บทที่ 589 วิชากระบี่ในใต้หล้ามาจากฟากฟ้า
ก็โชคดีที่ตลอดทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่ตกอยู่ในสภาวะหยุดค้างของแม่น้ำกาลเวลา ไม่อย่างนั้นลำพังเพียงแค่ประโยคนี้ของสตรีร่างสูงใหญ่ ก็มากพอจะทำให้ จิตแห่งกระบี่ของเซียนกระบี่ไม่น้อยเกิดความไม่มั่นคงได้แล้ว
แน่นอนว่าอย่างจั่วโย่วที่อยู่ใกล้ ใต้เท้าอิ่นกวานที่อยู่ห่างไกลออกไป หรือต่งซานเกิงก็สามารถไม่ถูกพันธนาการได้ เพียงแต่ว่าไม่อาจสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวของทางฝั่งเฉินชิงตูแม้แต่น้อย เพราะการกระทำเช่นนี้ของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส หากมีคน กล้าลงมือกระทำบางอย่างโดยพลการ นั่นก็เท่ากับว่าต้องการถามกับกระบี่เฉินชิงตู เฉินชิงตูไม่เคยเกรงใจใคร เซียนกระบี่ที่ตายภายใต้ปราณกระบี่ของเฉินชิงตูไม่ได้มีแค่ต่งกวานพู่ของเมื่อสิบปีก่อนคนเดียว
คนที่ได้เห็นเฉินชิงตูออกกระบี่ย่อมใกล้จะได้เป็นเซียนกระบี่
ประโยคนี้ไม่ใช่ประโยคล้อเล่นขำขันอะไรทั้งนั้น
เฉินชิงตูไม่โมโหแม้แต่น้อย เขาหัวเราะ กระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพงแล้วนั่งขัดสมาธิ ทอดสายตามองไปยังฟ้าดินกว้างใหญ่ที่อยู่ทางทิศใต้ ถามว่า “ศาลบุ๋นลัทธิขงจื๊อกล้าให้เจ้ามายืนอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ไม่มีทางที่อริยะปราชญ์กลุ่มนี้จะไม่รู้ผลลัพธ์ที่ตามมา หรือว่าซิ่วไฉเฒ่าช่วยรับประกันให้เจ้า? ใช่แล้ว ซิ่วไฉเฒ่า เพิ่งจะสร้างคุณความชอบครั้งใหญ่ คงต้องเหนื่อยเปล่าอีกแล้ว เพื่อลูกศิษย์คนสุดท้ายของตัวเอง แม้แต่คุณความชอบเขาก็ยังสละได้จริงๆ”
บนหัวกำแพงเมือง หนึ่งนั่งหนึ่งยืน สูงต่ำมีความต่าง
นางขมวดคิ้ว เอ่ยเนิบช้าว่า “เฉินชิงตู ฝึกตนนานหมื่นปี ความใจกล้าก็ถูกฝึกให้ใหญ่ขึ้นได้ไม่น้อย”
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “ไม่ได้พูดกับผู้อาวุโสมานานมากแล้ว โอกาสหาได้ยาก โดนด่าแค่ไม่กี่คำจะนับเป็นอะไรได้”
นางเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนี้ครู่เดียวก็รู้ความลับที่บางทีแม้แต่อริยะสามลัทธิและเซียนกระบี่มากมายก็ล้วนไม่อาจล่วงรู้ได้แล้ว จึงส่ายหน้าเอ่ยว่า “น่าสงสาร หากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรก ไยคราแรกต้องทำเช่นนั้น เคยนึกเสียใจภายหลัง บ้างหรือไม่?”
เฉินชิงตูพยักหน้ารับ “หากพูดถึงแค่เฉินชิงตูก็รู้สึกเสียใจจนนับครั้งได้ไม่ถ้วนเลยล่ะ ปีนั้นอันที่จริงคนอย่างเฉินชิงตูยังมีทางอื่นให้เลือกเดิน ฟ้าดินไร้พันธนาการ ถึงขั้นสามารถเอาชนะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ส่วนใหญ่บนโลกได้ด้วยซ้ำ แต่ปีนั้นเฉินชิงตูก็ยังจะเลือกสะพายกระบี่เดินขึ้นสู่ที่สูง ถามกระบี่แก่สวรรค์ด้วยความฮึกเหิมร่วมกับคน บนเส้นทางเดียวกันที่มีมากมาย ต่อให้ตายไปก็ไม่รู้สึกเสียใจภายหลัง ถ้าเช่นนั้น เฉินชิงตูคนหนึ่งจะเสียใจหรือไม่เสียใจก็ไม่ได้สำคัญอะไรอีกแล้ว”
เฉินชิงตูเงยหน้าขึ้น “ผู้อาวุโสเคยเสียใจภายหลังหรือไม่?”
สตรีร่างสูงใหญ่ที่ใช้ฝ่ามือดันด้ามกระบี่เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบไม่ตรงคำถามว่า “ช่องโพรงที่มีปราณกระบี่สามเส้นนั้นอยู่ เจ้ามองไม่ออกเลยหรือ?”
