Skip to content

Sword of Coming 594

บทที่ 594 มีคนร่วมปณิธานเดินทางมาจากทิศไกล

จวนของเซียนกระบี่ซุนจวี้เฉวียนไม่ได้แตกต่างไปจากจวนของชนชั้นสูงใน ใต้หล้าไพศาล แต่เพื่อทำให้ออกมา ‘ดูเหมือน’ นี้ เงินเทพเซียนที่ผลาญไปกลับเป็นจำนวนที่น่าตะลึงก้อนหนึ่ง

ซุนจวี้เฉวียนนั่งอยู่บนเสื่อไม้ไผ่ผืนหนึ่งที่แทบจะปูเต็มระเบียง มุมทั้งสี่ของเสื่อเย็น ต่างก็ใช้ที่ทับกระดาษวัสดุแตกต่างกันซึ่งแกะสลักอย่างประณีตทับไว้มุมละหนึ่งชิ้น

เซียนกระบี่ของแผ่นดินกลางอย่างขู่เซี่ยยืนอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ซุนจวี้เฉวียนยิ้มกล่าว “เปิดฉากมาไม่ราบรื่น ไม่โทษที่แผนการของหลินจวินปี้ มีช่องโหว่ ต้องโทษที่เจ้าตั้งชื่อได้ไม่ดี ตอนนี้เป็นช่วงหน้าร้อนพอดี ส่วนเจ้าก็ดันชื่อ ขู่เซี่ย หน้าร้อนที่ขมขื่น อย่าได้ทำให้หลินจวินปี้เดือดร้อนอีกเลย”

ขู่เซี่ยกล่าวอย่างจนใจ “เขาไม่ควรไปหาเรื่องหนิงเหยา”

ซุนจวี้เฉวียนยิ้มกล่าว “นี่ไม่ใช่คำพูดเหลวไหลหรอกหรือ? ก่อนหน้านี้มีเซียนกระบี่ที่มาชมศึกมากน้อยแค่ไหน? สามสิบ? หากรวมคนที่ไม่ได้ปรากฏตัวด้วย พวกเราไม่ได้ครึกครื้นกันมาแบบนี้นานเท่าไรแล้ว”

ขู่เซี่ยเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “หากสตรีที่เป็นเช่นนี้สามารถแต่งเข้าราชวงศ์เส้าหยวนได้คงเป็นเรื่องโชคดีที่ใหญ่เทียมฟ้า ไม่แน่ว่าโชควาสนาวิถีกระบี่ของราชวงศ์พวกเราอาจจะสามารถยกระดับขึ้นไปถึงยอดเขาได้”

ซุนจวี้เฉวียนหลุดหัวเราะพรืด “เลิกเพ้อฝันเสียทีเถอะ หลินจวินปี้ก็ถือว่า เป็นตัวนำโชคด้านวิถีกระบี่ของราชวงศ์เส้าหยวนพวกเจ้าแล้ว แล้วเป็นอย่างไร? แม่หนูหนิงของพวกเราก็ยังไม่คิดจะจดจำชื่อเขาไว้อยู่ดี อีกอย่างแม่หนูหนิงก็เคยเดินทางออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่

ไปท่องหลายทวีปของใต้หล้าไพศาลพวกเจ้าเพียงลำพัง แต่ก็ยังไม่มีใครรั้งนาง ไว้ได้อยู่ดีไม่ใช่หรือ เพราะฉะนั้นตัวเองไม่มีความสามารถที่จะรั้งคนเขาไว้ได้ ก็อย่ามาโทษว่าแม่หนูหนิงสายตาสูง”

ซุนจวี้เฉวียนพลันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตกตะลึงว่า “ราชครูท่านนั้นของราชวงศ์ เส้าหยวนพวกเจ้าคงไม่ได้ตั้งใจจะให้หลินจวินปี้มาขุดมุมกำแพงบ้าน (ความหมายเหมือนเลื่อนขาเก้าอี้/โค่นตำแหน่งแย่งชิงไป) พวกเราจริงๆ หรอกนะ? ตัวหลินจวินปี้เองรู้หรือไม่?”

ขู่เซี่ยเงียบงัน

ซุนจวี้เฉวียนไม่เหลือสีหน้าล้อเล่นอีก พูดเสียงทุ้มหนักว่า “หากมีความคิดเช่นนี้จริง ข้าก็แนะนำเจ้าว่าให้ล้มเลิกความคิดนี้ไปซะ รวมทั้งทำลายความคิดนี้ในใจของ หลินจวินปี้ให้สิ้นซากด้วย เรื่องบางอย่างต่อให้หน้าตาของใต้เท้าราชครูราชวงศ์ เส้าหยวนจะใหญ่แค่ไหน ก็ยังไม่ใหญ่เท่าชีวิตและมหามรรคาของเซียนกระบี่ในบ้านตัวเอง หากเจ้าเด็กทึ่มที่เหมือนลูกนกเพิ่งหัดบินอย่างหลินจวินปี้ไม่รู้หนักเบา ก็ไม่จำเป็นต้องให้หนิงเหยาลงมือเลย ลำพังเพียงแค่กลอุบายและวิธีการของเฉินผิงอันคนเดียว คนกลุ่มของหลินจวินปี้ รวมถึงเปียนจิ้งผู้นั้นก็คงต้องแบกรับผลลัพธ์ที่ตามมากันเอาเอง”

ขู่เซี่ยหันหน้ามาถามอย่างสงสัยว่า “คนหนุ่มผู้นี้ ข้าเคยได้ยินเรื่องราวบางอย่างของเขามาบ้าง พวกคนหนุ่มสาวของกำแพงเมืองปราณกระบี่ต่างก็กริ่งเกรงเขา เรื่องนี้ข้าไม่แปลกใจ แต่ทำไมแม้แต่เซียนกระบี่อย่างเจ้าก็ยังมองเขาสูงถึงเพียงนี้?”

ส่วนเรื่องวงในบางอย่าง ต่อให้จะเคยผ่านความเป็นความตายร่วมกับซุนจวี้เฉวียนมา เซียนกระบี่ขู่เซี่ยก็ยังไม่คิดจะถามให้มากความ ดังนั้นจึงไม่ยกเรื่องนี้มาพูดคุยเสียเลย

ซุนจวี้เฉวียนนั่งขัดสมาธิ พลิกฝ่ามือหนึ่งทีก็มีจอกเหล้าหนึ่งใบเพิ่มขึ้นมา เขาแกว่งมันเบาๆ ในจอกก็มีเหล้ารสเลิศผุดขึ้นมาด้วยตัวเอง จอกใบนี้คือของรักอันดับหนึ่งของผีขี้เหล้าตระกูลเซียนในใต้หล้า เหนือชั้นกว่าแมลงสุราหลายขุมนัก ด้วยเหตุนี้จอกนี้จึงมีชื่อว่า ‘น้ำพุสุรา’ เว้นเสียจากว่าดื่มไม่หยุดตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ดื่มรวดเดียวร้อยจิน ถ้าอย่างนั้นจอกเหล้าเล็กๆ ใบนี้ก็คือถังเหล้าใบใหญ่ที่ดื่มอย่างไรก็ดื่มไม่หมด ดังนั้นในกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่มีผีขี้เหล้าอยู่นับไม่ถ้วน จอกใบนี้จึงมีแค่สามใบเท่านั้น

ใบหนึ่งอยู่ในมือของซุนจวี้เฉวียน และยังมีอีกใบหนึ่งอยู่ในมือเยี่ยนหมิง เพียงแต่ดูเหมือนว่านับตั้งแต่เซียนกระบี่ท่านนี้ขาดแขนทั้งสองข้าง อีกทั้งขอบเขตยังถดถอย ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เคยดื่มเหล้าอีกเลย ส่วนใบสุดท้ายนั้นอยู่ในมือของเซียนกระบี่ ผู้เฒ่าตระกูลฉี

