บทที่ 596 สิบเซียนกระบี่บนยอดเขาของกำแพงเมืองปราณกระบี่
ฟ่านต้าเช่อที่วันนี้ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ กำลังนั่งเหม่อลอยขณะที่ดื่มเหล้าอยู่ในร้านเหล้า
เฉินซานชิวเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร เขาเองก็บาดเจ็บไม่น้อย
ตกลงกันไว้แล้วว่าห้าคนร่วมแรงกันล้อมสังหารเซียนกระบี่น่าหลันเย่สิงในฟ้าดินขนาดเล็กเมล็ดงาซึ่งเป็นลานฝึกวรยุทธ
ผลกลับกลายเป็นว่านอกจากเฉินผิงอันแล้ว เฉินซานชิว เยี่ยนจั๋ว ต่งฮว่าฝู บวกกับฟ่านต้าเช่อที่เป็นตัวถ่วงที่สุดล้วนไม่มีใครมีจุดจบที่ดี ต่างกันแค่ว่าใคร บาดเจ็บมาก ใครบาดเจ็บน้อยเท่านั้น
เยี่ยนจั๋วกลับไปฝึกกระบี่ต่อ ต่งถ่านดำก็ไม่รู้ว่าไปเดินเตร็ดเตร่อยู่ที่ไหน จากนั้น ก็คงจะกินๆ ดื่มๆ ซื้อนั่นซื้อนี่ แต่สรุปแล้วก็คือบัญชีทั้งหมดล้วนลงไว้ในนาม เฉินซานชิวกับเยี่ยนจั๋วทั้งสิ้น
ฟ่านต้าเช่อเอ่ย “ซานชิว อยู่ดีๆ ข้าก็เริ่มกลัวว่าจะกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองซะแล้ว กลายเป็นโอสถทองก็จะไม่มีอาจารย์กระบี่คอยปกป้องอยู่ข้างกายอีก”
เฉินซานชิวยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ดีกว่าเจ้าหน่อย มาเกิดในครรภ์ที่ดี แซ่สกุลใหญ่ ในบ้านมีเงินมีคน ต่อให้กลายเป็นโอสถทองแล้วก็ยังมีอาจารย์กระบี่ของตระกูล คอยคุมหลังให้ ดีใจ ดีใจจริงๆ ข้าจะดื่มก่อนล่ะ”
แล้วเฉินซานชิวก็ยกชามเหล้าของตัวเองดื่มไปก่อนหนึ่งอึกจริงๆ
ทุกวันนี้เฉินซานชิวเองก็ค้นพบแล้วว่า ยามพูดคุยกับสหายที่จิตใจละเอียดอ่อน ดุจเส้นผมอย่างฟ่านต้าเช่อ ไม่สู้พูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่จำเป็นต้องสนใจความรู้สึกของอีกฝ่ายให้มากเกินไปนัก
ฟ่านต้าเช่อหัวเราะตามไปด้วย ก่อนจะเอ่ยว่า “เฉินผิงอันรับปากว่าศึกใหญ่ครั้งถัดไป ข้าจะติดตามพวกเจ้าออกจากหัวกำแพงเมืองด้วย ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันก็คือ อาจารย์กระบี่ของข้าไงล่ะ”
ฝึกกระบี่บนลานประลองยุทธมาหลายครั้งขนาดนี้ ต่อให้ฟ่านต้าเช่อจะโง่แค่ไหนก็ยังพอจะมองความตั้งใจบางอย่างของเฉินผิงอันออก นอกจากจะช่วยขัดเกลาขอบเขตให้ฟ่านต้าเช่อแล้ว ยังต้องการให้ทุกคนร่วมมือกันอย่างคุ้นเคย เพื่อที่ว่า ทุกคนจะได้รอดชีวิตท่ามกลางการเข่นฆ่าครั้งถัดไป ขณะเดียวกันก็พยายามสังหารปีศาจให้ได้มากขึ้น
เฉินซานชิวยกชามเหล้าขึ้นมาชนกับฟ่านต้าเช่อเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าเจ้าฟ่านต้าเช่อร้ายกาจ ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ทำให้เฉินผิงอันกลายมาเป็นองค์รักษ์ของตัวเองได้”
ฟ่านต้าเช่อรินเหล้าอีกชาม เช็ดปากแล้วเอ่ยว่า “พอคิดแบบนี้ก็รู้สึกเต็มใจอยากจะเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองแล้ว”
ฟ่านต้าเช่อกดเสียงลงเอ่ยว่า “ตอนนี้เฉินผิงอันเป็นถึงผู้ฝึกตนขอบเขตห้าแล้ว อีกทั้งยังมาฝ่าทะลุขอบเขตอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่พอดี เหตุใดตัวเขาเอง ไม่มาโพนทะนาที่ร้านเหล้าบ้างเลย?”
เฉินซานชิวยิ้มกล่าว “คาดว่าคงอายเกินกว่าจะป่าวประกาศกระมัง เพราะถึงอย่างไร ก็ยังไม่เป็นขอบเขตถ้ำสถิตเลย”
ฟ่านต้าเช่อส่ายหน้า “เขามีอะไรให้ต้องอายกัน”
ก่อนหน้านี้มาดื่มเหล้าด้วยกันที่นี่ เฉินผิงอันลุกขึ้นดื่มคารวะลูกค้าทุกคน พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวังดีว่า เซียนกระบี่ทุกท่าน เหตุใดพวกเจ้ายังไม่ฝ่าทะลุขอบเขตกันเสียที ไม่ต้องเกรงใจข้าหรอก
เรื่องแบบนี้มีอะไรให้ต้องเกรงใจกัน ดื่มเหล้าที่ถูกที่สุด กินบะหมี่หยางชุนที่อร่อยที่สุดและผักดองที่ไม่เก็บเงินของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปแล้ว แล้วยังไม่ฝ่า ทะลุขอบเขตเสียที นี่ก็เท่ากับว่านั่งยองในห้องส้วมแล้วไม่ยอมขี้เลยนะ พวกเจ้า ไม่รู้สึกผิดต่อเหล้า ต่อคำโคลงคู่และคำกลอนของร้านข้าหรือ? หากพวกเจ้าไม่มานะยิ่งกว่านี้ วันหน้าคนโสดที่มาดื่มเหล้าที่นี่จะต้องจ่ายเงินเพิ่มเหมือนกันหมดทุกคน!
ตอนนั้นพวกนักดื่มฟังจนอึ้งงันกันไปหมด รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ก็ดูเหมือนว่าหากจะคิดเป็นจริงเป็นจัง ยกตัวอย่างเช่นพูดกระทบกระเทียบประโยคว่า นั่งยองในห้องส้วมแล้วไม่ขี้นั้น คนที่เสียเปรียบกลับจะกลายเป็นตัวเอง
อันที่จริงเรื่องพวกนี้ยังถือว่าดี เรื่องที่ทำให้คนเต้นผางอยากด่ามารดามากที่สุด ยังเป็นเรื่องที่เดิมพันกันว่าต่งฮว่าฝูจะควักเงิน พวกนักพนันน้อยใหญ่แทบไม่มีใคร ที่ชนะการเดิมพันได้ แรกเริ่มทุกคนยังอารมณ์ดีกันอยู่มาก เพราะถึงอย่างไรเถ้าแก่รองกับเจ้าอ้วนน้อยตระกูลเยี่ยนก็ต้องเสียเงินมากมายเป็นเพื่อนพวกเขาเหมือนกัน ภายหลังผังหยวนจี้ที่เป็นคนเดียวซึ่งถือว่าลงเดิมพันชนะมาดื่มเหล้าที่ร้านเหล้าด้วยรอยยิ้มเบิกบาน ดังนั้นทุกคนจึงค่อยๆ เริ่มตระหนักได้ บวกกับที่นึกขึ้นมาได้ว่า ตาเฒ่าก่อกำเนิดที่เป็นเจ้ามือก็เป็นคนเดียวกับเจ้าตะพาบที่ก่อนหน้านี้อยู่ดีๆ ก็แต่งบทกวีขึ้นมาได้ไม่ใช่หรือ เจ้าชาติสุนัข ช่างทำได้อย่างคล่องแคล่วคุ้นเคยนัก!
