Skip to content

Sword of Coming 582

บทที่ 582 ในตรอกเก่าโทรมยังมีโรงเรียน

จนกระทั่งหนิงเหยาและเตี๋ยจ้างกลับมาที่ร้านอีกครั้ง เตี๋ยจ้างก็พลันหยุดเดิน ไม่กล้าขยับเดินหน้าไปอีก เพราะเตี๋ยจ้างเคารพนับถือบุรุษที่ปรากฏตัวอยู่หน้าร้านของตนโดยไม่คาดคิดอย่างมาก

อีกฝ่ายเป็นถึงเซียนกระบี่ใหญ่จั่วโย่วที่มีชื่อเสียงด้านความเย็นชาไม่ชอบ ยุ่งเกี่ยวกับใครเชียวนะ

ผู้ฝึกกระบี่ทั่วไปของทวีปอื่น ต่อให้ตอนอยู่บ้านเกิดจะมีนิสัยแย่แค่ไหน พอมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ล้วนต้องเก็บนิสัยร้ายๆ ของตัวเองไป

แต่ผู้อาวุโสจั่วกลับไม่เหมือนกัน ตอนที่เขาเพิ่งมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ ก็มีเซียนกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินในท้องถิ่นที่ปักหลักอยู่บนหัวกำแพงเมืองคนหนึ่งพยายามที่จะถามกระบี่กับจั่วโย่วที่ถูกมองว่าเป็นบุคคลที่มีวิชากระบี่สูงที่สุดใน ใต้หล้าศาล ผลกลับกลายเป็นว่าผู้อาวุโสจั่วเอ่ยกับเขาเพียงประโยคเดียวว่า ‘วิชากระบี่ของข้า เจ้าทำตามไม่ได้ แต่ว่ามีเรื่องหนึ่งที่เจ้าสามารถเรียนรู้ไปจากข้าได้ หากสู้ไม่ชนะ ก็อย่าสู้เลยจะดีกว่า’

ตอนนั้นใต้เท้าอิ่นกวานที่อยู่ด้านข้างก็เอ่ยคล้อยตามไปด้วยว่า ‘ดูเหมือนว่าจะใช่นะ’

การประลองบนหัวกำแพงที่เดิมทีเป็นที่จับตามองของผู้คนมากมาย สุดท้าย ก็ไม่เกิดขึ้น

เวลานี้หลังจากความตกตะลึงผ่านพ้นไป เตี๋ยจ้างก็รู้สึกสงสัยใคร่รู้อีกครั้ง เหตุใดอีกฝ่ายถึงได้เก็บปราณกระบี่ลงไป เพราะคนทั้งเมืองล้วนรู้กันดีว่า เซียนกระบี่จั่วโย่วจะต้องมีปราณกระบี่ล้อมวนอยู่รอบกายตลอดเวลา ท่ามกลางศึกใหญ่ ใช้ปราณกระบี่เปิดทางบุกลึกเข้าไปยังพื้นที่ใจกลางของกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจ เป็นเช่นนี้ ยามที่ขัดเกลาปณิธานกระบี่อยู่บนหัวกำแพงเพียงลำพังก็เป็นเช่นนี้

แต่วันนี้ผู้ที่มีวิชากระบี่สูงที่สุดในใต้หล้าไพศาล กลับเก็บปราณกระบี่ทั้งหมด บนร่างลงไป ไม่ปล่อยออกมาแม้แต่เสี้ยวเดียวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

หนิงเหยาจึงพาเตี๋ยจ้างออกไปเดินเล่นต่ออีกครั้ง

หนิงหยารู้ว่าท่านอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งจากไปแล้ว นางถึงได้กลับมา คิดไม่ถึงว่าจั่วโย่วจะยังไม่จากไป

ก่อนที่อาจารย์ผู้เฒ่าจะจากไปยังตั้งใจมาบอกกล่าวนางโดยเฉพาะ อีกทั้งยังเอ่ยขอบคุณนาง อันที่จริงตอนนี้หนิงเหยาก็ยังสับสนอยู่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าตัวเอง มีเรื่องอะไรที่ถึงกับต้องให้ผู้อาวุโสเหวินเซิ่งมาเอ่ยขอบคุณ

เกี่ยวกับความสัมพันธ์อันละเอียดอ่อนระหว่างเฉินผิงอันกับจั่วโย่ว หนิงเหยาไม่รู้ความคิดของพวกเขาแต่ละคน ดังนั้นจึงไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับจั่วโย่วให้เฉินผิงอันฟัง

ไม่ว่านางพูดอะไรก็ไม่เหมาะ แล้วนับประสาอะไรกับที่หากเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิต เฉินผิงอันก็ย่อมมีความคิดเป็นของตัวเองอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้นางหนิงเหยาไป ชี้ไม้ชี้มือบงการ แม้แต่ช่วยวางแผนให้ก็ยังไม่ต้อง

เตี๋ยจ้างข่มกลั้นความอยากรู้อยากเห็นในใจไว้ไม่ไหวจริงๆ พอเดินจากมาไกลแล้วจึงใช้ริ้วทะเลสาบหัวใจสอบถามหนิงเหยา “เฉินผิงอันรู้จักเซียนกระบี่ใหญ่จั่วหรือ?”

หนิงเหยาพยักหน้ารับ “รู้จักมานานแล้ว”

ในบันทึกภูเขาสายน้ำเล่มนั้นของเฉินผิงอันก็มีเขียนไว้ อีกทั้งยังเป็นบทที่ไม่เล็กด้วย

เตี๋ยจ้างยิ้มกล่าว “เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม?”

หนิงเหยาส่ายหน้า “ไม่ได้”

เตี๋ยจ้างกระตุกชายแขนเสื้อของหนิงเหยาแล้วแกว่งเบาๆ ท่าทางออดอ้อนอย่างชัดเจน พูดอย่างน่าสงสารว่า “พี่หญิงหนิง เล่าเรื่องอะไรก็ได้ ถึงอย่างไรก็น่าจะมีอะไรที่เล่าได้บ้างแหละ”

หนิงเหยาคิดแล้วก็เอ่ยว่า “เจ้าไปถามจากเฉินผิงอันเองดีกว่า เขาวางแผนว่า จะเปิดร้านร่วมกับเจ้า เจ้าก็เอาเรื่องนี้ไปเป็นเงื่อนไข อย่าเพิ่งตอบตกลงเขา”

เตี๋ยจ้างใคร่ครวญความนัยในถ้อยคำนี้ได้อย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าหนิงเหยากำลังขุดหลุมพรางใส่ตน เตี๋ยจ้างจึงพูดยิ้มๆ ปนฉุนว่า “ข้าไม่คิดจะตกลงทำการค้าร่วมกับเขาสักหน่อย หนิงเหยา ท่านหยุดแต่พอสมควรเลยนะ”

หนิงเหยายิ้มกล่าว “ไม่ใช่ว่าข้าเห็นคนนอกดีกว่าจริงๆ แต่เป็นเพราะเฉินผิงอันพูดถูก เจ้าไม่มีไหวพริบในการทำการค้ามากพอ หากเปลี่ยนมาเป็นเขา รับรองว่า จะเป็นดั่งน้ำเส้นเล็กไหลยาว มีเงินทองไหลมาเทมาอย่างแน่นอน”

เตี๋ยจ้างขมวดคิ้ว ทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่พูด

หนิงเหยาชำเลืองตามองนางก็รู้ทันทีว่าในใจนางคิดอะไรอยู่ จึงเอ่ยอธิบายว่า “บนร่างของเฉินผิงอันมีวัตถุฟางชุ่นหนึ่งชิ้น วัตถุจื่อชื่อสองชิ้น นอกจากเหล้าทั่วไปของบ้านเกิดและแผ่นไม้ไผ่กองใหญ่แล้วก็แทบไม่ได้พกอะไรมาอีก หากแค่คิดจะขายของเล็กๆ น้อยๆ คิดจะหาเงินเทพเซียนไปจากมือของผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกเราเลียนแบบพวกพ่อค้ามากมายที่นั่งเรือข้ามทวีปมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่จริงๆ เขาเฉินผิงอันก็ไม่มีทางย่ำยีวัตถุสวรรค์ให้เสียเปล่าเช่นนี้ ป่านนี้คงยัดของมาจนเต็มแน่นแล้ว ดังนั้นการที่เฉินผิงอันอยากจะทำการค้าร่วมกับเจ้า หวังแค่เงินที่ไม่ผิดต่อมโนธรรมในใจ ก็แค่เกิดจากความเคยชินเท่านั้น เพราะเฉินผิงอันชอบหาเงินมา ตั้งแต่เด็ก ไม่ใช่แค่ชอบมีเงินอย่างเดียวเท่านั้น ข้อนี้ข้าจำเป็นต้องพูดทวงความเป็นธรรมให้เฉินผิงอัน”

เตี๋ยจ้างรู้สึกโล่งอก กลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง “แบบนี้ก็ดี ไม่อย่างนั้นข้าก็คงด่าว่าเขาถูกน้ำมันหมูบดบังหัวใจไปแล้ว และเพื่อนที่เพิ่งรู้จักกันนี้ ข้าไม่รับไว้ก็ได้”

ซิ่วไฉเฒ่าเพิ่งจากไปได้ไม่นาน

จั่วโย่วก็โยนกาเหล้าไปวางไว้บนเก้าอี้เบาๆ แล้ว

เดิมทีเขาก็ไม่ชอบดื่มเหล้า และการที่ต้องระงับปราณกระบี่ของทั้งร่างเอาไว้ ก็ยุ่งยากมากเหมือนกัน

ใต้หล้านี้คนที่รังเกียจว่าตัวเองมีปราณกระบี่มากเกินไป ก็คงมีแค่จั่วโย่วคนเดียวเท่านั้น

เฉินผิงอันยังคงจิบเหล้าคำเล็กๆ มองดูแล้วสบายอารมณ์ไม่น้อย

จั่วโย่วพูดเสียงเย็น “ไม่มีอาจารย์คอยลำเอียงเข้าข้าง แสร้งทำเป็นสุขุมเยือกเย็น ลำบากหรือไม่เล่า?”

เฉินผิงอันตัดสินใจแล้วว่าจะไม่พูดอะไร

จั่วโย่วถาม “ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าอาจารย์จะมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ เจ้าเชิญเฉินชิงตูให้ช่วยออกหน้า ย่อมไม่มีปัญหา แต่ตอนนี้อาจารย์มาแล้ว เหตุใด เจ้าถึงไม่เป็นฝ่ายเปิดปากพูด จะรับปากหรือไม่ก็เป็นเรื่องของอาจารย์ แต่จะถามหรือไม่ คือมารยาทของลูกศิษย์อย่างเจ้า”

เฉินผิงอันเองก็วางกาเหล้าไว้บนเก้าอี้ สองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ โน้มร่างไปด้านหน้า มองถนนที่กำลังซ่อมแซมพลางเอ่ยเบาๆ ว่า “ตอนนี้อาจารย์มีสภาพการณ์อย่างไร ใช่ว่าข้าจะไม่รู้เสียหน่อย จะให้ข้าเปิดปากพูดเพื่อให้อาจารย์ลำบากใจ งั้นหรือ? อาจารย์ไม่ลำบากใจ แต่มโนธรรมในใจของศิษย์จะสงบได้หรือ? ต่อให้ข้า ไม่รู้สึกผิด

การที่สร้างปัญหาให้กับตลอดทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่ กระตุกผมเส้นเดียวสะเทือนไปทั้งร่าง ชักนำให้ศึกใหญ่ของสองฝ่ายเปิดฉากขึ้นโดยตรง พออาจารย์ จากไปแล้ว จะไม่รู้สึกลำบากใจเลยจริงๆ หรือ?”