ในประวัติศาสตร์กำแพงเมืองปราณกระบี่เคยมีจอกน้ำพุสุรามากถึงห้าใบ แต่ว่าปีนั้นถูกใครบางคนที่ตั้งตัวเป็นเจ้ามือเปิดฉากเดิมพันทยอยหลอกเอาไปหนึ่งคู่ ตอนนี้ไม่รู้ว่าพวกมันกลับคืนไปยังใต้หล้าไพศาลหรือถูกพาไปยังฟ้านอกฟ้าด้านนอกใต้หล้า มืดสลัวแล้ว พอได้ไปอยู่ในมือ เจ้าหมอนั่นยังพูดจาน่าฟังว่าเรื่องดีๆ ต้องมาเป็นคู่ รวมกันกลายเป็นสามีภรรยา ไม่อย่างนั้นหากอยู่โดดเดี่ยวเป็นชายโสดเหมือนกับเจ้าของจะน่าสงสารเกินไป

ซุนจวี้เฉวียนกระดกดื่มเหล้าในจอกหมดรวดเดียว สุราในจอกก็เหมือนตาน้ำพุ ที่เติมตัวเองจนเต็มจอก ซุนจวี้เฉวียนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ขู่เซี่ย เจ้าคิดว่าคนคนหนึ่ง ที่เป็นคนร้ายกาจควรมีลักษณะเช่นไร?”

ขู่เซี่ยส่ายหน้า “ไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน แล้วก็คร้านจะคิดเรื่องนี้ให้มากความ ดังนั้นจึงขอเซียนกระบี่ซุนโปรดเอ่ยให้กระจ่าง”

ซุนจวี้เฉวียนใช้สองนิ้วคีบจอกเหล้าหมุนเบาๆ จ้องมองริ้วคลื่นเล็กละเอียดที่อยู่ในจอกแล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “ให้คนดีรู้สึกว่าคนผู้นี้คือคนดี ให้ศัตรูของเขา ไม่ว่าจะดี หรือเลว ไม่ว่าจะอยู่ในจุดยืนแบบใด ส่วนลึกในใจล้วนยินดียอมรับว่าคนผู้นี้คือคนดี”

ขู่เซี่ยใคร่ครวญอยู่นาน แล้วจึงพยักหน้าเอ่ยว่า “น่ากลัว”

ซุนจวี้เฉวียนส่ายหน้า “นี่ยังไม่ถือว่าน่ากลัวที่สุด”

ขู่เซี่ยขมวดคิ้ว “หมายความว่าอย่างไร?”

ซุนจวี้เฉวียนเอ่ยเนิบช้า “ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือคนผู้นี้คือคนดีจริงๆ”

ใจข้ามองวิถีทางโลกเช่นนี้ วิถีทางโลกควรมองข้าเช่นไร

ซุนจวี้เฉวียนคิดถึงตำราตราประทับร้อยเซียนกระบี่เล่มนั้น หนึ่งในตราประทับสลักคำว่าข้าพิศดูคนที่พิศมรรคาว่าพิศมรรคาอย่างไร

มีความหมายอย่างถึงที่สุด

น่าเสียดายก็แต่ตราประทับชิ้นที่ซุนจวี้เฉวียนถูกใจตั้งแต่แรกเห็นนั้นหายไปนานแล้ว ไม่รู้ว่าถูกเซียนกระบี่คนใดแอบเก็บเอาไว้

ซุนจวี้เฉวียนพลันหลุดหัวเราะพรืด เหลือบตามองไปยังทิศไกลด้วยสายตาเย็นชา “นี่มันกลุ่มลูกเจี๊ยบลูกกระต่ายอะไรกัน หลินจวินปี้ผู้นั้นก็ช่างเถิด เพราะถึงอย่างไร ก็ยังฉลาด น่าเสียดายก็แต่มาเจอกับแม่หนูหนิง ต่อให้เฉินผิงอันผู้นั้นจงใจพูดออกมาว่าได้เปรียบไปแล้วก็ควรแอบยินดีกับตัวเอง แค่ทำตัวอวดฉลาดให้น้อยหน่อย ก็พอแล้ว ส่วนคนอื่นๆ เจ้าเจี่ยงอะไรนั่น เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าใช่ไหม วิ่งมาเล่นที่กำแพงเมืองปราณกระบี่หรือไร? หากไม่มีสงครามยังนับว่าดี แต่ถ้าสงครามเปิดฉากขึ้นจริงๆ จะเอาหัวไปส่งให้พวกสัตว์เดรัจฉานที่กระเหี้ยนกระหือรือพวกนั้นหรือ? เซียนกระบี่อย่างเจ้าไม่เหนื่อยใจหรือไร?

หรือจะบอกว่าราชวงศ์เส้าหยวนของพวกเจ้าในทุกวันนี้มีขนบธรรมเนียมเช่นนี้แล้ว? ข้าจำได้ว่าปีนั้นเจ้าขู่เซี่ยเดินทางมาที่นี่กับคนอื่น ไม่ได้ไม่เอาถ่านขนาดนี้นี่นา?”

เซียนกระบี่ขู่เซี่ยไม่เอ่ยอะไร เงียบไปครู่หนึ่งถึงเปิดปากเอ่ยว่า “ใต้เท้าราชครูมีคำสั่ง ต่อให้ศึกใหญ่จะเปิดฉากขึ้น พวกเขาก็ไม่สามารถเดินลงจากหัวกำแพงเมืองได้”

ซุนจวี้เฉวียนกุมขมับ ดื่มเหล้าในจอกจนหมดเพื่อใช้สุราดับทุกข์ พูดโอดครวญว่า “จวนของข้าคงชื่อเสียงฉาวโฉ่เหม็นไปทั่วถนนแล้ว เซียนกระบี่ขู่เซี่ยเอ๋ย ช่างเป็น ฤดูร้อนที่ขมขื่นจริงๆ ที่แท้เป็นข้าซุนจวี้เฉวียนที่ถูกเจ้าทำร้ายได้อนาถที่สุด”

เซียนกระบี่ขู่เซี่ยรู้สึกผิดเล็กน้อย แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรมาก เพราะกับเพื่อนสนิทอย่างซุนจวี้เฉวียนนั้นไม่จำเป็นต้องเกรงใจกัน

เพียงแต่ว่าศิษย์หลานหนึ่งในสิบคนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ผู้ที่กลายเป็นเสาหลักของราชวงศ์เส้าหยวนมานานแล้วท่านนี้กลับอดนึกกังขาขึ้นมานิดๆ ไม่ได้ หรือว่าชื่อขู่เซี่ยของตัวเองจะศักดิ์สิทธิ์อยู่บ้างจริงๆ ?