ดังนั้นวันนี้เฉินผิงอันจึงไม่ได้ตามเฉินซานชิวและฟ่านต้าเช่อไปดื่มเหล้าที่ร้าน แต่ไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แทน
ระหว่างที่เดินทางไป เฉินผิงอันที่หลังจากแบ่งส่วนแบ่งแล้วก็ยังได้เงินฝนธัญพืชมาหลายเหรียญตั้งใจไว้ว่าจะต้องเปลี่ยนคนที่มาเป็น
เจ้ามือในคราวหน้า ยกตัวอย่างเช่นเซียนกระบี่เถาเหวิน เพราะมองดูแล้วเหมือนเป็นคนซื่อ
ไปถึงหัวกำแพงเมือง เฉินผิงอันไม่ได้บังคับเรือยันต์ให้หยุดลงข้างกายของศิษย์พี่โดยตรง แต่เลือกจะเดินเท้าไปอีกร้อยกว่าลี้
ระหว่างนี้ก็เจอเด็กๆ ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างกลุ่มหนึ่งที่กำลังฝึกกระบี่อยู่กับ ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่ง
มองดูการฝึกกระบี่ที่เป็นเช่นนี้ ไม่มีข้อห้ามใดๆ
เฉินผิงอันนั่งลงบนหัวกำแพงเมือง มองดูอยู่ไกลๆ ห่างไปไม่ไกลมีเด็กตัวเท่ากันเจ็ดแปดคนกำลังโต้เถียงกัน กำลังเถียงกันเรื่องที่ว่าต้องมีหลินจวินปี้กี่คนกันแน่ ถึงจะเล่นงานเถ้าแก่รองคนหนึ่งได้พอดี
เด็กที่ขึ้นมาเล่นบนหัวกำแพงเมืองได้ อันที่จริงล้วนไม่ธรรมดา หากไม่รวยก็ต้องเป็นชนชั้นสูง หรือไม่ก็มีคุณสมบัติของการฝึกกระบี่มาตั้งแต่ก่อนกำเนิด
เด็กๆ ที่อยู่ในตรอกอย่างตรอกเหยียนชือ ตรอกหลิงซีจะไม่มีทางมาที่นี่ หนึ่งเพราะตัวนครอยู่ห่างจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ไกลเกินไป เด็กๆ ชาวบ้านธรรมดามีกำลังเท้าไม่มากพอ นอกจากนี้บนหัวกำแพงเมืองก็มีปณิธานกระบี่ หนักเกินไป ปราณกระบี่เข้มข้นเกินไป พวกเด็กๆ ร่างกายอ่อนแอ ไม่อาจแบกรับความทรมานเช่นนี้ได้
นี่ก็คือชีวิตคน คนบางคนเป็นเหมือนปลาได้น้ำมาตั้งแต่เด็ก แต่คนบางคนยิ่งเติบใหญ่กลับเหมือนจมน้ำลึกไม่ก็ตกอยู่ท่ามกลางกองเพลิง
มีเด็กคนหนึ่งหันมาเห็นเฉินผิงอันที่นั่งอยู่ด้านข้างจึงตะโกนขึ้นมาว่า “เถ้าแก่รอง เจ้าลองบอกหน่อยว่าเจ้าสามารถจัดการหลินจวินปี้ห้าคนได้ด้วยฝ่ามือเดียวหรือไม่ หากเจ้าพยักหน้าตอบตกลง วันหน้าเจ้าก็จะกลายเป็นเพื่อนของข้าหยวนจ้าวฮว่าแล้ว!”
เฉินผิงอันไม่ได้หันหน้ามา เพียงแค่โบกมือบอกเป็นนัยให้เขาไสหัวไป
เด็กน้อยที่ชื่อน่าสนใจไม่น้อยคนนั้นยังไม่ยอมถอดใจ ถามต่ออีกว่า “สามคนล่ะ? สามคนก็น่าจะได้แล้วกระมัง?!”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่เคยสู้กับเขา ไม่รู้เหมือนกัน”
หยวนจ้าวฮว่าตะโกนว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะช่วยเขียนจดหมายท้ารบฉบับหนึ่ง ให้เจ้าดีไหม? บอกว่าเถ้าแก่รองคิดจะใช้ฝ่ามือข้างเดียวท้ารบกับทุกคนซึ่งมีทั้ง หลินจวินปี้ เหยียนลวี่และเจี่ยงกวนเฉิงเป็นหนึ่งในนั้น!”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน พุ่งวูบมาหยุดอยู่ข้างกายเด็กคนนั้นที่ยืนเอาสองมือเท้าเอว แล้วเขาก็ต้องอึ้งตะลึงไป ที่แท้ก็เป็นเด็กผู้ชายตัวปลอม เขาจึงจับศีรษะของนาง แล้วบิด ยกเท้าถีบเข้าที่ก้นของนางเบาๆ “ไปไหนก็ไปเลย เจ้าเขียนหนังสือเป็นหรือ ถึงได้บอกว่าจะเขียนจดหมายท้ารบน่ะ”
หยวนจ้าวฮว่ายืนได้มั่นคงแล้วก็พูดอย่างมีโทสะว่า “ข้ารู้จักตัวอักษรมากพอ ก็แล้วกัน! มีความรู้มากกว่าเจ้าเยอะเลยล่ะ!”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แล้วคำว่าขี้โม้ล่ะ เขียนเป็นหรือไม่?”
หยวนจ้าวฮว่าเอ่ย “เขียนเป็น แต่ข้าไม่เขียน อันที่จริงตัวเจ้าเขียนไม่เป็น เลยอยากจะให้ข้าสอนเจ้าใช่ไหมล่ะ? ฝันไปเถอะ!”
เห็นได้ชัดว่านางเป็นหัวโจกของกลุ่ม เด็กๆ คนอื่นจึงทำท่าเหมือนมีศัตรูร่วมกัน พากันคล้อยตามหยวนจ้าวฮว่า
เฉินผิงอันนั่งแปะลงไปบนพื้น หันหน้าไปทางนครที่อยู่ทางเหนือ บิดหมุนฝ่ามือหยิบใบไผ่ใบหนึ่งออกมาเป่าเป็นเพลง
หยวนจ้าวฮว่าฟังแล้วก็เอ่ยอย่างไม่ใยดีว่า “ไม่เห็นจะเพราะเลย”
พวกเด็กๆ คนอื่นจึงได้แต่พยักหน้ารัวๆ เป็นไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก
หยวนจ้าวฮว่าเห็นว่าเฉินผิงอันไม่ต่อปากต่อคำก็ให้รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เขาเพียงแค่ ใช้สองมือตบลงบนหัวเข่าเบาๆ สายตามองไปยังทิศไกล เหนือไปกว่านคร ที่นั่นก็คือหอมายาที่การค้ารุ่งเรือง มีปลาและมังกรปะปนกัน
เฉินผิงอันพลันยิ้มถามว่า “พวกเจ้าคิดว่าตอนนี้เซียนกระบี่สิบคนไหนที่ร้ายกาจที่สุด? ไม่ต้องจัดอันดับก่อนหลัง”
หยวนจ้าวฮว่ากลอกตามองบน “หากไม่มีลำดับก่อนหลังแล้วยังจะพูดกับผายลมทำไม ไม่มีความหมาย เจ้าเดาเอาเองเถอะ”
เฉินผิงอันคิดจะลุกขึ้นไปฝึกกระบี่
ตอนนี้เรียนกระบี่กับศิษย์พี่ค่อนข้างผ่อนคลาย ใช้กระบี่บินสี่เล่มมาต้านทานปราณกระบี่ ก็แค่ตายน้อยครั้งลงเท่านั้น
หยวนจ้าวฮว่ายื่นมือออกมา “เฉินผิงอัน หากเจ้ามอบพัดพับอันหนึ่งให้ข้า ข้าก็จะเปิดเผยความลับสวรรค์ให้เจ้ารู้”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ดีดลูกคิดคำนวณได้เก่งเลยนี่นา”
หยวนจ้าวฮว่ากางมือสองข้างออกมาขัดขวางไม่ให้เฉินผิงอันจากไป พูดด้วยสีหน้า ดื้อดึงว่า “เร็วเข้า! จะต้องเป็นพัดอันที่ตัวอักษรเขียนได้สวยที่สุดแล้วก็เยอะที่สุดด้วย!”