เฉินชิงตูตอบ “พอจะมองเบาะแสบางอย่างออกได้บ้าง ก็แค่ไม่กล้าเชื่อเท่านั้น ขณะเดียวกันเฉินชิงตูเองก็กังวลว่านั่นจะเป็นแผนลึกล้ำยาวไกลของลัทธิขงจื๊อ”
เฉินชิงตูเงยหน้ามองม่านฟ้า พูดอย่างสะท้อนใจว่า “ก่อนหน้าเด็กคนนั้น คนที่ผู้อาวุโสคอยอยู่เคียงข้างสูงส่งถึงเพียงใด มีวีรกรรมยิ่งใหญ่แค่ไหน ตรงนี้หนึ่งกระบี่ ตรงนั้น อีกหนึ่งกระบี่ แค่โบกกระบี่ง่ายๆ โครงกระดูกของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็กองทับถมกัน เป็นภูเขา กลายเป็นถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลแต่ละแห่งที่ปริแตกออกมา แต่ภายหลัง กลับกลายมาเป็นเด็กหนุ่มที่ธรรมดาคนหนึ่ง มีคุณสมบัติของเซียนดิน แต่สะพานแห่งความเป็นอมตะกลับขาดสะบั้น ตอนนั้นคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตสามหรือขอบเขตสี่นะ? ผู้อาวุโสจะให้เฉินชิงตูยอมเชื่อได้อย่างไร? ตอนนี้ข้าคิดร้อยรอบก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านถึงเลือกเฉินผิงอัน ดังนั้นข้าจึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น แล้วก็เพราะรอคอยวันนี้ ข้าหวังว่าชีวิตนี้ของเฉินชิงตู ยามที่สติปัญญาเปิดโล่ง จะได้พบผู้อาวุโส ยามที่ใกล้ จะตาย สิ่งสุดท้ายที่มองเห็น ก็คือได้พบท่านอีกครั้ง”
บนใบหน้าของเฉินชิงตูประดับรอยยิ้มบางๆ ยื่นสองนิ้วมาประกบกันแล้ว ปาดออกไปในแนวขวางเบื้องหน้าเบาๆ ทันใดนั้นจุดที่ห่างไปไกลอย่างถึงที่สุดก็พลัน มีแม่น้ำปราณกระบี่สายยาวปรากฏวาบขึ้นมา แต่กลับไม่ใช่เส้นตรงที่ทอดขวาง เป็นเส้นบิดๆ เบี้ยวๆ หากมองจากท้องนภาลงมายังโลกมนุษย์ก็เหมือนแม่น้ำยาว สายหนึ่ง
เฉินชิงตูยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “วิชากระบี่ที่เฉินชิงตูเล่าเรียนเมื่อครั้งแรกเริ่มสุด ก็เป็นเช่นนี้ บอกตามตรง ผู้ฝึกกระบี่ในทุกวันนี้จิตแห่งกระบี่ขุ่นมัว จิตแห่งเต๋า ไม่แจ่มชัด ไม่มีคุณสมบัติเหมือนกับคนรุ่นของพวกเราที่เพียงมองแค่ครั้งเดียวก็รู้ และเข้าใจมหามรรคา”
กระบี่นี้พุ่งลงบนฟ้าดินของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่อยู่ใกล้กับกำแพงเมืองปราณกระบี่ คาดว่าคงชักนำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนที่ไม่น้อย
ยกตัวอย่างเช่นผู้คนคงคาดเดากันว่านี่จะเป็นครั้งแรกของตลอดเวลาหลายหมื่นปีที่เฉินชิงตูจะเดินลงจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มาถามกระบี่แก่ตลอดทั้ง ใต้หล้าเปลี่ยวร้างหรือไม่
นางเอ่ยถาม “เจ้ากำลังโอ้อวดฝีมืออันอ่อยด้อยต่อหน้าข้าอย่างนั้นหรือ?”