จั่วโย่วพยักหน้ารับ ถือว่ายอมรับคำตอบข้อนี้แล้ว

อาจารย์มีเรื่องให้กลัดกลุ้มมากมาย ลูกศิษย์ก็ควรจะช่วยแบ่งเบาภาระ

จั่วโย่วนึกถึงเหมาเสี่ยวตงที่เรือนกายสูงใหญ่ผู้นั้นขึ้นมาได้ ความทรงจำค่อนข้างจะพร่าเลือนแล้ว จำได้แค่ว่าเขาคือคนหนุ่มที่มาขอศึกษาซึ่งมีท่าทางจริงจังตลอดเวลา ท่ามกลางลูกศิษย์มากมายที่ได้รับการบันทึกชื่อ ถือเป็นคนกลุ่มเล็กที่ไม่ฉลาดที่สุด เล่าเรียนได้อย่างเชื่องช้า ชอบที่จะถามปัญหาข้อยากกับคนอื่นมากที่สุด หัวสมองก็ช้า ชุยฉานจึงมักจะเยาะเย้ยเหมาเสี่ยวตงว่าเป็นตอไม้ทึ่มทื่อไร้สติปัญญา เขาจึงมักจะแค่ให้คำตอบ แต่ไม่เคยอธิบายอย่างละเอียด มีเพียงเสี่ยวฉีที่มีน้ำอดน้ำทนค่อยๆ อธิบายให้เหมาเสี่ยวตงเข้าใจ

จั่วโย่วเอ่ยเนิบช้าว่า “ในอดีตเหมาเสี่ยวตงไม่ยอมไปหลบภัยที่สถานศึกษาหลี่จี้ ดึงดันจะมัดตัวเองติดกับสายเหวินเซิ่ง แล้วก็จะไปสร้างสำนักศึกษาซานหยาที่ แจกันสมบัติทวีปกับเสี่ยวฉี ตอนนั้นอันที่จริงอาจารย์พูดแรงมาก บอกว่าเหมาเสี่ยวตงไม่ควรเห็นแก่ตัวเช่นนี้ คิดแต่จะให้ตัวเองสบายใจเท่านั้น ทำไมไม่ดึงปณิธานให้สูงขึ้นไปอีก ไม่ควรมีความคิดเหมือนชาวบ้านร้านตลาด หากสามารถใช้ความรู้ที่ใหญ่ยิ่งกว่าไปสร้างประโยชน์ให้กับวิถีทางโลกได้ จะอยู่ในสายของเหวินเซิ่งหรือไม่ก็ไม่สำคัญ จากนั้นเหมาเสี่ยวตงที่ตลอดชีวิตข้าไม่คิดจะเห็นดีในตัวเขาสักเท่าไรก็เอ่ยประโยคหนึ่งที่ทำให้ข้านับถืออย่างมาก ตอนนั้นเหมาเสี่ยวตงตะเบ็งเสียงเรียกอาจารย์ดังลั่น บอกว่าศิษย์เหมาเสี่ยวตงเกิดมาโง่เขลา รู้แต่ว่าควรเคารพอาจารย์ก่อน ถึงจะสามารถเคารพวิชาความรู้ได้อย่างไม่ละอาย ลำดับของทั้งสองอย่างนี้จะให้ผิดพลาดไม่ได้ อาจารย์ได้ยินแล้วก็ทั้งดีใจและเสียใจ เพียงแต่ว่าไม่บังคับให้เหมาเสี่ยวตงเปลี่ยนไปอยู่สายหลี่เซิ่งอีก”

เฉินผิงอันหยิบกาเหล้าขึ้นมาดื่มอีกครั้ง “ข้าเคยไปเยือนสำนักศึกษาต้าสุยสองครั้ง ศิษย์พี่เหมาล้วนเป็นห่วงข้ามาก กลัวว่าข้าจะหลงเดินทางผิด เวลาที่ศิษย์พี่เหมาอธิบายเหตุผลก็มีมาดของอริยะลัทธิขงจื๊อและมาดของอาจารย์อย่างมาก”

จั่วโย่วหัวเราะ “นั่นก็เพราะเจ้าไม่เคยเห็นสภาพที่เขาถูกข้ารัดคอจนพูดไม่ออก พูดคุยกับอาจารย์ ต่อให้เหตุผลจะดีแค่ไหนก็ควรพ่นน้ำลายเต็มหน้าอาจารย์ เจ้าเห็นด้วยไหม? ศิษย์น้องเล็ก!”

เฉินผิงอันวางกาเหล้ากลับลงไปบนเก้าอี้เงียบๆ ได้แค่กล้าอืมรับหนึ่งที ยังคง ยืนกรานในความคิดที่ว่าต่อให้ตีให้ตายก็จะไม่พูดมากแม้แต่คำเดียว

จั่วโย่วลุกขึ้นยืน คว้ากาเหล้าที่อยู่บนเก้าอี้ขึ้นมา จากนั้นก็มองกล่องอาหารที่วางอยู่ข้างเท้าแวบหนึ่ง

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เอ่ยว่า “ข้าจะจ่ายเอง”

จั่วโย่วมองเฉินผิงอันอีกรอบ

เฉินผิงอันจึงได้แต่พูดต่อว่า “วันหน้าก็จะเป็นเช่นนี้”

จั่วโย่วถึงได้เตรียมจะจากไป

เฉินผิงอันพลันเอ่ยขึ้นว่า “หวังว่าจะไม่ได้ทำให้ศิษย์พี่ผิดหวัง”

จั่วโย่วเงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยเนิบช้าว่า “ก็ยังดี”

เฉินผิงอันโล่งอก ยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ดี”

จั่วโย่วลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังเอ่ยว่า “นับจากวันนี้ไป หากมีคนพูดจาระคายหูกับเจ้า บอกว่าเพียงแค่เพราะเจ้ามีชาติกำเนิดจากสายของเหวินเซิ่ง ถึงได้รับการปกป้อง จากคนนับไม่ถ้วน เจ้าก็ไม่ต้องเสียเวลาเปลืองน้ำลายกับพวกเขา แค่ส่งกระบี่บิน ไปที่หัวกำแพง ข้าจะสั่งสอนพวกเขาเองว่าเป็นคนควรทำตัวเช่นไร”

เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้

เขาปรับตัวไม่ค่อยทันจริงๆ

จั่วโย่วหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก็เอ่ยเสริมอีกว่า “สั่งสอนคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ของพวกเขาไปพร้อมกันด้วย”

เฉินผิงอันเห็นว่าจั่วโย่วเริ่มจะมีท่าทางหงุดหงิด เหมือนอยากจะสอนวิชากระบี่ ให้ตนก่อน จึงนึกถึงประโยคสหายตายข้าไม่ตายที่แพร่หลายในหมู่ผู้ฝึกตนอิสระ ขึ้นมาได้ จึงรีบพยักหน้าทันที “จำเอาไว้แล้ว”

จั่วโย่วไม่กดข่มปราณกระบี่บนร่างของตัวเองอย่างยากลำบากอีก ทะยานร่างเป็นสายรุ้งไปที่หัวกำแพงเมืองโดยตรง

ตั้งแต่นครไปถึงหัวกำแพงเมือง ทุกที่ที่ปราณกระบี่ของจั่วโย่วพุ่งไป ปณิธานกระบี่บรรพกาลที่อัดแน่นอยู่เต็มฟ้าดินต่างก็พากันเปิดทางเส้นหนึ่งที่ปรากฎแล้ววูบหายไปให้แก่เขา

พอไปถึงหัวกำแพงเมือง จั่วโย่วก็ใช้มือข้างที่ถือกาเหล้ายกชายแขนเสื้อขึ้น ด้านในนั้นคือตำราเล่มหนึ่งที่ถูกรวบรวมขึ้นเป็นเล่ม ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันมอบให้ กับอาจารย์ แต่ไม่รู้ว่าทำไมอาจารย์กลับแอบนำมามอบให้แก่ตน แม้แต่เฉินผิงอัน ลูกศิษย์คนสุดท้ายที่อาจารย์รักและเอ็นดูมากที่สุดก็ยังถูกปิดบังไปด้วย

จั่วโย่วใช้ปราณกระบี่สร้างฟ้าดินขนาดเล็กขึ้นมา จากนั้นก็ดื่มเหล้าพลางอ่านตำราไปด้วย

เขาวางหนังสือเล่มนั้นไว้บนหัวกำแพงด้านหน้าตัวเอง เมื่อจิตขยับ ปราณกระบี่ ก็จะช่วยเปิดหน้าหนังสือให้

จั่วโย่วดื่มเหล้าในกาหมดไปโดยไม่ทันรู้ตัว เขาหันหน้าไปมองม่านฟ้า จุดที่อาจารย์จากไป

นับตั้งแต่ที่อาจารย์กลายเป็นอริยะปราชญ์ที่ตกอับที่สุดของลัทธิขงจื๊อบนโลกมนุษย์ ใบหน้าของเขาก็ยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่ตลอดเวลา แต่จั่วโย่วกลับรู้ดีว่า นั่นไม่ใช่ความเบิกบานที่แท้จริง ลูกศิษย์แตกฉานซ่านเซ็น ร่อนเร่ไม่อยู่กับที่กับทาง อาจารย์จึงรู้สึกผิดอย่างมาก

มีเพียงได้พบกับศิษย์น้องเล็กที่มาดใหญ่ยิ่งกว่าฟ้า จนถึงวันนี้กว่าจะยอมรับเขาเป็นอาจารย์ ต่อให้รอยยิ้มของอาจารย์จะไม่มาก ไม่ได้เอ่ยอะไรมาก ทว่าต่อให้จากกันไปแล้ว คาดว่าเวลานี้เขาก็ยังต้องยิ้มอยู่แน่นอน

เฉินผิงอันผู้นั้นคงไม่รู้ว่า หากเขามาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วได้ยินว่า ตนอยู่บนหัวกำแพงเมือง จากนั้นก็รีบร้อนมาหาตน เรียกตนว่าศิษย์พี่ใหญ่

นั่นต่างหากถึงจะทำให้ตนผิดหวัง

เหตุใดเสี่ยวฉีถึงได้เลือกศิษย์น้องเล็กที่เป็นเช่นนี้?

หากแอบสร้างศาลบรรพจารย์ไว้ที่บ้านเกิดตัวเอง แขวนภาพเหมือนของอาจารย์เอาไว้ แล้วเป็นฝ่ายมาพูดขอความดีความชอบจากตน ตนจะยิ่งผิดหวังมากกว่าเดิม

เหตุใดอาจารย์ถึงได้เลือกลูกศิษย์คนสุดท้ายที่เป็นเช่นนี้?

หากรู้สึกว่าวิชากระบี่ของเขาจั่วโย่วไม่ต่ำ ก็เลยคิดอยากจะเรียนกระบี่

จั่วโย่วจะผิดหวังที่สุด

เหตุใดตนต้องยอมรับศิษย์น้องที่เป็นเช่นนี้?

แต่กลับไม่เป็นดังที่กล่าวมาทั้งหมด

ถ้าอย่างนั้นเขาก็คือศิษย์น้องเล็กคนที่ในใจจั่วโย่วรอคอยมาร้อยปี

ถึงขั้นดีกว่าภาพลักษณ์ของศิษย์น้องเล็กที่ตัวเองเคยจินตนาการถึงในอดีตด้วยซ้ำ

ปีนั้นจากลากันที่ร่องเจียวหลง จั่วโย่วเคยมีเรื่องอยากจะพูด แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา นั่นคือหวังว่าเฉินผิงอันจะสามารถทำเรื่องหนึ่งได้

คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะทำแล้ว อีกทั้งยังทำได้ดีมากด้วย

ท่องผ่านสามทวีป ได้เห็นภูเขาสายน้ำที่อยู่ทั่วทุกมุม

ดังนั้นเมื่อจั่วโย่วได้อ่านเนื้อหาในหนังสือแล้ว ถึงได้เข้าใจว่าเหตุใดอาจารย์ถึงได้จงใจทิ้งหนังสือเล่มนี้ไว้ให้ตน

ดังนั้นเวลานี้ จั่วโย่วถึงได้รู้สึกว่าก่อนหน้านี้ตอนอยู่หน้าประตูร้าน ประโยค ‘ก็ยังดี’ ที่ตนพูดไปอย่างกระอักกระอ่วนนั้น จะทำให้ศิษย์น้องเล็กเสียใจหรือไม่?

