บทที่ 598 ยังไม่ทันได้ถามหมัดก็อันตรายแล้ว
ป๋ายโส่วยังปรับตัวให้ชินกับขนบธรรมเนียมของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ได้เท่าไร ท่าทางเขาอ่อนระโหยโรยแรง อาการน่าสงสารพอๆ กันกับเริ่นหลงฉง
นี่ก็คือสาเหตุหลักๆ ที่ทำไมผู้ฝึกลมปราณที่ต่ำกว่าเซียนดินลงไปถึงไม่ยินดีจะอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่นานนัก เพราะทนความทรมานนี้ไม่ได้ เรียกได้ว่า เหมือนกลับคืนไปสู่ขอบเขตถ้ำสถิต ต้องคอยแบกรับความทุกข์จากการถูก น้ำมหาสมุทรกรอกเทเข้าใส่อยู่ตลอดเวลา แต่หากเป็นผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยยังนับว่าดี เพราะหากอยู่นานวันเข้า ถึงอย่างไรก็ยังมีประโยชน์ สามารถบำรุงจิตวิญญาณและกระบี่บินได้ ส่วนผู้ฝึกลมปราณของสามลัทธิร้อยสำนักที่นอกเหนือจากผู้ฝึกกระบี่ ลำพังเพียงแค่สาวเอาปณิธานกระบี่ออกมาจากปราณวิญญาณฟ้าดินก็คือ ความทุกข์ทรมานใหญ่เทียมฟ้าแล้ว ในประวัติศาสตร์ ช่วงเวลาก่อนเกิดศึกใหญ่ ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ค่อนข้างจะสงบสุขนั้น ไม่ใช่ว่าไม่มีผู้ฝึกตนอายุน้อยที่ไม่รู้ ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เดินทางมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วดึงดันจะไปที่ หัวกำแพงเมือง ข้างกายมีองค์รักษ์ที่มา ‘ท่องขุนเขาเที่ยวสายน้ำ’ ด้วยกัน อีกทั้งขอบเขตยังไม่สูง ผลคือรอจนองค์รักษ์ไปแบกตัวมาจากประตูใหญ่ ขอบเขตก็ถดถอยไปเสียแล้ว
หลูสุ้ยถามหยั่งเชิง “ในเมื่อเพื่อนของเจ้าอยู่ในนคร ไม่สู้ตามข้าไปที่จวนป๋ายม่ายของถนนไท่เซี่ยงเลยดีไหม? เซียนกระบี่ซ่งลวี่ท่านนั้น เดิมทีก็มีความเกี่ยวข้องกับ อุตรกุรุทวีปของพวกเราอย่างลึกซึ้งอยู่แล้ว”
อันที่จริงหลูสุ้ยก็รู้ดีว่าข้อเสนอของตนฟังดูไม่ค่อยสนใจความรู้สึกผู้อื่นสักเท่าใด แต่นางกลัวว่าจากลากันวันนี้ หลิวจิ่งหลงก็จะสงบใจฝึกกระบี่ จมจ่อมอยู่กับมัน จนหลงลืมตน ถึงเวลานั้นนางจะทำอย่างไร เดินทางไกลเป็นหมื่นลี้มาพบเขาที่ ภูเขาห้อยหัว นางเพิ่งจะได้มองจิ่งหลงแค่กี่ครั้งเอง? หรือว่าอยู่ใกล้กันแค่เอื้อมมือ แต่กลับต้องเหมือนห่างไกลสุดขอบฟ้า
ไม่แน่ว่าครั้งสุดท้ายที่ได้พบหน้ากันก็อาจเป็นตอนที่นางเตรียมย้อนกลับมา ยังภูเขาห้อยหัว จึงต้องไปบอกลากับเขา? แต่หากเข้าไปอยู่ที่จวนป๋ายม่ายของ เซียนกระบี่ซ่งลวี่ด้วยกัน ต่อให้หลิวจิ่งหลงจะเก็บตัวตั้งใจฝึกกระบี่ ปิดด่านไม่พบ เจอใคร หลูสุ้ยก็ยังรู้สึกว่าอยู่ร่วมชายคาเดียวกับเขา ลมพัดฝนตกก็ดี ฟ้าใสอากาศดี ก็ช่าง ถึงอย่างไรทัศนียภาพที่คนทั้งสองมองเห็นก็เป็นแบบเดียวกัน
ป๋ายโส่วเอ่ยคล้อยตาม “มีเหตุผล! พวกเราไม่ไปรบกวนการฝึกตนของเจ้าสำนักแล้ว ไปรบกวนเซียนกระบี่ซ่งลวี่ดีกว่า”
ป๋ายโส่วไม่ค่อยกล้าไปพบหานไหวจื่อเจ้าสำนักกระบี่ไท่ฮุยที่ยังไม่เคยพอเจอมาก่อนผู้นั้นเท่าใดนัก ตอนที่คุยเล่นกับคนวัยเดียวกันมากมายยามอยู่บนยอดเขา เพียนหราน ดูเหมือนว่าเจ้าสำนักท่านนี้จะเป็นตาเฒ่าที่เข้มงวดมากคนหนึ่ง เวลาที่ ทุกคนพูดถึงเขาล้วนมีท่าทางยำเกรง กลับเป็นหวงถงบรรพจารย์ผู้คุมกฎที่ป๋ายโส่ว เคยเจอมาครั้งหนึ่งที่เต็มไปด้วยความน่าสนใจ แต่ปัญหาคือรอจนป๋ายโส่วได้พบกับบรรพจารย์หวงถงอย่างแท้จริง เขากลับยังคงรู้สึกเหมือนเดินอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ อยู่ดี เขาหวาดกลัวอีกฝ่ายอย่างมาก ขนาดเซียนกระบี่หวงถงยังทำให้คนไม่เป็น ตัวของตัวเองขนาดนี้ หากต้องไปเจอกับคนที่นั่งเก้าอี้อันดับหนึ่งของสำนักกระบี่ ไท่ฮุยจริงๆ ป๋ายโส่วกังวลว่าหากตนพูดไม่ถูกหูคำเดียวจะต้องถูกตาเฒ่าขับไล่ออกจากศาลบรรพจารย์ทันทีเลยหรือไม่ ถึงเวลานั้นคนแซ่หลิวที่เคารพนับถืออาจารย์เป็นที่สุดจะไม่ยอมเชื่อฟังแต่โดยดีหรอกหรือ ป๋ายโส่วไม่คิดว่าตัวเองจะเสียดายความเป็นอาจารย์และศิษย์ที่มีกับหลิวจิ่งหลง ก็แค่เสียดายบารมีและความมีหน้ามีตาที่ตนสะสมไว้บนยอดเขาเพียนหรานก็เท่านั้น
หลูสุ้ยยิ้มอย่างชอบใจ
เริ่นหลงฉงไม่ค่อยชอบเด็กหนุ่มที่ปากเปราะผู้นี้สักเท่าไร
ฉีจิ่งหลงส่ายหน้าเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ข้ากับเซียนกระบี่ซ่งลวี่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน หากตรงไปเยือนถึงเรือนเลยจะเสียมารยาทเกินไป อีกอย่างนี่ต้องสิ้นเปลืองความสัมพันธ์ควันธูปของแม่นางหลูกับสำนักด้วย ทำแบบนี้ไม่เหมาะ แล้วนับประสาอะไรกับที่ตามเหตุผลแล้ว ข้าก็ควรจะไปคารวะเจ้าสำนักก่อน นอกจากนี้ เรือนว่านเฮ่อของผู้อาวุโสลี่ก็อยู่ห่างจากจวนของสำนักกระบี่ไท่ฮุยพวกเราไปไม่ไกล ก่อนหน้านี้หลังถามกระบี่เสร็จ ผู้อาวุโสลี่ก็รีบร้อนจากไป ข้าจำเป็นต้องไปเอ่ยขอบคุณนางถึงเรือนสักครั้ง”