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “มีหรือจะกล้า”
จากนั้นในที่สุดผู้เฒ่าที่มีอายุยาวนาน เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสในสายตาของ ทุกคนในกำแพงเมืองปราณกระบี่ท่านนี้ก็พอจะมีมาดที่เฉินชิงตูควรจะมีบ้าง “แล้วนับประสาอะไรกับที่ทุกวันนี้ เวทกระบี่ของผู้น้อยก็ไม่ถือว่าต่ำแล้วจริงๆ เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน หากคิดเป็นศัตรูกับพวกผู้อาวุโส แน่นอนว่าคงไม่มีโอกาสจะชนะ ตอนนี้หากมีโอกาสเดินทวนกระแสน้ำแห่งกาลเวลา พากระบี่บุกรุดหน้า ไปเยือนสนามรบของปีนั้น…”
ไม่เห็นว่านางเคลื่อนไหวอย่างไร แต่กระบี่ยาวกลับโน้มเอียงลง ลอยตัวอยู่ กลางอากาศ ปลายกระบี่ชี้ไปยังเฉินชิงตูที่นั่งอยู่ด้านข้าง ต่อให้ปลายกระบี่จะอยู่ห่างจากศีรษะแค่สามชุ่น เฉินชิงตูก็ยังนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน ตรงปลายกระบี่มีแสง ขนาดเท่าเมล็ดงาจุดหนึ่งมารวมตัวกัน
นางเอ่ยว่า “ในกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ คนอื่นทำอะไรเจ้าเฉินชิงตูไม่ได้ แต่ข้ากลับเป็นข้อยกเว้น”
แรกเริ่มสุดวิชากระบี่ในใต้หล้าแบ่งออกเป็นสี่สาย เฉินชิงตูแห่งกำแพงเมือง ปราณกระบี่คือสายหนึ่ง เทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์คือสายหนึ่ง เซียนกระบี่ลัทธิเต๋าของอารามเสวียนตูใหญ่คือหนึ่งสาย ทางฝั่งของแดนพุทธะปทุมาก็ยังมีอีกสายหนึ่ง
นี่ก็คือการสืบทอดหมื่นปีของระบบเวทกระบี่ที่ถูกเก็บซ่อนอำพรางไว้ลึกล้ำ อย่างถึงที่สุด คนบนโลกไม่มีใครล่วงรู้แล้ว ต่อให้เป็นเซียนกระบี่มากมายของ อุตรกุรุทวีปก็ยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ รู้แค่ว่าใต้หล้าทั้งหลายนี้มีกระบี่เซียนอยู่สี่เล่ม
และระบบสืบทอดของเวทกระบี่สี่สายนี้ต่างฝ่ายต่างก็ให้ความสำคัญในส่วนที่ต่างกันไป แต่หากจะพูดถึงแค่พลังพิฆาตที่ยิ่งใหญ่ แน่นอนว่าต้องเป็นสายของเฉินชิงตูแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ยึดครองอันดับผู้นำได้อย่างมั่นคงและสมศักดิ์ศรี
แน่นอนว่าเฉินชิงตูไม่ได้หวาดกลัวสตรีร่างสูงใหญ่ที่อยู่ไกลเกินกว่าจะไปถึง ยอดเขาสูงสุดของวิถีกระบี่ในอดีตผู้นี้
แต่เขาเคารพอีกฝ่าย
คือความเคารพที่เหนือเกินกว่าความรู้สึกที่มีต่อฟ้าดิน
ทว่าต่อให้ไม่กลัวก็จริง แต่มีหรือที่จะไม่เป็นกังวลเลยแม้แต่น้อย ก็เหมือนอย่างที่นางบอก หากยังไม่พูดถึงตบะและพลังการต่อสู้ ต่อให้วิชากระบี่ของเฉินชิงตูจะสูง แค่ไหน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้านางก็ไม่มีทางสูงที่สุดไปได้ตลอดกาล
อันที่จริงประโยคนี้น่าตะลึงพรึงเพริดยิ่งกว่าประโยคที่นางบอกให้เฉินชิงตูไสหัว ไปไกลๆ หลังจากที่คนทั้งสองได้กลับมาพบกันอีกครั้งเมื่อเวลาผ่านไปหมื่นปีเสียอีก
ต้องรู้ว่าเว้นเสียจากอริยะของสามลัทธิถือของแทนตัวมาเยือนกำแพงเมือง ปราณกระบี่ด้วยตัวเอง ถ้าอย่างนั้นเฉินชิงตูที่เฝ้าพิทักษ์กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็คือ ผู้ที่ไร้เทียมทานอย่างจริงแท้แน่นอน ต่อให้เจ้าเต๋าเหล่าเอ้อร์ถือกระบี่เซียนมาก็ยัง ไม่มีโอกาสจะชนะอยู่ดี
เหตุใดภูเขาห้อยหัวถึงได้ดำรงอยู่? และเหตุใดภูเขาห้อยหัวถึงได้มีศาลาจัวฟ่าง? เหตุใดทั้งๆ ที่ในอดีตเต๋าเหล่าเอ้อร์ก็อยู่ในภูเขาห้อยหัวแล้ว แต่กลับไม่ได้เดินไปไกลกว่านั้นแม้แต่ก้าวเดียว? ลูกศิษย์คนรองของมรรคาจารย์เต๋าที่ชอบแก่งแย่งชิงดีกับ ฟ้าดินที่สุดผู้นี้ เหตุใดพกกระบี่มาเยือนถึงใต้หล้าไพศาลแล้วกลับไม่เคยออกกระบี่ ก็ย้อนกลับคืนไปยังใต้หล้ามืดสลัวแล้ว? ต้องรู้ว่าแรกเริ่มสิ่งที่นักพรตเต๋าท่านนี้วางแผนไว้ก็คือ ตนเองจะเหยียบอยู่บนตราประทับตัวอักษรภูเขาที่ใหญ่ที่สุดในโลก แล้วเปิดฉากสังหารอย่างสุดฝีมือกับเฉินชิงตูที่ยืนตระหง่านอยู่บนกำแพงเมือง ปราณกระบี่!
เพื่อพิสูจน์ว่าเขาไม่เพียงแต่มีมรรคกถาสูงส่งลึกล้ำ ด้วยเหตุนี้ป๋ายอวี้จิงเกินครึ่ง จึงมาจากฝีมือของเขาเอง อีกทั้งเขายังต้องการพิสูจน์ด้วยว่าตัวเองได้บุกเบิกโฉมหน้าอย่างใหม่ให้แก่วิถีกระบี่ในใต้หล้า บุกเบิกระบบการสืบทอดวิถีกระบี่แห่งที่ห้า ด้วยตัวเอง!
