บทที่ 610 กลัวว่าจะเป็นเพียงความฝัน
เฉินผิงอันกับชุยตงซาน อาจารย์และลูกศิษย์ที่อยู่ต่างบ้านต่างเมืองเหมือนกันเดินไปที่ร้านเหล้าต่างบ้านต่างเมืองที่ถือว่าเป็นกิจการบ้านตัวเองครึ่งตัวหนึ่งพร้อมกัน
ชุยตงซานถามเสียงเบาว่า “อาจารย์เกลี้ยกล่อมเขาไม่สำเร็จหรือ? เถาเหวินยังคงไม่ยินดีจะไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ดึงดันว่าจะตายอยู่ที่นี่?”
ข้าวหนึ่งชนิดเลี้ยงคนได้ร้อยแบบ ในเมื่อกำแพงเมืองปราณกระบี่มีผู้ฝึกกระบี่ ชุยเหวยที่ไม่อยากตาย แน่นอนว่าก็ต้องมีเซียนกระบี่อย่างเถาเหวินที่อยากตายอยู่ในบ้านเกิดของตัวเอง
ในประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ จำนวนของทั้งสองฝ่ายนี้ อันที่จริงล้วนไม่น้อย
เซียนกระบี่ผู้อาวุโส เซียนกระบี่ใหญ่ที่อยู่ระดับสูงสุดจำนวนเพียงหยิบมือ ไม่ว่าจะยังมีชีวิตอยู่บนโลกหรือรบตายไปแล้ว เหตุใดแต่ละคนถึงไม่ยินดีให้ความรู้ของสามลัทธิและเมธีร้อยสำนักของใต้หล้าไพศาลหยั่งรากแตกหน่อ เผยแพร่อยู่ใน กำแพงเมืองปราณกระบี่มากนัก? แน่นอนว่าต้องมีเหตุผล อีกทั้งยังไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่ว่าดูแคลนความรู้พวกนี้ เพียงแต่ว่าคำตอบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ กลับเรียบง่ายยิ่งกว่า และคำตอบก็มีเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือหากความรู้เยอะไป ผู้คนใคร่ครวญขบคิดมากเกินไป จิตใจคนก็จะซับซ้อน การฝึกกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ ก็ยากที่จะบริสุทธิ์ผุดผ่อง กำแพงเมืองปราณกระบี่ย่อมไม่มีทางยืนหยัดมาได้ถึง หนึ่งหมื่นปีแน่นอน
เกี่ยวกับเรื่องนี้ อันที่จริงเซียนกระบี่ทั่วไปในท้องถิ่นที่รู้เรื่องก็มีอยู่น้อยมาก เมื่อหลายปีก่อนบนหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เฉินชิงตูเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเคยเฝ้าพิทักษ์หัวกำแพงเมืองอยู่ด้วยตัวเอง เขาสร้างฟ้าดินแห่งหนึ่งขึ้นมา
จากนั้นเมื่ออริยะของแต่ละฝ่ายมารวมตัวกันก็มีการร่วมปรึกษาพูดคุยเกิดขึ้น ทว่าจุดจบกลับไม่ค่อยดีนัก นับแต่นั้นมานักปราชญ์ วิญญูชน อริยะของหลี่เซิ่ง หย่าเซิ่งสองสายที่มาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ก่อนจะจากไป ไม่ว่าจะเข้าใจหรือไม่ ก็ล้วนจะได้รับคำสั่งจากทางสถานศึกษาสำนักศึกษา หรือควรพูดให้ถูกคือได้รับคำสั่งอย่างเข้มงวดว่า อย่างมากสุดก็แค่รับผิดชอบคอยสังเกตการณ์สงครามการศึกเท่านั้น