เซียนกระบี่ต่างถิ่นที่มาออกกระบี่ที่นี่ ระหว่างกำแพงเมืองปราณกระบี่กับนครจะมีเรือนพักส่วนตัวที่ว่างอยู่ให้พักมากมาย สามารถเลือกได้ด้วยตัวเอง แค่ไปบอกกล่าวเซียนกระบี่จู๋อานและเซียนกระบี่ลั่วซานของสายอิ่นกวานก็พอ หากมีเซียนกระบี่ในท้องถิ่นเชิญเข้าไปพักในนคร แน่นอนว่าก็ย่อมได้ หรือหากยินดีเลือกที่พักแห่งหนึ่งบนหัวกำแพงเมือง ก็ยิ่งไม่มีใครขัดขวาง
สำนักกระบี่ไท่ฮุยของอุตรกุรุทวีป นับตั้งแต่ที่เซียนกระบี่สองท่านอย่าง หานไหวจื่อ หวงถงจับมือกันเดินทางมากำแพงเมืองปราณกระบี่ อาศัยคุณความชอบจากการสู้รบสังหารปีศาจจึงสามารถช่วงชิงเอาจวนที่กินอาณาบริเวณไม่เล็กแห่งหนึ่งมาได้ มีชื่อว่าคลังเจี่ยจ้าง ลูกศิษย์ทุกคนของสำนักกระบี่ไท่ฮุยล้วนมาเข้าพักที่นี่ เมื่อมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอยู่ใต้ชายคาของคนอื่น หันกลับมามองลี่ไฉ่เจ้าสำนักทะเลสาบกระบี่ฝูผิง เนื่องจากนางเพิ่งมาอยู่ได้ไม่นาน อีกทั้งยังไม่มีเซียนกระบี่ในท้องถิ่นที่สนิทสนมคุ้นเคยกัน จึงเป็นเหตุให้นางเลือกเข้าพักใน ‘เรือนว่านเฮ่อ’ ที่ผู้อาวุโสเซียนกระบี่ซึ่งเพิ่งรบตายไปก่อนหน้านี้ไม่นานเคย เข้าพัก ลี่ไฉ่ไม่หวาดกลัว ‘ความอัปมงคล’ นั่นเลยสักนิด วันที่นางเข้าพักอย่างผึ่งผายนั้นก็มีเซียนกระบี่ในท้องถิ่นจำนวนไม่น้อยที่ยินดีจะมองลี่ไฉ่สูงขึ้นอีกหน่อย
หลูสุ้ยยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จิ่งหลง ถ้าอย่างนั้นหากมีโอกาสข้าจะแวะไปเยี่ยม เจ้าสำนักหาน”
ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ “ย่อมได้อยู่แล้ว เจ้าสำนักชื่นชมมหามรรคาของแม่นางหลูอย่างมาก แม่นางหลูยินดีไปเป็นแขกที่เรือนของพวกเรา เจ้าสำนักต้องปลาบปลื้มมากเป็นแน่”
หลูสุ้ยยิ้มจนดวงตาโค้งยิบหยี
เริ่นหลงฉงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หันไปมองทางอื่น ไม่มองหลูสุ้ยและ เจ้าทึ่มหลิวจิ่งหลงอีก มองนานไป เดี๋ยวนางจะอดไม่ไหวเปิดปากด่าคน
ป๋ายโส่วเองก็รู้สึกว่าคนแซ่หลิวสมควรโดนด่าจริงๆ เจ้าสำนักกระบี่ไท่ฮุยของพวกเราปลาบปลื้มหรือไม่ปลาบปลื้ม เป็นเรื่องที่เทพธิดาหลูสนใจจริงๆ อย่างนั้นหรือ? เทพธิดาหลูอุตส่าห์ชม้ายชายตาให้ขนาดนั้นแล้ว ต่อให้เป็นคนตาบอดก็น่าจะยังสัมผัสได้สักครั้งสองครั้งกระมัง? เจ้าคนแซ่หลิวกลับดีนัก อาศัยความสามารถหลบพ้นมาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า
หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายแยกจากกัน ฉีจิ่งหลงที่เห็นแก่ป๋ายโส่วผู้เป็นลูกศิษย์จึงไม่ได้ขี่กระบี่ไปยังจวนคลังเจี่ยจ้างที่ถูกบันทึกไว้ในนามของสำนักกระบี่ไท่ฮุยเรียบร้อยแล้วแห่งนั้น แต่พยายามเดินเท้าให้เด็กหนุ่มได้ทำความคุ้นเคยกับการไหลเวียนของปณิธานกระบี่ในฟ้าดินแห่งนี้ ทว่าดูเหมือนฉีจิ่งหลงจะเพิ่งรู้สึกตัว ถึงได้ถามเบาๆ ว่า “คำพูดที่ข้าพูดกับแม่นางหลูก่อนหน้านี้ มีตรงไหนที่ฟังดูแล้วไม่เห็นอกเห็นใจคนอื่นหรือไม่?”
ป๋ายโส่วพูดเสียงขุ่น “นี่เจ้าล้อเล่นอะไรอยู่?”
ฉีจิ่งหลงผ่อนลมหายใจโล่งอก ไม่มีก็ดีแล้ว
ป๋ายโส่วพูดเสริมมาอีกประโยคว่า “เจ้าไม่ได้พูดอะไรดีๆ ที่เห็นใจผู้อื่นเลยสักคำ”
ฉีจิ่งหลงทอดถอนใจ “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
ป๋ายโส่วกล่าวอย่างสงสัย “คนแซ่หลิว ทำไมเจ้าถึงไม่ชอบพี่หญิงหลูล่ะ? นางดี จนไร้ที่ติขนาดนั้น ในอุตรกุรุทวีปของพวกเรา คนหนุ่มมากความสามารถที่ชอบ พี่หญิงหลู นับเท่าไรก็นับไม่หมด แต่ทำไมนางดันมาชอบเจ้า แต่เจ้าดันไม่ชอบนางนะ?”
ฉีจิ่งหลงกล่าวอย่างจนใจ “มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่ไม่มีเหตุผลให้อธิบาย”
เดินเลียบริมขอบของนครมุ่งตรงไปทางใต้ตลอดทาง เดินไปได้ประมาณร้อยกว่าลี้ สองอาจารย์และศิษย์ก็เจอกับคลังเจี่ยจ้างแห่งนั้น
ผู้ฝึกตน ต่อให้ไม่ทะยานลมไม่ขี่กระบี่ ระยะทางร้อยลี้ก็ยังคงไม่ต่างจากการเดินข้ามถนนลอดตรอกเท่านั้น ต่อให้ป๋ายโส่วจะยังไม่อาจปรับตัวเข้ากับความรู้สึกหายใจไม่ออกที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้มอบให้ได้อย่างสมบูรณ์ แต่เมื่อเทียบกับชาวบ้านร้านตลาดธรรมดาที่เดินขึ้นเขาลงห้วยแล้ว ฝีเท้าของเขาก็ยังแผ่วเบา ราวกับบิน รวดเร็วราวกับควบม้าอยู่ดี
หานไหวจื่อเจ้าสำนักกระบี่ไท่ฮุยมายืนอยู่ที่หน้าประตู ฉีจิ่งหลงประสานมือคารวะ “หลิวจิ่งหลงแห่งยอดเขาเพียนหรานคารวะท่านเจ้าสำนัก”
ป๋ายโส่วแอบกลืนน้ำลาย ประสานมือคารวะเลียนแบบคนแซ่หลิว พูดเสียงสั่นว่า “ลูกศิษย์ผู้สืบทอดรุ่นที่สิบหกของศาลบรรพจารย์สำนักกระบี่ไท่ฮุย ป๋ายโส่วแห่ง ยอดเขาเพียนหรานคารวะเจ้าสำนัก!”