เพียงแต่ว่าถึงท้ายที่สุด เต๋าเหล่าเอ้อร์ที่เคยมาเยือนใต้หล้าไพศาลเพียงแค่ครั้งนั้นกลับยังคงไม่ออกกระบี่
คนทั้งสองต่างก็มองไปยังทิศไกล ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้นางก็ยังไม่คิดจะมอง เฉินชิงตูให้เต็มตาสักครั้ง
บนหัวกำแพงทางฝั่งทิศใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ แต่ละขีดแต่ละเส้น ของตัวอักษรใหญ่พวกนั้นล้วนเริ่มมีฝุ่นร่วงกราวลงมาเหมือนถ้ำที่ดินถล่ม ร่างของผู้ฝึกกระบี่เซียนดินบางคนที่ฝึกกระบี่ตรงแถบนั้นเริ่มไหวโยนแต่กลับไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย
เฉินชิงตูยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ผู้อาวุโส พอได้แล้วกระมัง?”
นางเอ่ย “เจ้ารู้หรือไม่ว่าการที่เจ้าไม่ทำอะไรเลยในปีนั้น ทำให้ความเร็วในการฝึกตนของเจ้านายข้าช้ากว่าเดิมไปมากๆ เดิมทีปราณกระบี่สิบแปดหยุดนั้น นายท่านควรจะฝ่าด่านไปได้นานแล้ว”
เฉินชิงตูเอ่ย “คนหนุ่มเดินได้ช้าหน่อย เผชิญความลำบากมากหน่อยจะเป็นไรไป เดินเร็วไป ขึ้นสู่ที่สูงเร็วเกินไป อีกทั้งยังมีผู้อาวุโสคอยอยู่ข้างกาย สำหรับใต้หล้า แห่งที่เหลือแล้วล้วนไม่ใช่เรื่องดี เรื่องจับกระบี่ที่จั่วโย่วพูดกับเว่ยจิ้นนั้นกล่าวได้ถูกต้องอย่างยิ่ง เขาควรจะเอาไปพูดกับศิษย์น้องเล็กของเขาจริงๆ หากเฉินผิงอัน ไม่อาจเป็นเจ้านายที่แท้จริงของผู้อาวุโสได้ ตามความเห็นข้า เส้นทางการฝึกตน ของเด็กคนนี้ก็ไม่สู้เดินให้ช้าลงอีกหน่อย ยกกระบี่ไม่ขึ้นเลยจึงจะดี สรุปก็คือยิ่งเดิน ขึ้นสู่ที่สูงได้ช้าเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น หากมีวันใดที่เฉินผิงอันสามารถออกกระบี่ได้ตามใจปรารถนาจริงๆ
ข้าก็คงนึกเสียใจภายหลังที่ให้เขาไปฝึกประสบการณ์ในพื้นที่มงคลดอกบัว อาศัยโอกาสนั้นมาสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะใหม่อีกครั้ง หากข้าจำไม่ผิด สถานที่ที่เชื่อมติดกับถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลแห่งนั้น ในอดีตก็คือฟ้าดินขนาดเล็กที่ถูก ผ่าออกมาเพราะปราณกระบี่ที่ผู้อาวุโสใช้เข่นฆ่ากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตนหนึ่งพุ่งไปโดนกระมัง?”
นางไม่เอ่ยอะไรอีก
แสงขนาดเท่าเมล็ดงาที่รวมตัวกันอยู่ตรงปลายกระบี่พลันขยายใหญ่เท่ากำปั้น จอนผมของเฉินชิงตูพลิ้วส่ายเบาๆ เส้นผมส่วนหนึ่งถูกตัดลงมาแล้วกระจายไปตามสายลม ผมแต่ละเส้นถึงขั้นกรีดผ่าแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายยาวที่หยุดนิ่งไม่เดินหน้า ให้ฉีกขาดได้อย่างง่ายดาย
“เฉินชิงตู ให้หน้าเจ้านิดหน่อย เจ้าก็ควรต้องรับเอาไว้ให้ดี”
สีหน้านางเย็นชา จุดลึกในดวงตาทั้งสองข้างบ่มเพาะแสงสว่างที่เจิดจ้ายิ่งกว่า แสงตะวันจันทรา “เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน อดีตเจ้านายของข้าสงสารพวกเจ้า มดตัวน้อยที่อยู่บนพื้นดินอย่างพวกเจ้ารับเอาไว้ได้แล้ว หนึ่งหมื่นปีต่อมา ข้าตกต่ำไปมาก วิถีกระบี่ของเจ้าถูกยกขึ้นสูงหลายระดับ แต่นี่ก็ยังไม่ใช่เหตุผลที่เจ้าจะมาพูดกับข้าเช่นนี้ ซิ่วไฉเฒ่าส่งข้ามาที่นี่ คำพูดไร้แก่นสารที่เขาพูดกับข้าเป็นกระบุงโกยมา ตลอดทาง ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลเสียทีเดียว”
เฉินชิงตูยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “คงไม่ใช่ว่าซิ่วไฉเฒ่าพูดเรื่องการสู่ขอทาบทามให้ฟัง ผู้อาวุโสก็เลยมาโมโหเอากับข้ากระมัง? ซิ่วไฉเฒ่าใจแคบจริงๆ ไม่ยอมเสียเปรียบ ใครเลยสักนิด!”