เดิมทีเฉินผิงอันไม่คิดจะสนใจ แต่จู่ๆ นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงนั่งกลับลงไป เอ่ยว่า “เจ้าพูดมาก่อน แล้วค่อยดูที่อารมณ์ของข้า”
หยวนจ้าวฮว่าพูดรัวเร็วดุจเทถั่วเหลืองออกจากกระบอกไม้ไผ่ “เซียนกระบี่ใหญ่ ผู้อาวุโส ต่งซานเกิง อาเหลียง ใต้เท้าอิ่นกวาน เฉินซี ฉีถิงจี้ จั่วโย่ว น่าหลันเซาเหว่ย เฒ่าหูหนวก เฉินจือ สิบคนนี้แหละ! เอาพัดมาเร็ว!”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน แล้วก็เอาพัดพับไผ่หยกอันหนึ่งออกมาจากวัตถุจื่อชื่อจริงๆ เขาตบมันลงบนฝ่ามือของเด็กชายตัวปลอมผู้นี้ “จำไว้ว่าเก็บไว้ให้ดี มันมีค่า หลายเหรียญเงินเทพเซียนเลยนะ”
หยวนจ้าวฮว่าคลี่พัดออก นางชอบมันมาก เพียงแต่ว่าตัวอักษรบนหน้าพัดน้อยไปหน่อย นางรู้จักแค่ไม่กี่ตัวเท่านั้น จึงเอ่ยอย่างขุ่นเคืองว่า “เปลี่ยนอันใหม่ ข้าต้องการอันที่มีตัวอักษรมากหน่อย”
เฉินผิงอันกดศีรษะเล็กๆ ของนางอีกครั้ง แล้วจึงบิดเบาๆ หันศีรษะของนางไปอีกด้าน ยิ้มเอ่ยว่า “แม่หนูน้อยอย่างเจ้ากล้าต่อรองราคากับข้าด้วยหรือ? หยุดแต่พอ สมควรเถิด ไม่อย่างนั้นระวังว่าข้าจะเปลี่ยนใจ”
หยวนจ้าวฮว่าหุบพัดพับในมือ เดินอ้อมไปด้านหลังแล้วเอื้อมมือออกมาอีก “ถ้าอย่างนั้นข้าจะซื้อพัดอีกอันที่มีตัวอักษรมากที่สุดจากเจ้า!”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “แล้วเงินล่ะ?”
หยวนจ้าวฮว่าเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ต่งซานเกิง อาเหลียง ใต้เท้าอิ่นกวาน เฉินซี ฉีถิงจี้ จั่วโย่ว น่าหลันเซาเหว่ย เฒ่าหูหนวก เฉินจือ นับตั้งแต่วันนี้ไปรวมเถ้าแก่รองเฉินผิงอันเข้าไปอีกคน! นี่ก็คือเซียนกระบี่ใหญ่สิบเอ็ดคนที่แข็งแกร่งที่สุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่เรา!”
เฉินผิงอันหัวเราะชอบใจ มอบพัดพับที่มีตัวอักษรเยอะมากจริงๆ ให้นางอีกอันหนึ่ง ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “แม่หนูน้อยใช้ได้เลยนี่นา หลอกเอาเงินไปจากข้าได้ เจ้าคือคนแรกของกำแพงเมืองปราณกระบี่เลย”
หยวนจ้าวฮว่าหรือจะสนใจ ‘ชื่อเสียงจอมปลอม’ นี้ เวลานี้มือทั้งสองข้างของนางล้วนมีพัดพับอยู่ข้างละหนึ่งอัน นางดีใจอย่างมาก แล้วจู่ๆ นางก็พลันกดเสียงต่ำ ถามด้วยน้ำเสียงปรึกษาหารือ “เจ้ามอบให้ข้าอีกสักอันสิ ตัวอักษรน้อยหน่อย ก็ไม่เป็นไร ข้าสามารถจัดเจ้าอยู่ในอันดับสิบคนแรก หรือห้าคนแรกก็ยังไม่มีปัญหา!”
น่าเสียดายที่เถ้าแก่รองผู้โง่งมคนนั้นได้ยิ้มเดินจากไปแล้ว
แต่ก่อนจะจากไปเขาหยิบตราประทับเล็กๆ ชิ้นหนึ่งขึ้นมาเป่าลมใส่ บอกให้ หยวนจ้าวฮว่ามอบพัดพับอันที่มีตัวอักษรน้อยให้เขา แล้วประทับตราลงไปเบาๆ ครั้นจึงมอบพัดพับคืนให้แม่นางน้อย
ทำเอาพวกเด็กๆ กลุ่มใหญ่หันมามองหน้ากันเอง
เมื่อเฉินผิงอันเดินจากไป และพอถ่ายทอดวิชากระบี่เสร็จ เซียนกระบี่ก่อกำเนิดผู้เฒ่าคนนั้นก็เดินเข้ามาหากลุ่มเด็กๆ
หยวนจ้าวฮว่ากำลังฟุบตัวอยู่บนหัวกำแพง ด้านหน้าวางพัดพับสองอันที่คลี่กางออก พยายามจะอ่านตัวหนังสือพวกนั้นให้ออก แน่นอนว่านางชอบพัดอันที่เขียนตัวอักษรไว้แน่นขนัดมากกว่า เพราะมองดูแล้วน่าจะแพงกว่า
แต่ผู้เฒ่ากลับค้อมตัวลงมองพัดอันที่มีตัวอักษรน้อยกว่า แล้วก็หลุดหัวเราะพรืด
‘เรื่องดีๆ ส่วนใหญ่มักดำรงอยู่ได้ไม่นาน ก้อนเมฆงดงามแยกสลายได้ง่าย แก้วใสแวววาวเปราะบางแตกง่าย’
‘ก้อนเมฆงดงามแยกสลายได้ง่ายยังหวนคืนมาได้อีกครั้ง จิตใจเหมือนแก้วใสแวววางเปราะบางแต่ยังไม่แตก’
ประโยคแรกนั้นเป็นบทกวีที่มีชื่อเสียงอย่างยิ่งในใต้หล้าไพศาล
ประโยคหลังนั่นเหมือนเอาหางหมามาต่อหางเตียว จับโน่นจับนี่มาผสมกันมั่ว สองประโยคหน้าหลังความหมายต่างกันไกลหนึ่งแสนแปดพันลี้ น่าจะเป็นคนหนุ่ม ผู้นั้นที่แต่งขึ้นมาเองอย่างส่งเดช
แต่ถึงอย่างไรก็มีความหมายดี ช่วยแก้ไขความหมายที่เศร้าสร้อยของประโยคแรก พูดได้แค่ว่ามีความตั้งใจที่ไม่เลว แค่นี้เท่านั้น
เซียนกระบี่ผู้เฒ่าร้องเอ๊ะหนึ่งที พลันย่อตัวลงมองตราประทับสีชาดที่ไม่สะดุดตาแล้วก็หลุดหัวเราะ น่าสนใจไม่น้อย
ตราประทับนั้นคือคำว่า ‘โลกมนุษย์มีการจากลามากมาย กระจกแตกก็กลับมากลมอีกครั้ง’
พอคิดถึงชาติกำเนิดของแม่หนูน้อยหยวนจ้าวฮว่าผู้นี้ บิดาที่เดิมทีมีหวังว่า จะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนรบตายอยู่บนสนามรบทางทิศใต้ เหลือแค่มารดาที่มีชีวิตพึ่งพากันและกัน ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าก็เงยหน้ามองแผ่นหลังของคนหนุ่มที่เดินจากไปไกล ผู้นั้น
ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็ยังแตกต่างไปจากบัณฑิตของสำนักศึกษาและสถานศึกษาที่เคยมาเยือนที่นี่อยู่ดี
ไม่ได้บอกว่าพวกเขาไม่ยินดีทำอะไร แต่ทุกคนกลับต้องมีจุดจบที่ชนกับกำแพงแทบทุกหนทุกแห่ง นานวันเข้าก็หมดอาลัยตายอยาก หวนกลับคืนสู่ใต้หล้าไพศาลด้วยความหม่นหมอง
เฉินผิงอันไปถึงจุดที่จั่วโย่วอยู่
จั่วโย่วถาม “ฝ่าทะลุขอบเขตเร็วขนาดนี้เชียวหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้าเอ่ย “เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตห้าแล้ว”
จั่วโย่วกล่าว “การศึกษาหาความรู้และอบรมจิตใจก็ไม่อาจเพิกเฉยได้เช่นกัน”
ใต้หล้านี้ก็คงมีศิษย์พี่อย่างจั่วโย่วเท่านั้นที่ไม่กังวลว่าขอบเขตของศิษย์น้องตัวเองจะต่ำ แต่กลับกังวลว่าจะฝ่าทะลุขอบเขตเร็วเกินไป
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “มีศิษย์พี่คอยจับจ้องอยู่ ต่อให้ข้าอยากขี้เกียจ ก็ไม่กล้าหรอก”
จั่วโย่วหัวเราะเสียงเย็น “ทำไมถึงไม่พูดว่า ‘ต่อให้จะอยากตายอยู่ด้านล่าง กำแพงเมืองปราณกระบี่ให้มากหน่อย แต่ก็ยังทำไม่ได้’ ล่ะ?”