หานไหวจื่อคือเจ้าสำนักรุ่นที่สี่ของสำนักกระบี่ไท่ฮุย แต่การสืบทอดจาก ศาลบรรพจารย์ แน่นอนว่าอยู่ไกลไปจากนี้มากนัก
แม้ว่าสำนักกระบี่ไท่ฮุยจะไม่ถือว่ามีประวัติศาสตร์ยาวนานในอุตรกุรุทวีป แต่เหนือกว่าสำนักอื่นๆ ตรงที่เจ้าสำนักทุกท่านล้วนเป็นเซียนกระบี่ อีกทั้งนอกจากเจ้าสำนักแล้วก็จะต้องมีเซียนกระบี่อย่างหวงถงคอยให้การช่วยเหลืออยู่เคียงข้างเสมอ ทำให้ได้ยืนอยู่ด้านหนึ่งบนยอดเขาของอุตรกุรุทวีป
และการแตกกิ่งก้านสาขาบนมือของเจ้าสำนักทุกท่านก็จะมีการแบ่งมากน้อยต่างกันไป อย่างหลิวจิ่งหลงที่ได้เลื่อนขั้นเข้ามาอยู่ในศาลบรรพจารย์ของสำนักกระบี่ไท่ฮุยโดยที่ไม่ได้ใช้สถานะของตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดนี้ อันที่จริงลำดับอาวุโส ของเขาไม่ถือว่าสูง เพราะอาจารย์ผู้ถ่ายทอดมรรคาที่พาเขาขึ้นเขาเป็นเพียงแค่ ลูกศิษย์ผู้สืบทอดรุ่นที่สิบสี่ของศาลบรรพจารย์เท่านั้น เป็นเหตุให้ป๋ายโส่วจึงได้แค่ ถือว่าเป็นรุ่นที่สิบหก แต่การสืบทอดของสำนักในใต้หล้าไพศาล หากมีใครที่ได้บุกเบิกยอดเขา หรือสามารถสืบทอดระบบให้สืบเนื่องยาวไปได้ ลำดับอาวุโสในผังวงศ์ตระกูลของศาลบรรพจารย์ก็จะมีการผลัดเปลี่ยนในระดับน้อยใหญ่ไม่เท่ากัน ยกตัวอย่างเช่นหากหลิวจิ่งหลงได้รับตำแหน่งเจ้าสำนัก ถ้าอย่างนั้นการบันทึกของสายหลิวจิ่งหลงในทำเนียบศาลบรรพจารย์ก็จะต้องมีพิธีการ ‘ยกระดับขั้น’ เกิดขึ้นดั่งน้ำมาคลองสำเร็จ ในฐานะที่ป๋ายโส่วคือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของยอดเขาเพียนหราน แน่นอนว่าก็ต้องได้เลื่อนขั้นไปเป็น ‘บรรพจารย์’ รุ่นที่หกของศาลบรรพจารย์สำนักกระบี่ไท่ฮุย
เพียงแต่ว่าในเรื่องของการเรียกขานกันตามลำดับอาวุโสนี้ นอกจากเจ้าสำนักคนใหม่หรือเจ้าขุนเขาคนใหม่ที่ได้เลื่อนขั้น ได้สืบทอดระบบของหนึ่งสายโดยการยกเว้นจากกฎเดิมแล้ว หากคนภายนอกจะเรียกลูกศิษย์ผู้สืบทอดของคนผู้นี้ดังเดิม ก็ใช่ว่า จะทำไม่ได้
หานไหวจื่อยิ้มพลางยกมือขึ้น “ไม่จำเป็นต้องมากพิธี วันหน้ามาฝึกตนอยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นระยะสั้นหรือระยะยาว พวกเราเข้าเมืองตาหลิ่วก็หลิ่วตาตามเถอะ ไม่อย่างนั้นในจวนมีพวกเราอยู่กันแค่สามคน จะทำท่าไปให้ใครดูกัน? ถูกหรือไม่ ป๋ายโส่ว?”
ป๋ายโส่วหน้าม่อย ถูก? ต้องไม่ถูกแน่นอน
ไม่ถูก? นั่นก็ยิ่งไม่ถูกเข้าไปใหญ่
ดังนั้นป๋ายโส่วจึงมองไปยังคนแซ่หลิวด้วยท่าทางน่าสงสาร
ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “เหตุใดความกล้าที่ใหญ่เทียมฟ้า พอมาเจอกับเจ้าสำนักถึงได้เล็กเท่าเมล็ดข้าวสารแล้วเล่า?”
ยามอยู่กับคนแซ่หลิว ป๋ายโส่วยังคงใจกล้าอยู่เหมือนเดิม เขาจึงหลุดปาก พูดออกมาว่า “ต้องโทษภูตน้ำน้อยจากทะเลสาบคนใบ้ตนนั้นที่ตั้งชื่อว่าหมี่ลี่” (เมล็ดข้าวสาร)
แต่แล้วจู่ๆ ก็ตระหนักได้ว่าด้านข้างยังมีเซียนกระบี่เจ้าสำนักที่สูงส่งไปถึงชั้นเมฆยืนอยู่ด้วย เหงื่อจึงหลั่งลงมาตามสันหลังของป๋ายโส่ว แล้วก็หลุดพูดเสียงในใจ ออกมาทันที “เจ้าสำนัก ข้ารู้ว่าตัวเองพูดผิดไปแล้ว ขอร้องท่านผู้อาวุโสอย่าไล่ข้า ออกจากสำนักกระบี่ไท่ฮุยเลย!”
หานไหวจื่อไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี โชคดีที่ในจดหมายฉบับก่อนหน้านี้จิ่งหลงได้บอกไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าตนเองรับลูกศิษย์แบบใดมา ไม่อย่างนั้นเจ้าสำนักอย่างเขาก็คงรู้สึกรับมือไม่ทันอยู่จริงๆ
หานไหวจื่อยิ้มเอ่ยปลอบใจว่า “อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ต้องระมัดระวังกิริยาและคำพูดจริงๆ นั่นแหละ เจ้าห้ามอาศัยว่าตัวเองเป็นผู้ฝึกกระบี่ของสำนักกระบี่ไท่ฮุย เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหลิวจิ่งหลงแล้วจะทระนงตนได้ เพียงแต่ว่าอยู่ในจวนบ้านของตัวเองไม่จำเป็นต้องระมัดระวังตัวเกินไปนัก ฝึกตนอยู่ที่นี่ ควรคิดให้มาก ถามให้มาก ลูกศิษย์ของสำนักกระบี่ไท่ฮุยเราเดินอยู่บนเส้นทางของการฝึกตน จิตแห่งกระบี่บริสุทธิ์แจ่มกระจ่างก็คือการเคารพครูบาอาจารย์ที่มากที่สุด กล้าออกกระบี่บุกไปข้างหน้ายามเจอความอยุติธรรม ก็คือการให้ความสำคัญกับมรรคามากที่สุด”
ป๋ายโส่วอึ้งค้างอยู่กับที่
ต่างจากหานไหวจื่อที่พูดจาไม่เข้าหูกันคำเดียวก็วางมาดเซียนกระบี่ วางอำนาจของเจ้าสำนักอย่างที่จินตนาการไว้ไปหนึ่งแสนแปดพันลี้เลย
ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “ตอนนี้ควรจะพูดดังๆ ว่า ‘จำได้แล้วขอรับ’”
ป๋ายโส่วรีบพูดทันใด “จำได้แล้วขอรับ!”