ทางฝั่งของศาลาลมเย็น หลินจวินปี้เปลี่ยนมาสวมชุดคลุมอาคมตัวใหม่แล้ว กลับคืนมามีสีหน้าเป็นปกติ ยังคงสดชื่นแจ่มใสอยู่เหมือนเดิม มีมาดของเจ๋อเซียน อายุน้อย

เปียนจิ้งที่เผยร่องรอยของตัวเองไปเรียบร้อยนั่งอยู่บนขั้นบันได คาดว่าเขาคงเป็นผู้ฝึกกระบี่เพียงคนเดียวที่ขมวดคิ้วมุ่นไม่คลาย

เพราะคนหนุ่มสาวคนอื่นๆ ส่วนใหญ่แล้วยังเดือดดาลไม่หาย ก่นด่าเสียงดังขรม คนอีกส่วนหนึ่งที่เหลือคอยเอ่ยคำพูดปลอบใจที่ตัวเองคิดว่าเป็นธรรมมากที่สุด

แม้แต่ความหมายของการเฝ้าด่านทั้งสามนี้ก็ยังไม่รู้ เปียนจิ้งก็ไม่รู้จริงๆ ว่า เด็กพวกนี้มาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่เพื่ออะไร หรือว่าก่อนที่จะจากลากัน ผู้อาวุโสของพวกเขาไม่สอนบ้างเลย? หรือจะบอกว่าอายุน้อยเลยไม่รู้ความ

สาเหตุหลักเป็นเพราะผู้อาวุโสในตระกูลไม่รู้จักวางตัวเป็นแบบอย่างที่ดี? รู้แต่ว่าจะให้พวกเขาทำตัวสำรวมยามมาอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้น ดังนั้น จึงกลับกลายเป็นว่าทำให้พวกเขาเกิดใจคิดกบฏ?

สำหรับใต้หล้าเปลี่ยวร้าง รวมไปถึงความโหดร้ายของการโจมตีกำแพงเมืองจากเผ่าปีศาจ กลับไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วมันคืออะไร เปียนจิ้งถึงขั้นมั่นใจได้เลยว่า แม้แต่ตัวหลินจวินปี้เอง ศัตรูที่แฝงตัวอยู่ในสมองของพวกเขาแต่ละคนก็คงมีแค่ ผู้ฝึกกระบี่วัยเดียวกันของกำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้น ส่วนใต้หล้าเปลี่ยวร้างและเผ่าปีศาจกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่เคยเก็บเอามาใส่ใจแม้แต่น้อย ตัวเปียนจิ้งเองยังดีหน่อย เพราะตอนที่เดินทางไปเยือนหลิวเสียทวีปเคยได้สัมผัสกับพลังการต่อสู้ อันป่าเถื่อนและเรือนกายที่แข็งแกร่งของปีศาจก่อกำเนิดตนหนึ่งกับตัวเองมาก่อน เขากับสหายคนหนึ่งที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิด สองฝ่ายร่วมมือกันออกกระบี่นับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ยังไม่อาจทำร้ายรากฐานของอีกฝ่ายได้อย่างแท้จริง ได้แต่เพิ่มผู้ฝึกกระบี่โอสถทองมาช่วยคุมหลังอีกคนหนึ่ง ถึงจะสามารถกักตัวมันไว้แล้วค่อยๆ ทรมาน ให้ตายทั้งเป็นได้

สามด่านยากจะข้ามผ่านไปได้

นี่ก็เพราะกำแพงเมืองปราณกระบี่คาดหวังว่าผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นอย่างพวกเขา จะรู้จักระมัดระวัง รู้ว่าศึกใหญ่แต่ละครั้งที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ล้วนชนะได้ไม่ง่าย แล้วก็ถือโอกาสเตือนผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกคนที่อายุไม่มาก ประสบการณ์เข่นฆ่าไม่มากพอทั้งหลายว่า หากสงครามเปิดฉากขึ้นก็จงอยู่บน หัวกำแพงเมืองแต่โดยดี ออกแรงเล็กน้อยช่วยบังคับกระบี่ก็พอ อย่าได้ทำอะไรโดยใช้อารมณ์เด็ดขาด ไม่ใช่ว่าพอเลือดขึ้นหน้าก็ทะยานลงจากหัวกำแพงเมืองไปร่วม สนามรบ เซียนกระบี่มากมายในกำแพงเมืองปราณกระบี่จะไม่ห้ามปรามการกระทำ ที่มุทะลุเช่นนี้ แล้วก็ไม่สามารถแบ่งสมาธิไปสนใจได้มากนัก ส่วนคนต่างถิ่นที่มาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่เพียงแค่เพราะหวังขัดเกลาปณิธานกระบี่อย่างเดียว กำแพงเมืองปราณกระบี่เองก็ไม่ขับไสไล่สง

ส่วนข้อที่ว่าจะหยัดยืนได้อย่างแท้จริงหรือไม่ หรือจะได้รับความโปรดปรานจากเซียนกระบี่บางท่านจนยินดีถ่ายทอดเวทคาถาชั้นสูงให้หรือไม่ ก็หนีไม่พ้นต้องอาศัยความสามารถของใครของมัน

“จวินปี้เพิ่งจะอายุเท่าไรเอง แล้วหนิงเหยาผู้นั้นล่ะอายุเท่าไร? ชนะอย่าง ไม่สมเกียรติ แล้วยังจะพูดจากดข่มคนอื่นเช่นนั้นอีก นี่น่ะหรืออันดับหนึ่งของคน รุ่นเยาว์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่? หากถามข้านะ ต่อให้พลังสังหารของ เซียนกระบี่ที่นี่จะสูงมาก แต่จิตใจกลับคับแคบเท่ารูเข็ม”

“เห็นได้ชัดว่าหนิงเหยาผู้นั้นรู้ดีว่าศึกสามด่านนี้ ทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่มีทางได้เปรียบพวกเรา ก็เลยจงใจทำเช่นนี้ บีบให้จวินปี้ออกกระบี่ แล้วนางก็จะได้บีบคั้นรังแกคนอื่นอย่างนั้นไงล่ะ!”

“ใช่! แล้วยังมีพวกเซียนกระบี่ที่มาชมศึกอีก แต่ละคนมีเจตนาชั่วร้าย จงใจสร้างแรงกดดันให้แก่จวินปี้”

เจี่ยงกวนเฉิงหัวเราะหยันเอ่ยว่า “ข้าว่าหนิงเหยานั่นไม่ได้กดขอบเขตอะไรไว้เลย ล้วนเป็นภาพลวงตาทั้งนั้น ก็แค่อยากจะใช้วิธีการต่ำช้ามาเอาชนะจวินปี้ จะได้ปกป้องชื่อเสียงน้อยนิดอันน่าสงสารของนาง หนิงเหยายังเป็นเช่นนี้ ผังหยวนจี้ ฉีโซ่ว เกาเหย่โหว ผู้ฝึกกระบี่ที่พอจะถือว่าเป็นคนรุ่นเดียวกันกับพวกเราได้เหล่านี้ จะดีได้สักแค่ไหนกันเชียว? ไม่เสียแรงที่เป็นสถานที่กันดารป่าเถื่อน!”

เปียนจิ้งยกมือนวดคลึงจุดไท่หยาง ปวดหัว

ยังดีที่หลินจวินปี้ขมวดคิ้วเอ่ยเตือนว่า “เจี่ยงกวนเฉิง! พูดจาระวังปากหน่อย!”