เฉินผิงอันรู้เลยว่าการฝึกกระบี่ครั้งนี้ตนต้องเจ็บหนักแน่
จินกุ้ยแม่นางกุ้ยฮวาบนเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวา แท้จริงแล้วคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของกุ้ยฮูหยิน เมื่อสิบปีก่อนมีขอบเขตอะไร ตอนนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น เพราะถึงอย่างไรการฝ่าทะลุขอบเขตก็ยากยิ่ง ดังนั้นเมื่อเรือข้ามทวีปมาจอดเทียบท่าที่ภูเขาห้อยหัวในครั้งนี้ กุ้ยฮูหยินจึงตั้งใจให้นางไปเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์ที่ ภูเขาห้อยหัว ขุนเขาแอบอิงมหาสมุทร คือสถานที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมที่สภาพแวดล้อมเอื้ออำนวย ไม่เพียงแค่นี้ ครั้งนี้กุ้ยฮุหยินยังมอบเงินฝนธัญพืชให้จินกุ้ยหนึ่งเหรียญ เพื่อใช้เป็นเงินจับจ่ายใช้สอย นางยิ้มเอ่ยกับลูกศิษย์ว่า หากเจอของรักชิ้นที่คิดถึง มาเกือบยี่สิบปีก็อย่าได้ลังเลอีกเลย ทำเอาจินซู่ตกใจสะดุ้งโหยง หมายจะปฏิเสธ แต่กุ้ยฮูหยินกลับโบกมือ ขณะเดียวกันก็กำชับจินซู่หนึ่งประโยคว่า ท่านฉีและลูกศิษย์ของเขาล้วนเพิ่งเคยมาเยือนภูเขาห้อยหัวเป็นครั้งแรก จำไว้ว่าพยายามช่วยเหลือ พวกเขาให้มาก
จินซู่เองก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
ฉีจิ่งหลงและป๋ายโส่วผู้เป็นลูกศิษย์ของเขาต่างก็ไม่ได้แนะนำตัวว่ามาจากสำนักใด จินซู่จึงเห็นพวกเขาเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อกับเด็กรับใช้ที่พากันออกเดินทางมา ทัศนศึกษายังทิศไกล
อุตรกุรุทวีปขึ้นชื่อว่ามีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ แต่สองอาจารย์และศิษย์ต่างก็ไม่ได้พกกระบี่ติดกาย
ครั้งนี้พวกเขาโดยสารเกาะกุ้ยฮวาเดินทางไกลมายังภูเขาห้อยหัว ได้ยินว่า เพราะเป็นสหายของเฉินผิงอัน จึงได้เข้าพักในเรือนกุยม่ายที่อยู่ในนามของเฉินผิงอันมานานแล้ว
จินซู่เคยพูดคุยกับอาจารย์และศิษย์สองคนนี้ไม่มาก บางครั้งได้ไปเป็นแขก ไปนั่งดื่มน้ำชาในเรือนหลังเล็กเป็นเพื่อนกุ้ยฮูหยินบ้าง จินซู่รู้แค่ว่าฉีจิ่งหลงมาจากอุตรกุรุทวีป โดยสารเรือข้ามฟากของสำนักพีหมาชายหาดโครงกระดูกเดินทางลงใต้มาตลอดทาง ระหว่างทางหยุดพักที่เขตการปกครองหลงเฉวียนต้าหลี จากนั้นก็ตรงมาที่ นครมังกรเฒ่า พอดีกับที่เกาะกุ้ยฮวาจะเดินทางมายังภูเขาห้อยหัว จึงได้เข้าพักในเรือนกุยม่ายที่ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ไม่เคยมีใครได้มาเข้าพัก
กุ้ยฮูหยินผู้เป็นอาจารย์ไม่พูดถึงตบะของอีกฝ่าย จินซู่เองก็คร้านจะถามประวัติความเป็นมาของพวกเขาให้มากความ เพียงแค่มองพวกเขาเป็นผู้โดยสารทั่วไปที่ พบเจอกันครั้งเดียวแล้วก็คงไม่ได้พบเจอกันอีก
ฐานะทางบ้านเป็นอย่างไร ขอบเขตเป็นอย่างไร เป็นคนแบบไหน เกี่ยวอะไรกับนางจินซู่ด้วย?
เพียงแต่ว่าเรื่องที่อาจารย์มอบหมายมา จินซู่ไม่กล้าเพิกเฉย การจอดเทียบท่าของเกาะกุ้ยฮวาในครั้งนี้ยังคงจอดใกล้กับศาลาจัวฟ่าง นางเล่าประวัติความเป็นมาของศาลาจัวฟ่างให้ฉีจิ่งหลงฟัง คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มชื่อประหลาดคนนั้น เพียงแค่เห็นกรอบป้ายที่เขียนด้วยลายมือของเต๋าเหล่าเอ้อร์ก็หมดความสนใจที่จะไปหา ความครึกครื้นในศาลาหลังเล็กแล้ว กลับกลายเป็นฉีจิ่งหลงที่ยืนกรานจะเข้าไปยืนในศาลาแห่งนั้นให้ได้ จินซู่เองนั้นไม่มีปัญหา แต่เด็กหนุ่มป๋ายโส่วกลับหมดความอดทน จึงมีเพียงฉีจิ่งหลงที่เดินเบียดกลุ่มคนไปอย่างเชื่องช้า ปักหลักยืนอยู่ในศาลาจัวฟ่างที่มีคลื่นกระแสคนเบียดเสียดไปมาอยู่นาน สุดท้ายก็ออกมาจากศาลาหลังเล็กซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวทั้งแปดแห่งของภูเขาห้อยหัวที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด แล้วยัง เงยหน้าจ้องมองกรอบป้ายนั้นอยู่นาน ราวกับว่าจะมองอะไรออกจริงๆ นี่ทำให้จินซู่รู้สึกไม่ชอบใจเล็กน้อย ท่าทางเสแสร้งเช่นนี้ยังสู้เฉินผิงอันผู้นั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ
ยังดีที่เดิมทีจินซู่ก็เป็นสตรีที่มีนิสัยเย็นชา จึงมองอะไรจากสีหน้าของนางไม่ออก
บวกกับที่ข้างกายยังมีแม่นางกุ้ยฮวาที่สนิทสนมกับนางอยู่อีกหลายคน สามวันต่อจากนี้จะเดินทางท่องเที่ยวไปด้วยกัน จินซู่นึกถึงเงินฝนธัญพืชที่เก็บซ่อนไว้ อย่างระมัดระวังเหรียญนั้นก็พอจะยิ้มออกได้บ้าง
ป๋ายโส่วผู้นั้นเป็นคนที่ไร้ความละเอียดอ่อนอย่างแท้จริง เขาบ่นมาตลอดทาง ตำหนิว่า ‘เจ้าคนแซ่หลิว’ ถ่วงเวลาการไปเยือนหอเหลยเจ๋อของตัวเอง
เด็กหนุ่มไม่เรียกฉีจิ่งหลงด้วยความเคารพว่าอาจารย์ แล้วก็ไม่เรียกว่าอาจารย์ฉี เอาแต่เรียกว่า ‘คนแซ่หลิว’ ไม่ขาดปาก อันที่จริงนี่เป็นเรื่องประหลาดอย่างมาก
พาลูกศิษย์ที่ไม่รู้จักเด็กจักผู้ใหญ่ ขาดมารยาทและสัมมาคาระเช่นนี้ออกเดินทางไกลมาด้วยกัน อันที่จริงจินซู่คิดว่าฉีจิ่งหลงผู้นี้ประหลาดยิ่งกว่าเสียอีก
ออกมาจากศาลาจัวฟ่างที่มีมวลกระแสชนมหาศาล จินซู่สอบถามตามลำดับว่าอาจารย์ฉีมีโรงเตี๊ยมที่หมายตาไว้หรือไม่ โรงเตี๊ยมของเรือนหลิงจือทัศนียภาพ ยอดเยี่ยมที่สุด แต่จะแพงไปสักหน่อย ดังนั้นผู้โดยสารที่สนิทคุ้นเคยกับเกาะกุ้ยฮวาส่วนใหญ่จึงมักจะไปพักที่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย เฉินผิงอันที่เคยมาเยือนก็ไปพักที่นั่นเช่นกัน เพียงแต่ว่าโรงเตี๊ยมมีขนาดไม่ใหญ่ ตั้งอยู่ในจุดลึกของตรอกเก่าโทรม ไม่ค่อยสะดุดตานัก แล้วก็ไม่ถือว่าเป็นโรงเตี๊ยมที่ดีเท่าไร ยังดีที่ราคาถูกคุ้มค่า ฉีจิ่งหลงจึงยิ้มกล่าวว่ารบกวนแม่นางจินซู่พาข้าไปที่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยด้วย
ป๋ายโส่วไม่เต็มใจอย่างยิ่ง กำลังจะเปิดปากบ่น ฉีจิ่งหลงกลับหันมามองเขาเสียก่อน เด็กหนุ่มจึงกลืนคำพูดที่วิ่งมารออยู่ตรงปากกลับลงท้องไปแต่โดยดี ได้แต่นินทาอยู่ในใจเท่านั้น
คนทั้งกลุ่มไปถึงโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยที่หลบอยู่ในจุดลึกของตรอก ป๋ายโส่วเห็น เถ้าแก่หนุ่มที่มีรอยยิ้มเจิดจ้าผู้นั้นก็ให้รู้สึกว่าตัวเองคือหมูที่ถูกคนจูงมารอเชือด ดังนั้นหลังจากที่นั่งลงในห้องพักห้องหนึ่งกับคนแซ่หลิวแล้ว ป๋ายโส่วจึงเริ่มต้นบ่นทันทีว่า
“คนแซ่หลิว ผู้ฝึกกระบี่จากอุตรกุรุทวีปของพวกเราที่มาเยือนภูเขาห้อยหัว ไม่ใช่ว่าต่างก็เข้าพักกันที่เรือนชุนฟานหนึ่งในสี่เรือนส่วนตัวขนาดใหญ่ของภูเขา ห้อยหัวหรอกหรือ? มาอยู่ในสถานที่เล็กๆ เก่าโทรมแบบนี้ทำไมกัน ทำไม หรือเจ้าหลงใหลในความงามของพวกพี่สาวแม่นางกุ้ยฮวาพวกนั้นเข้าแล้ว?”