ฉีจิ่งหลงจนใจยิ่งนัก เมื่อก่อนไม่เห็นเคยเจอป๋ายโส่วที่เชื่อฟังขนาดนี้มาก่อนเลยจริงๆ
หานไหวจื่อกลั้นยิ้ม เอ่ยสัพยอกเด็กหนุ่มคนนั้นว่า “จำได้แล้วอะไรกัน ไม่ต้องจำหรอก ผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยๆ ไหนเลยต้องจงใจจดจำคำพูดใหญ่โตพวกนี้”
ป๋ายโส่วเกือบจะถูกเจ้าสำนักท่านนี้ทำให้สับสนมึนงงไปหมดแล้ว
จากนั้นหานไหวจื่อก็พาคนทั้งสองเดินเข้าประตูใหญ่คลังเจี่ยจ้างไปด้วยกัน พลางเล่าประวัติความเป็นมาของเรือนหลังนี้ไปด้วย
เคยมีเซียนกระบี่คนใดบ้างที่มาพักที่นี่ แล้วรบตายไปเมื่อไหร่ รบตายไปอย่างไร
เพื่อแสดงความเคารพ ลมหายใจและฝีเท้าของป๋ายโส่วจึงชะลอช้าลงอย่างเลี่ยงไม่ได้
เพราะเด็กหนุ่มรู้สึกเพียงว่าทุกลมหายใจ ทุกฝีเท้าของตนล้วนราวกับว่า กำลังรบกวนการพักผ่อนของเซียนกระบี่ผู้อาวุโสเหล่านั้นอยู่
หานไหวจื่อแอบหันมามองสีหน้าและแววตาของเด็กหนุ่ม ก่อนจะหันไปพยักหน้าเบาๆ ให้ฉีจิ่งหลง
หญิงสาวคนหนึ่งที่จงใจใช้ปณิธานหมัดของร่างตัวเองชักนำปราณกระบี่ให้เป็นศัตรู เท้าของนางสวมรองเท้าผ้า บนร่างสวมชุดสีชาด เส้นผมที่เป็นสีนิลทั้งศีรษะถูกรวบเป็นมวยขดอย่างเรียบง่าย
สะพายแค่ห่อสัมภาระที่บรรจุอาหารแห้ง ไม่ได้เข้าไปในนคร แต่ดิ่งไปที่ กำแพงเมืองปราณกระบี่ ขณะที่อยู่ห่างจากฐานกำแพงเมืองอีกหนึ่งลี้ก็เริ่มชักเท้า วิ่งตะบึงไปเบื้องหน้า ครั้นจึงทะยานตัวขึ้นสูง เท้าเหยียบลงบนกำแพงเมืองจุดที่สูง ไปสิบกว่าจั้ง จากนั้นก็ค้อมเอววิ่งทะยานไปด้านหน้า มุ่งขึ้นสู่ที่สูงไปทีละก้าว
ขณะที่อยู่ห่างจากหัวกำแพงเมืองอีกหลายจั้ง เท้าข้างหนึ่งของนางก็กระทืบลงบนผนังหนักๆ ร่างพลันทะยานสูง สุดท้ายพลิ้วกายลงบนหัวกำแพง
จากนั้นก็เดินไปทางฝั่งซ้ายมือช้าๆ ตามคำบอกของเฉาสือ กระท่อมหลังเล็กที่ไม่รู้ว่า มีคนพักอาศัยหรือไม่แห่งนั้น น่าจะอยู่ห่างไปไม่ถึงสามสิบลี้
ตลอดทางที่เดินไปไม่ได้เจอกับเซียนกระบี่คนใดที่ปักหลักอยู่บนหัวกำแพงเมือง เพราะกระท่อมเล็กใหญ่สองหลังที่ตั้งอยู่ใกล้กัน ไม่จำเป็นต้องมีคนมาป้องกัน การลอบโจมตีของปีศาจใหญ่ที่นี่ เพราะไม่มีทางมีใครเดินขึ้นมาอวดอ้างบารมีบน หัวกำแพงเมืองแล้วจะยังสามารถกลับลงไปยังใต้หล้าทางฝั่งทิศใต้ได้อย่างปลอดภัยอีก
เพราะว่าที่นั่นมีผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่อยู่คนหนึ่ง
นางพลันขมวดคิ้ว เพราะสัมผัสได้ว่าบนหัวกำแพงเมืองฝั่งตรงข้ามมีปราณกระบี่ที่เข้มข้นอย่างถึงที่สุด
น่าจะเป็นจั่วโย่วเซียนกระบี่ใหญ่ในตำนานผู้นั้น คนประหลาดที่ก่อนจะออกทะเลไปเยี่ยมเยือนเซียนได้ทำลายจิตแห่งมรรคาของตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดไปนับไม่ถ้วน
เพียงแต่เมื่อยิ่งนางขยับเข้าใกล้กระท่อมหลังนั้นก็พบว่าบนเส้นทางมุ่งไปด้านหน้าของตน ยังมีเซียนกระบี่อีกคนหนึ่งที่มองดูแล้วยังหนุ่มอยู่มากอยู่ด้วย และเขาก็ได้ หันหน้ามามองนางแล้ว
นางยังคงเดินไปด้านหน้า ชำเลืองตามองกระท่อมหลังเล็กที่ห่างไปไม่ไกล แล้วจึงดึงสายตากลับมา กุมหมัดถามว่า “ผู้อาวุโสพักอยู่ที่กระท่อมหรือไม่?”
เว่ยจิ้นพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “หากเจ้าไม่ถือสา ข้าจะย้ายออกมาเอง”
นางพยักหน้า “ถือสิ เพราะฉะนั้นผู้อาวุโสพักต่อไปได้เลย”
นางหยุดเดิน นั่งขัดสมาธิ ปลดห่อสัมภาระหยิบแป้งย่างแผ่นหนึ่งออกมากัดกินคำใหญ่
เว่ยจิ้นหัวเราะ ไม่ถือสา หลับตาฝึกตนของตัวเองต่อไป
นางกินแป้งย่างไปแล้วก็หยิบกาน้ำออกมาดื่มน้ำหนึ่งอึก ถามว่า “ผู้อาวุโส รู้หรือไม่ว่าเซียนกระบี่ขู่เซี่ยที่มาจากราชวงศ์เส้าหยวน ตอนนี้อยู่จุดใดบน หัวกำแพงเมือง?”