เจียงกวนเฉิงถึงได้หุบปาก เพียงแต่ว่าสีหน้ายังเดือดดาลยากจะระงับอารมณ์ได้

ท่ามกลางกลุ่มคน จูเหมยไม่เอ่ยคำใด

จินเจินเมิ่งผู้ฝึกกระบี่โอสถทองก็ไม่เอ่ยอะไรเช่นกัน

จูเหมยนึกถึงเกาโย่วชิงที่พอแพ้ในการประลองครั้งที่หนึ่งก็หน้าเบ้ น้ำตาไหล ไปยืนอยู่ข้างกายเกาเหย่โหวและผังหยวนจี้เงียบๆ รวมไปถึงหลิวเถี่ยฝูที่พอแพ้แล้ว ก็ถูกพวกผู้ฝึกกระบี่ที่มาชมศึกโห่ไล่ไม่หยุด ทว่าหลิวเถี่ยฟูที่อายุไม่มากผู้นั้นกลับยังมีหน้าตายิ้มแย้ม ยังคงกุมหมัดเอ่ยขอบคุณท่ามกลางเสียงด่าอย่างขำขัน

ส่วนจินเจินเมิ่งกลับคิดถึงซือถูเว่ยหรันที่พอชนะตนก็ยิ้มบางๆ ประสานมือคารวะกลับคืน

รวมไปถึงหลังจากที่หนิงเหยาปรากฏตัวแล้ว บรรยากาศบนถนนก็พลันเปลี่ยนมาเป็นเคร่งขรึม ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่ทุกคนกลั้นลมหายใจรอดูเรื่องสนุกเท่านั้น

เด็กสาวอายุสิบสองปีซึ่งอายุน้อยที่สุดคนหนึ่งเดือดดาลเคืองแค้นมากเป็นพิเศษ นางเอ่ยเบาๆ ว่า “โดยเฉพาะเฉินผิงอันผู้นั้นที่ตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับจวินปี้ทุกเรื่อง เห็นได้ชัดว่าเขาละอายใจที่สู้ไม่ได้ เอาชนะฉีโซ่วและผังหยวนจี้ได้แล้วอย่างไร เขาเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของเหวินเซิ่งเชียวนะ ศิษย์พี่ก็คือเซียนกระบี่ใหญ่จั่วโย่ว ได้รับการชี้แนะอย่างตั้งใจจากเซียนกระบี่ใหญ่คนหนึ่งทั้งวันทั้งคืน เนิ่นนาน ปีแล้วปีเล่า อาศัยการสืบทอดสายบุ๋นจากอาจารย์ถึงมีคนเอาสมบัติอาคมมากมายขนาดนั้นมามอบให้เขา นี่ก็เรียกว่ามีความสามารถแล้วหรือ? หากผ่านไปอีกสิบปี ด้วยคนอย่างเขาเฉินผิงอัน คาดว่ายามยืนอยู่ต่อหน้าจวินปี้ก็คงไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงด้วยซ้ำ!”

เปียนจิ้งโอดครวญในใจไม่หยุด แม่นางน้อยของข้า เจ้าอย่าได้พูดจาเช่นนี้เพียงเพราะว่าชอบจวินปี้สิ

หลินจวินปี้ส่ายหน้า “เฉินผิงอันผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย เขาไม่ได้แย่อย่างที่เจ้าพูดเลยสักนิด”

จากนั้นหลินจวินปี้ก็หัวเราะ “หากคู่ต่อสู้ของข้าแย่เกินไป นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ตัวข้าเองไร้ความสามารถหรอกหรือ?”

เด็กสาวคนนั้นได้ยินแล้วก็รู้สึกว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าช่างเป็นคนดีเหลือเกิน

เปียนจิ้งตัดสินใจแล้วว่า วันหน้าตีให้ตายเขาก็ไม่มีทางเข้าร่วมวงทำเรื่อง เลอะเลือนกับคุณชายคุณหนูกลุ่มนี้เด็ดขาด

พวกเขาอยากจะทำอะไรก็ทำไป

ข้าผู้อาวุโสไม่ปรนนิบัติรับใช้แล้ว

แต่อันที่จริงตลอดทางมานี้เขาเปียนจิ้งก็ไม่ได้รับใช้พวกเขาสักเท่าไร แค่คอยดูเรื่องตลกอย่างเดียวเท่านั้น ความโชคดีเดียวก็คือ ใต้เท้าราชครูผู้เป็นอาจารย์ครึ่งตัวบอกอย่างตรงไปตรงมาว่าเด็กกลุ่มนี้จะไม่เข้าร่วมสงครามใหญ่ หากกำแพงเมืองปราณกระบี่เปิดฉากทำสงครามกับเผ่าปีศาจจริงๆ พวกเขาก็จะต้องกลับไปที่ สวนดอกเหมยของภูเขาห้อยหัวทันที จากนั้นก็เตรียมออกเดินทางกลับทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ทางที่ดีที่สุดก็ไม่ต้องไปหยุดพักอยู่ที่ทักษิณาตยทวีปด้วย

เปียนจิ้งใช้สองมือถูแก้ม พึมพำในใจว่า พวกเจ้ามองไม่เห็นข้า ไม่เห็นข้า

น่าเสียดายที่เจี่ยงกวนเฉิงไม่ยอมปล่อยเขาไป ถึงได้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “ที่แท้ศิษย์พี่เปียนจิ้งก็อำพรางตัวได้ลึกล้ำที่สุด! เห็นได้ชัดว่าเฉินผิงอันผู้นั้นกังวลมากว่าศิษย์พี่เปียนจิ้งจะลงมือหรือไม่”

เปียนจิ้งมีสีหน้าเอือมระอา เจ้าเด็กนี่ เจ้าตาบอดหรือไร?

พอเจี่ยงกวนเฉิงเอ่ยเช่นนี้ก็เหมือนกระดาษหน้าต่างที่ถูกเจาะให้เป็นรู ทุกคนพากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาทันใด เปียนจิ้งฟังคำประจบสอพลอที่อันที่จริงมีความจริงใจ อยู่มาก แต่เขากลับไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิด

พอคิดถึงคนหนุ่มที่ยิ้มตาหยี เอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อคนนั้น อยู่ดีๆ เปียนจิ้งก็รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง มักรู้สึกว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายเพียงเท่านี้

เปียนจิ้งไม่สนใจถ้อยคำสรรเสริญ รวมไปถึงถ้อยคำบางอย่างที่เต็มไปด้วยการ ยุแยงกระพือไฟของเจ้าเด็กพวกนี้ เพียงหันไปมองหลินจวินปี้

หลินจวินปี้ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าจะระวัง”

เปียนจิ้งถึงพอจะโล่งใจได้บ้างเล็กน้อย

ตอนนี้มาลองย้อนนึกดู อันที่จริงแผนการแรกเริ่มสุดของศิษย์น้องหลินจวินปี้ ที่จะฝ่าทะลุขอบเขตสองครั้ง ใช้กำลังของตัวเองคนเดียวเอาขอบเขตของ ชมมหาสมุทร ประตูมังกรและโอสถทองมาเอาชนะสามคนติด ผ่านสามด่านติดกัน ดูเหมือนว่านั่นต่างหากถึงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

บางทีเซียนกระบี่มากมายที่มาชมศึกอาจรู้สึกดีกับหลินจวินปี้มากขึ้น ไม่ใช่เป็นอย่างตอนนี้ที่เห็นหลินจวินปี้เป็นตัวตลก แล้วหันไปเข้าข้างหนิงเหยากันหมด

ต่อให้เปิดโอกาสให้เฉินผิงอันผู้นั้นได้เปิดฉากการต่อสู้ครั้งที่สี่ เขาเป็นฝ่ายได้เปรียบ แล้วจะอย่างไร? หลินจวินปี้แพ้ในตอนนี้ก็ยังถือเป็นชัยชนะ ยิ่งต่อสู้กัน อย่างเต็มคราบเท่าไรก็ยิ่งทำให้คนรู้สึกดีด้วยเท่านั้น เป็นหลักการเดียวกับที่เฉินผิงอันเอาชนะผังหยวนจี้ได้นั่นแหละ หากสามารถทำให้หนิงเหยาออกกระบี่โดยตรง ไม่ใช่เป็นเฉินผิงอันที่มาเก็บตกตามท้าย หลินจวินปี้ย่อมชนะได้มากกว่านี้

เพียงแต่ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงแค่ ‘ถ้าหาก’ เท่านั้น