ฉีจิ่งหลงรินชาสองถ้วย ป๋ายโส่วรับถ้วยชามาก็กระดกดื่มหมดรวดเดียว แล้วบ่นพึมต่อว่า “คนแซ่หลิว ข้าต้องพูดจาจากใจจริงกับเจ้าบ้างแล้วล่ะ ต่อให้เป็นจินกุ้ย ที่สวยที่สุดในกลุ่มนั้น แต่รูปร่างหน้าตานางก็ยังสู้เทพธิดาหลูที่หลงใหลคลั่งไคล้เจ้าไม่ได้อยู่ดีไม่ใช่หรือ? อ้อ ใช่แล้ว ได้ยินมาว่าเจ้าของเรือนชุนฟานเคยเกือบจะได้เป็นคู่รักเทพเซียนกับบรรพจารย์ของเทพธิดาหลูแห่งภูเขาสุ่ยจิง เจ้าเลยกลัวว่าจะมีคน เอาข่าวไปบอกเทพธิดาหลู แล้วนางก็จะมาดักขวางทางเจ้าที่ภูเขาห้อยหัวหรือ? ไม่มีทางหรอก เทพธิดาหลูผู้นี้ไม่ใช่เจ้าจวนซุนของจวนไช่เฉวี่ยเสียหน่อย แต่หากจะให้ข้าพูดนะ ในบรรดาสตรีที่มาชื่นชอบเจ้า หากพูดถึงรูปโฉม แน่นอนว่าหลูสุ้ยย่อม สวยที่สุด แต่ถ้าเป็นเรื่องนิสัย ข้าชอบซุนชิงมากที่สุด เปิดเผยตรงไปตรงมา แต่กลับมีความลึกลับเล็กๆ ส่วนคนของศาลซานหลางนั่นออกจะกระตือรือร้นเกินไปหน่อย สายตาดุร้าย พอเห็นเจ้าคนแซ่หลิวก็เหมือนผีขี้เหล้าที่เห็นสุรารสเลิศอย่างไรอย่างนั้น ข้าเห็นก็รู้แล้วว่าพวกเจ้าสองคนไม่มีทางไปต่อได้ ไม่ใช่คนบนเส้นทางเดียวกันเลย”
ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “วันหน้าเมื่อต้องกลับไปสำนักกระบี่ไท่ฮุย ยังต้องการแวะ ไปเยือนภูเขาลั่วพั่วของเขตการปกครองหลงเฉวียนอีกรอบหรือไม่?”
ป๋ายโส่วหุบปากฉับ แกล้งเป็นคนหูหนวกเป็นใบ้ทันใด และดูเหมือนว่ายังรู้สึก ไม่มั่นคงพอ จึงฝืนนิสัยของตัวเองรินชาถ้วยหนึ่งให้คนแซ่หลิวอย่างนอบน้อม
ช่วยไม่ได้ ตอนนี้พอป๋ายโส่วคิดถึงถ่านดำที่จิตใจอำมหิตแต่กลับชอบเสแสร้งบางคน เขาก็หนังหัวชา ปวดตับแล้ว
คิดไม่ถึงว่าเซียนกระบี่ใหญ่ป๋ายโส่วผู้ยิ่งใหญ่อย่างข้า ออกเดินทางไกลครั้งแรก ยังไม่ทันได้ก่อร่างสร้างตัวสำเร็จ ชื่อเสียงอันองอาจที่สะสมมาทั้งชีวิตก็ต้องถูกทำลายภายในวันเดียวเสียแล้ว!
ไปภูเขาลั่วพั่วกับมารดามันเถอะ ชั่วชีวิตนี้ข้าผู้อาวุโสจะไม่กลับไปอีกแล้ว
ลูกศิษย์ตัวดีที่เฉินผิงอันชาติสุนัขสั่งสอนมา!
ภูเขาลั่วพั่วแห่งนี้ คาดว่าอักษรแปดตัวคงเข้ากับเขาป๋ายโส่วไม่ได้เลย ชะตาขัดแย้งกันเอง แล้วนับประสาอะไรกับที่แค่ฟังชื่อก็ไม่เป็นมงคลแล้ว ไม่ไปแล้ว ตีให้ตายก็ไม่ไปเด็ดขาด
ฉีจิ่งหลงคิดเรื่องในบ้านของตัวเองบางเรื่องขึ้นมาได้ ก็ทั้งจนใจและเสียใจ
ออกจากอุตรกุรุทวีปในครั้งนี้ ทั้งเป็นเพราะฉีจิ่งหลงอยู่ในช่วงว่างไม่มีอะไรทำ การถามกระบี่ของเซียนกระบี่ทั้งสามท่านที่สำนักกระบี่ไท่ฮุย เขาล้วนสามารถรับไว้ได้อย่างราบรื่น ดังนั้นจึงอยากจะไปท่องในอีกแปดทวีปที่เหลือของใต้หล้าไพศาล สักหน่อย อีกทั้งก็ยังเป็นความตั้งใจอย่างลับๆ ของหวงถงผู้เป็นบรรพจารย์ บอกว่า เจ้าสำนักมีคำสั่งต้องการให้เขาเดินทางไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ทันที เพราะเจ้าสำนักมีเรื่องที่จะมอบหมายแก่เขา แล้วมีหรือที่ฉีจิ่งหลงจะไม่รู้ถึงความตั้งใจของเจ้าสำนัก เขาคงอยากให้ฉีจิ่งหลงรีบเดินทางไปกำแพงเมืองปราณกระบี่ในช่วงเวลาสงบสุขระหว่างที่สงครามใหญ่ยังไม่เปิดฉาก ถึงขั้นอาจจะยกตำแหน่ง เจ้าสำนักให้แก่ตนโดยตรง ถ้าอย่างนั้นหลังจากนี้อย่างน้อยหนึ่งร้อยปีก็ไม่ต้องคิดจะใช้ชื่อของเขาฉีจิ่งหลงและสถานะผู้ฝึกกระบี่คนใหม่ของอุตรกุรุทวีปมาเข้าร่วมการพิทักษ์เมืองสังหารปีศาจที่กำแพงเมืองปราณกระบี่อีกแล้ว ส่วนเรื่องอื่นๆ ของ สำนักกระบี่ไท่ฮุยก็มอบหมายให้หานไหวจื่อจัดการคนเดียวเป็นพอ
ป๋ายโส่วไม่กล้าพูดเรื่องชายหญิงอีก แต่รีบเปลี่ยนหัวข้อพูดใหม่อย่างรู้กาลเทศะ “พวกเราจะไม่ไปพักที่เรือนชุนฟานจริงๆ หรือ? ข้าอยากไปเห็นเถาน้ำเต้านั้นกับตาตัวเองสักครั้ง ตอนอยู่บนภูเขาข้าตบอกรับรองพวกศิษย์น้องศิษย์หลานทั้งหลายว่าจะต้องไปดูพวกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ในอนาคตแทนพวกเขาให้ได้ หากไม่ได้เห็น กลับไปถึงสำนักกระบี่ไท่ฮุย ข้าก็ขายหน้าแย่ หรือว่าข้าจะทำได้แค่หลบอยู่บนยอดเขา เพียนหราน? หากข้าขายหน้า เอาเข้าจริงแล้วก็ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องขายหน้าไปด้วย หรือไร?”