หากตอนนั้นอาจารย์อยู่ด้วย คงต้องได้ตีคนอีกรอบ

จั่วโย่วมองอยู่เนิ่นนาน

วิถีแห่งฟ้าดินกว้างใหญ่ ลึกล้ำ สูงใหญ่ สว่างไสว ยาวไกล เนิ่นนาน

ความกลัดกลุ้มในใจข้า เมื่อกาลเวลาผันผ่าน ล้วนจางหายไป

หลังจากที่จั่วโย่วจากไปโดยที่ไม่ได้ออกกระบี่ เฉินผิงอันก็ถอนหายใจโล่งอก หากจะบอกว่าไม่ตื่นเต้นเลยก็เท่ากับหลอกตัวเอง เขารีบเก็บเก้าอี้กลับไปไว้ในร้าน ตัวเองมานั่งอยู่บนธรณีประตู รอให้หนิงเหยากับเตี๋ยจ้างกลับมา

ตอนที่จั่วโย่วมาเยือน เขามาอย่างเงียบเชียบ ทว่าตอนจากไปกลับไม่ได้จงใจปกปิดร่องรอยของปราณกระบี่

ดังนั้นผู้ฝึกกระบี่เกินครึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็น่าจะรู้ชัดเจนถึงการที่จั่วโย่วออกมาจากหัวกำแพงในครั้งนี้

แล้วนับประสาอะไรกับที่ก่อนหน้านี้จั่วโย่วยังมานั่งอยู่หน้าประตูร้าน อย่างเปิดเผย เดิมทีนั่นก็เป็นคำพูดที่ไร้เสียงอย่างหนึ่ง

ก่อนที่ลูกศิษย์อย่างจั่วโย่วจะปรากฏตัว อันที่จริงซิ่วไฉเฒ่าได้ร่ายวิชาอภินิหาร ปิดบังฟ้าดิน มีเพียงคนในร้านเท่านั้นที่รู้

พอจั่วโย่วมาถึง ซิ่วไฉเฒ่าถึงได้ถอนเวทอาคมออก

สายของเหวินเซิ่ง แต่ไหนแต่ไรมามักจะคิดมากชอบไตร่ตรองให้มากอยู่เสมอ และการกระทำหลังจากผ่านการคิดการไตร่ตรองมาแล้วก็เด็ดขาดมาโดยตลอด เป็นเหตุให้มองดูเหมือนเป็นการกระทำที่ไร้เหตุผลที่สุด

หนิงเหยากลับมาที่ร้านพร้อมกับเตี๋ยจ้าง เฉินผิงอันลุกขึ้นยิ้มกล่าวว่า “ข้ารับรองแขกอยู่ที่นี่ รบกวนแม่นางเตี๋ยจ้างแล้ว”

เตี๋ยจ้างยิ้มถาม “สถานะของท่านผู้เฒ่า ข้าจะไม่ถาม แต่เหตุใดเซียนกระบี่ใหญ่จั่ว ถึงได้มาดื่มเหล้ากับเจ้าที่นี่ เรื่องนี้ข้าคงต้องถาม หลีกเลี่ยงไม่ให้วันหน้าอยู่ดีๆ ทรัพย์สินในร้านของตัวเองหายไป ก็ยังไม่รู้ว่าควรจะไปร้องทุกข์เอากับใคร”

เฉินผิงอันกล่าว “จั่วโย่วคือศิษย์พี่ใหญ่ของข้า ก่อนหน้านี้คนที่นั่งอยู่ตรงกลางคืออาจารย์ของพวกเราสองคน เหวินเซิ่งแห่งลัทธิขงจื๊อของใต้หล้าไพศาล”

ถึงอย่างไรอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ที่พึ่งอะไรล้วนมีความหมายไม่มาก การต่อสู้ที่ควรเกิดขึ้นก็ไม่เคยลดน้อยลง สนามรบที่ควรไปออกศึก จะอย่างไรก็ยัง ต้องไป

อีกอย่างชุยตงซานผู้เป็นลูกศิษย์ก็พูดถูกแล้ว อาจารย์และศิษย์พี่ที่อาศัยความสามารถของตัวเองช่วงชิงมา ไม่มีความจำเป็นที่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ

เตี๋ยจ้างเดินเข้าร้านไปเงียบๆ

ไม่มีอะไรให้คุยแล้ว

หนิงเหยานั่งอยู่บนธรณีประตูกับเฉินผิงอัน เอ่ยเสียงเบาว่า “โชคดีที่ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่จับตามองหัวกำแพงเมืองด้วยตัวเอง ไม่อนุญาตให้ใครใช้ข้ออ้างใดๆ ไปทางทิศใต้ ไม่อย่างนั้นศึกใหญ่ครั้งถัดไป เจ้าจะอันตรายมาก พวกเผ่าปีศาจมีอุบายกัน ไม่น้อย”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ทั้งอาจารย์และศิษย์พี่ต่างก็รู้ดีว่าควรทำอย่างไร”

หนิงเหยาพยักหน้ารับ “หลังจากนี้จะทำอะไรต่อ?”

เฉินผิงอันตอบ “มานะฝึกตน หลอมลมปราณให้เยอะ พยายามเลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิตในเร็ววัน หลอมใหญ่ชูอีสืออู่ให้เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตให้เสร็จสิ้น ขณะเดียวกัน ก็ต้องขัดเกลาขอบเขตร่างทอง หากเลื่อนสู่ขอบเขตเดินทางไกลเมื่อไหร่ ยามที่ เปิดฉากเข่นฆ่าจะมีประโยชน์มากกว่าเดิม แต่สองเรื่องนี้ล้วนยากที่จะทำให้สำเร็จได้โดยเร็ว ลำพังเพียงแค่รวบรวมวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุให้ครบก็ยากราวกับเดินขึ้นสวรรค์แล้ว วัตถุแห่งชะตาชีวิตอย่างทอง ไฟนั้น ได้แต่พานพบมิอาจเรียกร้อง หากไม่ได้จริงๆ ก็ไม่ต้องเรียกร้องให้ระดับขั้นสูงนัก ถึงอย่างไรก็ควรต้องสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมาเพื่อรับศึกใหญ่ครั้งต่อไปเสียก่อน หนิงเหยา เรื่องนี้เจ้า ไม่ต้องเกลี้ยกล่อมข้า ข้าชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียอย่างละเอียดมาก่อนแล้ว ตอนนี้ ระดับขั้นของวัตถุแห่งชะตาชีวิตทั้งสามชิ้น หากไม่พูดถึงเรื่องอื่นๆ บนเส้นทางของการฝึกตน พูดถึงแค่วัตถุแห่งชะตาชีวิต อันที่จริงก็มากพอจะประคับประคองให้ข้า เดินไปถึงเซียนดิน หรือแม้กระทั่งขอบเขตหยกดิบแล้ว เรื่องนี้จะแสวงหา ความสมบูรณ์แบบมากเกินไปไม่ได้

บนเส้นทางการฝึกตนจะเดินช้าเกินไปไม่ได้จริงๆ ไม่อย่างนั้นหากไม่อาจเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางได้เสียที ปราณวิญญาณย่อมสลายไปอย่าง เลี่ยงไม่ได้ ทว่าขอบเขตของผู้ฝึกยุทธกลับมาถึงขอบเขตเจ็ดแล้ว ยามที่โคจร ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ขึ้นมา ย่อมต้องเกิดความขัดแย้งกับปราณวิญญาณไม่มาก ก็น้อย ซึ่งจะถ่วงพลังการต่อสู้ ช่วงเวลาระหว่างนี้…”

กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็ขมวดคิ้วมุ่น ถอนหายใจ “ยังต้องเรียนกระบี่กับศิษย์พี่ด้วย”

หนิงเหยากล่าว “ก็ดีมากนี่นา เดิมทีผู้อาวุโสจั่วก็เป็นคนที่เหมาะที่สุดแล้ว ก็มีคุณสมบัติมากที่สุดที่จะสอนวิชากระบี่ให้แก่เจ้า อย่าลืมล่ะว่า ตัวของศิษย์พี่เจ้าเองก็ไม่ได้เป็นตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดอะไร”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “แต่จะให้นอนดื่มยาอยู่ในจวนหนิงทุกๆ สามวันห้าวันก็คงไม่ดีกระมัง”

หนิงเหยายิ้มกล่าว “ไม่เป็นไรหรอก ตอนนั้นที่ข้าอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูก็เรียนรู้วิธีการต้มยามาจากเจ้าแล้ว แต่ไม่เคยได้มีโอกาสนำมาใช้สักที”

เฉินผิงอันอดทนแล้วอดทนอีก แต่สุดท้ายก็ยังทนไม่ไหว “ใช่ว่าข้าจะไม่เคยเห็นฝีมือการต้มยาของเจ้าสักหน่อย เจ้ากล้าต้ม ข้าก็ไม่กล้าดื่มหรอก”

หนิงเหยาจุ๊ปากพูด “รับศิษย์พี่แล้ว คำพูดคำจาก็แข็งข้อขึ้นเยอะเลย”

เฉินผิงอันรีบพูดอย่างน่าสงสารว่า “ข้าจะดื่ม ดื่มแทนเหล้า”

เตี๋ยจ้างมองคนสองคนที่อยู่ตรงหน้าประตูแล้วก็ส่ายหน้า ไม่เห็นใจคนโสดบ้างเลย

เฉินผิงอันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็หันหน้ามายิ้มเอ่ยว่า “แม่นางเตี๋ยจ้าง ขอแค่ข้าสามารถช่วยทางร้านหาเงินได้ พวกเรามาแบ่งกำไรกันสี่ต่อหกเป็นอย่างไร?”

เตี๋ยจ้างยิ้มกล่าว “เจ้าได้น้อยเกินไปหรือเปล่า?”

เฉินผิงอันเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็คงได้แค่สามต่อเจ็ดแล้วสินะ? แม่นางเตี๋ยจ้าง เจ้าทำการค้าเสี่ยงอันตรายเกินไปหน่อยจริงๆ นะ มิน่าเล่ากิจการถึงได้…ดีขนาดนี้”

เตี๋ยจ้างโมโหจนพูดไม่ออก

หนิงเหยาทำท่ามีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ร้านขายของเบ็ดเตล็ดแห่งนี้ ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ยากจะหาเงินมาเพิ่มได้ ข้ารู้ว่าครั้งนี้ตัวเองต้องมาอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่นาน ก็เลยเอา เหล้าธรรมดาของบ้านเกิดมาด้วยมากหน่อย ไม่สู้พวกเรามาร่วมกันเปิดร้านเหล้าเล็กๆ ดีไหม แค่เอาโต๊ะเอาม้านั่งไปวางไว้นอกร้านให้มากหน่อย ไม่ต้องกลัวว่าหากลูกค้าเยอะแล้วจะไม่มีที่นั่ง ขอแค่สุราดี นั่งยองดื่มบนพื้นก็รสชาติดี”

เตี๋ยจ้างกล่าวอย่างประหลาดใจ “ตัวเจ้าเองก็บอกแล้วว่าเป็นแค่เหล้าธรรมดาในหมู่ชาวบ้าน ต่อให้ที่นี่จะมีผีขี้เหล้าเยอะ และต่อให้ร้านขายเหล้าออกไปได้ ก็ยังต้องมีช่วงเวลาที่ขายหมด อีกอย่างหากขายราคาสูง ก็ง่ายที่จะทำให้เสียชื่อ ข้าไม่หน้าหนาพอจะหลอกลวงคนอื่นหรอกนะ”

เฉินผิงอันคีบใบไผ่สีเขียวมรกตออกมาใบหนึ่ง ด้านในมีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น เป็นสีเขียวมรกตราวกับจะคั้นน้ำออกมาได้ “ใส่ลงไปในกาเหล้า ราคาก็เพิ่มขึ้น พรวดพราดเลยล่ะ แต่นี่คือเหล้าชั้นหนึ่งที่ร้านเราจะขาย ชั้นรองจะขายเป็นเหล้า ถังใหญ่ ใส่ใบไผ่ลงไปหลายใบหน่อย และข้ายังมีเจ้านี่”

เฉินผิงอันแบมือออก คือแมลงสุราตัวหนึ่งที่ยืมมาจากเว่ยป้อ พูดเรื่องการค้า จะไม่เป็นการทำร้ายความรู้สึกกันหรอกหรือ วัตถุอย่างแมลงสุรานี้ ต่อให้เป็นใน ใต้หล้าไพศาลก็ยังถือว่าเป็นของหายากที่ได้แต่พานพบมิอาจเรียกร้องได้มาครอง แล้วก็เป็นเพราะเว่ยป้อจัดงานเลี้ยงเทพท่องราตรีสามครั้ง บวกกับเคยมีการ บอกเป็นนัย