เปียนจิ้งไม่ได้โง่จนถึงขั้นเอ่ยถามศิษย์น้องว่ารู้สึกเสียใจภายหลังบ้างหรือไม่

ยิ่งไม่มีทางพูดว่า ตอนนั้นที่เขาเปียนจิ้งเอ่ยประโยคว่า ‘ช่วงชิงแพ้ชนะกับคนอื่น น่าเบื่อจะตาย’ คือกำลังเตือนเขาหลินจวินปี้ว่าให้ช่วงชิงความสูงต่ำกับแค่ตัวเองก็พอ

เพราะหากพูดไปแล้ว จะกลายเป็นการผูกปมแค้นหาศัตรูให้ตัวเอง

ช่วงเสี่ยวหม่าน ดวงตะวันลอยสูงกลางนภา

เฉินผิงอันที่มาร้านเหล้าแต่ไม่ได้ดื่มเหล้า แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองโดนด่าไปกี่มากน้อยหิ้วม้านั่งไปนั่งที่มุมหัวเลี้ยวของตรอก อธิบายประวัติความเป็นมาของยี่สิบสี่ช่วงฤดูกาลให้กับพวกเด็กๆ ที่กลับมารวมตัวกันใหม่และมีจำนวนเพิ่มกว่าเดิมอีกครั้ง ยกเอาถ้อยคำของบ้านเกิดอย่างประโยคที่ว่า ‘เสี่ยวหม่านเม็ดข้าวไม่เต็มเต่ง มิอาจ เอาน้ำมาล้างจาน ธัญพืชอาจพาลโดนลมร้อน’ บางครั้งยังไม่ลืมโอ้อวดประโยคที่ตนจับโน่นมาผสมนี่ด้วยว่า ‘เหล่าเด็กน้อยแคว้นฉีร้องกินต้นข้าวน้อย ยามค่ำคืน พลันหลับฝันถึงกลิ่นหอมของข้าว’

น่าเสียดายที่วันนี้พวกเด็กๆ ไม่ค่อยสนใจเรื่องการอธิบายตัวอักษรหรือยี่สิบสี่ช่วงฤดูกาลอะไรทั้งนั้น ส่วนบทกวีอะไรจากเฉินผิงอันนั่นก็ยิ่งฟังไม่เข้าใจ เอาแต่ถาม เสียงจอกแจกจอแจว่าภาพเหตุการณ์ยามที่พี่สาวเทพธิดาหนิงเหยาแหกกฎออกกระบี่บนถนนเสวียนฮู่นั้นเป็นอย่างไรกันแน่ เฉินผิงอันที่ในมือถือกิ่งไผ่ โบกสะบัดกิ่งไม้ พลางพูดจ้อเป็นต่อยหอย เด็กตัวเท่าก้นที่ชื่อว่าคังเล่อคนนั้น ตอนนี้พ่อของเขามา ทำหน้าที่เป็นพ่อครัวทำบะหมี่หยางชุนอยู่ในร้านเหล้า ทุกวันนี้พอกลับไปถึงบ้าน ก็ร้ายกาจนักล่ะ กล้าพูดจาเสียงแข็งกับแม่เขาแล้ว และเด็กคนนี้ก็ยังคงชอบขัดคอคนเป็นที่สุด จึงถามว่าสรุปแล้วต้องมีเฉินผิงอันกี่คนถึงจะเอาชนะพี่หญิงหนิงได้ เฉินผิงอันอึ้งเงียบตอบไม่ถูก จากนั้นก็ถูกพวกเด็กๆ กลอกตามองบนใส่

เจ้าเด็กเฝิงคังเล่อส่ายหน้า ตบหัวเข่าเฉินผิงอัน พูดอย่างแก่แดดว่า “เฉินผิงอัน เจ้าเอาแต่มาเดินเตร็ดเตร่แถวตรอกของพวกเราอยู่อย่างนี้ ไม่ตั้งใจฝึกวรยุทธฝึกกระบี่ให้ดี ข้าว่าน่ะ ไม่ช้าก็เร็วพี่หญิงหนิงต้องรังเกียจที่เจ้าไร้ความสามารถแน่ๆ เอาชนะ ผังหยวนจี้ได้แล้วอย่างไร ดูเข้าสิ ทำเจ้าดีใจจนหางชี้ฟ้าแล้ว ชอบมาแสร้งวางมาด เป็นนายท่านใหญ่กับพวกเรา สามวันตกปลาสองวันตากแห แบบนี้ไม่ได้หรอกนะ”

พวกเด็กๆ ที่อยู่ข้างกายพากันพยักหน้าเห็นด้วย

เฉินผิงอันวางกิ่งไผ่พาดขวางไว้บนหัวเข่า ยื่นสองมือมาบีบแก้มคังเล่อ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เจ้าหุบปากเลยนะ”

เด็กน้อยตัวเท่าก้นยื่นมือมาทุบเฉินผิงอัน น่าเสียดายที่แขนสั้น เอื้อมไม่ถึง

มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่นอกสุดของวงนึกถึงมรสุมก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้ จึงยิ้มหน้าเป็นเอ่ยว่า “คังเล่อ เจ้าก็พูดให้ดังๆ หน่อยว่า ข้าเฉินผิงอันที่เป็นถึงลูกศิษย์ คนสุดท้ายของอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ได้ยินไม่ชัดเจน”

เสียงหัวเราะครืนดังสนั่นหวั่นไหวมาจากรอบด้าน

ตอนนี้ข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับเถ้าแก่รองผู้นี้ มีมากนักล่ะ

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ก็เพราะข้าเห็นว่าลูกกระต่ายอย่างพวกเจ้าอายุน้อย ไม่อย่างนั้นคงจะโดนกันคนละหมัดสองหมัด เท้าสองเท้าไปแล้ว หรือฟันกระบี่ ฉับเดียว พวกเจ้าก็ต้องเผ่นแน่บแน่”

เฝิงคังเล่อนวดคลึงซีกหน้า ขยับก้นขึ้น ยืดคอยาวออกไปมอง แย่แล้ว แม่นางน้อยตรอกเหยียนชือที่หน้าตางดงามที่สุดในใต้หล้านี้กำลังยืนมองตนอยู่ห่างไปไม่ไกล จริงๆ ด้วย

จะทำอย่างไรดี?!

แรกเริ่มสุดอาศัยเรื่องเล่าขุนเขาสายน้ำจากเฉินผิงอัน ทำให้นางยอมเป็น ภรรยาตัวน้อยของตนตอนเล่นพ่อแม่ลูกกัน ภายหลังก็อาศัยความหมายของชื่อ ตรอกเล็กเส้นนั้นที่เฉินผิงอันอธิบายให้ฟัง แล้วเขานำไปเล่าให้นางฟังต่ออีกที ตอนนี้เวลาพบเจอนางบนถนน แม้ว่านางจะยังไม่ค่อยพูดคุยกับตัวเองมากนัก แต่ดวงตา คู่นั้นก็กะพริบปริบๆ นั่นไม่ใช่ว่ากำลังทักทายเขาหรอกหรือ? นี่เป็นเรื่องที่เฉินผิงอันบอกกับเขาหลังจากได้ยินได้ฟังมา ทำให้ทุกวันก่อนที่เขาจะนอนหลับต้องนอน กลิ้งไปกลิ้งมาในผ้าห่มอย่างมีความสุข

ดังนั้นเฝิงคังเล่อจึงรีบนั่งตัวตรงทันที แอบหันไปขยิบตาให้เฉินผิงอัน จากนั้นก็พูดบ่นเบาๆ ว่า “เฉินผิงอัน ต้องโทษเจ้า วันหน้าหากนางไม่สนใจข้าแล้ว ดูสิว่าข้าจะด่าเจ้าจนตายหรือไม่”

เฉินผิงอันจึงยิ้มกล่าว “เห็นแก่บะหมี่หยางชุนของพ่อคังเล่อ วันนี้ข้าจะเล่าเรื่องประหลาดเกี่ยวกับผีพรายให้พวกเจ้าฟังมากหน่อย! รับรองว่าสนุกมากแน่ๆ !”

มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งทำสีหน้าไม่เห็นด้วย เอ่ยว่า “เฉินผิงอัน เจ้าเล่าเรื่องพระเอกที่กำจัดปีศาจปราบมาร ช่วยสวรรค์ผดุงความเป็นธรรมคนนั้นก่อนสิ สรุปว่าเขา มีขอบเขตอะไรกันแน่ ไม่ใช่ว่าถึงท้ายที่สุดแล้วดันเป็นห้าขอบเขตล่างเละเทะอะไรนั่นอีกนะ ไม่อย่างนั้นตามคำบอกของเจ้า ผู้ฝึกกระบี่มากมายในกำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเรา พอไปถึงบ้านเกิดของเจ้า แต่ละคนก็คือจอมยุทธใหญ่ในยุทธภพและ เทพเซียนบนภูเขาแล้ว จะเป็นไปได้อย่างไร”

มีคนเอ่ยคล้อยตามว่า “นั่นสิๆ ทุกครั้งที่พวกภูตผีตัวประหลาดปรากฏตัว เจ้าจงใจเล่าให้น่ากลัว ทำเอาทุกครั้งข้าต้องรู้สึกว่าพวกมันก็ไม่ต่างจากปีศาจใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเลย”

เฉินผิงอันกระแอมสองสามที นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็หันหน้ากลับไป แบฝ่ามือออก แม่นางน้อยคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างกายรีบเทเมล็ดแตงกำมือหนึ่งลงบนมือเฉินผิงอัน เฉินผิงอันยิ้มแล้วคืนให้นางครึ่งหนึ่ง แล้วถึงได้แทะเมล็ดแตงพลางพูดไปด้วยว่า “เซียนกระบี่หนุ่มที่พกกระบี่ลงจากเขาไปหาประสบการณ์ในยุทธภพที่จะเล่าถึงวันนี้ ขอบเขตของเขาเพียงพออย่างแน่นอน อีกทั้งยังหน้าตาหล่อเหลา สง่างามดุจ ต้นไม้หยกรับลม ไม่รู้ว่ามีจอมยุทธหญิงในยุทธภพและเทพธิดาบนภูเขากี่มากน้อย ที่เลื่อมใสและแอบชื่นชอบเขา น่าเสียดายที่เซียนกระบี่ซึ่งมีแซ่ฉีนามว่าจิ่งหลงผู้นี้ ไม่เคยให้ความสนใจ เพราะเขายังไม่เจอสตรีที่ตัวเองรักอย่างแท้จริง ส่วนผีพรายที่มาพบเจอเขาบนทางแคบตนนั้นก็น่ากลัวอย่างมาก น่ากลัวแค่ไหน? รอฟังจากข้าได้เลย นั่นคือไม่ว่าเจ้าเจอแอ่งน้ำขังในที่ใดก็ตาม ยกตัวอย่างเช่นแอ่งน้ำเล็กๆ แห่งใดก็ตาม ในตรอกหลังฝนตก และยังมีน้ำในถ้วยบนโต๊ะที่บ้านพวกเจ้า

ถังน้ำใบใหญ่ที่ถูกเปิดฝาออก มันก็จะโผล่พรวดออกมา ช่างน่ากลัวนัก! อย่าว่าแต่ พวกเจ้าเลย ต่อให้เป็นเซียนกระบี่ที่ชื่อฉีจิ่งหลงผู้นั้น ยามเดินผ่านลำคลองวักน้ำ มาดื่มแล้วพลันเห็นใบหน้าซีดขาวที่โผล่ออกมาจากกอหญ้าน้ำ เขาเองก็ตกใจจน หน้าเผือดสีเหมือนกัน”

เด็กคนหนึ่งตกใจจนกระโดดโหยงขึ้นมา ก่นด่าหน้าเบ้ “เฉินผิงอัน ท่านปู่เจ้าเถอะ!”

มีคนคนหนึ่งพลันถามว่า “ฉีจิ่งหลงผู้นี้คือใครกัน?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คือเซียนกระบี่หนุ่มคนหนึ่งที่ชอบดื่มเหล้ามาก แต่กลับแสร้งทำเป็นว่าตัวเองไม่ชอบดื่มเหล้า เจ้าหมอนี่ชอบอธิบายเหตุผลเป็นที่สุด น่าเบื่อยิ่งนัก”

เฝิงคังเล่อถาม “เป็นเซียนกระบี่อายุเท่าไร?”

เฉินผิงอันเอ่ย “ไม่ถึงร้อยปีกระมัง”

เฝิงคังเล่อจุ๊ปาก “แบบนี้ก็ยังกล้าเรียกว่าเป็นเซียนกระบี่หนุ่มอีกหรือ? เจ้ารีบเปลี่ยนเลย ต้องเรียกว่าเซียนกระบี่ผู้เฒ่า”

เฉินผิงอันบิดแก้มของเจ้าเด็กน้อยตัวเท่าก้น “เขาเป็นเพื่อนสนิทของข้าเฉินผิงอันเชียวนะ เจ้ากล้าพูดจากำเริบเสิบสานแบบนี้กับเขาหรือ?”

เฝิงคังเล่อแยกเขี้ยว ขยับก้น พลิกมือทุบไหล่ข้างหนึ่งของเฉินผิงอัน “ขนาดเจ้าข้ายังไม่เกรงใจ แล้วยังต้องเกรงใจเพื่อนเจ้าด้วยหรือ?”

แม่นางน้อยผิวพรรณขาวนวลที่อยู่ห่างไปไกลคนนั้นอ้าปากค้างน้อยๆ คงเป็นเพราะคิดไม่ถึงว่ายามอยู่กับเฉินผิงอัน คังเล่อจะใจกล้าขนาดนี้ ดูท่าคังเล่อจะไม่ได้โม้ให้นางฟังจริงๆ

เฉินผิงอันขยิบตาให้เฝิงคังเล่อ เด็กน้อยผงกศีรษะรับเบาๆ เป็นอันรู้กันว่าข้าเข้าใจ

เด็กหนุ่มตาดีคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างกลอกตามองบนอย่างอดไม่ไหว เถ้าแก่รองผู้นี้ก็ว่างงานจริงๆ ทุกวันไม่ต้องตั้งใจฝึกตนหรือ มาพูดคุยไร้สาระกับพวกเขาอยู่ที่นี่ แล้วตอนนี้ยังจะทำตัวเป็นผู้เฒ่าจันทราที่ผูกด้ายแดงให้คนอื่นอีก?