เรือนชุนฟานคือหนึ่งในสี่จวนส่วนตัวขนาดใหญ่ของภูเขาห้อยหัว
จวนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแน่นอนว่าต้องเป็นจวนหยวนโหรวที่มีเทพเจ้าแห่ง โชคลาภหลิวของธวัลทวีปเฝ้าพิทักษ์ คือภูเขาเงินภูเขาทองที่เกิดจากเงินเทพเซียน กองทับถมกันโดยแท้ และบุญคุณความแค้นระหว่างเจ้าประมุขสกุลหลิวของ จวนหยวนโหรวตอนเป็นหนุ่มกับเทียนจวินใหญ่ของลัทธิเต๋าท่านนั้นก็ยิ่งเป็นเรื่องตลกที่แพร่หลาย
สวนดอกเหมยที่ผู้ฝึกตนจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเป็นผู้สร้าง มีคำเล่าลือว่าในสวนมีภูตห้าขอบเขตบนที่มีชีวิตอยู่มาแล้วไม่รู้กี่ปี ปีนั้นเพื่อให้ย้ายต้นเหมย บรรพบุรุษจากบ้านเกิดมาถึงภูเขาห้อยหัวได้อย่างราบรื่น เจ้าสวนก็ถึงกับเช่าเรือ ข้ามทวีปทั้งลำ เงินทองที่เผาผลาญไปมากแค่ไหน แค่คิดก็พอจะรู้ได้
ผู้สร้างเรือนชุนฟานคือเซียนกระบี่ที่สิ้นหวังคนหนึ่งของอุตรกุรุทวีป ที่นั่นจึงเป็นสถานที่รับรองผู้ฝึกกระบี่ของบ้านเกิดเป็นประจำ เพียงแต่ว่าเจ้าเรือนกลับไม่เคยเผยโฉมหน้า
สุดท้ายคือจวนสุ่ยจิง คือคฤหาสน์ตระกูลเซียนสำนักบนทะเลแห่งหนึ่ง ได้ยินมาว่าหลายปีมานี้อาศัยที่ตัวเป็นศาลาใกล้น้ำได้ยลแสงจันทร์ก่อน จึงรวบรวมรากฐานที่หลงเหลืออยู่ของร่องเจียวหลงเอาไว้ ชื่อเสียงของสำนักจึงเพิ่มพูนอย่างพรวดพราด
อย่างหานไหวจื่อเจ้าสำนักกระบี่ไท่ฮุย และหวงถงบรรพจารย์ผู้คุมกฎของ ศาลบรรพจารย์ รวมไปถึงลี่ไฉ่เจ้าสำนักทะเลสาบกระบี่ฝูผิงที่ภายหลังเดินทางมาที่ภูเขาห้อยหัวนั้น ล้วนเคยเข้าพักที่เรือนชุนฟานมาก่อนทั้งสิ้น ในเรือนชุนฟานปลูก เถาน้ำเต้าไว้เส้นหนึ่ง เมื่อผ่านการดูแลอย่างตั้งใจของเซียนผู้บรรลุมรรคารุ่นแล้ว รุ่นเล่า สุดท้ายเจ้าของเรือนชุนฟานก็ได้รับโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้านี้ไป เมื่อกรอกเทปราณวิญญาณต่อเนื่องมานานเป็นพันปี ก็ได้ฟูมฟักน้ำเต้าน้อยใหญ่สิบสี่ลูกที่มีหวังว่าจะนำไปสร้างเป็นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ได้ ขอแค่หลอมได้สำเร็จ ระดับขั้นก็ล้วนเริ่มต้นที่ระดับของสมบัติอาคมทั้งสิ้น น้ำเต้าลูกหนึ่งที่ระดับยอดเยี่ยมที่สุด หากหลอมเป็นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ได้ก็เล่าลือกันว่าจะกลายเป็นอาวุธกึ่งเซียน
สมบัติอาคมหรืออาวุธกึ่งเซียนบนภูเขา ต่อให้เป็นสมบัติตระกูลเซียนที่มีระดับขั้นเหมือนกัน แต่ก็มีการแบ่งสูงต่ำ ที่มีความต่างสูงราวฟ้ากับเหว
น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ชิ้นหนึ่งที่เป็นอาวุธกึ่งเซียนแทบจะสามารถทัดเทียมกับน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่มรรคาจารย์เต๋าทิ้งไว้ในปีนั้นได้เลย นี่จึงเป็นเหตุให้ถูกมองเป็นอาวุธเซียน
ตอนที่เซียนกระบี่แห่งอุตรกุรุทวีปท่านนั้นออกจากบ้านเกิดได้พาเถาน้ำเต้าต้นนั้นมาปลูกที่นี่ด้วย จวนชุนฟานได้รับการปกป้องจากภูเขาห้อยหัว ไม่ได้รับอิทธิพล จากการรบกวนของโลกภายนอก นี่ถือเป็นการกระทำที่ชาญฉลาดยิ่ง
เพียงแต่ว่าน้ำเต้าสิบสี่ลูกที่ยังไม่สุกงอมอย่างเต็มที่นี้ สุดท้ายสามารถหล่อหลอมเป็นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ได้สักครึ่งหนึ่ง ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว มากพอจะทำให้ชื่อเสียงของเรือนชุนฟานเลื่องลือไปทั้งใต้หล้า ได้กำไรกลับมาเป็นกอบเป็นกำ ประเด็นสำคัญคือยังสามารถอาศัยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เจ็ดลูกหรือมากกว่านั้นไปผูกมิตรกับเซียนกระบี่อย่างน้อยก็เจ็ดคน
ไม่แน่ว่าอาศัยควันธูปเหล่านี้ เจ้าของเรือนชุนฟานอาจยังมีหวังว่าจะได้ก่อสำนักตั้งพรรคขึ้นมาในทวีปใดของใต้หล้าไพศาลแล้วกลายเป็นบรรพบุรุษบุกเบิกขุนเขา ก็เป็นได้
ดังนั้นป๋ายโส่วถึงได้พะวงถึงเรือนชุนฟานตลอดเวลาเช่นนี้
แล้วนับประสาอะไรกับที่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีชาดลูกนั้นของเฉินผิงอันยังเป็นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ในตำนานลูกหนึ่ง ตอนนั้นที่อยู่บนยอดเขาเพียนหรานก็ทำให้ เด็กหนุ่มน้ำลายสออยากได้จะตายอยู่แล้ว
หากตนเองก็เป็นเหมือนพี่น้องเฉินที่เอาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ใบหนึ่งมาบรรจุเหล้าดื่ม ออกท่องไปในยุทธภพ จะมีหน้ามีตาแค่ไหนกัน?
เพียงแต่ว่าถึงอย่างไรพี่น้องเฉินก็หน้าบางไปสักหน่อย ไม่ยอมฟังคำแนะนำของเขา ที่บอกให้สลักสามตัวอักษรใหญ่ๆ ว่า ‘น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่’ ลงไปบนกาเหล้า
ฉีจิ่งหลงพยักหน้า “ไปแน่ แต่ไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวอีกเจ็ดแห่งก่อนค่อยกว่ากัน ตอนนี้หากคนนอกคิดจะเดินทางจากภูเขาห้อยหัวไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ เป็นเรื่องยากอย่างถึงที่สุด พวกเราจำเป็นต้องสานสัมพันธ์กับเรือนชุนฟานและขอให้พวกเขารับรองให้”
ป๋ายโส่วที่ตอนอยู่ภูเขาลั่วพั่วห่อเหี่ยวหม่นหมอง พอได้ยินว่าจะมีเรื่องสนุก จิตวิญญาณก็กลับเข้าร่างได้หลายส่วน เอ่ยอย่างอารมณ์ดีว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าช่วยจองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ของเรือนชุนฟานให้ข้าลูกหนึ่งได้หรือไม่ ข้าเองก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรมากมาย เอาแค่ลูกที่ระดับขั้นต่ำสุดก็พอ ถือเป็นของขวัญรับลูกศิษย์จากเจ้า? สำนักกระบี่ไท่ฮุยเป็นสำนักใหญ่ขนาดนั้น อีกอย่างเจ้าก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขต หยกดิบแล้ว ของขวัญรับลูกศิษย์จะแย่นักไม่ได้ เจ้าดูอย่างพี่น้องเฉินคนนั้นของข้าสิ พอศาลบรรพจารย์สร้างขึ้นสำเร็จก็ส่งมอบของขวัญให้ฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ มีชิ้นใดบ้าง ที่ไม่ใช่ของที่มีมูลค่าควรเมือง? คนแซ่หลิว จะดีจะชั่วเจ้าก็ควรต้องเลียนแบบเรื่องดีๆ จากพี่น้องเฉินมาบ้างกระมัง?”