เว่ยจิ้นลืมตาขึ้น “ห่างออกไปประมาณเจ็ดร้อยลี้ก็คือสถานที่ฝึกตนและปักหลักของเซียนกระบี่ขู่เซี่ย หากไม่ผิดไปจากที่คาด ตอนนี้เซียนกระบี่ขู่เซี่ยก็น่าจะกำลัง สอนวิชากระบี่อยู่”
หญิงสาวพยักหน้ารับ “ขอบคุณ”
นางสะพายห่อสัมภาระอีกครั้ง ลุกขึ้นยืนแล้วเริ่มฝึกท่าเดินนิ่งปล่อยหมัดช้าๆ หนึ่งก้าวที่ก้าวออกไปมักจะกว้างหลายจั้งเสมอ ทว่าหมัดที่ปล่อยกลับช้าอย่างถึงที่สุด เดินมุ่งหน้าตรงไปยังจุดที่ห่างไปเจ็ดร้อยลี้
ระหว่างนี้ได้เจอกับนกยักษ์สีทองตัวหนึ่งบินทะลุชั้นเมฆออกมา เงามืดของมัน แผ่ปกคลุมไปทั่วหัวกำแพงราวกับเข้าสู่เวลากลางคืน ก่อนจะพลิ้วกายมาหยุดอยู่ ข้างกายเซียนกระบี่ชุดขาวคนหนึ่ง ตอนที่พลิ้วกายลงบนพื้นก็กลายร่างเป็นนกตัวขนาดเท่านกกระจอก กระโดดขึ้นไปเกาะบนไหล่ของเซียนกระบี่ผู้เป็นเจ้านาย
มีเซียนกระบี่คนหนึ่งนอนเอนตัวอยู่บนเตียงด้วยท่าทางเกียจคร้าน หันหน้าเข้าหา ทางทิศใต้ แหงนหน้ากระดกดื่มสุรา
หญิงสาวมองแค่ครั้งเดียวแล้วก็ไม่มองอีก
ขู่เซี่ยเซียนกระบี่กำลังนั่งอยู่บนเบาะ ผู้ฝึกกระบี่เด็กรุ่นหลังหลายคนซึ่งมีหลินจวินปี้เป็นหนึ่งในนั้นกำลังหลับตาเพ่งสมาธิ สูดลมหายใจเข้าออก พยายามที่จะดึงดูดปณิธานกระบี่บริสุทธิ์ที่ล่องลอยไม่หยุดนิ่ง ว่องไวปานกระบี่บินของเซียนกระบี่ที่อยู่ท่ามกลางฟ้าดินมา ไม่ใช่ดูดดึงปราณวิญญาณ ไม่อย่างนั้นจะเป็นการทิ้งแตงโม เพื่อหยิบเมล็ดงา การเดินทางมากำแพงเมืองปราณกระบี่ครั้งนี้นับว่าเสียเที่ยว เพียงแต่ว่านอกจากหลินจวินปี้ที่เห็นได้ชัดว่าได้รับผลเก็บเกี่ยวมามากแล้ว นอกจากนี้ต่อให้เป็นเหยียนลวี่ก็ยังไม่อาจค้นพบต้นสายปลายเหตุ ได้แต่อาศัยการเสี่ยงดวง ระหว่างนี้หากมีคนโชคดีเก็บปณิธานกระบี่กลุ่มหนึ่งมาได้แล้วเผยสีหน้าลิงโลดออกมาเพียงเล็กน้อย พอจิตวิญญาณไม่มั่นคง ปณิธานกระบี่กลุ่มนั้นก็จะเริ่มพลิกนที คว่ำมหาสมุทร เซียนกระบี่ขู่เซี่ยก็จะต้องเรียกกระบี่ออกมาขับไล่ปณิธานกระบี่ บรรพกาลที่เล็กจ้อยอย่างถึงที่สุดเสี้ยวนั้นให้ออกไปจากฟ้าดินเล็กเรือนกายมนุษย์ของผู้ฝึกกระบี่คนนั้น
ผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ที่รากฐานมหามรรคาเกือบถูกทำลายตกใจจนหน้าซีดขาว
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยใช้เสียงในใจพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มหนัก ช่วยให้คนหนุ่มสร้างความมั่นคงแก่จิตกระบี่ ส่วนปราณวิญญาณในช่องโพรงลมปราณที่วุ่นวายนั้น ถือเป็นเรื่องเล็ก ไม่จำเป็นต้องให้เซียนกระบี่ท่านหนึ่งลงมือปลอบประโลม
สามารถกลายเป็นคนที่โดดเด่นท่ามกลางกลุ่มเด็กรุ่นเยาว์ผู้มากพรสวรรค์มากมายของราชวงศ์เส้าหยวน และเดินทางมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ หากแม้แต่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ยังจัดการเองไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นวันพรุ่งนี้ก็สามารถออกจากจวนซุนกลับไปยังภูเขาห้อยหัวได้แล้ว ไปรอคอยทุกคนอยู่ที่นั่นอย่างว่าง่าย ถึงอย่างไรสวนดอกเหมยก็รับรองแขกได้รอบคอบรัดกุมมาโดยตลอดอยู่แล้ว
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยพลันลุกขึ้นยืน หันหน้ามองไป พอจำอีกฝ่ายได้ เซียนกระบี่ที่เกิดมา มีชีวิตขมขื่นยากลำบากท่านนี้ก็เผยรอยยิ้มอย่างที่หาได้ยาก ครั้นจึงหมุนตัวเดินตรงไปรับสตรีผู้นั้นทันที
ไม่ว่าเด็กรุ่นหลังที่ชอบท่องเที่ยวในยุทธภพคนนี้จะมีฉายามากน้อยแค่ไหนยามอยู่ข้างนอก หรือเคยชินให้คนอื่นเรียกว่าอะไร แต่ชื่อของนางบนทำเนียบศาลวงศ์ตระกูลบ้านของตัวเองกลับเป็นชื่อที่ไม่ใกล้เคียงกับความเป็นสตรีเลยแม้แต่น้อย
แซ่อวี้ นามเจวี้ยนฟู
ตระกูลอวี้ของแผ่นดินกลาง คือตระกูลชั้นสูงลำดับต้นที่มีประวัติศาสตร์ มายาวนาน
เคยประคับประคองราชวงศ์ต้าเช่อที่แข็งแกร่งทรงอิทธิพลยิ่งกว่าราชวงศ์เส้าหยวน ในทุกวันนี้เสียอีก หลังจากที่ราชวงศ์ต้าเช่อล่มสลายลง เวลาเพียงแค่ร้อยปี พวกเขา ก็ประคับประคองราชวงศ์เสวียนมี่ที่มีขนาดใหญ่ยิ่งกว่าขึ้นมาอีก
อวี้เจวี้ยนฟูกับว่าที่สามีอย่างไหวเฉียนล้วนเป็นคนหนุ่มสาวจำนวนเพียงหยิบมือ ที่อยู่ระดับบนสุดของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เพียงแต่ว่าคนทั้งสองต่างก็ค่อนข้างน่าสนใจ เพื่อหนีการแต่งงาน อวี้เจวี้ยนฟูจึงไปยังซากปรักบรรพกาลแห่งหนึ่งใน ทวีปเกราะทอง ฝึกหมัดอยู่เพียงลำพังมานานหลายปี ไหวเฉียนเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร หนีไปอยู่อุตรกุรุทวีป ว่ากันว่าไปเพื่อล่าและเก็บรวบรวมเอากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่เซียนดินโดยเฉพาะ เพียงแต่ได้ยินมาว่าเมื่อปีก่อนบรรพจารย์ตระกูลไหวได้เผยโฉมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เดินทางไปหาสหายหนึ่งในสิบคนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเช่นเดียวกับตน ส่วนสาเหตุนั้นกลับไม่มีใครรู้
โจวเสินจืออาจารย์ลุงของเซียนกระบี่ขู่เซี่ยก็เหมือนกับบรรพบุรุษตระกูลไหว ที่ต่างก็อยู่ในอันดับสิบคนเหมือนกัน อีกทั้งลำดับยังอยู่ช่วงต้นๆ อีกด้วย เคยมีคน เอ่ยวิจารณ์ซึ่งเป็นประโยคที่ติดปากผู้คนว่า ‘สายตามองสูงไม่เห็นหัวใคร แต่ถึงอย่างไรวิถีกระบี่ก็สูงยิ่งกว่า’ ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่อาณาบริเวณกว้างขวางแห่งนั้น โจวเสินจือขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่คบค้าด้วยยาก ต่อให้จะเป็นขู่เซี่ย ผู้เป็นศิษย์หลาน เซียนกระบี่ใหญ่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งใต้หล้าแห่งนี้ก็ไม่เคยมี สีหน้าดีๆ ให้เห็น
สายของพวกเขานี้สนิทสนมกับตระกูลอวี้มาหลายยุคหลายสมัย
