บทที่ 583 มีเพียงนักดื่มที่ได้ทิ้งชื่อไว้
ใบไม้ร่วงจากไป ฤดูหนาวมาเยือน กาลเวลาล่วงเลยผ่านพ้นไปอย่างเนิบช้า
หากไม่เป็นเพราะแค่เงยหน้ามองก็จะเห็นเค้าโครงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ทางทิศใต้อยู่ไกลๆ เฉินผิงอันคงเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองอยู่ในพื้นที่มงคลกระดาษขาว หรือไม่ก็เคยดื่มเหล้าลืมทุกข์ของพื้นที่มงคลวหวงเหลียงไปแล้ว
ต่อให้เฉินผิงอันจะมานะฝึกตน ทุกวันไม่เคยเกียจคร้าน ถึงขั้นพูดได้ว่ายุ่งมาก แต่เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกว่ายังดีไม่พอ ดังนั้นจึงขอให้ป๋ายหมัวมัวมาช่วยป้อนหมัดให้ คิดไม่ถึงว่าไม่ว่าอย่างไรป๋ายหมัวมัวก็ไม่ยอมออกแรงเต็มกำลัง อย่างมากสุด ก็แค่ถ่ายทอดกระบวนท่าหมัดบางส่วนให้แก่ท่านเขยในอนาคตเท่านั้น นอกจาก การฝึกซ้อมหมัดที่ไม่สาแก่ใจเต็มที่แล้ว เฉินผิงอันก็ได้แต่เรียกให้ท่านปู่น่าหลัน ไปที่ลานประลองยุทธฟ้าดินเล็กเมล็ดงานั่นด้วยกัน เพื่อทำความเข้าใจกับพลังสังหารของกระบี่บินผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง ขณะเดียวกันก็เรียนรู้วิชา การอำพรางตัวอย่างคร่าวๆ มาจาก ‘นักฆ่า’ ที่ขอบเขตถดถอยมาจากขอบเขต เซียนเหรินผู้นี้ วิธีการลี้ลับมหัศจรรย์หลายอย่างที่เกี่ยวพันกับรากฐานการฝึกตน ‘ตอนกลางวันขยับเข้าใกล้เหมือนเดินตอนกลางคืน’ จำเป็นต้องเป็นผู้ฝึกกระบี่ถึงจะทำได้ นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
นอกจากนี้แล้วพอมีเวลาว่าง เฉินผิงอันก็จะพยายามแวะไปที่ร้านเหล้าให้บ่อย ทุกครั้งที่ไปจะอยู่นานเป็นชั่วยาม แต่กลับไม่ค่อยได้ช่วยขายเหล้าสักเท่าไร เอาแต่ใช้เวลาอยู่กับกลุ่มเด็กตัวเท่าก้นและพวกเด็กหนุ่มเด็กสาว ทำตัวเป็นนักเล่านิทาน ของเขาต่อไป อย่างมากสุดก็เป็นอาจารย์ที่ท่องหนังสือและสอนตัวอักษรให้กับ พวกเขา ไม่เกี่ยวพันกับการถ่ายทอดวิชาความรู้ใดๆ
แม้จะบอกว่าเฉินผิงอันเป็นเถ้าแก่ที่ไม่สนใจจะดูแลร้าน แต่เถ้าแก่ใหญ่อย่างเตี๋ยจ้าง ก็ไม่เคยว่ากล่าวหรือบ่นอะไร เพราะวิธีการหาเงินให้กับร้านที่แท้จริงล้วนเป็น เถ้าแก่รองเฉินที่เป็นผู้ดูแล ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เขาจะแอบอู้ได้บ้างแล้ว ถึงอย่างไร เตี๋ยจ้างก็แค่ควักเงินทุนและใช้แรงกายบางส่วนที่เป็นเรื่องตายตัวเท่านั้น แล้วนับประสาอะไรกับที่หลังจากที่ร้านเหล้าเปิดกิจการได้อย่างราบรื่นเป็นมงคล ลูกเล่นหลังจากนั้นก็ยังมีอีกมากมาย ยกตัวอย่างเช่นหลังจากแขวนคำโคลงคู่แนวตั้ง คู่นั้นข้างประตูไปแล้ว ภายหลังยังมีกลอนแนวขวางที่แปะไว้เหนือบานประตูใหม่เอี่ยมอีกบทหนึ่งด้วย
‘ผู้ที่ดื่มสุราข้าจะได้ฝ่าทะลุขอบเขต’
พวกเถ้าแก่ร้านเหล้าเหลาสุราที่อยู่บนถนนใหญ่ใกล้บ้ากันเต็มที ไม่เพียงแต่แย่งลูกค้าไปไม่น้อย ประเด็นสำคัญคือฝั่งตนยังแพ้ในด้านพลังอำนาจอย่างเห็นได้ชัด นี่จึงเป็นเหตุให้สถานที่ทั้งหลายที่ขายเหล้าอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ แทบทุกที่ ล้วนพากันติดคำโคลงคู่แนวตั้งและคำคมแนวนอนกันบ้างแล้ว
เพียงแต่ว่าอ่านไปอ่านมา สุดท้ายผู้ฝึกกระบี่ผีขี้เหล้าทั้งหลายก็ยังคงรู้สึกว่าเป็นบทกลอนของที่นี่ที่มีท่วงทำนองดีที่สุด หรือควรจะพูดอีกอย่างหนึ่งว่าหน้าด้านที่สุด
ในขณะที่ร้านเหล้าแทบทั้งหมดเริ่มทำเลียนแบบนั้น ร้านนี้ก็เริ่มมีวิธีการใหม่โผล่มาอีก
ด้านในร้านแขวนป้ายไม้เล็กๆ ที่ลักษณะเหมือนป้ายสงบสุขปลอดภัยไว้จนเต็ม เป็นป้ายที่เอาไว้ให้ผู้ฝึกกระบี่ที่เตี๋ยจ้างเชื้อเชิญให้มาดื่มเหล้าใช้ปราณกระบี่สลักชื่อ หรือไม่ก็ทิ้งบทประพันธ์คำกลอนลงไป ทุกแผ่นล้วนถูกนำไปแขวนไว้บนผนัง บอกว่าถือเป็นนิมิตหมายที่ดี
ไม่แบ่งขอบเขตสูงต่ำ ไม่แบ่งว่าใครได้แขวนจุดสูงจุดต่ำ ใครเขียนก่อนก็แขวนป้ายไม้ของคนนั้นก่อน ด้านหน้าล้วนเขียนชื่อของนักดื่มเหมือนกันทั้งหมด
หากยินดี ด้านหลังแผ่นไม้ยังสามารถเขียนได้อีก อยากเขียนอะไรก็เขียน เขียนมากเขียนน้อย ทางร้านก็ไม่ว่า
ตอนนี้นักดื่มที่มีป้ายสงบสุขแขวนไว้บนผนังของร้าน ลำพังเพียงแค่เซียนกระบี่ ห้าขอบเขตบนก็มีถึงสี่ท่านแล้ว มีเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะของแจกันสมบัติทวีป เกาขุยเซียนกระบี่ในท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หยวนชิงสู่เซียนกระบี่แห่ง ทักษินาตยทวีป และยังมีเถาเหวินผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบของกำแพงเมือง ปราณกระบี่ที่ครั้งหนึ่งมาดื่มเหล้าที่ร้านกลางดึกเพียงลำพัง พวกเขาล้วนเขียนอักษรไว้ด้านหลังป้ายสงบสุขกันทุกคน ไม่ใช่ว่าตัวพวกเขาเองอยากเขียน เดิมทีเซียนกระบี่ทั้งสี่ท่านแค่เขียนชื่อไว้อย่างเดียวเท่านั้น แต่ภายหลังเฉินผิงอันหาโอกาสไปพบ พวกเขา ยืนกรานว่าจะให้พวกเขาเขียนเพิ่มให้ได้ ต่อให้ไม่เขียนก็มีวิธีทำให้ พวกเขาเขียน ทำเอาเตี๋ยจ้างที่มองดูอยู่ด้านข้างอย่างอึดอัดขัดเขินได้เปิดโลกกว้าง ที่แท้การค้าก็สามารถทำกันแบบนี้ได้ด้วย
