้กับข้างั้นรึ?”

เด็กชายตกใจจึงถอยหลังไปหลายก้าว แต่ก็ยังไม่ยินดีจะจากไป เขาถามอีกว่า “เจ้าสอนวิชาหมัดหรือไม่ วันหน้าข้าสามารถจ่ายเงินเจ้าได้”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่สอน”

เด็กชายกล่าวอย่างแน่วแน่ว่า “หากเจ้ารังเกียจว่าเงินน้อยเกินไป ข้าสามารถ เชื่อไว้ก่อนได้ วันหน้าเมื่อเรียนวิชาหมัด สังหารปีศาจหาเงินมาได้แล้ว ข้าค่อยทยอยใช้คืนให้ ถึงอย่างไรเจ้าก็มีความสามารถสูง หมัดใหญ่ขนาดนั้น ข้าไม่กล้าติดหนี้แล้วไม่ใช่คืนหรอก”

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ทิ้งไหล่ลงอย่างผ่อนคลาย ถามด้วยน้ำเสียงเกียจคร้านว่า “จะเรียนหมัดไปทำอะไร ไม่ควรฝึกกระบี่หรอกหรือ?”

เด็กชายกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ข้าไม่ใช่ตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิด ฝึกกระบี่ไปก็ไม่ได้เรื่อง แล้วก็ไม่มีใครยินดีจะสอนข้า ขนาดพี่หญิงเตี๋ยจ้างยังรังเกียจที่ข้าคุณสมบัติไม่ดี ยืนกรานจะให้ข้าไปเป็นช่างกระเบื้องให้ได้ อุตส่าห์ช่วยดูร้านให้นางมาตั้งหลายเดือน เสียเวลาเปล่าจริงๆ”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “การเรียนวรยุทธก็ไม่ต่างจากการฝึกกระบี่ ล้วนสิ้นเปลืองเงินทอง แล้วก็ต้องพิถีพิถันเรื่องพรสวรรค์ เจ้าไปเป็นช่างกระเบื้องนั่นแหละดีแล้ว”

เด็กชายนั่งยองอยู่ที่เดิม บางทีคงจะเดาผลลัพธ์นี้ไว้ได้นานแล้ว จึงมองประเมินคนหนุ่มชุดเขียวที่ได้ยินมาว่ามาจากใต้หล้าไพศาลด้วยสายตาประมาณว่า ในเมื่อเจ้าพูดจาไม่น่าฟังขนาดนี้ก็อย่ามาโทษว่าข้าไม่เกรงใจแล้วกันนะ ดังนั้นเขาจึงเอ่ยว่า “หน้าตาเจ้าก็ไม่ได้ดีสักเท่าไร ทำไมพี่หญิงหนิงต้องชอบเจ้าด้วย”

เฉินผิงอันรู้สึกตลกเล็กน้อย ถามว่า “ชอบคนคนหนึ่ง ดูแค่หน้าตาอย่างเดียวหรือไร”

เด็กชายย้อนถาม “ไม่อย่างนั้นจะดูอะไรล่ะ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าเองก็ไม่ได้หน้าตาขี้เหร่สักหน่อย”

เด็กชายที่นั่งยองอยู่ตรงนั้นส่ายหน้า ถอนหายใจ

เฉินผิงอันจึงรู้สึกใจเสียเล็กน้อย หน้าตาของตนสู้พวกเฉินซานชิว ผังหยวนจี้ไม่ได้ก็จริง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใกล้เคียงกับคำว่า ‘ขี้เหร่’ เลยสักนิด เขายกมือขึ้น ใช้ฝ่ามือถู ปลายคางหาตอหนวด น่าจะเป็นเพราะไม่ได้โกนหนวดกระมัง

มีเด็กใจกล้าผู้นี้เป็นคนนำ รอบด้านจึงมีคนวัยเดียวกับเขาอีกกลุ่มใหญ่กรูกัน เข้ามาเพิ่ม แล้วก็ยังมีเด็กหนุ่มอีกบางส่วน รวมไปถึงเด็กสาวที่อยู่ห่างไปไกลยิ่งกว่า

ในดวงตาเล็กใหญ่แต่ละคู่ที่มองมายังคนหนุ่มต่างถิ่นซึ่งต่อสู้ชนะสี่ครั้งติดผู้นี้ เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ใต้หล้าไพศาลคือฤดูใบไม้ผลิที่ต้นหลิวต้นหยางเคียงคู่ กำแพงเมืองปราณกระบี่ในเวลานี้ก็คือช่วงเวลาหนาวเหน็บที่ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดโชย

อยู่ห่างเพียงหนึ่งประตูกั้น แต่กลับเป็นใต้หล้าที่แตกต่าง ฤดูกาลที่แตกต่าง และยิ่งเป็นขนบธรรมเนียมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