อันที่จริงเด็กหนุ่มก็พูดไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้คิดว่าหลิวจิ่งหลงจะตกลงจริงๆ สมบัติล้ำค่าของผู้ฝึกกระบี่ที่ทองพันชั่งก็ยากจะหาซื้อได้อย่างน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ระดับขั้นสูงมากพอ ต่อให้เป็นเซียนกระบี่ก็ยัง ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีอยู่ในครอบครอง เพราะวัตถุดุจขนหงส์เขากิเลนอย่างน้ำเต้า เลี้ยงกระบี่นี้ น่ากระอักกระอ่วนยิ่งกว่าวัตถุฟางชุ่นและวัตถุจื่อชื่อเสียอีก ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสูงแล้ว แต่ระดับขั้นของน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่กลับต่ำ กลับกลายเป็นว่าจะไป ถ่วงรั้งการบำรุงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต แต่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ทำให้เซียนกระบี่ หมายตานั้นก็เรียกได้ว่าได้แต่ปรารถนาแต่ไม่อาจได้มาครอบครอง
แต่ไม่ว่าอย่างไรป๋ายโส่วก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าคนที่ดื่มชาอย่างเนิบช้าผู้นั้นจะพยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าจะลองเปิดปากถามดู แต่จะสำเร็จหรือไม่ ข้าไม่รับรอง หากได้ยิน ประโยคนี้แล้วทำให้เจ้าเกิดความคาดหวังสูงเกินไป ถึงเวลานั้นผิดหวังแล้วจะมา พานโกรธใส่ข้า แต่ผลคือเก็บอารมณ์ได้ไม่ดีพอ ถูกข้ามองออก ก็ถือว่าเป็นความผิดของอาจารย์ผู้ถ่ายทอดมรรคาอย่างข้า ถึงเวลานั้นเจ้าและข้าก็มาร่วมฝึกฝนจิตใจ ไปด้วยกัน”
เป็นครั้งแรกที่ป๋ายโส่วไม่เกิดอคติต่อคำพูดจู้จี้จุกจิกของคนแซ่หลิว เขาปิติยินดีอย่างหนัก พูดอย่างตกตะลึงว่า “คนแซ่หลิว! ยินดีจะเปิดปากให้ข้าจริงๆ หรือ?!”
คนแซ่หลิวผู้นี้มีแต่นิสัยแย่ๆ เต็มไปหมด มีดีแค่อย่างเดียวคือพูดคำไหนคำนั้น
ฉีจิ่งหลงย้อนถาม “ตอนอยู่ในศาลบรรพจารย์ เจ้ากราบอาจารย์ ข้ารับลูกศิษย์ ในฐานะผู้ถ่ายทอดมรรคา ตามหลักแล้วควรจะมอบของขวัญรับศิษย์ชิ้นหนึ่งให้ ลูกศิษย์ เจ้าคือผู้ฝึกกระบี่ผู้สืบทอดสายตรงของศาลบรรพจารย์สำนักกระบี่ไท่ฮุย ได้ครอบครองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกหนึ่งที่ไม่ธรรมดา เป็นประโยชน์ต่อมหามรรคาอย่างยิ่ง ใช้วิธีการที่ถูกต้องมาเลี้ยงกระบี่ให้เร็วยิ่งกว่าเดิม ก็จะมีเวลาเอาไปฝึกตน มากขึ้น เหตุใดข้าจะไม่ยินดีเปิดปาก? ข้าไม่ได้สร้างความลำบากใจให้คนอื่นด้วยการบีบให้เรือนชุนฟานต้องขายน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกหนึ่งให้เสียหน่อย”
ป๋ายโส่วอึ้งตะลึงไป ก่อนจะพึมพำว่า “ก็ข้าเห็นว่าเจ้าออกจากบ้านไม่เคยพกเงิน ดูไม่เหมือนคนใจกว้างเลยสักนิดนี่นา”
ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “คนคนหนึ่งใจกว้างหรือไม่ ไม่ได้เห็นนิสัยกันแค่เรื่องของเงินทองเสียหน่อย ความหมายนอกเหนือจากตามตัวอักษรของประโยคนี้ กุญแจสำคัญอยู่ที่ คำว่า ‘แค่’ หลักการเหตุผลบนโลก หากเดินไปบนทางสุดโต่ง ย่อมไม่ใช่เรื่องดีอะไร ที่ข้าพูดเช่นนี้ไม่ใช่เพื่อหาข้ออ้างให้ตัวเอง แต่ต้องการให้ยามที่เจ้าพบเจอทุกคนนอกเหนือจากข้า จะต้องคิดให้มากขึ้น หลีกเลี่ยงไม่ให้วันหน้าเมื่ออยู่บนเส้นทางของการฝึกตน แล้วเจ้าจะต้องพลาดสหายบางคนที่ไม่ควรพลาด คบหากับสหายบางคนที่ไม่ควรคบหาเป็นมิตร”
ป๋ายโส่วกล่าวอย่างสงสัย “เจ้ารู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าทางเรือนชุนฟานไม่มีทางขายน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ให้เจ้า เพียงแต่ว่าจะอาศัยโอกาสนี้มาพร่ำพูดหลักการเหตุผลใหญ่พวกนี้กับข้า!”
ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “ผู้ฝึกตน โดยเฉพาะคนที่เดินอยู่บนมรรคา กาลเวลามักจะยาวนานเสมอ ขอแค่ยินดีลืมตาไปมอง จะได้เห็นน้ำลดหินผุดกี่มากน้อย? หากข้าตั้งใจทำเช่นนี้ เจ้าจำเป็นต้องถามด้วยหรือ? ข้าพูดกับเจ้า แล้วเจ้าจะยิ่งเชื่อหรือ?”
ป๋ายโส่วใช้สองมือกุมศีรษะ พูดโอดครวญว่า “ปวดกบาล ไม่ฟังๆ ตะพาบท่องคัมภีร์”
ตอนที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว เด็กหนุ่มได้เรียนภาษาท้องถิ่นมาหลายประโยค
ฉีจิ่งหลงก็ไม่โกรธ เพียงยิ้มรับแล้วดื่มชา
ป๋ายโส่วพลันถามว่า “คนแซ่หลิว วันหน้าจะยังต้องไปเดินเที่ยวกับพวกแม่นางจินซู่ อีกหรือ? น่าเบื่อยิ่งนัก ยามที่พี่สาวพวกนี้เดินเที่ยวขึ้นมา ไม่กลัวลำบากไม่กลัวเหนื่อยยิ่งกว่าพวกเราฝึกตนเสียอีก ข้าล่ะกลัวจริงๆ”
ฉีจิ่งหลงกล่าว “เรือข้ามฟากของตระกูลฝูนครมังกรเฒ่าก็มาจอดเทียบท่าอยู่ที่ภูเขาห้อยหัวพอดีเหมือนกัน กุ้ยฮูหยินน่าจะกังวลว่าพวกนางมาเที่ยวเล่นที่ภูเขา ห้อยหัวแล้วจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น ลูกศิษย์ตระกูลฝูทำอะไรกำเริบเสิบสาน คิดว่าขนบธรรมเนียมประจำบ้านก็คือกฎของเมือง ตอนอยู่นครมังกรเฒ่าพวกเรา ก็เคยเห็นกับตาตัวเองมาก่อน ครั้งนี้พวกเรามาพักอยู่ในเรือนเล็กกุยม่าย ข้ามมหาสมุทรเดินทางไกล ทั้งเรื่องกินเรื่องอยู่ล้วนไม่ต้องจ่ายแม้แต่เหรียญ เกล็ดหิมะเดียว ก็ควรจะต้องปฏิบัติคืนคนเขาอย่างมีมารยาท”
ป๋ายโส่วยกสองมือกุมหัว เอ่ยว่า “หากเป็นแบบนี้ข้าก็จะอยู่เป็นเพื่อนพวกพี่สาวให้มากหน่อยแล้วกัน หากมีคนของตระกูลฝูแอบมาหาเรื่องจริงๆ ก็อย่าโทษว่าข้า เผยมาดของเซียนกระบี่ล่ะ”
ฉีจิ่งหลงยิ้มถาม “ไหนลองบอกมาสิว่าเป็นมาดเซียนกระบี่แบบไหน?”