ดังนั้นเว่ยจิ้นจึงทิ้งอักษรคำว่า ‘ตกอยู่ในห้วงรัก กระบี่มิอาจชักออกจากฝัก’
เกาขุยบุรุษตาเดียวเคราดกที่มองดูหยาบกระด้าง เขียนประโยคว่า ‘บุปผางามดวงจันทร์กลมโต คนอายุยืนยาว’
หยวนชิงสู่ผู้สง่างามเขียนว่า ‘ใต้หล้าแห่งนี้ควรรู้ว่าข้าหยวนชิงสู่คือเซียนกระบี่’
เถาเหวินเป็นงานที่สุด ได้ยินว่าจะได้ดื่มเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ไหหนึ่งโดยไม่ต้องจ่ายเงิน ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เขียนประโยคว่า ‘สุราของที่นี่รสชาติดีซ้ำยังราคาถูก ยอดเยี่ยมอย่างถึงที่สุด หากเชื่อไว้ก่อนได้จะยิ่งดี’
ในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ผู้มีพรสวรรค์ที่ถือว่าอายุน้อยที่สุดก็มีสิบกว่าคนซึ่งรวม ผังหยวนจี้ เยี่ยนจั๋ว เฉินซานชิว ต่งฮว่าฝูเป็นหนึ่งในนั้น แน่นอนว่ายังมีแม่นางน้อย กวอจู๋จิ่วรวมอยู่ด้วย
นอกจากที่นางจะเขียนชื่อจริงกวอจู๋จิ่วและชื่อเล่นว่า ‘ลวี่ตวน’ เอาไว้แล้ว ด้านหลังยังแอบเขียนว่า ‘อาจารย์ขายเหล้า ลูกศิษย์ซื้อเหล้า มิตรภาพระหว่างอาจารย์และศิษย์ชวนให้คนซาบซึ้งใจ คงอยู่ตราบชั่วฟ้าดินสลาย’
และยังมีผู้ฝึกกระบี่เซียนดินอีกไม่น้อยที่ยังกลัวว่าจะเสียหน้า อย่างมากก็แค่ เขียนชื่อทิ้งไว้ ไม่เขียนอย่างอื่นอีก อีกทั้งเฉินผิงอันเองก็ไม่ค่อยได้มาดูแลกิจการ ของร้านสักเท่าไร เตี๋ยจ้างก็ไม่รู้ว่าควรจะเปิดปากเช่นไร ภายหลังเฉินผิงอันรู้สึกว่า จะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว จึงเอากระดาษหลายแผ่นมามอบให้เตี๋ยจ้าง บอกว่าหากเจอผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่ถูกชะตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่ยินดีจะทิ้งผลงานการประพันธ์ไว้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าควรจะเขียนอะไร ตอนที่คิดเงินก็สามารถ ส่งกระดาษแผ่นใดแผ่นหนึ่งในนี้ไปให้พวกเขา
ดังนั้นผู้ฝึกกระบี่เฒ่าก่อกำเนิดท่านหนึ่งที่นิสัยหยาบกระด้าง ไม่ถนัดเรื่องการเขียนบทกลอน พอเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งแล้ว เดิมทียังวางท่าปฏิเสธเถ้าแก่อย่าง เตี๋ยจ้าง คิดไม่ถึงว่าเขาจะหน้าเปลี่ยนสีทันใด แอบเก็บกระดาษแผ่นนั้นมา บอกให้ เตี๋ยจ้างปลดแผ่นไม้สงบสุขลงมาโดยเร็ว แล้วเขียนกลอนประโยคนั้นในกระดาษลงไปบนแผ่นไม้ด้วยท่าทางจริงจังราวกับเผชิญหน้ากับปีศาจใหญ่ ตอนที่จากไปยังซื้อเหล้าภูเขาชิงเสินที่ราคาแพงที่สุดไปด้วยอีกหนึ่งกา จงใจกดปราณกระบี่บนร่างตัวเองไว้ เขาที่ดื่มเหล้าอย่างเต็มคราบจึงเดินโซเซพลางร้องเพลงเสียงดังไปด้วย เป็นบทเพลงที่ร้องซ้ำไปซ้ำมา เนื้อหาก็มาจากกลอนที่ ‘ความคิดพรั่งพรู จรดพู่กันเขียน’ บทนั้น
‘ความทรงเสน่ห์ในอดีตมิต้องพูดถึง ร้อยศึกผันผ่านหลายฤดูกาล ดื่มให้สาแก่ใจเมามายหนุนกระบี่ต่างหมอน เฝ้าฝันว่าให้ชิงเสินรินสุรา’
หนึ่งคืนผ่านไป ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่อยู่ดีๆ ก็แต่งกลอนเป็นผู้นี้ก็มีชื่อเสียง เลื่องระบือในหมู่นักพนันและผีขี้เหล้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่
แต่ว่ากันว่าสุดท้ายเขากลับโดนกระบี่บินของเซียนกระบี่ที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนไปทีหนึ่ง ต้องนอนป่วยอยู่บนเตียงหลายวัน
และยังมีผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดของอุตรกุรุทวีปที่อายุค่อนข้างน้อยคนหนึ่งบอกว่าตนดื่มเหล้าใต้แสงจันทรา จึงบังเกิดความคิดขึ้นมาโดยบังเอิญ เลยเขียนประโยคหนึ่งไว้บนป้ายสงบสุขว่า ‘เซียนกระบี่ครึ่งหนึ่งบนโลกคือสหายข้า สตรีคนใดในใต้หล้า ไม่เขินอาย ข้าใช้สุราเข้มข้นล้างกระบี่ ใครเล่าไม่กล่าวว่าข้าสง่างาม’
เหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ของที่ร้านแบ่งออกเป็นสามระดับ หนึ่งไหหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ รสชาติเจือจางที่สุด
ดีขึ้นมาหน่อยคือหนึ่งไหห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะ แต่ทางร้านก็ป่าวประกาศว่าเหล้าทุกๆ ร้อยไหของที่ร้านจะมีใบไผ่จากถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ที่มีมูลค่าควรเมืองใบหนึ่ง ซ่อนอยู่ เซียนกระบี่เว่ยจิ้นและแม่นางน้อยกวอจู๋จิ่วล้วนเป็นพยานให้ได้ว่าเรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องเท็จ
เหล้าภูเขาชิงเสินระดับหนึ่งนั้นต้องจ่ายสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ และยังไม่แน่เสมอไปว่าจะได้ดื่มด้วย เพราะทุกวันทางร้านจะขายแค่ไหเดียว ขายไปแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่ได้ดื่มอีก ลูกค้าได้แต่รอวันถัดไปเท่านั้น