ในที่สุดถึงได้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำบางท่านยอมตัดใจสละของรัก บวกกับที่เว่ยป้อได้บอกเป็นนัยอีกครั้ง เพื่อเป็นการชดเชยที่เทพองค์นี้ไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงท่องราตรีครั้งที่สี่ เขาถึงได้ยอมตัดใจมอบแมลงสุราตัวหนึ่งให้เป็นของบรรณาการ

เฉินผิงอันเอ่ยอย่างมั่นใจว่า “ข้าเคยลองมาแล้ว ลำพังเพียงแค่แมลงสุรา ยังไม่ถือว่าเป็นการหมักที่ดีได้สักเท่าไร เทียบกับเหล้าตระกูลเซียนที่ราคาแพงหูฉี่แล้วก็ยัง ด้อยกว่ามาก แต่หากเพิ่มใบไผ่นี่เข้าไป รสชาติของเหล้าจะต่างกันราวฟ้ากับเหวเลย ดังนั้นก่อนที่ร้านของเราจะเปิดกิจการต้องพยายามรวบรวมเหล้าที่ธรรมดาที่สุด ซึ่งมีราคาถูกมาให้มากสักหน่อย ยิ่งมากก็ยิ่งดี กักตุนเอาไว้ก่อน รอให้ปริมาณมากพอสมควรแล้วค่อยเปิดร้านต้อนรับลูกค้า พวกเราซื้อเหล้ากันเอง คาดว่าคงต่อรองราคาไม่ได้มาก ซื้อมากไปยังจะทำให้คนสงสัยอีกด้วย ดังนั้นจึงสามารถแบ่งส่วนแบ่งให้พวกเยี่ยนจั๋วกับเฉินซานชิวได้อีกเล็กน้อย แค่ทำให้พอเป็นพิธีก็พอ ไม่ต้องให้ ส่วนแบ่งพวกเขามากเกินไป พวกเขามีเงิน พวกเราสองคนต่างหากถึงจะเป็นคนที่ ในกระเป๋าไม่มีเงิน”

หนิงเหยาเอนหลังพิงกรอบประตูใหญ่ มองเจ้าคนที่พอพูดคุยเรื่องการค้าแล้ว มีชีวิตชีวามากเป็นพิเศษผู้นั้น

เตี๋ยจ้างลังเลเล็กน้อย ไม่ได้ลังเลว่าควรจะขายเหล้าดีหรือไม่ เรื่องนี้นาง ไม่จำเป็นต้องกังขาแล้ว ต้องหาเงินได้แน่นอน ก็แค่จะได้มากหรือน้อยเท่านั้น อีกอย่างยังเป็นเงินที่มาจากเซียนกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่ด้วย นางเตี๋ยจ้างไม่รู้สึกไม่สบายใจ แม้แต่น้อย ดื่มเหล้าที่ไหนไม่ใช่เหล้าบ้างล่ะ เรื่องที่ทำให้เตี๋ยจ้างลังเลจริงๆ ไม่ใช่ เรื่องนี้ แต่เป็นเรื่องที่ต้องไปเกี่ยวข้องกับเจ้าอ้วนเยี่ยนกับเฉินซานชิว ตามความตั้งใจเดิมของเตี๋ยจ้าง นางยินดีได้กำไรน้อย ต้นทุนสูงมากกว่าจะให้เพื่อนมาช่วย หากไม่เป็นเพราะเฉินผิงอันที่เป็นคนเสนอว่าสามารถแบ่งส่วนแบ่งให้พวกเขา เตี๋ยจ้างย่อมต้องปฏิเสธข้อเสนอนี้อย่างแน่นอน

เฉินผิงอันเองก็ไม่รีบร้อน เก็บแมลงสุราเข้ามาในชายแขนเสื้อ เอาใบไผ่ใส่ไว้ ในวัตถุจื่อชื่อ ใบไผ่กับกิ่งไผ่กองใหญ่ เขาล้วนเอามาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วย

เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แม่นางเตี๋ยจ้าง ขอข้าพูดล่วงเกินสักคำนะ นิสัยการทำการค้าของเจ้าต้องเปลี่ยนแปลงสักหน่อยแล้วจริงๆ ในเรื่องการพูดคุยภาษาการค้านี้ หากตัวเจ้าเองรู้สึกว่านั่นเป็นการค้าขายที่ผลกำไรไม่แน่นอน ทางที่ดีที่สุดก็อย่าลากเพื่อนมาเกี่ยวข้องด้วย นี่ก็ถูกต้องแล้ว แต่การค้าที่ได้ผลกำไรไม่มีขาดทุนเช่นนี้ ยังไม่เรียกเพื่อนมาร่วมด้วย ก็คือพวกเราไม่มีคุณธรรมแล้ว แต่ก็ไม่เป็นไร หากแม่นางเตี๋ยจ้างรู้สึกว่าไม่เหมาะจริงๆ พวกเราก็เปิดร้านให้เล็กสักหน่อย ก็หนีไม่พ้นว่าต้นทุนจะค่อนข้างสูง เหล้าที่กักตุนมาไว้ก่อนหน้านี้ได้กำไรน้อย รอจนเงินก้อนใหญ่เข้ามาอยู่ในกระเป๋าจนสบายใจแล้ว พวกเราค่อยมาปรึกษาเรื่องนี้กันใหม่ ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรเลย”

เตี๋ยจ้างคล้ายมีเรื่องใหม่ให้คิดไม่ตกอีกครั้ง กังวลว่าหากตัวเองปฏิเสธความหวังดีของอีกฝ่ายไป ในใจเฉินผิงอันจะเกิดยอกแสลง

เฉินผิงอันยิ้มถาม “ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าคุยกันรู้เรื่องแล้ว ส่วนแบ่งสามต่อเจ็ด?”

เตี๋ยจ้างยิ้มกล่าว “ห้าต่อห้า ทั้งเหล้าและร้าน จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้”

เฉินผิงอันกลับเอ่ยว่า “ข้าแบกโต๊ะแบกม้านั่งไปวางไว้บนที่ว่างบนถนนง่ายๆ ก็ถือว่าเป็นร้านเหล้าแล้วไม่ใช่หรือ?”

เตี๋ยจ้างเอ่ย “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าหนิงเหยาจะยอมเสียหน้าเรื่องนี้ ต่อให้หนิงเหยาไม่ถือสา เจ้าเฉินผิงอันจะตัดใจทำได้ลงจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันรู้สึกพูดไม่ออก

หนิงเหยากำลังจะเปิดปาก

เตี๋ยจ้างกลับรีบพูดขึ้นว่า “หนิงเหยา! พวกเราเป็นเพื่อนกันมานานหลายปีแล้ว มีผู้ชายแล้วห้ามลืมเพื่อนเด็ดขาดเชียว!”

เดิมทีหนิงเหยาอยากบอกว่า ขนาดจะให้ข้าช่วยร้องเรียกลูกค้า ข้าก็ยังไม่คิดมาก แล้วยังจะถือสาเรื่องนี้ด้วยหรือ?

เพียงแต่ว่าเตี๋ยจ้างพูดขนาดนี้แล้ว หนิงเหยาเลยตัดใจพูดไม่ลง

ดังนั้นสุดท้ายแล้วจึงหั่นราคาเหลือที่สี่ต่อหก

เหตุผลก็เพราะเฉินผิงอันบอกว่าตัวเองชนะสี่ครั้งติด เป็นเหตุให้ถนนใหญ่เส้นนี้ มีชื่อเสียงเลื่องลือไกล เขามาขายเหล้า นั่นก็คือป้ายอักษรทองที่สามารถเรียกลูกค้า ได้โดยไม่ต้องเสียเงินสักแดงเดียว

เตี๋ยจ้างนับถือวิธีการและความหน้าหนาในการหาเงินของเจ้าหมอนี่จริงๆ

แต่สุดท้ายเตี๋ยจ้างก็ยังถามว่า “เฉินผิงอัน เจ้าไม่ถือสาจริงๆ หรือว่า ตัวเองมาขายเหล้าหาเงินเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้แล้วจะทำให้ผู้อาวุโสในจวนหนิง จวนเหยา ขายหน้าหรือไม่?”

เฉินผิงอันย้อนถามด้วยรอยยิ้ม “แม่นางเตี๋ยจ้าง ลืมชาติกำเนิดของข้าไปแล้วหรือ? ไม่ได้ขโมย ไม่ได้แย่งชิงใครมา ไม่ได้ไปหลอกลวงใคร เงินเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งที่หามาได้ก็ล้วนถือเป็นความสามารถทั้งสิ้น”

หนิงเหยากลั้นยิ้ม

คาดว่าหากเปิดร้านมาแล้วไม่มีช่องทางการขาย ไม่มีใครที่ยินดีมาซื้อเหล้า เจ้าคนที่ในดวงตามีแต่เงินผู้นี้ ก็คงจะเอาไปขายได้ถึงผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่โน่นแหละ

เตี๋ยจ้างเงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้ารู้สึกว่าร้านเหล้าของพวกเราหลอกลวงคนอื่นมากเลย”

เฉินผิงอันโบกมือ พูดอย่างไม่ละอายว่า “ราคาเขียนไว้ชัดเจน อยากซื้อก็ซื้อ ถึงเวลานั้นไม่ต้องกลุ้มเรื่องช่องทางการขาย อยากจะขายหรือไม่ก็ต้องดูที่อารมณ์ของพวกเราสองคนแล้ว!”

เตี๋ยจ้างถึงพอจะสบายใจได้บ้าง

หาเงินมาซื้อบ้าน เป็นความปรารถนาของเตี๋ยจ้างมาโดยตลอด เพียงแต่ตัวเตี๋ยจ้างเองก็รู้ดีว่า จะหาเงินอย่างไร ตนไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญจริงๆ

เดิมทีเตี๋ยจ้างนึกว่าคุยกันเสร็จแล้ว และเฉินผิงอันก็จะกลับไปที่จวนหนิงพร้อมกับหนิงเหยา คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะไปยืนอยู่ที่โต๊ะคิดเงิน หยิบเอาลูกคิดออกมา เตี๋ยจ้างพูดอย่างสงสัยว่า “ก็แค่ไปซื้อเหล้ามาตุนไม่ใช่หรือ? เรื่องง่ายจะตายไป ข้ายังพอจะทำได้”

เฉินผิงอันมีสีหน้าอึ้งตะลึง คราวนี้เขาไม่ได้เสแสร้ง ยิ้มพูดอย่างฉุนๆ ปนขันว่า “ใต้หล้านี้มีการค้าที่ทำกันได้ง่ายขนาดนี้เลยหรือ?! แม่นางเตี๋ยจ้าง ข้าเริ่มเสียใจแล้วที่มาทำการค้ากับเจ้า! เจ้าคิดดูนะ จะซื้อเหล้ามาจากใคร ถึงอย่างไรก็ต้องเลือก ร้านเหล้าที่กิจการซบเซาใช่ไหมล่ะ? ถึงเวลานั้นจะหั่นราคาอย่างไร พวกเราซื้อเยอะแล้วจะลดให้เท่าไร เจอคนพูดภาษาคน เจอผีพูดภาษาผี เรื่องพวกนี้ไม่ควรต้องคิด ไว้ก่อนหรอกหรือ? ควรจะกำหนดสัญญาตายตัวอย่างไร หลีกเลี่ยงไม่ให้เห็นว่า กิจการของพวกเราดีแล้ว อีกฝ่ายเปลี่ยนใจไม่ขายเหล้าให้ ต่อให้ไม่ขาย แล้วจะชดใช้ให้ร้านของพวกเราตามสัญญาอย่างไร มีเรื่องจุกจิกมากมายจะตายไป ข้าคาดว่า เจ้าคนเดียวคงคุยไม่รู้เรื่อง ช่วยไม่ได้ เดี๋ยวข้าจะสวมหน้ากาก เจ้าก็คอยดูอยู่ด้านข้างแล้วกัน ข้าจะแสดงให้เจ้าดูก่อนรอบหนึ่ง อีกอย่างเรื่องพวกนี้ยังเป็นงานง่ายๆ ที่แค่ต้องไปซื้อเหล้าจากคนอื่น มาพูดถึงเรื่องการเปิดร้าน เราต้องเชิญพวกนักดื่ม ที่มองดูเหมือนผ่านทางมามาช่วยเพิ่มชื่อเสียงให้ร้าน เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตอะไร ก็ยังต้องหามาสักสามคนห้าคน ในทางส่วนตัวก็สัญญากับพวกเขาว่าจะยกเหล้า ใบไผ่ชั้นดีที่มีค่าดุจทองพันชั่งให้เขากี่กา ให้เซียนกระบี่คนใดเป็นผู้รับผิดชอบทำหน้าที่ตะโกนในร้านว่าจะเหมาเหล้าของทั้งร้านด้วย แบบนี้ถึงจะค่อนข้างเหมาะสม