ระหว่างนี้ด้วยคิดอยากจะทำเรื่องหลายๆ อย่างให้แก่กำแพงเมือง ปราณกระบี่ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนยอมเสี่ยงถูกลงโทษ แต่ก็ต้องลงมือเองโดยพลการให้ จงได้ พวกเซียนกระบี่ก็ไม่เคยจงใจข่มกำราบหรือผลักไส เพียงแต่ว่าสุดท้ายแล้ว ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อพวกนี้ก็ต้องหมดอาลัยตายอยากเหมือนกันแทบทั้งหมด
เฉินผิงอันเอ่ย “พอนั่งบนโต๊ะเหล้าแล้วก็เอาแต่ดื่มเหล้าอย่างเดียว ไม่ทันได้เอ่ยโน้มน้าว ดื่มเหล้าทำให้เสียเรื่องจริงๆ เสียด้วย”
เฉินผิงอันเดินฝีเท้าไม่เร็ว ชุยตงซานก็ยิ่งไม่รีบร้อน
คนทั้งสองจึงเดินช้าๆ ไม่เร่งรีบไปดื่มเหล้าใหม่ที่โต๊ะกันเช่นนี้
ถนนใหญ่ตรอกเล็กต่างก็ซ่อนเรื่องราวน้อยใหญ่ที่จุดจบไม่ค่อยดีเอาไว้
ชุยตงซานเอ่ยปลอบว่า “มอบตราประทับให้แล้ว ในใจของอาจารย์ย่อมรู้สึกดีขึ้นได้บ้าง แต่หากไม่มอบให้ อันที่จริงกลับดียิ่งกว่า เพราะเถาเหวินจะรู้สึกดีมากกว่า เหตุใดอาจารย์ต้องทำเช่นนี้ เหตุใดอาจารย์ถึงทำเช่นนี้ อาจารย์ไม่ควรทำเช่นนี้”
เฉินผิงอันเปลี่ยนหัวข้อคุย “หลินจวินปี้ผู้นั้นเล่นหมากล้อมกับเจ้า ผลออกมาเป็นอย่างไร?”
ชุยตงซานสะบัดชายแขนเสื้อ บนร่างของคนทั้งสองก็มีริ้วคลื่นกระเพื่อม ประหนึ่งดอกบัวสีทองอ่อนหลายดอกที่หุบๆ บานๆ เกิดๆ ดับๆ เพียงแต่ว่าถูกชุยตงซาน ร่ายเวทอำพรางตาวิชาเฉพาะตัวเอาไว้ จำเป็นต้องเห็นดอกไม้นี้ก่อน
ไม่ใช่เซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนก็อย่าได้หวังเด็ดขาด จากนั้นถึงจะสามารถ แอบฟังบทสนทนาของทั้งสองฝ่ายได้ เพียงแต่ว่ามองเห็นดอกไม้แล้วคิดจะฝ่าทำลายค่ายกล ก็เท่ากับเปิดเผยพิรุธของตัวเอง ชุยตงซานก็จะสามารถตามเบาะแสนี้ไปมอบของขวัญกลับคืนตามมารยาทได้ ไปถามเซียนกระบี่ท่านนั้นว่ารู้หรือไม่ว่าตนคือใคร หากไม่รู้ก็จะต้องบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนเป็นใคร
เหยื่อล่อก็คือเรื่องที่ว่าสรุปแล้วเขาชุยตงซานคือใครกันแน่ แล้วจุดจบของ หลินจวินปี้ล่ะเป็นอย่างไร แนวโน้มของสถานการณ์ราชวงศ์เส้าหยวนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกดินหรือไม่ จากนั้นก็นำสิ่งนี้มาพิสูจน์ว่าสรุปแล้วเขา ชุยตงซานเป็นใครกันแน่
ถึงอย่างไรคนที่จะติดกับก็ล้วนเป็นคนที่ยินดีทั้งนั้น