เล่าเรื่องขุนเขาสายน้ำที่ทำให้พวกเด็กๆ อกสั่นขวัญหายจบแล้ว เฉินผิงอันก็หิ้ว ม้านั่งลุกขึ้นยืน

พอไปถึงที่ร้านเหล้า มีเฉินซานชิวอยู่ก็ดีอยู่อย่างหนึ่ง รับรองว่าต้องมีม้านั่งยาว ให้นั่งแน่นอน

เด็กหนุ่มจางเจียเจินมาช่วยงานที่ร้าน รับผิดชอบคอยยกเหล้า ไม่ก็บะหมี่หยางชุน ไปให้พวกผู้ฝึกกระบี่ เด็กหนุ่มพูดไม่เก่ง แต่ใบหน้ามีรอยยิ้ม แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

วันนี้เฉินผิงอันมานั่งที่โต๊ะเหล้า แต่กลับไม่ได้ดื่มเหล้า เพียงแค่สั่งบะหมี่หยางชุนหนึ่งถ้วยกับผักดองหนึ่งจานมาจากจางเจียเจิน สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังเป็นเพราะความสามารถในการยุให้คนดื่มเหล้าของพวกเฉินซานชิว เจ้าอ้วนเยี่ยน ยังไม่เก่งกาจมากพอ

ก่อนจะกลับไปจวนหนิง เฉินผิงอันก็เอ่ยเตือนฟ่านต้าเช่อว่า “ต้าเช่ออ่า”

ฟ่านต้าเช่อที่กำลังก้มหน้าก้มตาพุ้ยบะหมี่หยางชุนรู้สึกเหมือนเจอกับศัตรู ตัวฉกาจทันที เวลานี้พอเขาได้ยินเฉินผิงอันเรียกชื่อตัวเองสามคำนี้ก็จะต้องตระหนกลนลาน ฟ่านต้าเช่อจึงรีบเอ่ยว่า “ข้าเลี้ยงเหล้าราคาห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะไปแล้ว! เจ้าไม่ดื่มเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า”

เฉินผิงอันวางตะเกียบลง พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ก่อนหน้านี้ที่บอกว่าให้ไปจวนหนิงบ่อยๆ อย่าได้ไม่เห็นเป็นสำคัญ อย่าให้ข้าต้องคอยไปนั่งยองหน้าประตูบ้านเจ้าขอร้องให้เจ้าไปประลองฝีมือ ถึงเวลานั้นหากข้าไม่ระวังลงมือหนักไป อาจซ้อม จนเจ้าต้องคลานกลับบ้าน ผลกลับกลายเป็นว่าพ่อแม่จำเจ้าไม่ได้ เลยไล่เจ้าออกจากบ้านมาอีกรอบ”

ฟ่านต้าเช่อพยักหน้ารับ

เฉินผิงอันยิ้มมองฟ่านต้าเช่อ

ฟ่านต้าเช่อมีสีหน้ามึนงง

เฉินซานชิวหันหน้าไปมองเด็กหนุ่มที่คอยจับตามองพวกลูกค้าร้านเหล้าอยู่ตลอดเวลา ตะโกนว่า “จางเจียเจิน เอาเหล้ามาให้ข้ากาหนึ่ง เอาแบบถูกที่สุดนะ! ข้าจะจ่ายเงิน แต่จำไว้ว่าต้องเตือนข้าด้วยว่าให้ลงบัญชีชื่อของฟ่านต้าเช่อเอาไว้ คราวหน้าที่มาดื่มเหล้าเจ้าก็ถามข้าสักคำว่า ฟ่านต้าเช่อจ่ายเงินให้แล้วหรือยัง”

จางเจียเจินพยักหน้ารับอย่างแรง รีบไปหยิบเอาเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่กาหนึ่งออกมาจากในร้าน

สำหรับเด็กหนุ่มจากตรอกเก่าโทรมผู้นี้ อาจารย์เฉินก็คือคนบนฟ้า

เฉินซานชิวคุณชายที่อยู่อาศัยบนถนนไท่เซี่ยงก็เช่นเดียวกัน

หากไม่เป็นเพราะมาทำงานระยะสั้นที่ร้านเหล้า บางทีชั่วชีวิตนี้จางเจียเจิน อาจไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับเฉินซานชิวแม้แต่ครึ่งคำ ยิ่งไม่มีทางถูกเฉินซานชิวจดจำชื่อของตนได้

จางเจียเจินโตมาขนาดนี้ยังไม่เคยไปที่ถนนไท่เซี่ยงและถนนเสวียนฮู่มาก่อน ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียว

ไม่มีใครขัดขวาง ทว่าก็ไม่ใช่แค่จางเจียเจินเท่านั้น อันที่จริงพวกเด็กๆ จากตรอกหลิงซี ตรอกเหยียนชือที่ชื่อน่าฟัง แต่กลับยากจนอย่างถึงที่สุดเหล่านี้ พวกเขาก็ไม่คิดจะไปเดินดูที่นั่นเหมือนกัน บางทีอาจจะมีคนคิดอยู่บ้าง แต่สุดท้ายกลับไม่มีความกล้าพอที่จะไปเยือนจริงๆ

เฉินผิงอันหันไปยิ้มให้จางเจียเจิน จากนั้นก็ชี้ไปที่ฟ่านต้าเช่อ แล้วหิ้วกาเหล้า ลุกขึ้นเดินจากไป

ฟ่านต้าเช่อก้มหน้ากินบะหมี่หยางชุนของตัวเองต่อ

บอกตามตรง หากไม่มีประโยคสุดท้ายของเฉินผิงอัน ฟ่านต้าเช่อก็ไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะไปจวนหนิงอย่างไร

หากเป็นแค่คำกล่าวที่เอ่ยไปตามมารยาทล่ะ? คำว่าประลองฝีมือกันบ่อยๆ คือบ่อยแค่ไหน? สามวันหนึ่งครั้ง หนึ่งเดือนหนึ่งครั้ง?

ประตูใหญ่ของจวนหนิงข้ามผ่านไปได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ?

ฟ่านต้าเช่อเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังของคนชุดเขียวที่อยู่บนถนนใหญ่ คนผู้นั้นเบี่ยงหน้าไปมองคำโคลงคู่ของร้านเหล้าน้อยใหญ่ข้างทาง บางครั้งก็ส่ายหน้า

มาถึงจวนหนิง น่าหลันเย่สิงเป็นผู้เปิดประตูให้

เดินไปที่ลานฝึกวรยุทธด้วยกัน ในมือน่าหลันเย่สิงหิ้วเหล้ากานั้น ยิ้มถามว่า “ควักเงินเองหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เลียนแบบมาจากต่งถ่านดำ ดื่มเหล้าต้องจ่ายเงิน ไม่ใช่ลูกผู้ชายตัวจริง”

น่าหลันเย่สิงหัวเราะดังลั่นอย่างชอบใจ “อีกเดี๋ยวข้าขอดื่มเหล้าสักสองคำแล้วค่อยออกกระบี่ ช่วยปรับมังกรใหญ่ให้เจ้าก็จะมีเรี่ยวมีแรงมากขึ้นแล้ว”

เฉินผิงอันจึงเริ่มยิ้มไม่ออก

ทางฝั่งศาลาของหน้าผาสังหารมังกร หนิงเหยาที่บอกว่ากลับบ้านมาฝึกตน อันที่จริงเอาแต่คุยเล่นกับป๋ายหมัวมัวอยู่ตลอดเวลา พอพบว่าเฉินผิงอันกลับมาเร็วขนาดนี้ หญิงชราไม่ต้องให้คุณหนูของตัวเองเตือนก็ยิ้มร่าไปจากศาลา จากนั้น หนิงเหยาก็เริ่มฝึกตน

ในฟ้าดินขนาดเล็กเมล็ดงาของลานประลองยุทธ น่าหลันเย่สิงเก็บกาเหล้าที่ดื่ม ไปเกือบครึ่งกากลับมา แล้วเริ่มออกกระบี่อย่างเฉียบคม

จากนั้นด้วยความไม่ระวังที่ต่อให้น่าหลันเย่สิงจะระวังแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ เฉินผิงอันก็ต้องนอนอยู่บนเตียงนานสิบวันครึ่งเดือน