ไม่ทิ้งร่องรอยให้จับได้ ไม่เหมือนว่าเป็นหน้าม้าที่จ้างมา เรื่องพวกนี้ต้องคิดให้รอบคอบนะ อีกอย่างหลังจากหาเงินมาได้แล้วจะคิดบัญชีกับเพื่อนที่เป็นผีขี้เหล้า อย่างพวกเจ้าอ้วนเยี่ยนกับเฉินซานชิวให้ชัดเจนอย่างไร พวกเราทำการค้าที่มีทุนน้อย จะมาลงบัญชีเชื่อไว้ไม่ได้เด็ดขาด เรื่องนี้ก็ต้องวางแผนไว้แต่เนิ่นๆ ไม่ใช่หรือ…”

เตี๋ยจ้างไม่เหลือท่าทางเปี่ยมอำนาจอะไรอีกเลย ยิ่งนานก็ยิ่งเหมือนวัวสันหลังหวะ ฟังเฉินผิงอันที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะคิดเงินพูดจ้อไม่หยุด เตี๋ยจ้างก็เริ่มรู้สึกแล้วว่า ตนไม่เหมาะจะทำการค้าจริงๆ หรือเปล่า

เหตุใดจู่ๆ นางถึงได้รู้สึกว่านี่ยากยิ่งกว่าฝึกกระบี่อีกนะ?

หนิงเหยายืนอยู่ข้างโต๊ะคิดเงิน ใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆ แทะเมล็ดแตงไปด้วย

ดังนั้นถึงท้ายที่สุด เตี๋ยจ้างก็เอ่ยอย่างขลาดๆ ว่า “เฉินผิงอัน พวกเราแบ่งกัน สามต่อเจ็ดดีกว่า เจ้าเจ็ดข้าสามก็พอ”

เฉินผิงอันกำลังจะพยักหน้าตอบตกลง

ผลกลับถูกข้อศอกจากหนิงเหยาถองทันที เฉินผิงอันจึงรีบยิ้มกล่าวว่า “ไม่ต้องๆ ห้าต่อห้านั่นแหละ ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ทำการค้าต้องมีความจริงใจกันบ้าง”

เฉินผิงอันเบี่ยงตัวหันข้าง ส่งสายตาให้เตี๋ยจ้าง ข้ามีความจริงใจ แม่นางเตี๋ยจ้างเจ้าเองก็น่าจะมีความจริงใจหน่อยไหม ไม่สู้ต่างคนต่างถอยคนละก้าว แบ่งกันสี่ต่อหกส่วน

เตี๋ยจ้างพยักหน้ารับ จากนั้นก็พูดกับหนิงเหยาด้วยสีหน้าไร้เดียงสาว่า “หนิงเหยา เฉินผิงอันแอบยักคิ้วหลิ่วตาให้ข้า ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร”

เฉินผิงอันโดนถองอีกรอบ เขาแยกเขี้ยวหันไปยกนิ้วโป้งให้เตี๋ยจ้าง “แม่นางเตี๋ยจ้าง ทำการค้า นับว่ามีไหวพริบเฉียบไว”

แล้วก็พูดคุยเรื่องรายละเอียดกันอีกหลายเรื่อง

เตี๋ยจ้างจดจำไว้ทีละเรื่อง

เฉินผิงอันและหนิงเหยาออกมาจากร้านขายของเบ็ดเตล็ดเล็กๆ นั่น เดินอยู่บนขอบของถนนใหญ่ เฉินผิงอันที่เดินผ่านร้านเหล้าเหลาสุราพวกนั้นก็ยิ้มกล่าวว่า “วันหน้าล้วนจะกลายเป็นศัตรูร่วมอาชีพแล้ว”

หนิงเหยาเอ่ยเบาๆ “ขอบคุณนะ”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เป็นเรื่องที่ข้าสมควรทำอยู่แล้ว”

หนิงเหยาลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “เตี๋ยจ้างชอบวิญญูชนของสถานศึกษาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางคนหนึ่ง เจ้าช่วยคลายปมในใจให้นางหน่อยได้ไหม?”

เฉินผิงอันยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “เรื่องบางอย่างสามารถช่วยได้ แต่เรื่องแบบนี้ ทำไม่ได้จริงๆ”

หนิงเหยาเอาสองมือไพล่หลัง ก่อนจะเอ่ยชื่นชมอย่างเนิบช้าว่า “เจ้าเข้าใจเรื่องความรักระหว่างชายหญิงดีไม่ใช่หรือ?”

เฉินผิงอันพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดว่า “ฟ้าดินเป็นพยาน ข้าจะเข้าใจกับผายลมอะไร!”

เรือนหลังเล็กที่ซ่อนอยู่ในตรอกเก่าโทรมของเตี๋ยจ้าง มีถังเหล้าใบใหญ่จำนวนมาก เก็บตุนเอาไว้จนเต็ม เงินทุนของนางไม่พอ อันที่จริงเฉินผิงอันยังมีเงินส่วนตัวอยู่อีก สิบเหรียญเงินฝนธัญพืช แต่เขาก็ไม่อาจควักเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งออกมาซื้อของอย่างโง่งมเช่นนี้ได้ เพราะง่ายที่จะถูกคนโก่งราคาให้สูงลิบลิ่ว เขาจึงขอเงินเกล็ดหิมะที่เป็นเงินเศษส่วนหนึ่งมาจากหนิงเหยา ร้านเหล้าที่สามารถซื้อเหล้าราคาถูกได้ เฉินผิงอันกับเตี๋ยจ้างล้วนไปเยือนมาแล้วจนทั่ว ปริมาณการขายเหล้าบนถนนของ นครกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ไม่ได้ดีมากนัก นี่ก็คือความประหลาดอย่างหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่ที่ซื้อเหล้าดื่มได้ มักจะไม่ยินดีดื่มเหล้าพวกนี้

เว้นเสียจากพวกผู้ฝึกกระบี่ผีขี้เหล้าที่ติดหนี้มากมายและยังใช้หนี้ค่าเหล้าได้ ไม่หมดที่ถึงจะกลั้นใจดื่มพวกมัน ส่วนเหล้าหมักตระกูลเซียนของแท้แน่นอนที่ขายอยู่ในเหลาสุราน้อยใหญ่ ราคาก็ราวกับกระบี่บินเลยจริงๆ มักจะสูงกว่าที่ภูเขาห้อยหัว ซึ่งอยู่ห่างเพียงหนึ่งประตูกั้นเสมอ ขนาดเซียนกระบี่ก็ยังรู้สึกเสียดาย และตอนนี้ ทางภูเขาห้อยหัวก็มีการห้ามเข้าออกกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างเข้มงวด ชีวิตของพวกเขาจึงยิ่งยากลำบากมากกว่าเดิม

เฉินผิงอันค้อมตัวไปเปิดเหล้าถังหนึ่งออก แมลงสุราตัวนั้นถูกแช่อยู่ด้านใน มันแหวกว่ายอย่างสบายอุราราวกับปลาตัวน้อย ท่าทางเมามาย ดูแล้วมีความสุข อย่างมาก

เหล้าทุกถังล้วนต้องแช่แมลงสุราไว้สามวันถึงจะถือว่าเป็นเหล้าหมัก ด้านในใส่กิ่งไผ่หนึ่งกิ่งและใบไผ่ไว้หลายใบ ไม่ได้ตั้งชื่อว่าใบไผ่เขียวอย่างที่เตี๋ยจ้างเสนอมาตอนแรก หรือเหล้ากิ่งไผ่ที่หนิงเหยาเป็นคนเสนอ แต่เฉินผิงอันตั้งชื่อให้เองเป็นข้อสรุปว่า เหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ (ทะเลไผ่) อีกชื่อหนึ่งคือเหล้าภูเขาชิงเสิน

ต่อให้เป็นเตี๋ยจ้างที่เคยชินกับการหาเงินสุจริตไม่ผิดต่อมโนธรรมในใจก็ยัง ตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง

ตอนนั้นเฉินผิงอันพูดด้วยน้ำเสียงหวังดีบอกว่า กิ่งไผ่และใบไผ่ของตนเหล่านี้ มาจากถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ ส่วนเรื่องที่ว่าจะมาจากภูเขาชิงเสินหรือไม่ วันหน้าหากมีโอกาสข้าจะลองถามดู หากไม่ใช่ ถ้าอย่างนั้นวันหน้าที่เอาเหล้าออกขายก็ไม่ต้องพูดถึง ‘อีกชื่อ’ ก็แล้วกัน

นอกจากจะเตรียมเปิดร้านเหล้าขายเหล้าหาเงินแล้ว

ทุกวันเฉินผิงอันที่อยู่ในจวนหนิงยังจะต้องฝึกลมปราณหกชั่วยามอย่างไม่มีขาด บางครั้งก็ยาวไปถึงเจ็ดแปดชั่วยาม

หนิงเหยายกศาลาหน้าผาสังหารมังกรให้เขา ส่วนใหญ่แล้วนางจะไปฝึกกระบี่อยู่ที่ลานฝึกยุทธที่เป็นฟ้าดินขนาดเล็กเมล็ดงามากกว่า

ยามที่เฉินผิงอันหยุดพักก็จะเอาเจี้ยนเซียนไปนั่งยองอยู่ที่ตีนเขาลูกเล็ก ลับคมกระบี่อย่างตั้งใจ

บางครั้งพวกเจ้าอ้วนเยี่ยน ต่งถ่านดำก็จะมานั่งเล่นที่นี่ เจ้าอ้วนเยี่ยนคว้าโอกาสนี้ขอให้เฉินผิงอันช่วยดูวิชาหมัดบ้าคลั่งชุดนั้นของเขา แล้วสอบถามว่าตนคือ ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธที่ถูกการฝึกกระบี่ถ่วงรั้งเอาไว้หรือไม่ แน่นอนว่า เฉินผิงอันต้องพยักหน้ารับบอกว่าใช่ เหตุผลที่พูดออกมาในแต่ละครั้งยังไม่เคย ซ้ำรูปแบบกัน ขนาดเฉินซานชิวยังรู้สึกว่าชวนให้คนรับไม่ไหวยิ่งกว่าวิชาหมัดของ เจ้าอ้วนเยี่ยนเสียอีก มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ต่งถ่านดำทนไม่ไหวจริงๆ มองเจ้าอ้วนเยี่ยนที่แสดงท่าหมัดชวนให้คนสะอิดสะเอียนบนลานประลองยุทธแล้วก็ถามเฉินผิงอันว่า เจ้าพูดจริงหรือ หรือว่าเยี่ยนจั๋วคือผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธจริงๆ ? เฉินผิงอันยิ้มกล่าวว่าแน่นอนว่าไม่ใช่ ต่งถ่านดำถึงได้พอจะสบายใจขึ้นหน่อย เฉินซานชิว ได้ยินแล้วก็ถอนหายใจยาวเหยียด กุมขมับ ทิ้งตัวนอนหงายหลังอยู่บนม้านั่งตัวยาว

ช่วงเวลาระหว่างนี้จะต้องมีแม่นางน้อยที่เอาขนมใส่ชายแขนเสื้อไว้จนเต็มมาโหวกเหวกว่าจะกราบอาจารย์เรียนวิชาที่หน้าประตูจวนหนิงแทบทุกวัน

มีครั้งหนึ่งถูกหนิงเหยาลากเข้ามาในจวนแล้วซ้อมไปรอบหนึ่ง นางก็หยุดไปวันหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะผ่านไปวันเดียว แม่นางน้อยก็กลับมาอีก เพียงแต่ว่าครั้งนี้ฉลาดแล้ว ตะโกนเสร็จก็เผ่นหนีไป วันหนึ่งวิ่งกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ ถึงอย่างไรนางก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องทำอยู่แล้ว จากนั้นก็ถูกหนิงเหยามาดักรอ ดึงหูนางลากเข้ามาในจวนอีกครั้ง ให้แม่นางน้อยได้ชมเจ้าอ้วนเยี่ยนที่กำลังแสดงวิชาหมัดอยู่บนลาน ประลองยุทธ แล้วบอกว่านี่ก็คือวิชาหมัดที่เฉินผิงอันถ่ายทอดให้ ยังจะเรียนอยู่ไหม?