จึงมีช่วงเวลาหนึ่งที่ร้านเหล้าเล็กๆ แห่งนี้มีคนมาเยือนจนเต็มแน่น แต่เมื่อช่วงเวลาของความครึกครื้นผ่านไป ก็ไม่ได้มีภาพที่ผู้ฝึกกระบี่มากมายมานั่งยองดื่มเหล้าอยู่กับพื้น มาแย่งชิงกันซื้อเหล้าอีกแล้ว แต่โต๊ะหกตัวก็ยังมีคนมานั่งจนเต็ม
แม้เตี๋ยจ้างจะพึงพอใจกับรายรับของร้านมากแล้ว แต่ก็อดรู้สึกผิดหวังเล็กๆ ไม่ได้ เป็นอย่างที่เฉินผิงอันคาดการณ์ไว้จริงๆ หลังจากที่ร้านมีชื่อเสียงแล้ว การหาซื้อเหล้าก็กลายเป็นเรื่องยากที่ใหญ่เทียมฟ้า ร้านเหล้าจำนวนมากยินยอมผิดคำสัญญาชดใช้เงินคืนให้แก่เตี๋ยจ้าง แต่ไม่ยอมขายเหล้าขาวเปล่าๆ ให้ เห็นได้ชัดว่าต้องการจะตัดแหล่งสินค้าของที่ร้าน หากลูกค้ามาซื้อเหล้าแต่กลับไม่มีเหล้าขาย กิจการก็จะต้อง เดินลงเนิน ความคึกคักที่เป็นดั่งดอกราตรีบานชั่วค่ำคืนยากจะทำให้การค้าคงอยู่ อย่างยาวนานได้
ขนาดเตี๋ยจ้างยังเห็นปัญหาระยะใกล้นี้ เถ้าแก่รองที่สะบัดมือทิ้งร้านย่อมรู้ชัดเจนดียิ่งกว่า แต่เฉินผิงอันกลับไม่เคยพูดอะไร พอมาถึงที่ร้าน หากไม่พูดคุยทักทาย กับลูกค้าที่สนิทสนมกัน ขอเหล้าพวกเขาดื่มเล็กๆ น้อยๆ ก็จะไปเป็นนักเล่านิทาน ตรงหัวมุมเลี้ยวของถนน ใช้เวลาอยู่กับพวกเด็กๆ เตี๋ยจ้างไม่อยากรบกวนเฉินผิงอัน ทุกเรื่อง จึงได้แต่ครุ่นคิดหาวิธีแก้ปัญหาด้วยตัวเอง
กลางดึกคืนนี้ เฉินผิงอันกับหนิงเหยามาที่ร้านซึ่งกำลังจะปิดลง เวลานี้ไม่มีลูกค้าแล้ว
เตี๋ยจ้างหยิบสมุดบัญชีออกมา เฉินผิงอันนั่งลงด้านข้าง ควักเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่ง สั่งเหล้าที่ราคาถูกที่สุดมาหนึ่งกา เถ้าแก่ดื่มเหล้าก็ต้องควักเงิน นี่ก็คือกฎ
เฉินผิงอันดื่มพลางตรวจสมุดบัญชีอย่างละเอียดไปด้วย
พวกเยี่ยนจั๋วก็นัดหมายกันไว้ล่วงหน้าแล้วว่าวันนี้จะมาดื่มเหล้าด้วยกัน เพราะนานๆ ทีเฉินผิงอันถึงจะยินดีเป็นเจ้ามือ
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนม้านั่งยาวตัวเดียวกับหนิงเหยา
เยี่ยนจั๋วครองม้านั่งคนเดียวหนึ่งตัว ต่งฮว่าฝูนั่งอยู่กับเฉินซานชิว
เยี่ยนจั๋วมองเฉินผิงอันที่พลิกเปิดสมุดบัญชีอย่างละเอียด แล้วมองเตี๋ยจ้างที่นั่งอยู่ด้านข้าง สุดท้ายก็อดไม่ไหวถามว่า “เตี๋ยจ้าง เจ้าไม่รู้สึกว่าเฉินผิงอันไม่เชื่อใจ เจ้าหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ ไม่ได้เงยหน้าขึ้นพูด เพียงแค่ยกถ้วยเหล้าขึ้นจิบหนึ่งคำ ถือเป็นการยอมรับว่าตัวเองไม่ใจป้ำมากพอ ดังนั้นจึงยินดีดื่มลงโทษตัวเองหนึ่งอึก
เตี๋ยจ้างพูดเสียงขุ่น “พูดอะไรเหลวไหล ทำการค้าก็ไม่ใช่ว่าต้องมีกฎเกณฑ์แบบนี้หรอกหรือ เดิมทีก็เพราะเป็นเพื่อนกันถึงได้มาทำการค้าร่วมกัน หรือว่าหากคิดบัญชีกันอย่างชัดเจนก็จะไม่ใช่เพื่อนกันแล้ว?
ใครบ้างที่ไม่เคยทำผิดพลาด ถึงเวลานั้นจะถือเป็นความผิดของใคร? ทำผิดแล้วก็ปล่อยผ่านไป แบบนี้ก็ดีแล้วหรือ? ความคิดเหลวไหลที่เจ้าไม่ผิดข้าไม่ผิดของเจ้า หากกิจการเจ๊งไม่เป็นท่าก็จะไปโทษเอากับเงินหรือไร”
เยี่ยนจั๋วเอ่ยอย่างน้อยใจ “เตี๋ยจ้าง เจ้าลำเอียงเกินไปแล้ว ทำไมกับเฉินผิงอันถือเป็นเพื่อนที่สามารถทำการค้าร่วมกันได้ ปีนั้นที่ข้าโดนซ้อมก็ไม่ใช่ว่าโดนไปอย่าง เสียเปล่างั้นหรือ?”
เตี๋ยจ้างยิ้มกล่าว “ข้าก็ขอโทษเจ้าไปแล้วไม่ใช่หรือไร”
เยี่ยนจั๋วบ่นอย่างไม่ค่อยจะพอใจนัก “ปีนั้นได้ยินเจ้าพูดขอโทษ ข้าก็ยังดีใจอยู่หรอก แต่ตอนนี้กลับเริ่มรู้สึกว่าเจ้าไม่มีความจริงใจมากพอแล้ว”
เฉินผิงอันพลิกเปิดบัญชีไปอีกหน้าหนึ่งแล้วเอ่ยสัพยอกว่า “เพื่อนมีเพื่อนใหม่ ก็มักจะน่าน้อยใจแบบนี้แหละ”
เยี่ยนจั๋วโบกมือ “ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้เลยสักนิด”
เฉินผิงอันยื่นชามเหล้าไปชนกับของเยี่ยนจั๋วหนึ่งที แล้วยิ้มกล่าวว่า “ก็ไม่ใช่เพราะข้าเห็นว่านายน้อยตระกูลเยี่ยนอย่างเจ้าเนื้อตัวบึกบึนล่ำสัน ทุกที่บนร่างล้วนเต็มไปด้วยเงินทอง แต่กลับกลายเป็นว่าทุกครั้งดันขี้เหนียวซื้อแต่เหล้าราคาถูกที่สุด ใจป้ำสู้ แม่นางน้อยลวี่ตวนไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ก็เลยบ่นให้เจ้าฟังนี่ไงล่ะ”
เตี๋ยจ้างคล้ายจะลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ยังปลุกความกล้าเอ่ยว่า “เยี่ยนจั๋ว ซานชิว ขอปรึกษากับพวกเจ้าหน่อยได้ไหม”
เยี่ยนจั๋วรู้สึกสงสัยเล็กน้อย ส่วนเฉินซานชิวนั้นคล้ายจะเดาได้แล้ว จึงยิ้มพลางพยักหน้ารับ “ปรึกษากันได้”
เยี่ยนจั๋วตาเป็นประกาย “จะให้พวกเราเป็นหุ้นส่วนกับพวกเจ้าสองคนด้วย? ข้าก็ว่าแล้วเชียว ในบ้านของเจ้ามีถังเหล้ามากมายขนาดนั้น ข้าชำเลืองตามองทีหนึ่งแล้วลองประเมินพวกลูกค้าที่มาเยือนในแต่ละวันดูก็รู้แล้วว่าตอนนี้คงขายไปจนเหลือแค่ไม่กี่ไหแล้ว ตอนนี้พวกร้านเหล้าน้อยใหญ่ต่างก็อิจฉาตาร้อน เพราะฉะนั้นแหล่งที่มาของเหล้าจึงกลายเป็นปัญหาใหญ่เทียมฟ้า ถูกไหม? เรื่องแบบนี้พูดง่ายเลย ง่ายจะตายไป ไม่ต้องไปหาซานชิวด้วย เขาน่ะคือคุณชายที่สิบนิ้วไม่เคยแตะงานบ้าน เป็นพวกที่นอนเสวยสุขอย่างเดียว ไม่มีทางเข้าใจเรื่องพวกนี้หรอก แต่ข้ากลับ ไม่เหมือนกัน กิจการหลายอย่างในตระกูลล้วนมีข้าคอยช่วยอยู่ ช่วยหาเหล้าขาวที่ต้นทุนค่อนข้างต่ำมาให้พวกเจ้าจะมีอะไรยาก วางใจเถอะ เตี๋ยจ้าง ก็เอาตามที่เจ้าพูดนั้นแหละ พวกเราทำกันตามกฎ ข้าเองก็จะไม่ให้กิจการของที่บ้านขาดทุนเกินไปนัก ยินดีจะเอากำไรแค่เล็กน้อย ช่วยให้เจ้าได้กำไรมากหน่อย”