เขาชุยตงานไม่ได้ขอร้องให้ใครมางับเหยื่อเสียหน่อย จุดจบจากการที่ควบคุมปากตัวเองไม่ได้ เซียนกระบี่ใหญ่เยว่ชิงก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว หากขนาดนี้แล้วยังไม่ถอดใจ ก็คงต้องชั่งน้ำหนักควันธูปของสายเหวินเซิ่งดูอีกครั้ง แล้วก็อย่ามาโทษ หากเขาชุยตงซานไปขอกำลังเสริม เรียกให้อาจารย์ลุงใหญ่มาช่วยหนุนหลังศิษย์หลานอย่างตน
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “หลินจวินปี้เป็นคนฉลาด ก็แค่อายุน้อย เลยหน้าบาง ประสบการณ์ยังไม่โชกโชน แน่นอนว่าศิษย์ต้องฉลาดกว่าเขา คิดจะทำลายจิตแห่งเต๋าของเขาอย่างสิ้นเชิงไม่ใช่เรื่องยาก เป็นแค่เรื่องเล็กๆ ที่ถือโอกาสทำไปพร้อมกันได้ แต่ไม่มีความจำเป็น ถึงอย่างไรศิษย์กับเขาก็ไม่มีความอาฆาตแค้นกันเป็นการส่วนตัว คนที่ผูกปมแค้นกับข้าจริงๆ คืออาจารย์ซีหลูที่เขียน ‘ตำราหมากล้อมศาลาแห่งความชื่นมื่น’ เล่มนั้น เขาก็จริงๆ เลย ฝีมือเล่นหมากล้อมห่วยแตกขนาดนั้นก็ยังกล้าเขียนหนังสือสอนวิธีเล่นหมากล้อมให้คนอื่น ว่ากันว่าหนังสือนี่ยังขายดีอีกด้วย อยู่ในราชวงศ์เส้าหยวนก็ขายดีจนแทบจะเทียบได้กับ ‘ตำราเมฆหลากสี’ แล้ว ทนได้หรือ? ศิษย์ย่อมทนไม่ได้อยู่แล้ว นี่คือการถ่วงเส้นทางการหาเงินของศิษย์เลยนะ ตัดขาดเส้นทางความรวยของคนอื่น มันน่าแค้นจะตายไป ถูกไหม?”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างกังขา “ตัดขาดเส้นทางความรวยของเจ้า หมายความว่าอย่างไร?”
ชุยตงซานตอบอย่างเขินอาย “ไม่พูดถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้น้อย โดยทั่วไปแล้ว ‘ตำราเมฆหลากสี’ ทุกเล่มที่ขายออกในใต้หล้าไพศาล ศิษย์ล้วนได้รับส่วนแบ่ง เพียงแต่ว่านครจักรพรรดิขาวไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ แน่นอนว่าไม่เคยเปิดปากเรียกร้องด้วยตัวเองด้วย ล้วนเป็นแผนการที่พวกร้านหนังสือบนภูเขาปรึกษาหารือกันมาได้ เพื่อความปลอดภัย ไม่อย่างนั้นหาเงินมาได้แต่ต้องหัวขาดก็ไม่คุ้มค่า แน่นอนว่าศิษย์เคยบอกเป็นนัยๆ ด้วยกังวลว่าเจ้านครจักรพรรดิขาวใจกว้าง แต่คนที่อยู่ข้างกาย เจ้านครกลับจิตใจคับแคบ หากไม่ทันระวัง อาจเป็นเหตุให้พวกคนที่จัดพิมพ์ ตำราหมากล้อมถูกนครจักรพรรดิขาวคิดบัญชีย้อนหลังเอาได้ คนวิถีมารนั้นยากจะคาดเดานิสัยใจคอ ถึงอย่างไรระมัดระวังก็ขับเรือได้นานเป็นหมื่นปี อีกอย่างสามารถมอบเงินให้กับนครจักรพรรดิขาวที่ยิ่งใหญ่ได้ ก็ถือเป็นความสัมพันธ์ควันธูปที่ได้มาอย่างยากลำบาก”
เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้ หากชุยตงซานไม่บอก เขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่ามีเรื่องวงในของการหาเงินก้อนใหญ่ดั่งน้ำสายเล็กไหลยาวเช่นนี้อยู่ จึงพูดอย่างขันๆ ปนฉุนว่า “อีกเดี๋ยวดื่มเหล้า เจ้าเป็นคนจ่ายเงิน หาเงินมาอย่างใจดำเช่นนี้ เจ้าก็ควรจะดื่มเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่หลายๆ ไหหน่อย จะได้ชำระล้างท้องล้างจิตใจให้สะอาดเสียบ้าง”
ชุยตงซานพยักหน้าขานรับว่าตกลง แล้วยังบอกว่าเหล้าพวกนั้นขายถูกเกินไปแล้ว บะหมี่หยางชุนก็อร่อยนัก อาจารย์มีคุณธรรมในการทำการค้าเกินไป จากนั้นก็เอ่ยต่ออีกว่า “อีกคนหนึ่งก็คืออาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาของหลินจวินปี้อย่างใต้เท้าราชครูราชวงศ์เส้าหยวนผู้นั้น ความไม่พอใจทั้งหลายของคนรุ่นเก่าไม่ควรจะถ่ายทอดมาถึงตัวของลูกศิษย์ คนอื่นรู้สึกอย่างไรล้วนไม่ใช่เรื่องสำคัญ สำคัญที่ว่าสายเหวินเซิ่งของพวกเราจะสามารถยืนหยัดในความรู้ที่เปลืองแรงแล้วก็ยังไม่ได้ดีนี้ไว้ได้หรือไม่ ในเรื่องนี้ไม่ต้องสอนเผยเฉียนมากนัก กลับกลายเป็นฉาฉิงหล่างที่ต้องให้เขาได้เห็นเรื่องให้มากขึ้น อธิบายหลักการเหตุผลกับเขาให้มากขึ้น”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “สรุปแล้วว่าหลินจวินปี้เป็นอย่างไร?”
ชุยตงซานยิ้มตอบ “สรุปก็คือหลินจวินปี้ถูกศิษย์พร่ำสอนชี้แนะด้วยความหวังดี เขากระจ่างแจ้งได้โดยพลัน ยินดีจะกลายเป็นหมากของข้าอย่างอารมณ์ดี ความหนักแน่นของจิตแห่งเต๋ายิ่งขยับสูงขึ้นไปอีกขั้น อาจารย์วางใจได้ ข้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงจิตแห่งเต๋าของเขาแม้สักเสี้ยว ข้าก็แค่ช่วยให้เขากลายเป็นราชครูราชวงศ์เส้าหยวน และยิ่งสมกับเป็นบุคคลอันดับหนึ่งข้างกายจักรพรรดิได้เร็วขึ้น ครามเกิดจากต้นครามแต่สีเข้มกว่าคราม ไม่เพียงแค่เรื่องของความรู้เท่านั้น ยังมี กองกำลังอำนาจในโลกมนุษย์อีกด้วย หลินจวินปี้สามารถได้รับสิ่งเหล่านี้มามากกว่าอาจารย์ของเขา สิ่งที่ศิษย์ทำไปก็คือการปักบุปผาลงบนผ้าแพร หลินจวินปี้คนนี้ แบกรับโชคชะตาแคว้นของหนึ่งแคว้นในราชวงศ์เส้าหยวนเอาไว้ จึงมีคุณสมบัติที่จะคิดเช่นนี้ ปมของปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าข้าพูดอะไรหรือทำอะไร แต่อยู่ที่ว่าผู้ถ่ายทอดมรรคาของหลินจวินปี้ถ่ายทอดมรรคาได้ไม่มากพอ เข้าใจผิดคิดว่าการที่ค่อยๆ อบรมสั่งสอนไปทีละขั้นตอนปีแล้วปีเล่าก็จะสามารถทำให้หลินจวินปี้กลายเป็นตัวเองอีกคนหนึ่งได้ สุดท้ายเติบโตกลายมาเป็นเสาเทพค้ำมหาสมุทรของราชวงศ์เส้าหยวน