อวี้เจวี้ยนฟูก็ยิ่งเป็นเด็กรุ่นหลังที่ที่อาจารย์ลุงของเซียนกระบี่ขู่เซี่ยชื่นชอบมากที่สุด ถึงขั้นที่ว่าไม่มีคำว่าหนึ่งใน
โจวเสินจือพูดกับคนอื่นอย่างตรงไปตรงมาว่าลูกหลานตระกูลข้าล้วนมีแต่เศษสวะ ไม่มีใครคู่ควรกับอวี้เจวี้ยนฟู
ต้องรู้ว่าลูกหลานของโจวเสินจือนั้นมีชื่อเสียงว่าเป็นวีรบุรุษผู้มากความสามารถ เป็นเทพเซียนก่อนกำเนิดกันทั้งนั้น
โจวเสินจือรักและเอ็นดูอวี้เจวี้ยนฟูถึงขั้นไหน? ก็ถึงขั้นที่ช่วงสามปีแรกสุดที่ อวี้เจวี้ยนฟูท่องเที่ยวอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง โจวเสินจือก็คอยให้การคุ้มกันนางอย่างลับๆ มาโดยตลอด ผลคืออวี้เจวี้ยนฟูที่นิสัยตรงไปตรงมาไม่ทันระวังไป ก่อเรื่องใหญ่เข้า ทำให้ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่งแอบเล่นงานนาง อย่างลับๆ ภายหลังจึงถูกโจวเสินจือตัดมือข้างหนึ่ง พอหนีกลับไปถึงศาลบรรพจารย์ได้ก็อาศัยถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กแห่งหนึ่ง เลือกที่จะปิดด่านไม่ออกมาอีก โจวเสินจือ สะกดรอยตามอีกฝ่ายไปอย่างเชื่องช้า สุดท้ายคนทั้งสำนักของเขาก็ต้องนั่งคุกเข่าให้ โจวเสินจือเดินตั้งแต่หน้าประตูภูเขาไปถึงยอดเขา ตลอดทางนั้นหากมีใครกล้าพูด คำใด ตาย ใครกล้าเงยหน้าขึ้น ตาย ใครกล้าแสดงท่าทางเดือดดาลออกมา ตาย
และอวี้เจวี้ยนฟูใจใหญ่ถึงขอบเขตไหน? นางถึงขั้นบ่นโจวเสินจือว่าแค่ทำให้ศัตรูล่าถอยไปก็พอ น่าจะมอบครอบครัวของศัตรูให้นางเป็นคนจัดการเอง คิดไม่ถึงว่า โจวเสินจือไม่เพียงแต่ไม่โกรธ กลับกันยังคุ้มกันแม่หนูอวี้เจวี้ยนฟูไปตลอดทาง จนกระทั่งนางออกจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางไปถึงทวีปเกราะทองแล้ว เขาถึงได้ย้อนกลับ
เห็นว่าเซียนกระบี่ขู่เซี่ยเดินมารับตน อวี้เจวี้ยนฟูก็หยุดเดินพร้อมกุมหมัดคารวะ “คารวะผู้อาวุโสขู่เซี่ย”
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยยิ้มพยักหน้ารับ “มาที่นี่ได้อย่างไร?”
อวี้เจวี้ยนฟูเอ่ย “มาฝึกหมัด”
พูดแล้วก็เหมือนไม่ได้พูด
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยกลับหัวเราะ แล้วเอ่ยประโยคที่จืดชืดแห้งแล้งหนึ่งประโยค “เป็นขอบเขตร่างทองแล้ว พยายามให้มากอีกหน่อย”
จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็พากันเงียบงัน เพียงแต่ว่าคนทั้งสองกลับไม่รู้สึกว่ามีอะไร ที่ไม่เหมาะสม
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยไม่ใช่คนที่ถนัดเรื่องการเอาใจผู้มีอำนาจ ยิ่งไม่หวังว่าการที่ตนดูแลอวี้เจวี้ยนฟูจะทำให้อาจารย์ลุงของตนรู้สึกดีด้วย แต่เป็นเพราะตัวของขู่เซี่ยเองเห็นดีในตัวอวี้เจวี้ยนฟูจริงๆ
ส่วนอวี้เจวี้ยนฟูก็ยิ่งถูกหัวเราะเยาะว่าเป็นคนตระกูลอวี้ที่ ‘วาสนาด้านผู้อาวุโสทุกคนล้วนถูกโจวเสินจือกินไปคนเดียวจนเกลี้ยง’
เมื่อกาลเวลาผันผ่าน การหมั้นหมายตั้งแต่เด็กระหว่างทายาทของตระกูลไหวและตระกูลฟู อันที่จริงบรรพบุรุษตระกูลไหวไม่ได้ชอบเด็กที่ทั้งนิสัยร้ายกาจและ แข็งกระด้างอย่างอวี้เจวี้ยนฟูเท่าใดนัก ดังนั้นภายหลังที่อวี้เจวี้ยนฟูออกท่องยุทธภพเพื่อหนีการแต่งงาน คนทั้งตระกูลไหวจึงไม่มีคำตำหนิใดๆ ผู้อาวุโสของตระกูลไหวส่วนใหญ่ยังหันกลับมาเป็นฝ่ายปลอบใจสหายอย่างตระกูลอวี้ บอกว่าคนหนุ่มสาวเดินทางท่องเที่ยวมากๆ ย่อมดี เรื่องงานแต่งงานนั้นไม่ต้องรีบร้อน ไหวเฉียนคือ ผู้ฝึกตน แม้ว่าอวี้เจวี้ยนฟูจะเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ด้วยคุณสมบัติบนวิถีวรยุทธของนาง อายุขัยก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องยืนยาว ให้เด็กทั้งสองค่อยๆ ใช้เวลาศึกษานิสัย ใจคอกันไปก็พอ
คนทั้งสองพากันเดินกลับไปยังจุดที่เซียนกระบี่ขู่เซี่ยสอนกระบี่ ขู่เซี่ยบอกเป็นนัยให้อวี้เจวี้ยนฟูนั่งลงบนเบาะ นางเองก็ไม่ได้เกรงใจ ปลดห่อสัมภาระลงแล้วก็หยิบเอาแผ่นแป้งย่างมากินคู่กับน้ำอีกครั้ง
หลินจวินปี้ลืมตาขึ้น คลี่ยิ้มบางๆ
ทั้งๆ ที่อวี้เจวี้ยนฟูมองเห็นแล้ว แต่กลับแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
บนถนนเส้นที่อยู่นอกประตูใหญ่ของจวนหนิง เซียนกระบี่หนุ่มชุดเขียวคนหนึ่งพาลูกศิษย์ของตัวเองเดินไปช้าๆ
เด็กหนุ่มกดเสียงลงต่ำเอ่ยว่า “คนแซ่หลิว ข้าได้ยินมาว่าตอนนี้เฉินผิงอันร้ายกาจนักล่ะ มีฉายาว่าเถ้าแก่รองผู้เลื่องชื่อ โดยเฉพาะภรรยาของเขาคนนั้นที่อยู่ใน กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยิ่งเก่งกาจ เซียนกระบี่ลี่มาคุยกับข้าเป็นการส่วนตัวบอกว่านางไม่อยากไปพบหนิงเหยาผู้นั้น ไม่อย่างนั้นจะรู้สึกว่าตัวเองไร้ความสามารถ”
ฉีจิ่งหลงไม่ได้เอ่ยอะไร
เคาะประตู คนที่มาเปิดประตูก็คือน่าหลันเย่สิง
ฉีจิ่งหลงบอกกล่าวชื่อแซ่ของตัวเอง
อันดับแรกน่าหลันเย่สิงมีสีหน้าปั้นยากก่อน จากนั้นก็รีบคลี่ยิ้มนำพาสองอาจารย์และศิษย์ไปยังแท่นสังหารมังกร
เฉินผิงอันที่เดิมทีกำลังมานะฝึกลมปราณได้เดินออกจากศาลา เดินลงมาจาก แท่นสังหารมังกร ยิ้มตาหยีโบกมือให้แล้ว
เดิมทีพอได้เห็นพี่น้องเฉินผิงอันของตน ในที่สุดป๋ายโส่วก็พอจะหายใจคล่องคอ ได้บ้าง ไม่อย่างนั้นอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ ทุกวันคงจะไม่เป็นตัว ของตัวเองนัก เพียงแต่ว่าป๋ายโส่วเพิ่งจะดีใจได้ไม่นาน ก็พลันนึกขึ้นมาได้ว่าคนผู้นั้นคืออาจารย์ของใครบางคน เขาไหล่ห่อคอตก รู้สึกว่าชีวิตช่างไร้รสชาติ
น่าหลันเย่สิงขอตัวเดินจากไปแล้ว
เฉินผิงอันพาคนทั้งสองเดินเข้ามาในศาลา ยิ้มถามว่า “หลังการถามกระบี่สามครั้ง ผ่านไป รู้สึกว่าโอ้อวดตัวเองอยู่แค่ที่อุตรกุรุทวีปแห่งเดียวคงไม่พอ ก็เลยมาแสดงบารมีที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเราอย่างนั้นหรือ?”