สีหน้าของเตี๋ยจ้างค่อนข้างซับซ้อน
เฉินผิงอันรู้สึกระอาใจเล็กน้อย เขาปิดสมุดบัญชี ยิ้มกล่าว “การหาเงินของเถ้าแก่ เตี๋ยจ้าง มีความดีใจอยู่สองอย่าง อย่างแรกก็คือเงินเทพเซียนแต่ละเหรียญเข้ามาอยู่ในกระเป๋าให้อุ่นใจ ทุกวันที่ปิดร้านได้ดีดลูกคิดคำนวณรายรับ อีกอย่างหนึ่งก็คือ ชอบความรู้สึกที่ว่าเงินหามาได้ไม่ง่าย แต่กลับสามารถหามาได้ เจ้าอ้วนเยี่ยน ไหนเจ้าลองว่ามาสิว่าใช่เหตุผลนี้ไหม? เจ้าที่ทำท่าว่าจะแบกถุงเงินใบใหญ่ย้ายเข้ามาอยู่ในร้านเช่นนี้ คาดว่าเตี๋ยจ้างคงไม่ยินดีจะดีดลูกคิดแล้ว เจ้าอ้วนเยี่ยนเจ้าก็บอกจำนวนตัวเลขมาตรงๆ เลยก็สิ้นเรื่อง”
เยี่ยนจั๋วทำท่ากระจ่างแจ้ง “ก็บอกกันตั้งแต่แรกสิ เตี๋ยจ้าง หากเจ้าพูดตรงไปตรงมาแบบนี้ตั้งแต่แรก ข้าก็ไม่เข้าใจไปนานแล้วหรอกหรือ?”
เตี๋ยจ้างกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ยังจะโทษข้า?”
เยี่ยนจั๋วดื่มเหล้าแล้วพูดอ้อนวอนว่า “โทษข้าๆ”
เฉินผิงอันเริ่มเปลี่ยนหัวข้อไปพูดถึงสาเหตุของกำไรและขาดทุน รวมถึงเรื่องที่ควรต้องระวังกับเตี๋ยจ้าง
อันที่จริงไม่ใช่ว่าเยี่ยนจั๋วไม่เข้าใจเหตุผลข้อนี้ เขาน่าจะคิดจนเข้าใจได้ตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ว่าอคติบางอย่างระหว่างเพื่อนสนิท มองดูเหมือนจะใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะเล็ก ก็ไม่เล็ก จะมีหรือไม่มีก็ได้ คำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจซึ่งเคยทำร้ายจิตใจคน มักจะไม่ยินดี ตั้งใจอธิบาย เพราะจะรู้สึกว่าจงใจเกินไป แล้วก็อาจจะรู้สึกเสียหน้า พอปล่อยไว้ หากโชคดีก็ไม่เป็นไร ก็แค่ถูกปล่อยไว้อย่างนั้นไปชั่วชีวิต ถึงอย่างไรเรื่องเล็กก็คือ เรื่องเล็ก มีเรื่องใหญ่ที่สามารถทำได้ดียิ่งกว่าและทำได้ถูกต้องยิ่งกว่ามาชดเชยให้ ก็ยิ่งไม่อาจนับเป็นอะไรได้ โชคไม่ดี เพื่อนไม่ใช่เพื่อนอีกต่อไป จะพูดหรือไม่พูดก็ยิ่ง ไม่จำเป็นอีกแล้ว
ทุกๆ คน คนวัยเดียวกันทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ แม้กระทั่งตัวหนิงเหยาเอง ล้วนมีด่านในใจที่ตัวเองต้องข้ามผ่านไป ไม่ได้มีเพียงแค่เตี๋ยจ้างที่มีชาติกำเนิดจากตรอกเก่าโทรมเพียงคนเดียวในกลุ่มเพื่อนอย่างก่อนหน้านี้เท่านั้น
เฉินผิงอันก็แค่อาศัยโอกาสนี้เอ่ยถ้อยคำที่ละมุนละม่อม ใช้สถานะของคนนอกมาช่วยไกล่เกลี่ยให้คนทั้งสอง หากเร็วเกินไปก็ไม่ได้ เพราะจะล่วงเกินทั้งสองฝ่าย หากช้าไป ยกตัวอย่างเช่นทั้งเยี่ยนจั๋วและเตี๋ยจ้างต่างก็รู้สึกว่าเขาเฉินผิงอันคือ เพื่อนที่ดีที่สุดแล้ว นั่นก็จะยิ่งกลายเป็นว่าไม่เหมาะ ความคิดพวกนี้ ไม่อาจพูดออกไปได้ พูดไปแล้วก็เหมือนคำว่าน้ำเหล้าที่ขาดคำว่าเหล้าไปคำหนึ่ง เหลือเพียงคำว่า น้ำที่จืดจาง ดังนั้นได้แต่ให้เฉินผิงอันครุ่นคิดเอาเอง ถึงขั้นอาจทำให้รู้สึกว่าเฉินผิงอันวางแผนรับมือกับใจคนมากเกินไป หากเป็นเมื่อก่อนเฉินผิงอันคงรู้สึกไม่ดี จะต้องปฏิเสธการกระทำของตัวเอง แต่ตอนนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว
ความหวังดีทุกส่วนล้วนจำเป็นต้องใช้ความหวังดีที่มากยิ่งกว่ามาปกป้อง ประโยคที่ว่าคนดีต้องได้ดีนี้ เฉินผิงอันเชื่อ อีกทั้งยังศรัทธาจากใจจริง ทว่าจะเอาแต่ฝากความหวังให้สวรรค์ตอบแทนความดีก็ไม่ได้
คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก ล้วนต้องคบค้าสมาคมกับคนอื่นในทุกๆ เรื่อง อันที่จริง ทุกคนล้วนเป็นเทพเทวาบนสวรรค์ ไม่จำเป็นต้องเอาแต่แสวงหาสิ่งนอกกาย แค่รู้จักที่จะไขว่คว้าสิ่งที่อยู่สูงขึ้นไปก็พอ
ไม่ว่าข้าจะใคร่ครวญขบคิดต่อเรื่องราวบนโลกใบนี้อย่างไร ก็ดูเหมือนว่าจะยัง ไม่จริงใจกับคนอื่นมากพอ แต่หากทำตามกฎเกณฑ์ และสุดท้ายแล้วการกระทำ ไม่ได้ทำร้ายคนอื่น ถึงขั้นยังพอจะเป็นประโยชน์ต่อวิถีทางโลกได้ไม่มากก็น้อย ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ควรรู้สึกถูกมัดมือมัดเท้าเพราะสาเหตุนี้ หลังจากลงมือไปแล้วก็ลองมาทบทวนจิตใจตัวเองดู ค่อยๆ ขัดเกลาอยู่กับคำว่าสำนึกผิดชอบชั่วดี นี่ก็คือการฝึกฝนจิตใจ นี่ก็คือคำที่บอกว่าไม่สู้ลองคิดให้มากๆ ของเหวินเซิ่งอาจารย์ตน ต่อให้หลังจบเรื่องค้นพบว่านี่ก็เป็นแค่การอ้อมไปอ้อมมา เดินวนไปรอบหนึ่งสุดท้ายก็ยังกลับมา ที่เดิม แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ควรทำลำดับต้นๆ ข้าไม่ฉกฉวยสิ่งใดมาจากฟ้าดิน แต่ฟ้าดินกลับมีคนที่มุ่งมาดจะทำความดีเพิ่มมาเปล่าๆ หนึ่งคน ทั้งสามารถรักษาตัวเองให้อยู่รอดปลอดภัย ทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น จะไม่งดงาม จะไม่ประเสริฐได้อย่างไร?