ก่อนหน้าที่เรือข้ามฟากของสำนักพีหมาจะจอดลงบนท่าเรือของภูเขาหนิวเจี่ยว เด็กหนุ่มเองก็เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจเช่นนี้ ภายหลังเมื่อได้เห็นศีรษะน้อยๆ ทั้งสามนั่งเรียงกันแทะเมล็ดแตงอยู่บนขั้นบนสุดของบันไดภูเขาลั่วพั่ว เด็กหนุ่มก็ยังคงรู้สึกว่าการประลองวรยุทธของตนจะต้องกุมชัยชนะได้อย่างมั่นคงแน่นอน
ป๋ายโส่วกล่าวอย่างคนที่อับอายจนพานเป็นความโกรธ “คนแซ่หลิว สรุปว่าข้า ใช่ลูกศิษย์ของเจ้าหรือไม่?!”
กล่าวมาถึงตรงนี้ สีหน้าของเด็กหนุ่มก็หม่นหมองเล็กน้อย
นังหนูถ่านดำที่พูดจาโยงเรื่องนั้นไปเรื่องนี้ส่งเดชแต่กลับทำให้คนโมโหตายได้คนนั้น คือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของเฉินผิงอัน และอันที่จริงตนก็คือลูกศิษย์ผู้สืบทอด เพียงหนึ่งเดียวของคนแซ่หลิว
ขอบเขตผู้ฝึกลมปราณของเฉินผิงอันในตอนนี้อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบคนแซ่หลิวได้
ผลกลับกลายเป็นว่าเขาที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่วกลับต้องมีสภาพอเนจอนาถขนาดนั้น ตนไม่เหลือศักดิ์ศรีหน้าตา ก็ย่อมทำให้คนแซ่หลิวเสียหน้าไปด้วยไม่มากก็น้อย
ฉีจิ่งหลงเอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าไม่ได้รู้สึกว่าลูกศิษย์ของตัวเองสู้คนอื่นไม่ได้”
ป๋ายโส่วหน้าแดงก่ำ พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “คนแซ่หลิว เจ้าคิดเข้าข้างตัวเองแล้ว ตอนนี้ข้ายังไม่เคยเห็นเจ้าเป็นอาจารย์จริงๆ สักหน่อย!”
ฉีจิ่งหลงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “การช่วงชิงบนมหามรรคากับผู้อื่น ถึงอย่างไร ก็ต้องมีแพ้มีชนะ เพียงแค่ว่าแพ้ชนะกี่มากน้อยเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นพวกเราควร จะเลือกและสละอย่างไร ป๋ายโส่ว เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
เด็กหนุ่มฟุบตัวอยู่บนโต๊ะ ทอดถอนใจไม่หยุด อิจฉานังหนูน้อยที่ผิวดำยิ่งกว่าถ่านผู้นั้นจริงๆ อาจารย์ของนางชอบไปเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกบ่อยๆ ไม่คอยมาพร่ำบ่น อยู่ข้างกาย
แต่นี่ยังไม่นับเป็นอะไรได้
เรื่องที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ก่อนจะจากลากัน เจ้าถ่านดำตัวขาดทุนผู้นั้นดันอารมณ์ดีอย่างมาก บอกว่านางอาจจะได้ไปพบอาจารย์ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ประเด็นสำคัญคือต้องดูที่ว่าอาจารย์จ้งจะออกเดินทางเมื่อไหร่ แล้วนางก็ไม่สนใจด้วยว่า ป๋ายโส่วยินดีหรือไม่ เพราะได้ตัดสินใจแทนเขาไปเรียบร้อยแล้วว่า คราวหน้า ทั้งสองฝ่ายแค่ประลองด้านบุ๋น ไม่ต้องประลองด้านบู๊กันก็ได้
พอป๋ายโส่วคิดถึงเรื่องนี้ก็ยิ่งหงุดหงิดวุ่นวายใจ
หนิงเหยายังคงปิดด่าน
เฉินผิงอันนอกจากจะหลอมลมปราณแล้วก็จะเปิดฉากจับคู่เข่นฆ่ากับน่าหลันเย่สิงอย่างเต็มที่บนลานประลองยุทธ
ไม่มีพวกฟ่านต้าเช่ออยู่ด้วย เฉินผิงอันที่ออกทั้งหมัดทั้งกระบี่เต็มแรง ยามอยู่ในฟ้าดินเล็กเมล็ดงาแห่งนั้น ชุดเขียวนั่นก็คือทัศนียภาพอีกอย่างหนึ่งที่แตกต่างไป อย่างสิ้นเชิง
ตอนนี้ป๋ายหมัวมัวเคยชินที่จะไปนั่งดูอยู่ในศาลาเสียแล้ว ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็รู้สึกว่าท่านเขยของตัวเองคือเด็กรุ่นหลังที่หล่อเหลาที่สุดในกำแพงเมืองปราณกระบี่ รองลงมาก็คือผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธที่ร้อยปีไม่เคยปรากฎพันปียากจะ พานพบ ส่วนเรื่องการหลอมลมปราณนั้น จะต้องรีบร้อนไปไย แค่มองก็รู้แล้วว่า ท่านเขยเป็นคนประเภทที่ถอยออกมาดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยบุกโจมตี ตอนนี้ ก็เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตห้าแล้วไม่ใช่หรือ? คุณสมบัติในการฝึกตนไม่ได้แย่ไปกว่าคุณหนูของตนเท่าไรเลย
วันนี้ตรงมุมเลี้ยวของตรอกที่ห่างจากร้านไปไม่ไกล เฉินผิงอันมานั่งแทะเมล็ดแตงอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก ในที่สุดก็เล่าเรื่องราวขุนเขาสายน้ำของเซียนกระบี่ที่ชอบร่ำสุราคนนั้นจบสักที
เฝิงคังเล่อรู้สึกยังไม่สาแก่ใจมากพอ จึงถามเฉินผิงอันว่ายังมีเรื่องเล่าแปลกพิสดารเรื่องอื่นที่เกี่ยวกับตาเฒ่าเซียนกระบี่ผู้นี้อีกไหม เฉินผิงอันคิดแล้วก็รู้สึกว่าสามารถ แต่งขึ้นมาเองสองสามเรื่องก็ได้ จึงบอกว่ายังมี มีเรื่องราวอีกมากเป็นกระบุงโกย ดังนั้นจึงเริ่มต้นเล่าเรื่องด้วยการบอกว่า เซียนกระบี่หนุ่มคนนั้นเดินทางยามค่ำคืนไปถึงวัดร้างห่างไกลที่ฝูงอีกาสะบัดปีกบินหนีทันทีที่มีคนเดินเข้ามา เขาก่อกองไฟ กำลังดื่มเหล้าอย่างสำราญใจก็ได้เจอกับสตรีที่เรือนกายอรชรอ้อนแอ้นหลายคนมาพร้อมกับสายลมกลิ่นหอมโชยเป็นระลอก พวกนางพูดคุยหัวเราะคิกคักดุจเสียง นกร้อง พลิ้วกายเข้ามาในวัดร้างพร้อมชุดอันพลิ้วไหว เซียนกระบี่หนุ่มเงยหน้าขึ้นมองก็ขมวดคิ้วมุ่นทันที เพราะในฐานะผู้ฝึกตน เมื่อเพ่งสายตามองไป โคจรวิชาอภินิหารจึงมองเห็นหางจิ้งจอกด้านหลังสตรีเหล่านั้น ดังนั้นเซียนกระบี่หนุ่มจึงกระดกเหล้าดื่มไปอีกหนึ่งกาแล้วลุกขึ้นยืนช้าๆ
เล่ามาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็หยุดชะงักแล้วเอ่ยประโยคโปรดรอฟังตอนถัดไปที่ ทำให้คนรำคาญที่สุด
เฉินผิงอันไปที่ร้านเหล้า แต่ก็ยังคงไม่ดื่มเหล้า หลักๆ แล้วเป็นเพราะพวก ฟ่านต้าเช่อไม่อยู่ พวกผีขี้เหล้าและนักพนันคนอื่นๆ นั้น ทุกวันนี้สายตาของแต่ละคน ที่มองตนไม่ค่อยเป็นมิตรนัก คิดจะขอเหล้าจากพวกเขาสักชามครึ่งชามก็ยากแล้ว ไม่มีเหตุผลเลยนี่นา ข้าขายเหล้าให้พวกเจ้าดื่ม ไม่ได้ติดเงินพวกเจ้าสักหน่อย
เฉินผิงอันไปนั่งกินบะหมี่หยางชุนอยู่ข้างทาง เพียงแต่ว่าพอนึกขึ้นมาก็ให้รู้สึกผิดต่อฉีจิ่งหลง ดูเหมือนว่าเขาจะเล่าเรื่องได้ไม่ชวนติดตามมากพอ ช่วยไม่ได้ ถึงอย่างไรตนก็ไม่ใช่นักเล่านิทานจริงๆ นี่ก็พยายามสุดความสามารถมากแล้ว