เฉินชิงตูยื่นมือออกมาจับกลุ่มแสงที่อยู่ตรงปลายกระบี่ เอ่ยว่า “มากกว่านี้ ไม่ได้อีกแล้ว ปณิธานกระบี่ที่บริสุทธิ์พวกนี้ ผู้อาวุโสสามารถเอาไปได้ทั้งหมดเลย ถือเป็นการชดใช้ที่ผู้น้อยถ่วงเวลาการขัดเกลาคมกระบี่ของผู้อาวุโสให้ล่าช้า หากมากกว่านี้อีก ข้าก็ไม่ถือสา เพียงกลัวก็แต่ว่าหลังจบเรื่องเฉินผิงอันรู้เข้าจะรู้สึก ไม่ดี”
นางขมวดคิ้ว เก็บกระบี่ยาวลงไป แสงสว่างกลุ่มนั้นหายวับเข้าไปในปลายกระบี่แล้วไหลวนไปอยู่บนตัวกระบี่อย่างเชื่องช้า นางกลับมาอยู่ในท่ากุมด้ามกระบี่อีกครั้ง เฉินชิงตูหันหน้าไปมอง ยิ้มกล่าวว่า “ตอนนี้เมื่อผู้อาวุโสหันมามองโลกมนุษย์อีกครั้ง ท่านมีความรู้สึกเช่นไร?”
นางหัวเราะเสียงเย็น “เล็กเกินไป”
เฉินชิงตูพยักหน้ารับ “ก็จริง ดวงดาวและดวงตะวันจันทราในอดีต เมื่ออยู่ภายใต้แสงกระบี่ของผู้อาวุโสก็ยังหม่นหมองไร้สีสัน หรือควรจะพูดอีกอย่างหนึ่งว่า คนที่สร้างธารดวงดาวพร่างพราวในทุกวันนี้ขึ้นมาก็คือบุคคลอย่างพวกท่านผู้อาวุโส”
ดวงดาวนับหมื่นบนท้องฟ้า ล้วนเป็นซากโครงกระดูกที่ล่องลอย
เฉินชิงตูลุกขึ้นยืน เรือนกายงองุ้มราวกับว่าไม่อาจแบกรับภาระหนักได้ หมื่นปี ที่ผ่านมานี้เขาไม่เคยยืดหลังตั้งตรงอย่างแท้จริงมาก่อน
ผู้ฝึกกระบี่ในใต้หล้าทั้งหลาย นอกจากเซียนกระบี่ใหญ่จำนวนน้อยนิดใน โลกมนุษย์แล้ว ทุกคนล้วนไม่เคยมีใครรู้ว่าหากย้อนกลับขึ้นไปหาจุดกำเนิด เวทกระบี่บนโลกนี้ล้วนมาจากฟากฟ้า
ต่อจากนั้นมาถึงจะเป็นวิชาอภินิหารนับพันนับหมื่นอย่างที่ถูกกระบี่ยาวซึ่งมี จุดกำเนิดมาจากโลกมนุษย์ฟันผ่าให้ร่วงลงมาสู่โลกพร้อมกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของ แต่ละฝ่าย ถูกมดตัวน้อยบนพื้นดินในโลกที่เดิมทีมีชีวิตอย่างทุกข์ทรมานยากลำบากเก็บเอามาทีละอย่าง จากนั้นถึงได้มีการฝึกตนเพื่อเดินสู่ที่สูง กลายเป็นเซียนบนภูเขา
จากหุ่นเชิดที่เป็นเพียงแค่ต้นกำเนิดของควันธูป จากสัตว์เดรัจฉานที่ถูก สิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายเลี้ยงเอาไว้ พลันแปรเปลี่ยนกลายมาเป็นเจ้าของใต้หล้า นั่นคือช่วงเวลาที่ยาวนานและเต็มไปด้วยความลำบากทุกข์ทรมานช่วงหนึ่ง
เฉินชิงตูก็คือหนึ่งในคนแรกๆ ของโลกมนุษย์ที่เรียนวิชากระบี่ คือผู้ฝึกกระบี่ เปิดขุนเขาที่มีวัยวุฒิสูงที่สุด สุดท้ายจึงสามารถร่วมมือกันบุกเบิกเปิดม่านฟ้า การที่กระบี่คือกระบี่ อีกทั้งเหตุใดถึงมีเพียงพลังพิฆาตของผู้ฝึกกระบี่ที่รุนแรงที่สุด ยิ่งใหญ่เหนือฟ้าดิน ก็คือเหตุผลข้อนี้
เพียงแต่ว่าช่วงหลังของสงครามใหญ่ที่ต่อสู้กันจนฟ้าถล่มแผ่นดินทลายครั้งนั้น ภายในของเผ่ามนุษย์เกิดความแตกแยก ผู้ฝึกกระบี่กลายมาเป็นนักโทษอาญา ถูกเนรเทศมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ เผ่าปีศาจถูกขับไล่ให้ไปอยู่ดินแดนกันดารเปลี่ยวร้าง ใต้หล้าไพศาลมีศาลบุ๋นของแผ่นดินกลางที่สร้างหอพิทักษ์เมืองขึ้นมา เก้าแห่ง ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน นักพรตน้อยขี่วัวสีดำเดินทางไกลไปยัง ใต้หล้ามืดสลัว สร้างรากฐานของป๋ายอวี้จิง ศาสดาพุทธมีดอกบัวเบ่งบานรองรับ ใต้ฝ่าเท้า แสงแห่งพระธรรมสาดส่องไปทั่วปฐพี
การสูญพันธ์ของเจียวหลงเมื่อแปดพันปีก่อน เมื่อเทียบกับเรื่องนี้จะนับเป็นอะไรได้
เฉินชิงตูถามเสียงเบา “เหตุใดผู้อาวุโสถึงยินดีเลือกเด็กคนนั้น?”