หนึ่งนั้นของฟ้าดิน หมื่นปีก็ไม่เคยแปรเปลี่ยน มีเพียงใจคนที่ลดได้เพิ่มได้
ความรู้ของสามลัทธิ เมธีร้อยสำนัก สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ล้วนเป็น การทุ่มเทให้กับเรื่องนี้
หลังจากพูดคุยกันแล้ว ก็เหลือแค่เหล่าสหายที่ดื่มเหล้าร่วมกัน
เฉินซานชิวเล่าข่าวลือเล็กๆ ข่าวหนึ่ง ช่วงนี้จะยังมีเซียนกระบี่ของอุตรกุรุทวีปท่านหนึ่งที่กำลังจะเดินทางมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ ดูเหมือนว่าตอนนี้จะมาถึงภูเขาห้อยหัวแล้ว เพียงแต่ว่าที่นี่ก็มีเซียนกระบี่ที่ต้องหวนคืนสู่บ้านเกิดแล้วเช่นกัน
ผู้ฝึกกระบี่ส่วนใหญ่ของอุตรกุรุทวีปมักจะเป็นเช่นนี้ โดยทั่วไปแล้วหากผ่านศึกใหญ่ ไปศึกหนึ่งแล้วก็จะต้องเดินทางกลับ
เพียงแต่ว่าภายในเวลาสิบปีมีศึกใหญ่เกิดขึ้นติดกันถึงสองครั้ง ทำให้คนไม่ทันตั้งตัว ผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีปส่วนใหญ่จึงเป็นฝ่ายรั้งอยู่ที่นี่ต่อ ผ่านสงครามไปอีกหนึ่งศึกแล้วค่อยว่ากัน
แต่ว่าก็ยังมีเซียนกระบี่และผู้ฝึกกระบี่เซียนดินส่วนหนึ่งที่จำต้องไปจาก กำแพงเมืองปราณกระบี่ เพราะถึงอย่างไรก็ยังมีกิจธุระในสำนักที่ต้องให้เป็นกังวล สำหรับเรื่องนี้กำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่เคยเอ่ยถ้อยคำไร้สาระใดๆ ไม่เพียงแต่ไม่มี คำบ่น ทุกครั้งที่เซียนกระบี่ต่างถิ่นคนหนึ่งจะเดินทางจากไป ยังมีกฎที่ไม่เป็น ลายลักษณ์อักษรข้อหนึ่ง นั่นคือเซียนกระบี่ในพื้นที่หลายคนที่คุ้นเคยกันดี จะเลี้ยงเหล้าคนผู้นี้หนึ่งมื้อเป็นการส่งอำลา ถือว่าเป็นการตอบแทนจากกำแพงเมืองปราณกระบี่
เฉินผิงอันและหนิงเหยาหันไปมองยังถนนใหญ่แทบจะเวลาเดียวกัน
ตรงนั้นมีคนเดินมาหกคน
ล้วนเป็นเซียนกระบี่!
เซียนกระบี่หญิงคนหนึ่งในนั้น เฉินผิงอันไม่เพียงแต่รู้จัก ยังค่อนข้างจะสนิทสนมคุ้นเคยดีอีกด้วย ก็คือ ลี่ไฉ่เจ้าสำนักทะเลสาบกระบี่ฝูผิงแห่งอุตรกุรุทวีป
นางเคยบอกว่าหลังจากไปถามกระบี่ฉีจิ่งหลงเซียนกระบี่ที่เพิ่งเลื่อนขั้นใหม่ที่สำนักกระบี่ไท่ฮุยแล้วก็จะเดินทางมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่ นอกจากจะทำตามสัญญาที่นางมีต่อหลี่อวี๋เพื่อนรักแห่งยอดเขาไท่เสียแล้ว ยังจะสังหารปีศาจใหญ่ ตนหนึ่งเพื่อฝ่ายหลังที่ฝ่าทะลุขอบเขตล้มเหลวจึงจากโลกนี้ไปแล้วด้วย
คนที่เหลืออีกห้าคน เฉินผิงอันรู้จักแค่คนเดียว เขาเดินอยู่ด้านหน้าสุด คือผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่ทั้งหนวดและเส้นผมล้วนเป็นสีขาวหิมะ นิสัยของเขาเรียกว่าดีไม่ได้จริงๆ ปีนั้นตอนที่เฉินผิงอันอยู่บนหัวกำแพงเมืองก็เคยเห็นกับตา
เคยได้ยินกับหูตัวเองมาก่อนว่าผู้เฒ่าท่านนี้เรียกชื่อจริงของเซียนกระบี่ใหญ่ ผู้อาวุโสออกมาอย่างไม่กริ่งเกรง ซักไซ้เอาความผิดเสียงดังว่าเฉินชิงตูเหตุใด เจ้าต้องสังหารต่งกวานพู่ เจ้าประมุขเฒ่าของตระกูลต่งท่านนี้ยังเกือบจะเปิดฉากต่อสู้กับผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่โดยตรง ทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่า ‘ทุกคนล้วนกลัวเจ้าเฉินชิงตู แต่ข้าไม่กลัว’ ดังนั้นความทรงจำที่เฉินผิงอันมีต่อผู้เฒ่าคนนี้จึงลึกล้ำมากเป็นพิเศษ แล้วก็รู้สึกสงสัยใคร่รู้ในตัวของต่งกวานพู่ที่ถูกผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่สังหารอย่างง่ายๆ ด้วยหนึ่งกระบี่เช่นกัน เพราะตามคำบอกของหนิงเหยา ‘นายท่านต่งน้อย’ อย่าง ต่งกวานพู่ผู้นี้ อันที่จริงเป็นคนดีมาก
คงบอกได้แค่ว่านี่ก็คือคำกล่าวที่ว่าทุกบ้านล้วนมีคัมภีร์ที่อ่านยาก
กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งหนึ่ง เซียนกระบี่ที่มีพรสวรรค์เลิศล้ำมีมากเกินไป ความวุ่นวายก็ยิ่งมีมากกว่า
ดูเหมือนว่าต่งซานเกิงกับกลุ่มคนที่รวมถึงลี่ไฉ่ที่เพิ่งจะมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่จะตั้งใจมาเยือนร้านเหล้าเล็กๆ ร้านนี้โดยเฉพาะ
เฉินผิงอันจึงมองประเมินเซียนกระบี่สี่ท่านที่เหลือหลายครั้งหน่อย เขาเดาตัวตนของสองคนในนั้นออก หานไหวจื่อเจ้าประมุขสำนักกระบี่ไท่ฮุย กับหวงถงบรรพจารย์ผู้คุมกฎของศาลบรรพจารย์
พวกเฉินผิงอันล้วนพากันลุกขึ้นยืนแล้ว
หลังจากที่ต่งฮว่าฝูเรียกต่งซานเกิงคำหนึ่งว่าท่านบรรพบุรุษแล้ว ก็เอ่ยประโยคที่เป็นธรรมว่า “ที่ร้านไม่มีการเชื่อลงบัญชี”
ต่งซานเกิงถลึงตากล่าว “เจ้าไม่มีเงินติดตัวเลยหรือไร?”