แม่นางน้อยน้ำตาคลอเบ้า ริมฝีปากสั่นระริก บอกว่าต่อให้เป็นอย่างนี้ก็ยัง ต้องเรียนหมัดอยู่ดีนะ

แม่นางน้อยเช็ดน้ำตาเงียบๆ สะอึกสะอื้นพูดว่าที่แท้นี่ก็คือเหตุผลที่ท่านแม่บอก คนที่ทนความลำบากได้ถึงจะเป็นคนเหนือคน

หนิงเหยาจนปัญญา จึงบอกให้เฉินผิงอันจัดการเอง ตอนนั้นเฉินผิงอันกำลังปรึกษาเรื่องใหญ่อันดับหนึ่งอยู่กับป๋ายหมัวมัวและท่านปู่น่าหลัน หนิงเหยาเองก็ไม่ได้บอกว่ามีเรื่องอะไร เฉินผิงอันที่มึนงงจึงได้แต่เดินตามนางไปที่ลานฝึกยุทธ ผลคือ ไปถึงก็เห็นแม่นางน้อยที่พอเห็นหน้าเขาก็คุกเข่าโขกหัวคำนับทันที

ไม่ใช่คนแปลกหน้า เพราะการต่อสู้ทั้งสี่ครั้งบนถนนใหญ่ แม่นางน้อยเป็นคนที่ ส่งเสียงดังที่สุดคนหนึ่ง เขาไม่อยากจะสังเกตเห็นก็ยังยาก

เฉินผิงอันไม่สะดวกจะไปประคองแม่นางน้อยให้ลุกขึ้น จึงรีบขยับเท้าเบี่ยงตัวหลบ กล่าวอย่างจนใจว่า “อย่าเพิ่งโขกหัว เจ้าชื่ออะไร?”

แม่นางน้อยรีบลุกขึ้น พูดเสียงดังว่า “กวอจู๋จิ่ว!”

เฉินผิงอันพยักหน้า ยกมือซ้ายขึ้น ทำท่านับนิ้วคำนวณ แล้วก็ทอดถอนใจเอ่ยว่า “ไม่บังเอิญเลย ชื่อไม่สอดคล้อง ตอนนี้ยังไม่อาจรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ได้ วันหน้าไว้ค่อยว่ากัน”

กวอจู๋จิ่วพูดด้วยสีหน้าจริงใจ “อาจารย์ ถ้าอย่างนั้นข้าจะกลับไปบอกให้พ่อแม่ข้าเปลี่ยนชื่อให้? ข้าเองก็รู้สึกว่าชื่อนี้ไม่ค่อยน่าฟังเท่าไร ทนมานานหลายปีแล้วเหมือนกัน”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ได้ ข้ารับศิษย์ต้องดูที่บุพเพวาสนา ครั้งแรกต้องดูที่ ชื่อก่อน หากไม่ได้ก็ต้องให้ผ่านไปอีกสามปี ครั้งที่สองดูที่ชื่อและเวลา ถึงตอนนั้น เจ้าก็ยังมีโอกาส”

กวอจู๋จิ่วขุ่นเคืองอย่างยิ่ง นางกระทืบเท้าหนักๆ แล้วก็วิ่งจากไป โวยวายว่าจะไปเปิดปฏิทินเหลืองเลือกวันเวลาฤกษ์งามยามดีให้กับตัวเองในอีกสามปีให้หลัง

เยี่ยนจั๋วและเฉินซานชิวยืนอึ้งอยู่ด้านข้าง อีกนิดเดียวตาของพวกเขาก็จะถลนออกมานอกเบ้าแล้ว

เจ้าตัวประหลาดน้อยกวอจู๋จิ่วผู้นี้ นับแต่เด็กมาก็สมองไม่ค่อยสมประดี จะบอกว่าโง่ แน่นอนว่าไม่ใช่ เป็นตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดที่ดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุด ถูกตระกูลกวอขนานนามให้เป็นเสาหลักในอนาคต จะบอกว่าฉลาด ก็ยิ่งไม่ได้ แม่นางน้อยสร้างเรื่องตลกไว้มากมายนัก เรียกได้ว่าเป็นความร่าเริงแจ่มใสของถนนแถบที่อยู่ของพวก เฉินซานชิวอยู่อาศัย ตอนเด็กนางจะชอบเอาผ้าห่มมาห่มไว้บนร่างแล้ววิ่งเที่ยวไป เรื่อยเปื่อยเป็นที่สุด เดินเข้าบ้านโน้นออกบ้านนี้ ไม่เคยเดินผ่านประตูใหญ่ แต่จะไปเดินเตร็ดเตร่อยู่ตามหัวกำแพงและหลังคาบ้าน หากไม่เป็นเพราะถูกต่งปู้เต๋อตีบ่อยเข้า กว่าจะรู้จักจำได้ไม่ได้ใช่เรื่องง่าย คาดว่าป่านนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนี้ และยังมีข่าวลือ บอกว่า อันที่จริงใต้เท้าอิ่นกวานเลือกคนสองคน นอกจากผังหยวนจี้แล้วก็คือกวอจู๋จิ่ว

เห็นได้ชัดว่าเฉินผิงอันเองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน “แบบนี้ก็ได้หรือ?”

เฉินซานชิวยิ้มเฝื่อน “ได้หรือไม่ได้ คาดว่ายังต้องดูว่าพรุ่งนี้กวอจู๋จิ่วจะยังมาอีกหรือไม่”

เฉินผิงอันมองหนิงเหยา

หนิงเหยาเอ่ย “บอกได้ยาก”

เฉินผิงอันเองก็ไม่คิดอะไรมาก ไปคุยธุระสำคัญกับผู้อาวุโสทั้งสองท่านต่ออีกครั้ง

เกี่ยวกับเรื่องที่ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่จะไปเป็นพ่อสื่อสู่ขอด้วยตัวเองที่ตระกูลเหยา แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่มีทางไปเร่งรัดเขา

ในห้องของเฉินผิงอัน ป๋ายหมัวมัวยิ้มถาม “มีเรื่องอะไรหรือ?”

เฉินผิงอันจึงยิ้มตอบ “ก็แม่นางน้อยกวอจู๋จิ่วนั่นแหละ อยากจะกราบอาจารย์ ขอเรียนวิชา ถูกข้าแต่งเรื่องหลอกกลับไปแล้ว”

น่าหลันเย่สิงเอ่ยสัพยอก “มีลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อเพิ่มมาอีกคนเปล่าๆ อันที่จริงก็ไม่เลวนะ”

เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มเฝื่อน “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ จะทำเป็นเล่นไม่ได้”

ป๋ายหมัวมัวเอ่ย “ตระกูลกวอกับจวนหนิงของพวกเราสนิทกันมาหลายรุ่น ไม่เคยตัดขาดความสัมพันธ์กันมาก่อน”

เฉินผิงอันอึ้งตะลึง สายตาที่มองป๋ายหมัวมัวแฝงไว้ด้วยแววสอบถาม

ป๋ายหมัวมัวพยักหน้ารับ “ถือว่าเป็นตระกูลเดียวที่เหลืออยู่แล้ว หลังจาก นายท่านจากไป คนทั้งตระกูลกวอก็พากันมาเซ่นไหว้ที่จวนหนิง ภายหลังเรื่องของหน้าผาสังหารมังกร เจ้าประมุขตระกูลกวอยังเคยโต้เถียงกับเซียนกระบี่ตระกูลฉี ต่อหน้า ไม่อย่างนั้นหากเปลี่ยนเป็นแม่นางน้อยคนอื่นที่มาก่อเรื่องวุ่นวายอย่างนี้ คุณหนูของเราก็ไม่มีทางลากเข้าจวนมาถึงสองครั้ง แต่เรื่องรับเป็นศิษย์จะคิด เป็นจริงเป็นจังไม่ได้จริงๆ”

เฉินผิงอันเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “ถ้าอย่างนั้นเรื่องของกวอจู๋จิ่วนี้ ข้าจะต้องตั้งใจใคร่ครวญดูสักหน่อย”

น่าหลันเย่สิงยิ้มกล่าว “เรื่องพวกนี้ไม่ต้องรีบร้อน พวกเรามาคุยกันเรื่องวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สี่ของคุณชายเฉินดีกว่า เมื่อสะพานแห่งความเป็นอมตะถูกสร้าง คุณชายเฉินถึงจะเข้าใจอย่างแท้จริงว่าอะไรคือคำว่าฝึกตน หลังจากนั้นมา ถึงจะเป็นเรื่องที่ว่า ไม่ใช่ตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดก็ยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ได้อย่างถูไถ อย่าได้ดูแคลนคำว่า ‘ถูไถ’ นี้ ตัวเป็นผู้ฝึกลมปราณ แต่จะใช่ผู้ฝึกกระบี่หรือไม่ นั่นต่างหาก ถึงจะต่างกันราวฟ้ากับเหวมากที่สุด สาเหตุในเรื่องนี้ คุณชายเฉินสามารถถามเอาจากผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่เป็นการส่วนตัวได้”

ยามเช้าตรู่ของวันนี้ กำแพงเมืองปราณกระบี่มีร้านเหล้าที่ดูขัดสนร้านหนึ่งมาเปิดใหม่ เถ้าแก่ร้านคือผู้ฝึกตนกระบี่หญิงแขนเดียวที่อายุยังน้อย เตี๋ยจ้าง

ข้างกายยังมีคนหนุ่มชุดเขียวยืนอยู่ด้วย หลังจากจุดประทัดที่ดังหนวกหู อย่างถึงที่สุดด้วยตัวเองไปแล้ว เขาก็ยิ้มกว้าง กุมหมัดคารวะสี่ด้านแปดทิศ

หากไม่เป็นเพราะเตี๋ยจ้างคือเถ้าแก่ร้านเหล้าในนาม ไม่มีทางให้ถอยหลังกลับ ทุ่มเงินทุนทั้งหมดที่มีไปแล้ว อันที่จริงนางก็อยากเข้าไปอยู่ในร้านมาก ถือเสียว่า ร้านเหล้าแห่งนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนางแม้แต่น้อย

ด้านหน้าคนทั้งสองจัดเรียงโต๊ะไว้จนเต็ม

หนิงเหยาและพวกเยี่ยนจั๋วไปหลบอยู่ในร้านที่วางไหเหล้าและกาเหล้าน้อยใหญ่ไว้จนเต็ม ต่อให้เป็นคนหน้าหนาอย่างเจ้าอ้วนเยี่ยน อย่างต่งถ่านดำที่ไม่เคยรู้ว่าคำว่าหนังหน้าคืออะไร เวลานี้แต่ละคนก็ยังไม่มีหน้าจะเดินออกไปจริงๆ

บนถนนใหญ่ ผิวถนนเพิ่งจะถูกซ่อมแซมให้กลับมาราบเรียบใหม่ เหล่าเถ้าแก่ และลูกจ้างร้านของร้านเหล้าเหลาสุราน้อยใหญ่พากันมายืนหน้าประตูร้านตัวเอง สบถด่าเสียงดังขรม

เพราะนอกประตูร้านที่ทรุดโทรมแห่งนั้นดันแขวนกลอนคู่ที่ว่ากันว่า ผู้ฝึกยุทธหนุ่มคนนั้นจรดพู่กันเขียนด้วยตัวเอง

เซียนกระบี่ กระบี่สามฉื่อ กวาดมองรอบด้านล้วนว่างเปล่า ศัตรูอยู่ที่ใด วีรบุรุษช่างเปลี่ยวเหงา

ในถ้วยเหล้าสองตำลึง มาร่วมกำจัดความทุกข์นานหมื่นปีนี้ไปด้วยกัน เมื่อเมามาย ก็คือการพักผ่อน เงินนับเป็นอะไรได้

เจ้าตัวดี เจ้าเฉินผิงอันผู้ฝึกยุทธเต็มตัวตัวดี ขอร้องคนต่างถิ่นอย่างเจ้าอย่าได้ หน้าหนาขนาดนี้จะได้ไหม!