ป๋ายหมัวมัวรีบร้อนเดินมาที่ลานประลองยุทธ น่าหลันเย่สิงตกใจจนเกือบจะหนีออกจากบ้าน

ยังดีที่เฉินผิงอันอธิบายให้ป๋ายหมัวมัวฟังว่าครั้งนี้ตนได้รับผลเก็บเกี่ยวมากล้น เดินบนเส้นทางการฝึกตนสายนี้ถือว่าถูกต้องแล้ว อีกทั้งยังไม่ต้องต้มยา เพราะเดิมทีการรักษาบาดแผลด้วยตัวเองก็เป็นการฝึกตนอย่างหนึ่ง

น่าหลันเย่สิงไม่กล้าพูดจาเหลวไหล บอกไปตามตรงว่า “เป็นเช่นนี้จริง”

เฉินผิงอันถูกหนิงเหยาประคองกลับไปยังเรือนหลังเล็ก

น่าหลันเย่สิงเตรียมรอว่าตัวเองต้องโดนด่าจนหูชาอย่างกล้าๆ กลัวๆ คิดไม่ถึงว่า ป๋ายเลี่ยนซวงเอาแต่มองแผ่นหลังของคนทั้งสองอยู่นานก็ยังไม่เอ่ยอะไร

น่าหลันเย่สิงคิดว่ารออยู่แบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง โดนด่าเร็วหน่อยดีกว่าโดนด่าช้า ขณะที่กำลังจะเปิดปากขอให้ด่า หญิงชรากลับไม่มีท่าทีว่าจะเปิดปากสั่งสอน เจ้าเฒ่าสุนัขแม้แต่ครึ่งคำ เพียงแค่พูดอย่างปลงอนิจจังเสียงเบาว่า “เจ้าว่าท่านเขย กับคุณหนูเหมือนนายท่านกับฮูหยินตอนยังเป็นหนุ่มสาวหรือไม่?”

น่าหลันเย่สิงหยิบกาเหล้าออกมา พยักหน้าเอ่ยว่า “จะไม่เหมือนได้อย่างไร”

หญิงชราตีหน้าเคร่งเอ่ย “หลายวันมานี้ลำบากเจ้าแล้ว”

น่าหลันเย่สิงถามอย่างฉงน “ว่าไงนะ?!”

หญิงชราจึงพูดอย่างเดือดดาล “เจ้าสุนัขเฒ่าไสหัวไปเฝ้าประตูเลยไป!”

น่าหลันเย่สิงพยักหน้า แบบนี้สิถึงจะถูก ตอนที่หมุนตัวเดินไปทางประตูใหญ่ ในใจของผู้เฒ่าก็รู้สึกสบายใจขึ้นอีกเยอะ

เฉินผิงอันนั่งอยู่บนเตียง เริ่มสูดหายใจทำสมาธิ จิตใจจมจ่อมอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกายคน

หนิงเหยานั่งอยู่ด้านข้าง ฟุบตัวลงบนโต๊ะ มองเฉินผิงอัน ดูเหมือนว่าเขาจะได้เจอกับคนที่ตัวเองอยากพบเจอ จึงคลี่ยิ้มออกมาอย่างห้ามตัวเองไม่ได้

นางรู้ว่าเป็นใคร เพราะวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สี่ เฉินผิงอันผ่านเส้นทางการ หล่อหลอมมาอย่างลุ่มๆ ดอนๆ กว่าจะหลอมสำเร็จได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ตอนที่ออกมาจากห้องลับแล้วเจอหนิงเหยา เขาก็ดึงนางเข้ามากอดต่อหน้าน่าหลันเย่สิงทันที หนิงเหยาไม่เคยเห็นเฉินผิงอันมีท่าทางเหมือนได้ปลดวางภาระแบบนี้มาก่อน ตอนนั้นน่าหลันเย่สิงก็รีบจากไปอย่างรู้อะไรควรไม่ควร นางรู้สึกสงสารเขาจึงกอดตอบเขา

เขาพูดด้วยความยินดีสีหน้าแช่มชื้นว่า เจ้าตัวน้อยนั่นยังอยู่ ที่แท้ก็อยู่ในหัวใจของเขา เพียงแต่ว่าตอนนี้ได้กลายเป็นคนตัวจิ๋วหัวโล้น พอพวกเขาได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง เจ้าโล้นน้อยที่ขี่มังกรเพลิงตัวนั้นก็ไล่ด่าเขามาตลอดทางบนเส้นทางหัวใจ

น้อยครั้งนักที่หนิงเหยาจะได้เห็นเฉินผิงอันเผยสีหน้าลิงโลดอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ โดยเฉพาะเฉินผิงอันหลังจากเติบใหญ่ นอกจากเวลาที่อยู่กับนางแล้ว หนิงเหยาก็อดเป็นกังวลไม่ได้ เพราะสภาพจิตใจของเฉินผิงอันเป็นเหมือนภิกษุชราผิวหนัง แห้งเหี่ยวที่มีชีวิตอยู่มาอย่างยาวนาน ได้พบเจอกับการพบพรากจากลามามากมายเหลือเกิน หนิงเหยาไม่อยากให้เฉินผิงอันเป็นเช่นนี้

ดังนั้นตอนที่นางได้เห็นเฉินผิงอันกลับไปเป็นเหมือนเมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็กหนุ่มและนางยังเป็นเด็กสาวอีกครั้ง หนิงเหยาจึงมีความสุขอย่างมาก

มีคนร่วมปณิธานเดินทางมาจากทิศไกล คือคนหัวโล้นตัวจิ๋วคนหนึ่ง

แต่กลับไม่ได้สวมจีวร ยังคงสวมชุดลัทธิขงจื๊ออยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ว่านอกจากจะพกกระบี่แล้ว คนจิ๋วยังมีคัมภีร์พุทธอีกเล่มหนึ่งซ่อนอยู่ในชายแขนเสื้อ

นั่นคือการกลับมาพบเจอกันอีกครั้งหลังจากกันไปเนิ่นนานที่เฉินผิงอันไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึง มีเพียงความรู้สึกผิดและละอายใจที่วนเวียนแม้ในความฝัน ยามตื่นนอนขึ้นมาก็ไม่เคยปล่อยวางลงได้ แต่กลับไม่อาจบอกกล่าวถึงความเสียดายและความละอายใจนั้นให้ใครฟัง

ชีวิตของเขามีการพรากจากโดยไม่ได้บอกลา การจากลาที่ไม่อาจได้กลับมาพบกันใหม่มากเกินไป

หนิงเหยาฟุบตัวลงบนโต๊ะจ้องนิ่งมองเฉินผิงอัน แล้วจู่ๆ นางก็หัวเราะกับตัวเอง จำได้ว่าก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนถนนเสวียนฮู่ เฉินผิงอันลังเลอยู่นาน ก่อนจะจับมือนางแล้วแอบถามว่า “ตอนที่ข้าอายุพอๆ กับหลินจวินปี้ ใครหล่อกว่ากัน”

ตอนนั้นหนิงเหยาย้อนถามไปก่อนว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”

เฉินผิงอันเริ่มยกมือเกาหัว รู้สึกว่าคำตอบนั้นชวนให้คนกลัดกลุ้มจริงๆ

ดังนั้นหนิงเหยาจึงบอกคำตอบในใจตัวเองออกไปตามความสัตย์จริง อีกทั้งยังไม่ได้แอบเก็บถ้อยคำเหล่านั้นไว้ในใจ นางบอกกับเขาว่า “เจ้าหล่อกว่ามากเลยล่ะ!”

เฉินผิงอันจึงยื่นมือทั้งสองมาลูบคิ้วของนางเบาๆ “หนิงเหยาเด็กโง่ของข้า ช่างสายตาดีจริงๆ !”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!