ต่งฮว่าฝูส่ายหน้า “ข้าดื่มเหล้าไม่เคยต้องจ่ายเงิน”
ต่งซานเกิงหัวเราะเสียงดังกังวาน “ไม่เสียแรงที่เป็นลูกหลานตระกูลต่งข้า เรื่องที่หน้าหนาหน้าทนเช่นนี้ ตลอดทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็มีแต่ลูกหลาน ตระกูลต่งของพวกเราเท่านั้นแหละที่ทำแล้วดูมีเหตุผลมากเป็นพิเศษ”
เตี๋ยจ้างมีท่าทางหวาดกลัวอย่างเลี่ยงไม่ได้
ผู้เฒ่าคนนี้เป็นถึงประมุขตระกูลต่ง ต่งซานเกิง
เซียนกระบี่ผู้เฒ่าที่สลักอักษร ‘ต่ง’ ไว้บนหัวกำแพงเมือง
ปีนั้นเรื่องที่อาเหลียงรำคาญที่สุดก็คือการประลองวิชากระบี่กับต่งซานเกิง หากหลบได้ก็จะหลบ หลบไม่พ้นก็จะบอกให้ต่งซานเกิงเอาเงินให้เขา หากไม่ให้เงิน เขาอาเหลียงก็จะยืนอยู่ข้างกระท่อมบนหัวกำแพงรอรับกระบี่แต่โดยดี หรือจะไม่ไปรบกวนเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสบนหัวกำแพงเมืองก็ได้เหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นเขาก็ จะไปนอนหมอบอยู่บนหลังคาศาลบรรพชนของตระกูลต่งแทน
ต่งซานเกิงโบกมือหนึ่งครั้ง ทำให้โต๊ะสองตัวมาประกบเข้าด้วยกัน แล้วจึงพูดกับพวกเด็กรุ่นหลังเหล่านั้นว่า “ใครก็อย่าได้พูดจาไร้สาระ แค่ยกเหล้ามาวางบนโต๊ะ ก็พอ”
เฉินผิงอันหันไปผงกศีรษะทักทายลี่ไฉ่ ลี่ไฉ่คลี่ยิ้มแล้วก็พยักหน้ากลับคืน
คิดไม่ถึงว่าหวงถงบรรพจารย์ของสำนักกระบี่ไท่ฮุยกลับเป็นฝ่ายหันมาส่งยิ้มให้เฉินผิงอันก่อน เฉินผิงอันจึงได้แต่กุมหมัดคารวะ แต่ไม่ได้เอ่ยคำใด
หลังจากนั่งลงแล้ว ต่งซานเกิงก็ชำเลืองตามองกลอนคู่ที่หน้าประตูแวบหนึ่ง ก่อนจุ๊ปากเอ่ยว่า “กล้าเขียนจริงๆ ยังดีที่ตัวอักษรเขียนได้ไม่เลว ถึงอย่างไรก็ดีกว่าตัวอักษรไส้เดือนเลื้อยของอาเหลียงอยู่มากนัก”
หน้าผากของเตี๋ยจ้างมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดซึมออกมาอย่างที่นางมิอาจควบคุมได้แล้ว
เฉินซานชิวกับเยี่ยนจั๋วก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
ช่วยไม่ได้ เวลาอยู่กับต่งซานเกิง พวกเขาโดนด่าแค่คำเดียวยังไม่นับว่าเป็นอะไร เพราะผู้อาวุโสเซียนกระบี่ส่วนใหญ่ในครอบครัวของพวกเขาล้วนโดนอีกฝ่ายซ้อมอย่างหนักมาแล้วทั้งนั้น
คนที่ยังนับว่าสุขุมเป็นตัวของตัวเอง ก็คงมีแค่เฉินผิงอันและหนิงเหยาแล้ว
ต่งซานเกิงดื่มเหล้าหมดหนึ่งกาก็ลุกขึ้นจากไป เซียนกระบี่ในท้องถิ่นของ กำแพงเมืองปราณกระบี่อีกสองท่านก็ขอตัวลาไปเช่นกัน
หานไหวจื่อ หวงถงและต่งลี่ที่มาจากอุตรกุรุทวีปเหมือนกันยังนั่งอยู่ต่อ
เฉินผิงอันบอกให้เตี๋ยจ้างเอาเหล้าดีๆ จากในร้านมาเพิ่มอีกหนึ่งไห เขาเป็นคนถือไป ที่โต๊ะด้วยตัวเอง “ผู้น้อยเฉินผิงอันคารวะเจ้าสำนักหาน เจ้าสำนักลี่ เซียนกระบี่หวง”
ลี่ไฉ่ยิ้มตาหยีเอ่ย “หวงถง ฟังเข้าสิ ข้าอยู่หน้าเจ้า นี่ก็คือจุดจบของคนที่ไม่ได้เป็นเจ้าสำนัก”
เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย
เซียนกระบี่ลี่ไฉ่ ท่านช่างไม่มีคุณธรรมในยุทธภพเอาเสียเลย
คิดไม่ถึงว่าหวงถงจะยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ข้าอยู่ด้านหลังเจ้าสำนักลี่ก็ดีมากนี่นา จะบนหรือล่างก็ได้หมด”
เฉินผิงอันที่เพิ่งจะนั่งลงเกือบพลัดตกเก้าอี้ เขาไม่มัวสนมารยาทอะไรอีกแล้ว รีบดื่มเหล้าระงับความตกใจทันที
ก่อนหน้านี้เดินทางท่องอยู่ในอุตรกุรุทวีป ไม่เห็นจะเคยได้ยินเลยว่าเซียนกระบี่ของสำนักกระบี่ไท่ฮุยท่านนี้มีนิสัยเช่นนี้
เหตุใดฉีจิ่งหลงถึงไม่เคยพูดถึงสักคำ? หรือเลี่ยงจะพูดถึงเพื่อแสดงความเคารพ?
ดูท่าวิชากระบี่ของหวงถงต้องไม่ต่ำอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นอยู่ที่อุตรกุรุทวีป ไหนเลยจะสามารถเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนได้
ลี่ไฉ่หัวเราะเสียงเย็น “ขอให้เจ้าที่เดินทางบนเรือข้ามทวีปครั้งนี้จมน้ำตายกลางทาง กลายไปเป็นอาหารปลา”
หวงถงหัวเราะร่าเสียงดัง ไม่โกรธเคืองแม้แต่น้อย กลับกันยังอารมณ์ดีอย่างมาก
หานไหวจื่อกลับเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งที่สุขุม มีมาดของเซียนกระบี่อย่างยิ่ง เขายิ้มบางๆ เอ่ยกับเฉินผิงอันว่า “ไม่ต้องไปสนใจคำพูดเหลวไหลของพวกเขา”
หวงถงเก็บรอยยิ้ม ไม่เหลือท่าทางของคนแก่ที่ไม่น่าเคารพอีกต่อไป “ตอนนี้การส่งข่าวจากกระบี่บินของภูเขาห้อยหัว เนื้อหาและความเป็นมาของกระบี่บินทุกเล่มล้วนถูกจับตามองอย่างเข้มงวด ถึงขั้นที่ว่ายังมีหลายเล่มที่ถูกกักไว้โดยพลการ แต่กระนั้นทางฝ่ายโน้นก็ยังหาเหตุผลมาอ้างได้ ยังดีที่การเขียนจดหมายของ หลิวจิ่งหลงพวกเรา เขียนได้อย่างชาญฉลาด จึงไม่ถูกดักเก็บไว้ ในเมื่อเฉินผิงอัน เป็นเพื่อนสนิทของหลิวจิ่งหลงเรา ลี่ไฉ่เจ้าก็ยิ่งเป็นผู้ฝึกกระบี่ของบ้านเกิด ถ้าอย่างนั้นสี่คนที่นั่งอยู่ตรงนี้ก็ถือว่าเป็นคนกันเองเถอะ อันดับแรกข้าอยากขอบคุณเจ้าลี่ไฉ่ ที่ไปถามกระบี่ก่อนหน้านี้ ช่วยให้หลิวจิ่งหลงได้เปิดฉากด้วยการเริ่มต้นที่ดี คนที่สนิทกับสำนักศึกษาผู้นั้นก็ตามมาติดๆ บีบให้ตาแก่ป๋ายฉางจำเป็นต้องรักษาหน้าตาเอาไว้ หลิวจิ่งหลงถึงได้ไม่เพียงแต่ใช้สถานะของเซียนกระบี่หยัดยืนอยู่ในอุตรกุรุทวีปได้อย่างมั่นคง ยังมีเรื่องดีๆ ใหญ่เทียมฟ้าอย่างการชนะสามครั้งติดซึ่งเป็นประโยชน์ต่อ วิถีกระบี่ของเขา เรื่องนี้สำนักกระบี่ไท่ฮุยของพวกเราติดค้างหนี้น้ำใจใหญ่เทียมฟ้า กับเจ้าลี่ไฉ่”
กล่าวมาถึงตรงนี้ หวงถงก็ยิ้มบางๆ “เพราะฉะนั้นเจ้าสำนักลี่อยากจะอยู่ข้างหน้าหรือข้างหลังก็เลือกได้ตามสบาย ข้าหวงถงจะไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว หากขมวดคิ้วสักครั้งก็ถือว่าข้าไม่เป็นลูกผู้ชายพอ!”