นี่ยังไม่นับเป็นอะไร ได้ยินมาว่าในร้านเล็กๆ นั่นยังขายเหล้าที่เกี่ยวข้องกับ ภูเขาชิงเสิน ถ้ำสวรรค์จู๋ไห่อะไรด้วย!

เงินนับเป็นอะไร?

หากไม่นับเป็นอะไรได้จริงๆ มารดาเจ้าจะมาเปิดร้านหาเงินทำไมกัน

สองฝั่งของถนนใหญ่ เสียงผิวปากดังระงม

ถึงอย่างไรเตี๋ยจ้างก็ยังหน้าบาง บนหน้าผากจึงเริ่มมีเหงื่อผุดซึม สีหน้าขึงตึง พยายามไม่ให้ตัวเองเผยความขลาดกลัวออกมา เพียงแต่อดไม่ไหวเอ่ยถามเบาๆ ว่า “เฉินผิงอัน พวกเราจะขายเหล้าออกไปได้สักครึ่งกาจริงๆ ไหม?”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ ตอบว่า “ต่อให้ไม่มีใครมาเป็นหน้าม้าช่วยสนับสนุนจริงๆ ทำตามแผนกำหนดการที่ข้าวางไว้ก็ยังไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องกังวลอยู่ดี ยิ่งไม่ต้อง กลัดกลุ้มเรื่องการหาเงิน ก่อนจะเป็นเช่นนั้น หากมีคนมาซื้อเหล้า แน่นอนว่า ย่อมดีกว่า เช้าตรู่แบบนี้มีลูกค้าน้อยก็เป็นเรื่องปกติมาก”

หนึ่งก้านธูปต่อมาก็ยังไม่มีแขกเข้าร้าน เตี๋ยจ้างยิ่งเป็นกังวลมากกว่าเดิม

เฉินผิงอันตะเบ็งเสียงดังลั่น “เหล้ากาแรกหลังเปิดร้าน ลดห้าส่วน! มีแค่กาเดียวนี้เท่านั้น ใครมาก่อนก็ได้ก่อน”

แล้วก็มีคนคนหนึ่งมาจริงๆ

เตี๋ยจ้างกล่าวอย่างกังขา “เขาก็คือคนที่เจ้าเชิญมาหรือ?”

เฉินผิงอันเองก็ประหลาดใจมากเหมือนกัน จึงส่ายหน้าตอบ “แน่นอนว่าไม่ใช่”

ผู้ที่มาคือ ผังหยวนจี้

เขานั่งลงบนม้านั่งยาวตัวหนึ่ง ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ขอเหล้ากาที่ถูกที่สุด จำไว้ว่า อย่าลืมลดห้าส่วนล่ะ”

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองเตี๋ยจ้างที่ยืนอึ้งค้าง พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “มัวยืนอึ้งอยู่ทำไม เถ้าแก่ใหญ่ยกเหล้ามาวางบนโต๊ะด้วยตัวเองเลยสิ”

เตี๋ยจ้างรีบไปหยิบ ‘เหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่’ หนึ่งไหกับชามขาวใบใหญ่หนึ่งใบมา วางไว้บนโต๊ะด้านหน้าผังหยวนจี้ ช่วยเปิดผนึกดินบนไหเหล้าที่เพิ่งปิดไปได้ ไม่กี่วันออก รินเหล้าชามหนึ่งให้ผังหยวนจี้ด้วยตัวเอง เพราะมโนธรรมในใจ ยากที่จะสงบ นางจึงเค้นรอยยิ้มพูดเสียงเบาราวกับยุง “ลูกค้าเชิญดื่มให้อร่อย”

จากนั้นเฉินผิงอันก็หยิบชามเหล้ามาให้ตัวเองหนึ่งชาม นั่งลงข้างกายผังหยวนจี้แล้วหยิบไหเหล้ารินเหล้าให้ตัวเองอย่างไม่สนใจใคร ยิ้มเอ่ยว่า “พี่หยวนจี้ ขอบคุณ ที่มาร่วมสนับสนุน ข้าต้องดื่มคารวะเจ้าหนึ่งชาม ลำพังเพียงแค่ความใจกว้างของ คนใหญ่คนโตของพี่หยวนจี้นี้ ตำแหน่งเซียนกระบี่ไม่หนีไปไหนแน่ ข้าขอดื่มเพื่อแสดงการคารวะก่อน!”

เตี๋ยจ้างที่มองอยู่นึกอยากจะขุดดินแล้วมุดลงไปเต็มที มีคนขายเหล้าที่ไหน ไปขอเหล้าลูกค้าตัวเองดื่มบ้าง?

ผังหยวนจี้รอจนเฉินผิงอันดื่มเหล้าชามนั้นไปแล้ว เขากลับรินเหล้าให้เฉินผิงอันอีกชาม แต่ไม่ได้รินจนเต็ม แค่เหล้าไหเล็กๆ นี่จะดื่มได้สักกี่ชามกัน?

ก็โชคดีที่ร้านนี้ตั้งใจเลือกชามขาวที่ไม่ใหญ่มา ถึงได้ดูเหมือนว่าปริมาณของสุรา มีมากเพียงพอ

ผังหยวนจี้เริ่มรู้สึกเสียใจภายหลังแล้วที่มานั่งที่นี่ วันหน้าหากกิจการของร้านนี้ ซบเซาก็ยังพอทำเนา แต่หากคนดื่มเหล้ามีเยอะขึ้น ตนจะไม่โดนด่าตายเลยหรือ

ในมือถือชามเหล้า ก้มหน้าสูดดม พอมีกลิ่นอายของเหล้าหมักตระกูลเซียนอยู่ นิดหน่อยจริงๆ ดีกว่าที่คิดเอาไว้เล็กน้อย แต่เหล้าไหหนึ่งนี้กลับขายแค่หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ราคาจะถูกเกินไปหน่อยหรือไม่? รสชาติเช่นนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในเหลาสุราแห่งใดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ จะอย่างไรก็น่าจะต้องเริ่มต้นที่หลายเหรียญเงิน เกล็ดหิมะกระมัง ผังหยวนจี้รู้เพียงเรื่องเดียว อย่าว่าแต่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ที่เป็นบ้านของตัวเองเลย ใต้หล้านี้ไม่มีคนขายเหล้าคนใดที่จะยอมขาดทุนหรอก

เฉินผิงอันชนชามเหล้ากับผังหยวนจี้ ต่างคนต่างดื่มจนหมด

จากนั้นเฉินผิงอันก็ไปหิ้วเหล้าไหหนึ่งมาวางบนโต๊ะ ยิ้มกล่าวว่า “ครึ่งราคานี่นะ เหล้าสองไห เก็บเงินพี่หยวนจี้แค่หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ”

ผังหยวนจี้ดื่มเหล้าในชามไปแล้ว รสชาติพอถูไถ ก็เลยอดทนข่มกลั้นเอาไว้

ดื่มเหล้าไปแล้วหนึ่งไห ผังหยวนจี้ก็หยิบเหล้าที่เกือบจะถูกเฉินผิงอัน ‘ช่วย’ เปิดผนึกดินให้ไหนั้นมา ตบเหรียญเงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญลงบนโต๊ะ ลุกขึ้นแล้ว จากไป บอกว่าคราวหน้าจะมาใหม่

เตี๋ยจ้างปาดเหงื่อบนหน้าผาก รับเงินเกล็ดหิมะมาจากมือเฉินผิงอัน รอยยิ้มของนางคลี่กว้างสดใส

จากนั้นผ่านไปประมาณเกือบครึ่งชั่วยาม เตี๋ยจ้างก็เริ่มเป็นกังวลเรื่อง ‘อนาคต’ (ภาษาจีนคือคำว่าเฉียนเฉิง 前程 ประโยคนี้ก็เป็นคำอ่านว่าเฉียนเชิงเหมือนกัน เพียงแต่เปลี่ยนคำแรกเป็นคำว่า 钱 ที่แปลว่าเงิน เป็นคำพ้องเสียง) ของร้านอีกครั้ง ผลกลับได้เห็นลูกค้าอีกคนทะยานลมมาพลิ้วกายลงบนพื้น นางก็อดไม่ไหวหันไปมองเฉินผิงอัน

นางสังเกตเห็นว่าหลังจากเฉินผิงอันพูดประโยคว่า ‘ยังคงเป็นคนที่ไม่คาดคิด’ ออกมา เขากลับมีท่าทางตื่นเต้นด้วย?

ผู้ที่มาคือเว่ยจิ้นเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะที่มาจากแจกันสมบัติทวีปเช่นเดียวกับเฉินผิงอัน

เว่ยจิ้นสั่งเหล้าไหหนึ่งที่แพงที่สุด หนึ่งไหเล็กห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ด้านในกาเหล้าใส่ใบไผ่ไว้หนึ่งใบ

เว่ยจิ้นไม่ได้รีบร้อนดื่มเหล้า แต่ยิ้มถามว่า “นางยังสบายดีกระมัง?”

เฉินผิงอันเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม อีกทั้งยังไม่อาจแกล้งโง่ทำเป็นไม่รู้เรื่อง เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็คือเว่ยจิ้น เขาจึงได้แต่ยิ้มจืดเจื่อนเอ่ยว่า “นางน่าจะยังสบายดีกระมัง ตอนนี้เป็นถึงเจ้าสำนักแล้ว แต่ข้าเกือบจะถูกนางฆ่าตายอยู่ในหุบเขา ผีร้าย”

นี่เจ้าเว่ยจิ้นกะจะมาช่วยทำพังมากกว่าล่ะมั้ง?

เกี่ยวกับเฮ้อเสี่ยวเหลียงอดีตนักพรตหญิงสำนักโองการเทพ เจ้าสำนักชิงเหลียง ในภายหลัง เฉินผิงอันไม่เคยปิดบังเรื่องใดกับหนิงเหยา เล่าต้นสายปลายเหตุทุกอย่างให้นางฟังทั้งหมด

ยังดีที่หนิงเหยาไม่เคยเผยสีหน้าโกรธเคืองใดๆ ในเรื่องนี้ เอ่ยแค่ว่าเฮ้อเสี่ยวเหลียง ทำเกินกว่าเหตุไปแล้ว วันหน้าหากมีโอกาสจะต้องไปเจอนางสักหน่อย

แต่วันนี้เว่ยจิ้นถามเรื่องไหนไม่ถาม ดันมาถามเรื่องนี้ เฉินผิงอันจึงรู้สึกเสียว สันหลังวูบๆ ราวกับว่าในร้านมีปราณกระบี่แผ่อบอวล

เว่ยจิ้นดื่มเหล้าไปชามหนึ่งก็ถามอีกว่า “นางชอบเจ้าจริงๆ ใช่ไหม?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่รู้”

เว่ยจิ้นพยักหน้ารับ รินเหล้าอีกชาม หลังจากกระดกดื่มหมดแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “เถ้าแก่ไปทำธุระของตัวเองเถอะ ไม่ต้องมารับรองแขกแล้ว”

สุดท้ายเว่ยจิ้นนั่งอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง ดื่มเหล้าช้า แต่กลับไม่เคยหยุดดื่ม

บุรุษที่ลุ่มหลงในรัก มักจะชอบดื่มเหล้าที่บาดลำไส้ ทว่าคนที่ถือดาบสะบั้นไส้คนที่แท้จริงนั้น มักจะเป็นคนในใจที่ไม่ได้อยู่ในชามเหล้าเสมอ

เฉินผิงอันนั่งอยู่ตรงหน้าประตู หันหลังให้กับร้าน อุตส่าห์หาเงินได้ แต่กลับไม่มีรอยยิ้ม กลับกันยังกลัดกลุ้มยิ่งกว่าเดิม

เพราะตอนที่เว่ยจิ้นดื่มเหล้าชามที่สาม เขาตบเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งลงบนโต๊ะ บอกว่าวันหน้าที่มาดื่มเหล้า ให้หักไปจากในเงินร้อนน้อยเหรียญนี้