นางเอ่ยว่า “ฉีจิ้งชุนบอกว่าหมื่นหนึ่งของคนบางคนก็คือหนึ่งหมื่น อยากให้ข้าลองดู”
เฉินชิงตูถามอีก “ต้องผิดหวังอีกครั้งหรือไม่?”
นางยกกระบี่ขึ้นง่ายๆ แล้วจ้วงแทงกระบี่ออกไป
กระบี่แทงทะลุศีรษะของเฉินชิงตู แสงสีทองไหลรินออกมาจากตัวของกระบี่ ราวกับทางช้างเผือกเส้นเล็กๆ ที่ห้อยแขวนอยู่ในโลกมนุษย์
เฉินชิงตูยังคงไม่ขยับ เพียงแค่เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “นิสัยของผู้อาวุโสยังคง ไม่ค่อยดีเท่าไรจริงๆ”
นางเอ่ย “นี่ถือว่าดีขึ้นมากแล้ว”
เฉินชิงตูขยับเท้าเดินเบี่ยงออกไปสองสามก้าวหลบกระบี่เล่มนั้นมา ยิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นเหตุใดตอนนั้นผู้อาวุโสถึงต้องใช้กระบี่ฟันผ่าภูเขาห้อยหัว?”
หากไม่เป็นเพราะหย่าเซิ่งลงมือขัดขวางด้วยตัวเอง อีกทั้งยังเผยตัวในสถานที่ ที่อยู่นอกศาลบุ๋นอย่างหาได้ยาก คาดว่าตอนนี้ภูเขาห้อยหัวก็คงพังถล่มไปแล้ว
นางเอ่ย “ตอนนั้นนายท่านหมดสติ ข้าสามารถทำอะไรได้ด้วยตัวเอง”
เฉินชิงตูกล่าวอย่างจนใจ “ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าเจ้านายของผู้อาวุโสจะเป็นเฉินผิงอัน เพียงแต่ว่าลองมาคิดดูอีกครั้งก็เหมือนว่าหากเปลี่ยนเป็นคนอื่น กลับกลายเป็นว่าไม่ถูกต้อง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ถูกต้อง หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่น ใครกันแน่ที่เป็นเจ้านายก็คงบอกได้ยากแล้วจริงๆ”
เฉินชิงตูพลันหัวเราะ “หมากตัวสุดท้ายที่ฉีจิ้งชุนวางลงนี้ จะเป็นฝีมือของเทพเซียนแบบใดกันแน่นะ”
นางเอื้อมมือคว้าง่ายๆ แสงสีทองในตัวกระบี่ก็ถูกกระชากออกมา กลับมารวมตัวกันเป็นกลุ่มแสงที่สว่างพร่างพราวอีกครั้ง ถูกนางกุมไว้ในฝ่ามือแล้วบีบแตกอย่างง่ายดาย นางหัวเราะเสียงหยันเอ่ยว่า “มอบปณิธานกระบี่ให้? เจ้าเฉินชิงตูเนี่ยนะ?”
เฉินชิงตูพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ไม่เอ่ยคำใด
นางประกบสองนิ้วเข้าด้วยกัน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าจะเอามาเอง”
ตลอดทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่ล้วนมีแสงสีทองเป็นจุดๆ ผุดขึ้นมาจาก ความว่างเปล่า
เฉินชิงตูหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แล้วจึงถอนหายใจ คิดจะขวางก็ขวางไม่อยู่จริงๆ เพราะค่าตอบแทนสูงเกินไป แล้วนับประสาอะไรกับที่เขาเองก็ไม่แน่ใจในนิสัยของ อีกฝ่ายในทุกวันนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่ใช้ท่าไม้ตายแล้ว
ดังนั้นคนหนุ่มชุดเขียวที่กำลังสลายกลิ่นเหล้าอยู่บนทางเดินและกำลังจะเดินไปถึงจวนหนิงจึงเดินเซมาโผล่อยู่บนหัวกำแพงเมือง ปรากฏตัวอยู่ข้างกายสตรีร่าง สูงใหญ่
ใบหน้าเฉินผิงอันเต็มไปด้วยความสงสัย ตกตะลึงระคนประหลาดใจ เอ่ยเรียกเบาๆ ว่า “พี่สาวเทพเซียน?”