แต่กลับไม่รู้เลยว่าจิตใจของหลินจวินปี้ใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นฟ้าเสียอีก เขาไม่ยินดี จะกลายเป็นเงาของใครทั้งนั้น ดังนั้นจึงมีโอกาสให้ศิษย์ลงมือ หลินจวินปี้ได้รับกำไรเป็นกอบเป็นกำอย่างที่เขาหวังว่าจะได้ ส่วนข้าก็ได้กำไรเท่าหัวแมลงวันที่อยากจะได้ ทุกคนต่างก็ชื่นบาน สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็ยังเป็นเพราะหลินจวินปี้ฉลาดมากพอ ศิษย์ถึงได้ยินดีสอนวิชาหมากล้อมที่แท้จริงและหลักการวางตัวให้แก่เขา”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ชุยตงซานก็เอ่ยว่า “อาจารย์ไม่ควรถามเช่นนี้ มีแต่จะถูกเรื่องสกปรกที่ไม่เกี่ยวกับตัวเองพวกนี้ส่งผลกระทบต่ออารมณ์อยากดื่มเหล้าเสียเปล่าๆ”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เรื่องของอาจารย์คือเรื่องของลูกศิษย์ แล้วเรื่องของลูกศิษย์จะไม่ใช่เรื่องของอาจารย์ได้อย่างไร?”
ชุยตงซานยกชายแขนเสื้อขึ้น แสร้งทำท่าเค้นน้ำตา เฉินผิงอันจึงยิ้มเอ่ยว่า “คำประจบสอพลอไม่ต้องพูดหรอก แต่จำไว้ว่าจากนี้ซื้อเหล้าหลายๆ ไหหน่อย”
จากนั้นเฉินผิงอันก็เอ่ยเตือนว่า “อวี้เจวี้ยนฟูนิสัยไม่เลว เจ้าอย่าได้หลอกนาง”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “สำหรับนางและตระกูลอวี้แล้ว บางทีอาจไม่ถือว่าเป็นเรื่องดีสักเท่าไร แต่อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ข้ากับตาแก่อวี้ที่ความสามารถในการล้มกระดานดีกว่าฝีมือในการเล่นหมากล้อมมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวต่อกัน อาจารย์วางใจเถอะ ทุกวันนี้ศิษย์ทำอะไรล้วนรู้หนักรู้เบาอยู่เสมอ การที่อวี้เจวี้ยนฟูสามารถกลายมาเป็นคนที่อาจารย์มองว่า ‘ไม่เลว’ ได้นั้น แน่นอนว่าความตั้งใจของตัวนางเองมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย แล้วก็มีขนบธรรมเนียมประจำตระกูลที่บ่มเพาะมาเป็นปัจจัยเช่นกัน ส่วนขนบธรรมเนียมของราชวงศ์เส้าหยวนแห่งนั้นเป็นอย่างไร แน่นอนว่าหลักการก็ต้องคล้ายๆ กัน เลือกหมูก็ต้องดูที่เล้าหมูใช่ไหมล่ะ ขอแค่รอบคอบไม่ดูแค่กรณีพิเศษ ดูแค่จำนวนที่มาก หลักการเหตุผลก็ไม่มีทางผิดเป็นแน่”
เฉินผิงอันเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหน้ามามอง ‘ห่านขาวใหญ่’ ที่ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตนเอ่ยเรียก ศิษย์พี่เล็กในใจของเฉาฉิงหล่าง แล้วคลี่ยิ้มอย่างเข้าใจ เอ่ยว่า “มีลูกศิษย์อย่างเจ้าอยู่ข้างกาย ข้าสบายใจอย่างมาก”