ฉีจิ่งหลงเอ่ย “อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ก็เลยมาพบเจ้าสำนักกับเซียนกระบี่ลี่ แล้วก็ถือโอกาสนี้มาพบเจ้าด้วย”
เฉินผิงอันสอดมือสองข้างไว้ในชายแขนเสื้อ เอนตัวพิงราวระเบียง ชำเลืองตามองป๋ายโส่วที่มีท่าทางอัดอั้นไม่มีความสุขอย่างที่หาได้ยาก?
มาถึงศาลา เด็กหนุ่มก็นั่งแปะลงข้างกายเฉินผิงอัน
ฉีจิ่งหลงกลับไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ลูกศิษย์คนนี้ของตนสนิทสนมกับเฉินผิงอันมากกว่าจริงๆ
ฉีจิ่งหลงยิ้มบอกความลับว่า “ก่อนจะมาที่นี่ พวกเราไปที่ภูเขาลั่วพั่วกันมาก่อน ใครบางคนพอได้ยินว่าลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของเจ้าเพิ่งจะเรียนวิชาหมัดได้ปีสองปี ก็บอกว่าเขาจะกดขอบเขตลงให้เหลือแค่ห้าขอบเขตล่าง นอกจากนี้จะยอมให้นาง โดยใช้มือแค่ข้างเดียว”
เฉินผิงอันพอจะรู้จุดจบได้คร่าวๆ แล้ว
ฉีจิ่งหลงเอ่ยอีกว่า “ลูกศิษย์ของเจ้าคนนั้นขี้ขลาด ก็เลยถามว่ายอมให้นางโดยใช้ขา แค่ข้างเดียวด้วยได้ไหม”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองป๋ายโส่ว กลั้นยิ้มถามว่า “แล้วเจ้าก็ตอบตกลง?”
ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ “ตกลงสิ ใครบางคนยังดีใจแทบตาย ดังนั้นจึงบอกอีกว่า จะยืนนิ่งอยู่เฉยๆ ให้เผยเฉียนลงมือได้เต็มที่”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ต้องบอกผลลัพธ์กับข้าแล้ว”
เฉินผิงอันสะบัดชายแขนเสื้อ หยิบเอาถ้ำสวรรค์จู๋ไห่กาหนึ่งที่ได้เปล่ามาจากที่ร้านก่อนหน้านี้ไม่นานออกมา “มา มาดื่มฉลองให้กับจุดเริ่มต้นอันเป็นมงคลของ เซียนกระบี่ใหญ่ป๋ายโส่วเราหน่อย”
ฉีจิ่งหลงโบกมือ
ป๋ายโส่วเงยหน้าขึ้น เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยว่า “ข้ากล้ารับรองเลยว่า นางจะต้องไม่ได้เพิ่งเรียนวิชาหมัดมาแค่ปีสองปีแน่นอน! เฉินผิงอัน เจ้าบอกกับข้ามาตามตรงว่าเผยเฉียนเรียนวรยุทธมาแล้วกี่ปีกันแน่ สิบปี?!”
เฉินผิงอันโยนเหล้ากาหนึ่งให้กับฉีจิ่งหลงไปโดยตรง จากนั้นตนก็เอาออกมาอีกกา ถึงอย่างไรก็ได้มาเปล่าๆ อยู่แล้ว เปิดผนึกดินออก จิบเหล้าดื่มหนึ่งคำ เหล้ากานี้รสชาติดีมากเป็นพิเศษ เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น มือข้างหนึ่งจับประคอง ราวระเบียง ฝ่ามือของมืออีกข้างกดลงไปบนกาเหล้าที่วางอยู่บนม้านั่งตัวยาว “ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาคนนั้นของข้าปล่อยหมัดออกไปหนึ่งหมัด หรือว่าฟาดเท้าออกไปหนึ่งเท้าล่ะ? นางถูกปราณกระบี่ของเซียนกระบี่ใหญ่ป๋ายโส่วพวกเราทำร้ายหรือไม่? ไม่เป็นไร บาดเจ็บก็ไม่เป็นไร ก็ประลองฝีมือกันนี่นะ ฝีมือสู้คนอื่นไม่ได้ ก็ควรจะเอาหัวโหม่งก้อนเต้าหู้ตาย”
ป๋ายโส่วถลึงตาอย่างโมโหจนลูกตาแทบหลุดออกมาจากเบ้า มือสองข้างกำเป็นหมัด ถอนหายใจหนักๆ เอาหมัดทุบลงบนม้านั่งตัวยาวอย่างแรง
ฉีจิ่งหลงวางกาเหล้าใบนั้นไว้ข้างกายตัวเอง ยิ้มกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าลูกศิษย์คนนั้นของเจ้าจะมึนงงยิ่งกว่าใครบางคนที่ร่างปลิวกระเด็นออกไปเสียอีก ก็ไม่รู้ว่าทำไม ถึงได้มีท่าทางร้อนตัวนัก ไปนั่งยองอยู่ข้างกายคนบางคนที่เลือดไหลออกจากทวาร ทั้งเจ็ด จากนั้นก็จ้องตากันไปมา ต่อมาเผยเฉียนก็วิ่งไปปรึกษากับสหายสองคน ของนางว่าควรจะทำให้เรื่องจบลงด้วยดีได้อย่างไร ข้าไม่ได้แอบฟังมากนัก เพียงแค่ ได้ยินเผยเฉียนบอกว่าคราวนี้จะใช้เหตุผลสะดุดล้มไม่ได้อีกเด็ดขาด คราวก่อนอาจารย์ก็ไม่ได้เชื่อจริงๆ ต้องเปลี่ยนคำพูดแบบใหม่ให้น่าเชื่อถือยิ่งกว่าเดิม”
ป๋ายโส่วหน้าดำทะมึน
ยืนพิงราวระเบียง ยกมือสองข้างขึ้นปิดหน้า
ฉีจิ่งหลงเอ่ยเตือนว่า “ข้ารับรองกับเผยเฉียนว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้เด็ดขาด ดังนั้นเจ้าฟังแล้วก็ปล่อยผ่านไป อีกอย่างห้ามเอาเรื่องนี้ไปลงโทษเผยเฉียนด้วย ไม่อย่างนั้นวันหน้าข้าก็อย่าได้คิดจะไปเยือนภูเขาลั่วพั่วอีกเลย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
เดิมทีเขาก็ไม่คิดจะตำหนิอะไรนางอยู่แล้ว
ป๋ายโส่วพึมพำ “ถึงอย่างไรข้าก็ไม่มีทางไปที่ภูเขาลั่วพั่วอีก คราวหน้าหาก เผยเฉียนแน่จริงก็ลองไปสำนักกระบี่ไท่ฮุยของข้าดูสิ? คราวหน้าขอแค่ข้าไม่ประมาท ต่อให้เอาตบะออกมาแค่ครึ่งเดียว…”
เฉินผิงอันไม่รอให้เด็กหนุ่มพูดจบก็พยักหน้ายิ้มเอ่ยว่า “ตกลง ข้าจะบอกเผยเฉียน เองว่าสนามประลองครั้งหน้าให้เป็นที่ยอดเขาเพียนหราน”
ป๋ายโส่วพลันรู้สึกน้อยใจอย่างสุดแสน พอนึกถึงคำประเมินที่คนแซ่หลิวมีต่อตัวขาดทุนผู้นั้น เขาก็โหวกเหวกขึ้นมาว่า “ถึงอย่างไรเผยเฉียนก็ไม่อยู่ที่นี่ เจ้าจะให้ข้าพูดจาอวดเก่งสักคำสองคำไม่ได้เลยหรือไง!”