สตรีร่างสูงใหญ่โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้งสลายแสงสีทองไปสิ้น กระบี่ยาวในมือ ก็หายวับไป นางหันตัวกลับมาคลี่ยิ้ม จากนั้นก็โอบกอดเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันรู้สึกทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย เขากางสองแขนออกกว้าง หันหน้าไปมองเฉินชิงตูด้วยสีหน้าไร้เดียงสา ผลกลับถูกนางกดศีรษะให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของตัวเอง
เฉินชิงตูหลับตาลง จากนั้นก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง
ตนไม่ได้ตาฝาดจริงๆ ด้วย
ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ท่านนี้ยกมือมานวดคลึงจุดไท่หยางของตัวเอง ก่อนหน้านี้โดนไปหนึ่งกระบี่จะไม่เจ็บได้หรือ?
เฉินผิงอันใบหน้าแดงก่ำ ยังดีที่นางปล่อยมือแล้ว นางค้อมเอวก้มหน้าลงน้อยๆ ประสานสายตากับเขานิ่ง แล้วนางก็ยิ้มตาหยี พูดเสียงอ่อนโยนว่า “นายท่านสูงขึ้น อีกแล้วนะ”
เห็นว่านางทำท่าจะกางสองแขนออกอีกครั้ง เฉินผิงอันก็รีบยื่นมือไปกดสองแขนของนางลงเบาๆ ยิ้มเจื่อนอธิบายว่า “หากหนิงเหยามาเห็นเข้า ข้าตายแน่”
นางทำสีหน้าเจ็บปวด ยื่นมือมากดตรงหัวใจตัวเองเอาไว้ “ไม่กลัวว่าข้าจะเสียใจตายไปก่อนบ้างหรือ?”
ในดวงตาของเฉินผิงอันเต็มไปด้วยประกายแสงแปลกตา เขาคลี่ยิ้มกว้างสดใส หันหน้าไปมองม่านฟ้า ชูแขนขึ้นสูงแล้วชี้ไปยังดวงจันทร์ทั้งสามดวง ถามว่า “พี่สาวเทพเซียน ข้าได้ยินมาว่าหากใต้หล้าแห่งนี้ขาดดวงจันทร์ไปสองดวงก็ยัง ไม่เป็นไร เพราะสี่ฤดูกาลก็จะยังคงหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนไปดังเดิม สรรพสิ่งยังคง เกิดการเปลี่ยนแปลงไปตามปกติ ถ้าอย่างนั้นจะเป็นไปได้ไหมที่สักวันหนึ่งพวกเรา จะฟันดวงจันทร์ดวงหนึ่งให้ร่วงลงมาแล้วเอากลับบ้านไป? ยกตัวอย่างเช่น พวกเราสามารถแอบเอาไปไว้ในพื้นที่มงคลรากบัวบ้านของพวกเรา”
นางแหงนหน้าขึ้น ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “วันนี้ไม่ได้ วันหน้าไม่ยาก”
เฉินชิงตูยืนอยู่ด้านข้างด้วยความรู้สึกว่า มารดามันเถอะ ข้าอึดอัดจะตายห่าอยู่แล้ว
นางชำเลืองตามองเฉินชิงตู
เฉินชิงตูจึงเดินจากมา
เพียงแต่ว่าก่อนจะจากไป เฉินชิงตูพูดประโยคหนึ่งที่คล้ายไม่ใส่ใจว่า “วางใจเถอะ ข้าไม่เอาไปฟ้องแม่หนูหนิงหรอก”
เฉินผิงอันหมุนตัวกลับ ยิ้มพูดด้วยสายตากระจ่างใส “ข้าจะบอกนางด้วยตัวเอง”
นางยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ยังคงยิ้มตาหยี
เพียงแต่ว่าในทะเลสาบหัวใจของเฉินชิงตูกลับมีคำสามคำดังขึ้นมาราวกับ อสนีกัมปนาท “ไปตายไกลๆ”
เฉินชิงตูเอาสองมือไพล่หลัง เดินจากไปช้าๆ
เฉินผิงอันเอาสองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อ เดินเคียงบ่าไปกับวิญญาณกระบี่
สำหรับแม่น้ำแห่งกาลเวลา เฉินผิงอันคุ้นเคยจนคุ้นเคยไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ยามที่เดินอยู่ในนี้ เขาไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกทรมาน กลับกันยังเป็นเหมือนปลาได้น้ำ ความเจ็บปวดเล็กน้อยจากการที่จิตวิญญาณสั่นสะเทือนจะนับเป็นอะไรได้ หากไม่ใช่เพราะยังต้องรักษาหน้าตาเอาไว้บ้าง หากวิญญาณกระบี่ไม่เดินอยู่ข้างกาย เฉินผิงอันคงชักเท้าวิ่งตะบึงไปแล้ว เพราะถึงอย่างไรผลประโยชน์ที่ได้รับเมื่อร่างอยู่ท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่หยุดนิ่งก็แทบจะเรียกได้ว่าได้แต่พบเจอแต่มิอาจได้มาครอบครอง
เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มกล่าว “มาได้อย่างไร? อาจารย์ของข้าไปที่ เขตการปกครองหลงเฉวียนมาหรือ?”