ชุยตงซานกล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดายว่า “น่าเสียดายที่ศิษย์ไม่อาจอยู่เคียงข้างอาจารย์ได้ตลอด ไม่อาจช่วยอาจารย์คลายความกังวลกลัดกลุ้มเล็กๆ เท่าที่ตัวเองมีความสามารถได้”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เผยเฉียนกับเฉาฉิงหล่าง ไม่ว่าจะเป็นสภาพจิตใจหรือการฝึกตน เจ้าที่เป็นศิษย์พี่เล็กช่วยดูแลให้มากหน่อย คนที่มีความสามารถมากย่อมเหนื่อยกว่าคนอื่น ต่อให้ในใจเจ้าจะน้อยใจ ข้าก็จะแสร้งทำเป็นไม่รับรู้”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ใต้หล้านี้มีเพียงคนที่ฝึกฝนจิตใจตัวเองไม่มากพอเท่านั้น หากสืบสาวลงลึกไปแล้ว อันที่จริงก็ไม่มีความน้อยเนื้อต่ำใจใดที่จะเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจได้”
เฉินผิงอันหันหน้ามาหา “จะสอนอาจารย์ว่าควรวางตัวอย่างไรด้วยหรือ?”
ชุยตงซานพูดอย่างน้อยใจ “ศิษย์น้อยใจจะตายอยู่แล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ย “ผู้ที่เชี่ยวชาญการอ่านใจคน ยิ่งขยับเข้าใกล้ใจสวรรค์มากเท่าไร ก็ยิ่งง่ายที่จะถูกสวรรค์เล่นงานมากเท่านั้น ตัวเจ้าเองก็ระวังให้มาก มีเพียงใส่ใจตัวเองทุกเรื่องเท่านั้นถึงจะสามารถใส่ใจคนอื่นได้อย่างยาวนาน”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ “ศิษย์มีแผนการแล้ว ย่อมต้องใคร่ครวญให้รอบคอบ”
อันที่จริงประโยคสุดท้ายของทั้งสองฝ่ายต่างก็มีความนัยที่ไม่ได้เอ่ยออกมา
คำว่าใส่ใจตัวเองทุกเรื่องของสายเหวินเซิ่ง แน่นอนว่าต้องมีเงื่อนไขที่ว่าไม่ทำร้ายคนอื่นและไม่ผิดต่อวิถีทางโลก เพียงแต่ว่าคำพูดเช่นนี้ยากที่จะเอามาพูดกับชุยตงซานได้ เฉินผิงอันไม่ยินดีจะเอาเหตุผลยิ่งใหญ่ที่แม้แต่ตัวเองก็ยังเข้าใจไม่กระจ่างและคุณธรรมของตัวเองมากดข่มคนอื่น
คำตอบของชุยตงซานก็ใช่ว่าจะเป็นการรับปากอาจารย์ เพราะเขาเองไม่อาจรับประกันได้ว่าจะ ‘ใส่ใจตัวเองทุกเรื่อง’ ยิ่งไม่อาจรับรองคำว่า ‘ยาวนาน’ ได้
วิถีทางโลกใบนี้ การใช้เหตุผลกับคนอื่นล้วนต้องจ่ายค่าตอบแทนไม่มากก็น้อยอยู่เสมอ
ถ้าเช่นนั้นการใช้เหตุผลและไม่ใช้เหตุผลเพื่อปกป้องคนมากมายบนโลก ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายจึงมีแต่จะมากยิ่งกว่า ยกตัวอย่างเช่นครั้งนี้ชุยตงซานวาง เรื่องใหญ่ของแจกันสมบัติทวีปที่มีมากมายขนาดนั้นเอาไว้ก่อนชั่วคราว แล้วเร่งรุดเดินทางมาเยือนภูเขาห้อยหัวกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ เขาเองก็จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนเช่นกัน อันที่จริงชุยฉานไม่ได้เอ่ยอะไร ยิ่งไม่ได้ต่อรองราคา