ลี่ไฉ่กระตุกมุมปาก เอ่ยว่า “จะบอกข่าวดีข่าวหนึ่งแก่เจ้า เจียงซ่างเจินเป็นขอบเขตเซียนเหรินแล้ว”
หวงถงรีบพูดทันทีว่า “ข้าหวงถงเป็นแค่เซียนกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ก็เพียงพอแล้ว ไม่เป็นลูกผู้ชายก็ไม่เห็นเป็นอะไร”
เจ้าเจียงซ่างเจินชาติสุนัขก็คือฝันร้ายที่ผู้ฝึกตนชายหญิงของอุตรกุรุทวีปมีร่วมกัน ปีนั้นโอสถทองของเขาก็สามารถเอามาใช้เป็นก่อกำเนิดได้ ต่อมาก็ขึ้นชื่อว่า เป็นขอบเขตหยกดิบที่เอามาใช้เป็นเซียนเหรินได้ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เป็นขอบเขต เซียนเหรินแล้ว? ต่อให้ไม่พูดถึงตบะของเจ้าหมอนี่ เจ้าคนที่ราวกับว่าแบกถังอาจม วิ่งวุ่นไปทั่วเช่นนี้ ใครจะยินดีไปมีความเกี่ยวข้องด้วย? ปล่อยหมัดหนึ่งใส่หรือส่งหนึ่งกระบี่ไปให้เจ้าเจียงซ่างเจินผู้นั้นก็ต้องแลกมาด้วยขี้เยี่ยว ประเด็นสำคัญคือคนผู้นี้ ยังเจ้าคิดเจ้าแค้น แถมยังเดินทางเก่ง ดังนั้นแม้แต่หวงถงก็ยังไม่อยากไปมีเรื่องด้วย ในประวัติศาสตร์ของอุตรกุรุทวีปเคยมีผู้ฝึกตนก่อกำเนิดเฒ่าคนหนึ่งไม่เชื่อข่าวลือ ยอมเผาผลาญเวลายี่สิบปีอย่างไม่เสียดาย ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะต้องสังหาร ตัวการร้ายที่ทุกคนอยากฆ่าให้ตาย แต่เขาดันไม่ตายให้จงได้ ผลคือไม่ได้ประโยชน์ใดๆ แล้วสำนักยังมีจุดจบที่อเนจอนาถจนมิอาจทนมอง ความรักความแค้นอันเป็นบรรยากาศเลวร้ายในสำนักล้วนถูกเจียงซ่างเจินปั่นป่วนจนวุ่นวายอุตลุด เขาเขียนหนังสือเทพเซียนยวนยางเล่นน้ำเล่มใหญ่ขึ้นมาหลายเล่ม และยังมีภาพทำนองนั้นประกอบด้วย หนำซ้ำเจียงซ่างเจินเห็นใครก็ยังชอบจะมอบหนังสือพวกนั้นให้ หากไม่รับ ข้าเจียงซ่างเจินก็จะมอบเงินให้เจ้า เจ้าจะรับหรือไม่รับ รับไปแล้วจะดี จะชั่วก็น่าจะเปิดอ่านสักสองสามหน้าไม่ใช่หรือ?
หานไหวจื่อยิ้มกล่าว “อาจารย์ ที่นี่ยังมีเด็กนั่งอยู่ด้วย ต่อให้ท่านไม่สนใจสถานะตัวเอง แต่ถึงอย่างไรก็ควรจะช่วยสะสมภาพลักษณ์ที่ดีให้จิ่งหลงสักหน่อยเถิด”
หวงถงกระแอมหนึ่งที ดื่มเหล้าไปแล้วหนึ่งอึกก็เอ่ยต่อว่า “ลี่ไฉ่ พูดเรื่องเป็นการเป็นงาน ขนบธรรมเนียมของกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้มองดูคล้ายใกล้เคียงกับอุตรกุรุทวีป แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับแตกต่างกันมาก การเข่นฆ่าบนสนามรบทางทิศใต้ของกำแพงก็ยิ่งแตกต่างจากการจับคู่ต่อสู้อย่างที่พวกเราคุ้นเคยราวฟ้ากับเหว ผู้ฝึกตนต่างทวีปจำนวนมากมักจะตายอยู่ช่วงวันแรกๆ ที่สัมผัสกับสงครามของที่นี่ หากไม่ระวังแม้เพียงนิดก็ต้องมีจุดจบคือความตาย อย่าได้อาศัยว่าเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบแล้วจะเป็นอย่างไร บนสนามรบ เมื่อเข่นฆ่ากันขึ้นมา ต่างคนต่าง วางอุบายใส่กัน และในเผ่าปีศาจเองก็มีบุคคลชั่วร้ายที่อันตรายอย่างถึงที่สุดอยู่ด้วย”
หวงถงบิดข้อมือหนึ่งครั้ง เรียกเอาหนังสือสามเล่มออกมาจากในวัตถุจื่อชื่อ สองเก่าหนึ่งใหม่ ผลักมาไว้ตรงหน้าลี่ไฉ่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “หนังสือสองเล่ม กำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นผู้จัดพิมพ์ เล่มหนึ่งแนะนำเผ่าปีศาจ อีกเล่มหนึ่งคล้ายคลึงกับตำราพิชัยสงคราม เล่มสุดท้ายคือประสบการณ์ที่ข้าเขียนไว้หลังจาก ผ่านสงครามใหญ่สองครั้งด้วยตัวเอง ข้าขอแนะนำเจ้าประโยคหนึ่ง หากไม่อ่านตำราทั้งสามเล่มให้จบแล้วท่องให้ขึ้นใจ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอดื่มคารวะเจ้าก่อนเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย และวันหน้าเมื่อไปถึงสำนักกระบี่ไท่ฮุยของอุตรกุรุทวีป ข้าก็จะไม่มีทาง เซ่นกระบี่ให้แก่ลี่ไฉ่ที่รบตายอยู่ไกลๆ เพราะเจ้าลี่ไฉ่รนหาที่ตายเอง ไม่คู่ควรให้ข้าหวงถงเซ่นกระบี่ให้เจ้า!”