ฝ่าเท้านั้นของเผยเฉียน เรียกได้ว่าใจดำมากจริงๆ
ป๋ายโส่วไม่เพียงแต่เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดลุกไม่ขึ้น ในความเป็นจริงแล้ว หลังจากพยายามฝืนลืมตาขึ้นมาได้ เขาก็เหมือนคนเมาที่มองเห็นเผยเฉียนหลายคนร่างส่ายไปส่ายมาอยู่ตรงหน้า
ประเด็นสำคัญคือคำพูดของเจ้าตัวขาดทุนผู้นั้นที่ยิ่งชวนให้คนโมโห ตอนนั้น ป๋ายโส่วหน้าเขียวคล้ำ ริมฝีปากสั่นระริก มือเท้ากระตุกเกร็ง นางที่นั่งยองอยู่ด้านข้างคงเห็นว่าสายตาของเขาส่ายไปมาอย่างเลื่อนลอย มองไม่เห็นนางเสียที จึงเตือนเขาเสียงเบาด้วย ‘ความหวังดี’ ว่า “อยู่ตรงนี้ๆ ข้าอยู่ตรงนี้ เจ้าอย่าได้เป็นอะไรไปเด็ดขาดนะ ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ก่อนหน้านี้เจ้าพูดจาใหญ่โตขนาดนั้น ข้าหรือจะรู้ว่าเจ้าแค่โม้ไปอย่างนั้นเอง ก็โชคดีที่ข้ากังวลว่าจะออกแรงมากเกินไป กลับกลายเป็นว่าจะถูกปราณกระบี่เซียนเหรินในตำนานทำร้ายตัวเองเข้า ดังนั้นจึงออกแรงแค่ เจ็ดแปดส่วน ไม่อย่างนั้นวันหน้าจะอธิบายกับอาจารย์อย่างไร? เจ้าเลิกเสแสร้งได้แล้ว รีบลุกขึ้นมาเร็วเข้า! ข้าจะยืนนิ่งๆ ไม่ขยับ ให้เจ้าปล่อยหมัดใส่ข้าก็แล้วกัน…”
จากนั้นป๋ายโส่วก็หมดสติไปอย่างสิ้นเชิง
เฉินผิงอันยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “บังเอิญนัก ก่อนที่พวกเจ้าจะมา ข้าเพิ่งส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปที่ภูเขาลั่วพั่ว ขอแค่เผยเฉียนยินดี นางก็สามารถมาที่กำแพงเมือง ปราณกระบี่แห่งนี้ได้ทันที”
ป๋ายโส่วหันหน้ามาถาม “อาจารย์ เมื่อไหร่พวกเราถึงจะกลับสำนักกันล่ะ? ตอนนี้ยอดเขาเพียนหรานไม่มีคนคอยดูแลห้องส้วม ลมพัดฝนตก ศิษย์รู้สึกไม่สบายใจเลย”
นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่ป๋ายโส่วเรียกฉีจิ่งหลงว่าอาจารย์ยามที่อยู่นอกศาลบรรพจารย์ อีกทั้งยังจริงใจถึงเพียงนี้
ฉีจิ่งหลงคิดแล้วก็เอ่ยว่า “จะอย่างไรก็รอให้เผยเฉียนมาถึงก่อนแล้วกัน”
สีหน้าป๋ายโส่วอึ้งค้าง
ฉีจิ่งหลงเอ่ย “ใช่แล้ว ได้ยินมาว่ามีผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธคนหนึ่ง มาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ชื่อว่าอวี้เจวี้ยนฟู ต้องการจะมาฝึกหมัดกับเจ้า”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่สนใจ”
ป๋ายโส่วกล่าวอย่างมีใจแต่ไร้เรี่ยวแรง “อย่าได้ถูกหลอกเพราะชื่อคนเขาล่ะ นั่นคือ สตรีผู้หนึ่งนะ”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึงไป
คงไม่บังเอิญขนาดนั้นกระมัง
ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ “เป็นสตรีผู้หนึ่งจริงๆ อายุไม่ต่างจากเจ้ามากนัก แล้วก็มีขอบเขตร่างทองที่พื้นฐานยอดเยี่ยมเหมือนกับเจ้า”
เห็นสีหน้าแปลกประหลาดของเฉินผิงอัน
ดวงตาป๋ายโส่วก็เป็นประกายวาบ “ส่วนจะสวยหรือไม่ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ถึงเวลานั้นเจ้ากับนางสู้กันไปสู้กันมา ตัวเจ้าก็มองให้นานสักหน่อย แล้วนับประสาอะไรกับที่มือเท้าไร้ตา หึหึหึ…”
จากนั้นป๋ายโส่วก็รู้สึกเหมือนขนทั้งร่างพากันลุกพรึ่บ ขนพองสยองเกล้า มือเท้าเย็นเฉียบ แล้วจึงหันหน้ากลับมามองอย่างแข็งทื่อ เขามองเห็นสตรีผู้หนึ่งเดินเข้ามา ในศาลาช้าๆ
ทั้งๆ ที่นางไม่ได้เอ่ยอะไร ถึงขั้นไม่มีสีหน้าไม่สบอารมณ์ใดๆ ให้เห็น ยิ่งไม่ได้จงใจเป็นปฏิปักษ์กับเขาป๋ายโส่ว แต่กระนั้นเด็กหนุ่มก็ยังสัมผัสถึงการสยบกำราบทาง มหามรรคาที่ราวกับว่า ‘สอดคล้องกับฟ้าดิน’ ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ขุมนั้น ได้อย่างเฉียบไว
บางทีนางอาจจะปล่อยอารมณ์ออกมาเล็กน้อย เมื่อนางไม่สบอารมณ์ แน่นอนว่าฟ้าดินแห่งนี้ก็รู้สึกไม่ชอบใจเขาป๋ายโส่วเท่าไรด้วย
ป๋ายโส่วจึงหันคอที่แข็งทื่อกลับมาอีกครั้ง พูดกับเฉินผิงอันว่า “มือไม้ห้ามอยู่ไม่สุขเด็ดขาด ผู้ฝึกยุทธประลองฝีมือกันต้องรักษากฎ แน่นอนว่าทางที่ดีที่สุดต้องห้ามรับปากว่าจะฝึกซ้อมหมัดกับใครที่ว่านั่นน่ะ ไม่มีความจำเป็น”
เฉินผิงอันยื่นมือมากดหัวของเด็กหนุ่ม ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ระวังข้าจะเด็ดหัวสุนัขของเจ้า”