นางพยักหน้ารับ
ซิ่วไฉเฒ่ายังคงกังวลว่าลูกศิษย์คนสุดท้ายอย่างตนจะอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ได้อย่างไม่เป็นสุข แน่นอนว่าซิ่วไฉเฒ่าก็เอ่ยกับนางอย่างตรงไปตรงมาว่า ตาแก่ หนังเหนียวอย่างเฉินชิงตูผู้นี้ ไม่เห็นแก่หน้าเขาซิ่วไฉเฒ่าก็แล้วไปเถิด ทำไมแม้แต่หน้าตาของอาจารย์เฉินผิงอันก็ยังไม่ยอมเห็นอยู่ในสายตา แบบนี้มันสมควรแล้วหรือ? นี่ไม่ใช่ว่าไม่เห็นแม้แต่หน้าของลูกศิษย์เขา ของเจ้านายนางหรอกหรือ? ใครให้ เฉินชิงตูยืมดีสุนัขถึงได้ใจกล้าเช่นนี้
เฉินผิงอันเอ่ย “เดิมทีนึกว่าต้องรออีกหลายสิบปีถึงจะได้พบกัน”
นางยิ้มกล่าว “เรื่องของการลับกระบี่ หน้าผาสังหารมังกรของศาลลมหิมะนั้นล้วนกินไปหมดแล้ว นายท่านโปรดวางใจ ข้ายังพอจะมีเหตุผลอยู่บ้าง แรกเริ่มพอ ศาลลมหิมะค้นพบเบาะแสก็ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ผู้ฝึกตนที่เฝ้าพิทักษ์อยู่ที่นั่น ไม่ว่าใครก็ไม่กล้ากระทำการบุ่มบ่าม จากนั้นเด็กตัวเท่าก้นหน้าอ่อนเยาว์คนหนึ่ง ก็แอบไปที่ภูเขาหลงจี๋มารอบหนึ่ง ทำตัวมีมารยาทเป็นอย่างดี
ข้าจึงไปพบเขา ถ่ายทอดวิชากระบี่หนึ่งบทให้แก่ศาลลมหิมะเป็นการตอบแทน อีกฝ่ายดีใจมาก เพราะถึงอย่างไรข้าก็ช่วยให้เขาฝ่าทะลุขอบเขต ต่อจากนี้ก็เป็น แถบของหร่วนฉง หร่วนฉงตอบตกลงแล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้ราชสำนักต้าหลีถึงได้เริ่มหาที่ตั้งสำนักแห่งใหม่ให้แก่สำนักกระบี่หลงเฉวียนแล้ว หร่วนฉงค่อนข้างฉลาด ไม่ได้มีข้อเรียกร้องอะไร พอข้าอารมณ์ดีก็เลยสอนวิชาหลอมกระบี่บทหนึ่งให้แก่เขา ไม่อย่างนั้นด้วยขอบเขตเละเทะนั่นของเขา เรื่องอะไรที่คิดถึงก็เป็นได้แค่ความเพ้อฝันอย่างเลื่อนลอยเท่านั้น ส่วนแท่นสังหารมังกรของภูเขาเจินอู่ก็ช่างเถิด เกี่ยวพันกับหลายฝ่ายมากเกินไป ง่ายที่จะชักนำปัญหามาได้ ข้าน่ะยังไงก็ได้ แต่นายท่านจะต้องปวดหัวอย่างมาก”
เรื่องบางอย่างไม่ใช่ว่านางทำไม่ได้ เพียงแต่ก็เหมือนอย่างที่เฉินชิงตูเป็นกังวลว่าใครกันแน่ถึงจะเป็นเจ้านาย เมื่อทำไปแล้วก็จะกลายเป็นปัญหาสำหรับเฉินผิงอัน
หลักการเหตุผลบางอย่าง อันที่จริงเฉินชิงตูพูดได้ไม่ผิดแม้แต่น้อย เพียงแต่นางรู้สึกว่าคนอย่างเฉินชิงตูไม่มีสิทธิ์จะมาพูดจาติติงวิพากษ์วิจารณ์นาง
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “สักวันหนึ่ง ยามอยู่ต่อหน้าข้า ปัญหาก็เป็นแค่ปัญหาเท่านั้น”
นางดีใจอย่างถึงที่สุด
อ้อมไปอ้อมมา เดิมนึกว่าจะแยกทางไปไกลเป็นพันเป็นหมื่นลี้ หากเป็นเช่นนี้ ไม่ถึงขั้นผิดหวังหรือไม่ผิดหวังอะไร เพียงแต่ว่าก็ยังอดเสียดายอยู่บ้างไม่มากก็น้อย คิดไม่ถึงว่าถึงท้ายที่สุด กลับกลายเป็นว่าเขากลายเป็นคนส่งกระบี่ที่ในใจตัวเองต้องการพอดี
นางยิ้มถาม “หากนายท่านสามารถเดินขึ้นสู่ที่สูงได้ สรุปแล้วอยากกลายเป็นคนแบบใดกันแน่?”
“พูดจามีเหตุผล ก้าวเดินมีเส้นทาง”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างไม่ลังเลว่า “จากนั้นก็ส่งกระบี่ออกไปนอกฟ้า หนึ่งหมัด ปล่อยออกไป ทำให้ผู้ฝึกยุทธในใต้หล้ารู้สึกเพียงว่าสวรรค์อยู่เบื้องบน”