ลี่ไฉ่เก็บตำราทั้งสามเล่มมา พยักหน้าเอ่ยว่า “เรื่องใหญ่อย่างความเป็นความตาย ข้าจะกล้าประมาทได้อย่างไร”
หวงถงถอนหายใจ หันหน้าไปมองศิษย์น้องของตัวเอง หรือก็คือเจ้าสำนักของสำนักกระบี่ไท่ฮุย “นี่ก็เพราะว่าสำนักของแม่นางลี่ไม่มียอดฝีมือ จึงได้แต่ต้องให้นางออกหน้าด้วยตัวเอง แต่สำนักกระบี่ไท่ฮุยของพวกเรายังมีข้าหวงถงคอยรักษาหน้าตาให้ไม่ใช่หรือ? ศิษย์น้อง ข้าไม่ถนัดเรื่องการจัดการกิจธุระในสำนัก เจ้าเองก็รู้ดี ยิ่งการถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ลูกศิษย์ ข้าก็ยิ่งไม่มีความอดทน ข้อนี้เจ้าก็รู้อีกนั่นแหละ
เจ้ากลับไปที่อุตรกุรุทวีปแล้วช่วยส่งให้จิ่งหลงเดินขึ้นสูงอีกหน่อย จะไม่ยิ่งดี หรอกหรือ? ใช่ว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่จะไม่มีผู้ฝึกกระบี่ของสำนักกระบี่ไท่ฮุย สักหน่อย ก็ยังมีข้าอยู่นี่นา”
หานไหวจื่อส่ายหน้า “เรื่องนี้ท่านและข้าตกลงกันไว้นานแล้ว ไม่ต้องเกลี้ยกล่อมให้ข้าเปลี่ยนใจ”
หวงถงกล่าวอย่างเดือดดาล “ตกลงกะผายลมน่ะสิ เพราะข้าผู้อาวุโสสู้เจ้าไม่ได้ ถึงต้องไสหัวกลับไปอุตรกุรุทวีป”
หานไหวจื่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “กลับไปถึงสำนักกระบี่ไท่ฮุยก็ตั้งใจฝึกกระบี่ให้ดีแล้วกัน”
หวงถงดื่มเหล้าชามใหญ่ด้วยความกลัดกลุ้ม “แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นเจ้าสำนัก เจ้ากลับไป ทิ้งหวงถงเอาไว้คนหนึ่ง สำนักกระบี่ไท่ฮุยของพวกเราก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องละอายใจแล้ว”
หานไหวจื่อเอ่ย “ข้าละอาย นับตั้งแต่ที่สำนักกระบี่ไท่ฮุยก่อตั้งสำนักมายังไม่เคยมีเจ้าสำนักคนใดมารบตายที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ แล้วก็ไม่เคยมีเซียนกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนใดมาก่อน ฝ่ายหลัง มีหลิวจิ่งหลงอยู่ ก็มีความหวัง ดังนั้นข้าจึงสามารถทำตัวเป็นฝ่ายแรกได้อย่างวางใจ”
หวงถงจากไปอย่างหม่นหมอง
แต่ก่อนจะไปยังภูเขาห้อยหัว หวงถงยังมาเยือนที่ร้านเหล้าอีกครั้ง ใช้ปราณกระบี่เขียนชื่อของตัวเอง และเขียนประโยคหนึ่งไว้ด้านหลังแผ่นไม้
ตอนที่ผู้เฒ่าจากไป ท่าทางของเขาเปลี่ยวเหงา ไม่มีปณิธานฮึกเหิมของ เซียนกระบี่เลยแม้แต่น้อย
ลี่ไฉ่ได้ยินกฎของร้านเหล้าแล้วก็มีท่าทางกระตือรือร้นสนใจ เพียงแต่แค่สลักชื่อของตัวเองเอาไว้ ไม่ได้เขียนอักษรอะไรไว้ด้านหลังป้ายสงบสุข เพียงเอ่ยว่ารอให้นางสังหารปีศาจห้าขอบเขตบนสองตนได้เมื่อไหร่ค่อยกลับมาเขียน
หานไหวจื่อก็เขียนชื่อตัวเอง แล้วก็ทิ้งถ้อยคำไว้เช่นกัน
‘เจ้าสำนักรุ่นที่สี่ของสำนักกระบี่ไท่ฮุย หานไหวจื่อ’
‘ชีวิตนี้ไม่มีเรื่องใดให้เสียดาย’
ระหว่างนี้เฉินผิงอันดื่มเหล้าอยู่เงียบๆ ตลอดเวลา
รอจนเจ้าสำนักของอุตรกุรุทวีปทั้งสองท่านอย่างลี่ไฉ่และหานไหวจื่อเดินเคียงไหล่ จากไปบนถนนที่เงียบสงบกลางดึกแล้ว
เฉินผิงอันก็ลุกขึ้นยืน ตะโกนว่า “เจ้าสำนักทั้งสองท่าน”
หานไหวจื่อพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “อย่าหันกลับไป”
คิดไม่ถึงว่าลี่ไฉ่จะหันหน้ากลับไปถามแล้ว “มีเรื่องอะไรหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เงินค่าเหล้า”
ลี่ไฉ่ถามหานไหวจื่อ กล่าวอย่างสงสัยว่า “ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ดื่มเหล้าต้องจ่ายเงินด้วยหรือ?”
หานไหวจื่อพูดด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ “ไม่รู้สิ”
ลี่ไฉ่ขมวดคิ้ว “บันทึกลงในบัญชีของเจียงซ่างเจินได้ตามสบาย เงินเกล็ดหิมะ หนึ่งเหรียญเจ้าก็ลงไว้เป็นเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญไปเลย!”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
เซียนกระบี่สองท่านเดินหน้าต่อไปช้าๆ
ลี่ไฉ่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ตามหลักแล้ว ด้วยนิสัยของเฉินผิงอันไม่ควรเป็นแบบนี้ถึงจะถูก นางจึงหันหน้ากลับไปมองอีกครั้ง
คนหนุ่มสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ กำลังมองมายังพวกเขาสองคน พอเห็นว่าลี่ไฉ่หันหน้ากลับมา เขาถึงจะนั่งกลับลงไปที่โต๊ะ
ก็ดีเหมือนกัน ค่าเหล้าคืนนี้ก็ลงไว้ในบัญชีของเถ้าแก่รองอย่างเขารวดเดียว หมดเลยแล้วกัน
กับหนิงเหยา กับสหาย บวกกับเซียนกระบี่ผู้เฒ่าต่งซานเกิงและเซียนกระบี่ ในพื้นที่สองท่าน และกับหานไหวจื่อ ลี่ไฉ่และหวงถง
จนกระทั่งบัดนี้ ในที่สุดเฉินผิงอันก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดร้านเหล้าน้อยใหญ่ ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงยินดีให้คนที่มาดื่มเหล้าเชื่อค่าเหล้าเอาไว้ก่อน
ดังนั้นกฎที่ห้ามติดเงินของร้าน คงยังต้องเปลี่ยนแปลงสักหน่อยกระมัง
เพราะถึงอย่างไรเหล้าของที่ร้านตนก็ราคาถูก แต่หากมีคนดื่มเหล้าแล้วไม่จ่ายเงิน…ก็ได้เหมือนกัน ก็ถือเสียว่าเหลือค้างไว้ก่อน
ให้เป็นว่ามียืมมีคืน คืนช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร
หานไหวจื่อใช้เสียงในใจยิ้มกล่าวว่า “คนหนุ่มผู้นี้ไม่มีเรื่องก็เลยหาเรื่องชวนคุย คงเพราะรู้สึกว่าคุยกันให้มากขึ้นสักประโยคสองประโยคก็ถือเป็นเรื่องดี”
ลี่ไฉ่เอ่ยอย่างระอาใจว่า “นี่มันเรื่องอะไรกับอะไรของเจ้า?”
หานไหวจื่อครุ่นคิด แล้วก็ให้คำตอบมาจริงๆ ว่า “เรื่องผู้ฝึกกระบี่กับผู้ฝึกกระบี่”