เจ้าอ้วนเยี่ยนและเฉินซานชิวต่างก็รู้กาลเทศะ ไม่เอ่ยอะไรสักคำ

แต่ต่งถ่านดำที่เป็นคนโผงผางผู้นั้นกลับเอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมาอย่างทึ่มทื่อว่า “ข้าคิดว่าต้องมีเรื่องราวซ่อนอยู่แน่นอน”

ในที่สุดเฉินผิงอันก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมบางครั้งเจ้าอ้วนเยี่ยนและเฉินซานชิว ถึงต้องกลัวว่าต่งถ่านดำจะเปิดปากพูดมากขนาดนั้น แต่ละคำดั่งกระบี่บินที่ทิ่มแทงคนให้ตายได้จริงๆ

เว่ยจิ้นยังไม่ทันลุกขึ้นไสหัวไป เฉินผิงอันก็รู้สึกเหมือนได้รับอภัยโทษ รีบลุกขึ้นทันที

ที่แท้แม่นางน้อยกวอจู๋จิ่วก็ลากเอาคนวัยเดียวกันมาร่วมช่วยสนับสนุนร้านเขาอย่างครึกครื้น

กวอจู๋จิ่วมาถึงก็พูดเข้าประเด็นโดยตรง หลังจากเรียกเฉินผิงอันอย่างนอบน้อมว่า “อาจารย์อีกสามปีให้หลัง” แล้ว ก็พูดต่อด้วยประโยคที่อยากปิดบังแต่ยิ่งเป็นการเปิดเผยว่า “ข้ากับพวกเพื่อนๆ เพิ่งจะรู้ว่าที่นี่เปิดร้านเหล้า ถึงได้มาซื้อเหล้าที่นี่ เอากลับไปให้พวกผู้อาวุโสในตระกูล! อาจารย์อีกสามปีให้หลัง ข้าไม่ได้บังคับพวกนางมาจริงๆ นะ!”

จากนั้นกวอจู๋จิ่วก็แอบส่งสายตาให้พวกนาง

พวกแม่นางน้อยที่ดึกดื่นค่ำคืนของเมื่อวานก็ถูกกวอจู๋จิ่วไปเคาะประตูเตือนว่าอย่าลืมเรื่องนี้ แต่ละคนหน้าตาไร้ชีวิตชีวา จ่ายเงินซื้อเหล้า รับมาถือเอาไว้อย่างว่าง่าย จากนั้นก็รอให้กวอจู๋จิ่วออกคำสั่ง

พวกนางไม่ได้เสียดายเงินเกล็ดหิมะสามเหรียญที่ได้มาจากกวอจู๋จิ่วเลยสักนิด

นี่ต้องถูกกวอจู๋จิ่วกวนใจมาตั้งกี่วันแล้ว

บางคนนึกอยากจะเอาเงินเกล็ดหิมะหกเหรียญให้กวอจู๋จิ่วด้วยซ้ำ แต่นางไม่รับนี่นา บอกว่าจะต้องรวมคนให้ครบจำนวนให้ได้

สุดท้ายกวอจู๋จิ่วเองก็ควักเงินสามเหรียญเกล็ดหิมะซื้อเหล้ามากาหนึ่ง แล้วอธิบายอีกว่า “อาจารย์อีกสามปีให้หลัง พวกนางล้วนควักเงินจ่ายเองกันทั้งนั้น!”

เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าลองนับนิ้วคำนวณดู สามปีลดเหลือครึ่งหนึ่ง อีกหนึ่งปีครึ่งให้หลัง ก็สามารถลองดูได้ว่าเหมาะจะรับลูกศิษย์หรือไม่”

กวอจู๋จิ่วมือหนึ่งถือกาเหล้า อีกมือหนึ่งกำเป็นหมัดโบกอย่างแรง พูดด้วยท่าทางตื่นเต้นสุดขีดว่า “วันนี้เป็นวันฤกษ์ดีในการซื้อเหล้าจริงๆ ! ไม่เสียแรงที่ข้าอุตส่าห์ ท่องปฏิทินเหลืองเล่มนั้น!”

มีผังหยวนจี้และเว่ยจิ้น และยังมีเหล่าแม่นางน้อยพวกนี้มาช่วยให้การสนับสนุน

การค้าของร้านเหล้าจึงเริ่มดำเนินไปได้

ดูจากท่าทางแล้ว น่าจะได้ทุนคืนมาไม่ยาก

แต่นี่ก็มากพอจะทำให้เตี๋ยจ้างดีใจอย่างยิ่งยวดแล้ว

เตี๋ยจ้างเริ่มง่วนกับการทำงาน

เรื่องของการขายเหล้า ตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้วว่าต้องให้เตี๋ยจ้างออกแรง ให้มากหน่อย เพราะเฉินผิงอันไม่อาจจับตามองที่นี่ได้ทุกวัน

ต่งถ่านดำที่รู้สึกประหลาดใจถูกเฉินซานชิวและเจ้าอ้วนเยี่ยนลากตัวไปแล้ว

หนิงเหยาเอนตัวพิงโต๊ะคิดเงินในร้าน แทะเมล็ดแตง มองเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันถามหยั่งเชิง “ไม่โกรธใช่ไหม?”

หนิงเหยาเอ่ย “จะเป็นไปได้อย่างไร”

เฉินผิงอันหน้าม่อย “สรุปว่าจะโกรธได้อย่างไร หรือว่าจะไม่โกรธได้อย่างไรกันแน่”

หนิงเหยากะพริบตาปริบๆ “เจ้าเดาดูสิ”

เฉินผิงอันทอดถอนใจ “ข้าจะเปิดเหล้าแล้วบันทึกลงบัญชีเอาไว้”

หนิงเหยาพลันยิ้มกล่าวว่า “เฮ้อเสี่ยวเหลียงจะนับเป็นอะไรได้ ควรค่าให้ข้าโกรธด้วยหรือ?”

เฉินผิงอันมายืนอยู่ตรงหน้านาง ถามเบาๆ ว่า “รู้หรือไม่ว่าทำไมหลังจากข้าแพ้ให้เฉาสือสามครั้งแล้วถึงไม่รู้สึกอัดอั้นเลยแม้แต่น้อย?”

หนิงเหยาถาม “ทำไมล่ะ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เพราะหนิงเหยาคร้านจะจำว่าเฉาสือคือใคร”

จากนั้นเฉินผิงอันก็เอนตัวพิงโต๊ะคิดเงิน มองไปยังลูกค้าที่นั่งอยู่ที่โต๊ะด้านนอก “พอได้พบเจอเจ้า เด็กยากจนที่เติบโตขึ้นมาในตรอกหนีผิงคนนั้นก็ไม่เคยขาดเงินอีกเลย”

หนิงเหยามองรอยยิ้มที่ยิ่งนานก็ยิ่งเก็บไว้ไม่อยู่ของเขา นางหยุดแทะเมล็ดแตง ถามว่า “ตอนนี้กำลังหัวเราะเยาะว่าข้าโง่เขลาใช่หรือไม่”

เฉินผิงอันรีบหุบยิ้ม จากนั้นก็ตระหนักได้ทันทีว่าตัวเองก็ไม่ได้ฉลาดกว่าแม่นางน้อย สักเท่าไร เขาเองก็ทำสิ่งที่เรียกว่าอยากปกปิดซ่อนเร้น แต่ยิ่งกลับเป็นการเปิดเผยให้อีกฝ่ายรู้เช่นกัน

เพียงแต่ว่าหนิงเหยาแค่ยื่นฝ่ามือมาให้ เฉินผิงอันจึงหยิบเมล็ดแตงมาจากมือนาง

หนิงเหยาแทะเมล็ดแตง เอ่ยว่า “มีสตรีแบบนี้แบบนั้นมาชอบเจ้า ข้าไม่โกรธ”

หยุดไปครู่หนึ่ง หนิงเหยาก็เอ่ยอีกว่า “แต่หากวันใดเจ้าชอบสตรีคนอื่นนอกจากข้า ข้าจะเสียใจมาก หากมีวันนั้นจริงๆ เจ้าไม่ต้องขอโทษข้า ยิ่งไม่ต้องมาพบหน้าข้า มาบอกเรื่องแบบนี้กับข้าด้วยตัวเอง ข้าไม่อยากฟัง”

เฉินผิงอันยื่นมือมาโยกหัวหนิงเหยาเบาๆ “ห้ามคิดอะไรเหลวไหล ชีวิตนี้ข้าอาจจะกลายเป็นผู้ฝึกตนที่มีตบะสูงส่งอะไรได้ยาก ภูเขาลูกหนึ่งมักจะมีภูเขาอีกลูก ที่สูงกว่าเสมอ ก็ได้แต่พยายามแล้วพยายามอีก เพื่อทำคำสัญญาให้เป็นจริงไป ทีละก้าว แต่เฉินผิงอันจะต้องเป็นคนที่ชอบหนิงเหยาที่สุดในใต้หล้าแน่นอน เรื่องนี้ ไม่จำเป็นต้องพยายามมานานแล้ว”

กิจการร้านเหล้ายิ่งนานก็ยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ

เฉินผิงอันกลับกลายเป็นเถ้าแก่ที่สะบัดมือทิ้งร้าน

ทุกครั้งที่มาถึงที่ร้านกลายเป็นว่าส่วนใหญ่จะคุยเล่นกับพวกเด็กตัวเท่าก้นกลุ่มนั้นมากกว่า เขาจะยกม้านั่งไปนั่งอยู่ตรงนั้นแล้วยืมเอาหนังสือภาพจากพวกเด็กๆ มาเปิดอ่าน บางครั้งเฉินผิงอันก็จะสอนให้พวกเขารู้จักตัวอักษร

ภายหลัง คนหนุ่มชุดเขียวที่อายุยังน้อยผู้นั้นกินอิ่มว่างงาน ไม่หารายได้ เข้ากระเป๋า ที่จวนหนิงมีแท่นสังหารมังกรแต่กลับไม่คว้าโอกาสรีบหลอมลมปราณ

ดันวิ่งวุ่นไปตามตรอกน้อยใหญ่แล้วคัดลอกตัวอักษรจากบนป้ายศิลาทั้งหลาย มาจนรวบรวมได้กระดาษปึกโต จากนั้นเขาก็มักจะมานั่งอยู่ใต้แสงอาทิตย์ ทำตัวเป็นนักเล่านิทานเล่าเรื่องภูตผีตามขุนเขาสายน้ำในใต้หล้าไพศาลให้พวกเด็กๆ ฟัง

มีวันหนึ่งคนหนุ่มที่สวมชุดเขียวปักปิ่นหยกนั่งอาบแสงแดดอันอบอุ่นของต่างถิ่น สอนตัวอักษรไปแล้ว เล่าเรื่องไปแล้ว ก็เอากิ่งไผ่มาวางพาดขวางไว้บนหัวเข่า แล้วท่องเบาๆ ว่า “ดวงตะวันมีแสงทองระยิบระยับ สวมชุดนวมขนแพะลื่นอุ่น”

เห็นว่าคนผู้นั้นหยุดพูด ก็มีเด็กคนหนึ่งถามขึ้นอย่างใคร่รู้ “แล้วอะไรต่อ? ยังมี อีกไหม?”

คนผู้นั้นจึงวางสองมือไว้บนหัวเข่า ทอดสายตามองไปเบื้องหน้า เอ่ยเนิบช้าว่า “ยามแมลงตื่นจากการจำศีล ฟ้าดินถือกำเนิด หมื่นสรรพสิ่งเจริญเติบโต นอนดึก ตื่นเช้า ออกมาเดินเล่นผ่อนคลาย วิญญูชนก้าวเดินเนิบช้า หวังให้ปณิธานก่อเกิด…”

พวกเด็กๆ ที่นั่งล้อมม้านั่งและคนผู้นั้นไม่เข้าใจว่าคำพูดพวกนี้หมายความว่าอย่างไร แต่ก็ยินดีจะฟังคนผู้นั้นท่องต่อไปอย่างสงบ

ตรงตรอกห่างไกลของกำแพงเมืองปราณกระบี่จึงคล้ายว่าจะมีโรงเรียนประถม ที่ไม่มีอาจารย์ที่แท้จริง แล้วก็ไม่มีนักเรียนอย่างจริงจังเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งแห่ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!