อยู่ที่กำแพงเมืองกระบี่ หากคิดจะมีชีวิตอยู่ต่อนั้นไม่ยาก ต่อให้เป็นเด็กที่อ่อนแอแค่ไหนก็ยังมีชีวิตอยู่ได้

แต่หากคิดจะมีชีวิตดีๆ อยู่ที่นี่ กลับยากลำบากอย่างถึงที่สุด

เพราะฉะนั้นคนที่มีความสามารถพอจะไปดื่มเหล้าบ่อยๆ ต่อให้จะเป็นการ ดื่มเหล้าที่ติดหนี้ไว้ก่อน ก็ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน

แน่นอนว่าลูกหลานแซ่ใหญ่ที่ไม่เพียงแต่ไม่ต้องกังวลเรื่องการกินการอยู่ หากอยากมีชีวิตสุขสำราญที่ไม่แพ้กับอ๋องและโหว ก็ง่ายมากเช่นกัน

นี่คือบุญกุศลที่สะสมมาตั้งแต่รุ่นของบรรพบุรุษอย่างจริงแท้แน่นอน คือชีวิตร่ำรวยสุขสบายที่ล้วนเป็นอดีตเซียนกระบี่ อดีตผู้ฝึกกระบี่แต่ละคนเอาชีวิตแลกมา แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังต้องลงสนามรบเข่นฆ่าศัตรู สามารถมีชีวิตเดินลงมาจากหัวกำแพงได้ ก็สมควรจะได้เสวยสุข

อาจจะเพราะรู้สึกว่าเฉินผิงอันผู้นี้ค่อนข้างพูดคุยได้ง่าย

เพียงไม่นานข้างม้านั่งตัวเล็กของเฉินผิงอันก็มีคนกลุ่มใหญ่มารวมตัวกัน พูดคุยกันเสียงดังจอแจ มองดูแล้วครึกครื้นอย่างมาก

คนต่างถิ่นที่สามารถผ่านภูเขาห้อยหัวเข้ามาในนคร ส่วนใหญ่มักจะไปอยู่อาศัย ในสถานที่ที่พวกตระกูลใหญ่แซ่ใหญ่ร่ำรวยรวมตัวกัน ไม่ชอบจะมาที่นี่

ครั้งแรกที่เฉินผิงอันมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็เคยคุยเรื่องผู้คนและขนบธรรมเนียมในนครแห่งนี้กับหนิงเหยาหลายเรื่อง สำหรับใต้หล้าไพศาลที่อยู่ใกล้ ในระยะประชิด แต่กลับแตกต่างกันคนละฟ้าดิน เขารู้ดีว่าคนหนุ่มสาวที่เกิดและเติบโตที่นี่มีท่าทีที่แตกต่างกันไป บางคนป่าวประกาศว่าจะต้องไปกินบะหมี่หยางชุนรสชาติต้นตำรับของที่นั่นให้จงได้ มีคนได้ยินมาว่าที่ใต้หล้าไพศาลมีแม่นางที่งดงาม อยู่มากมาย เป็นเพียงแค่แม่นางจริงๆ นุ่มนิ่มบอบบาง เอวที่บางดุจกิ่งหลิวยักย้าย ส่ายไปส่ายมา สรุปก็คือไม่มีปราณกระบี่อยู่บนร่างแม้แต่เสี้ยวเดียว แล้วก็อยากรู้ว่าบัณฑิตของที่นั่นมีชีวิตเทพเซียนกันอย่างไร

เวลานี้ข้างกายเฉินผิงอันมีคำถามมากมายหลากหลาย บางคำถามเฉินผิงอันก็เอ่ยตอบ บางคำถามก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

มีเด็กคนหนึ่งที่ชีวิตนี้ยังไม่เคยไปที่หัวกำแพงทางทิศใต้บอกว่า บ้านเกิดของเจ้า มีภูเขาเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนที่เป็นสีเขียวมรกตอยู่จริงหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังฝนตก พอสูดลมหายใจเข้าลึกก็จะสามารถได้กลิ่นหอมของต้นไม้ใบหญ้า

มีเด็กหนุ่มที่ค่อนข้างโตคนหนึ่งถามเฉินผิงอันว่า เหล่าเทพขุนเขาสายน้ำสู่ขอภรรยา เทพอธิบาลเมืองตัดสินคดีความยามค่ำคืน ผีพรายภูตภูเขา คือภาพบรรยากาศแบบใดกันแน่

และยังมีคนรีบควักสมุดภาพวาดหลายเล่มที่ยับยู่ยี่ แต่ถูกเก็บรักษาไว้เป็น สมบัติล้ำค่าออกมาหลายเล่ม บอกว่าที่เขียนไว้บนหนังสือล้วนเป็นเรื่องจริงทั้งหมดหรือไม่ ถามเรื่องที่นกยวนยางหลบฝนใต้ใบบัว ถามว่าเรือนหลังใหญ่ของที่นั่นจะต้องกางตาข่ายใต้ชายคาเพื่อดักให้นกมาขี้จริงๆ หรือไม่ และยังมีหลังคาเรือนแบบสี่เหลี่ยมเปิดอ้าที่ให้น้ำสี่ทิศไหลมารวมกัน ตอนถึงช่วงหน้าหนาว หากฝนตกหรือ หิมะตกจะไม่ทำให้คนหนาวมากหรอกหรือ? และยังมีสุราของที่นั่น เหมือนก้อนหินข้างทางที่ไม่ต้องจ่ายเงินซื้อก็สามารถหาดื่มได้จริงไหม? อยู่ที่นี่หากดื่มเหล้าต้อง ควักเงินจ่าย อันที่จริงเป็นเรื่องไม่มีเหตุผลใช่ไหม? และยังมีหอโคมเขียวที่เหล่าสตรี มารวมตัวกัน สรุปแล้วคือสถานที่แบบใดกันแน่? แล้วอะไรคือดื่มเหล้าเคล้านารี? การลงต้นกล้าปลูกข้าวของที่นั่นคืออะไร? ทำไมคนที่นั่นพอตายไปแล้วจะต้องมีสถานที่ให้พักอาศัย ไม่กลัวว่าคนที่มีชีวิตจะไม่มีที่ให้อยู่อาศัยหรือ ใต้หล้าไพศาลกว้างขนาดนั้นจริงๆ หรือไร?

สุดท้ายเด็กหนุ่มคนหนึ่งบ่นว่า “รู้ไม่มากเท่าไรเลยนี่นา ถามสามข้อตอบข้อเดียว เสียแรงที่เป็นคนของใต้หล้าไพศาล”

เฉินผิงอันบิดข้อมือเบาๆ เอาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก โบกมือกล่าว “แยกย้ายๆ อย่ามาถ่วงเวลาทำการค้าของพี่หญิงเตี๋ยจ้างพวกเจ้า”

เด็กตัวใหญ่เท่าก้นที่มาตีสนิทกับเฉินผิงอันก่อนใครคนนั้นนั่งอยู่ข้างม้านั่งตัวเล็ก เขาเอ่ยว่า “ร้านไม่ได้มีกิจการอะไรให้ทำสักหน่อย คุยกันต่อเถอะ”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คุยกับพวกเจ้าเรื่อยเปื่อยมาครึ่งวัน ข้าก็หาเงินไม่ได้ สักเหรียญทองแดงเดียวนี่นา”

เสียงบ่นดังระงม แล้วทุกคนก็แยกย้ายราวนกแตกรัง

เด็กตัวเท่าก้นคนนั้นวิ่งออกไปไกลแล้วก็หันกลับมาตะโกนว่า “พี่หญิงหนิง ไอ้หมอนี่ขี้เหนียวยิ่งนัก ท่านจะชอบเขาไปทำไม!”

เฉินผิงอันแสร้งทำท่าว่าจะลุกขึ้น เด็กคนนั้นวิ่งปรู๊ดราวกับทาน้ำมันไว้ใต้รองเท้า เลี้ยวหายเข้าไปในหัวเลี้ยวของตรอกหนึ่ง แล้วโผล่หัวออกมาแผดเสียงตะโกนดังลั่น อีกครั้ง “พี่หญิงหนิง ไม่ได้โกหกท่านจริงๆ นะ เมื่อครู่นี้เฉินผิงอันแอบบอกกับข้าว่า เขารู้สึกว่าพี่หญิงเตี๋ยจ้างก็หน้าตาไม่เลวเหมือนกัน คนที่ใจโลเลแบบนี้ ท่านอย่าไปชอบเด็ดขาดเชียว”

หนิงเหยาที่อยู่ในร้านยืนพิงโต๊ะคิดเงิน นางกับเตี๋ยจ้างหันมามองหน้าแล้วยิ้มให้กัน

เฉินผิงอันนั่งกลับลงไปบนม้านั่ง ชูนิ้วกลางไปทางตรอกเส้นนั้น

หลังจากเสียงเอะอะคึกคักผ่านพ้นไป แสงแดดอบอุ่น บรรยากาศเงียบสงบ เฉินผิงอันดื่มเหล้าแล้วก็รู้สึกยังปรับตัวไม่ค่อยได้เท่าไร

เฉินผิงอันพลันลุกขึ้นยืน

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มีซิ่วไฉเฒ่าคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างกาย

ซิ่วไฉเฒ่ายื่นมือมาตบไหล่คนหนุ่ม “เติบใหญ่แล้ว ลำบากแล้ว”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!