ในจดหมายเอ่ยแค่สี่คำว่ารีบไปรีบกลับ ถือเป็นการตอบตกลงกับการแอบอู้ของชุยตงซานแล้ว แต่ตัวชุยตงซานเองก็รู้ดีว่า ตนยินดีทำให้มากขึ้นอีกหน่อย ในเมื่อเจ้าตะพาบเฒ่าชุยฉานยอมถอยให้ข้าหนึ่งก้าว ถ้าอย่างนั้นข้าชุยตงซานที่ไม่ใช่เจ้าชุยฉานก็จะให้ตัวเองได้เดินออกไปสองก้าว
ชุยตงซานรู้ดีถึงสิ่งที่อาจารย์ตัวเองทำลงไปในกำแพงเมืองปราณกระบี่
ไม่เพียงเท่านี้ ยังสามารถดึงเอาฉีจิ่งหลงแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยมาร่วมด้วย
ชุยตงซานจึงทำแค่เรื่องที่น่าสนใจ ทั้งยังมีความหมาย ขณะเดียวกันยังมีประโยชน์ให้ฉกฉวยอีกด้วย
ดังนั้นของเขาจึงได้แต่ดึงเอาคนฉลาดอย่างพวกหลินจวินปี้มาอยู่ข้างกาย ไม่อาจกลายเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันกับคนอย่างฉีจิ่งหลง จงขุยได้ตลอดกาล
แต่อาจารย์กลับไม่ได้เป็นเช่นนี้
ลูกศิษย์มากมายบนโลกมักจะเรียนรู้อะไรบางอย่างจากบนร่างของอาจารย์ได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ชื่อเสียง การปกป้องมรรคา ขั้นบันได เงิน
ชุยตงซานคร้านจะพูดถึงสิ่งที่ดีและไม่ดีเหล่านั้น ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ตน ไม่เกี่ยวอะไร กับตน ถ้าอย่างนั้นอยู่นอกบ้านก็แขวนพวกมันไว้ให้สูง
พอไปถึงร้านเหล้าก็เห็นว่ามีคนอยู่เต็มแน่น เฉินผิงอันพาชุยตงซานเดินไป หิ้วเหล้าสองกามานั่งข้างทาง ข้างกายมีผู้ฝึกกระบี่หน้าใหม่มาเพิ่มอยู่หลายคน
ตอนนี้ชื่อเสียงของชุยตงซานในกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ถือว่าน้อยแล้ว ฝีมือการเล่นหมากล้อมเลิศล้ำ ว่ากันว่าเอาชนะหลินจวินปี้ได้หลายครั้งติด ครั้งที่มากที่สุดนั้นวางหมากกันไปถึงสี่ร้อยกว่าตัว
เซียนกระบี่ในท้องถิ่นที่เชี่ยวชาญการประลองกระบี่ต่างก็พูดกันว่าชุยตงซาน ลูกศิษย์รุ่นที่สามของสายเหวินเซิ่งผู้นี้มีวิชาหมากล้อมเลิศล้ำค้ำฟ้า อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ต้องไร้ศัตรูเทียมทานอย่างแน่นอน
ดังนั้นในใจของพวกผีขี้เหล้าผีพนันทั้งหลายจึงรู้สึกดีขึ้นเยอะมาก คิดดูแล้วเถ้าแก่รองที่เป็นอาจารย์ของชุยตงซานต้องมีวิชาหมากล้อมสูงกว่าแน่ๆ ดังนั้นถูกเถ้าแก่รอง ขายเหล้าเป็นเจ้ามือหลอกเอาเงินไป ก็ถือว่าไม่น่าอายแล้วใช่หรือไม่? ขณะเดียวกัน ก็มีคนไม่น้อยรู้สึกว่าตนเองเข้าใจเถ้าแก่รองผิดไปจริงๆ แม้จะบอกว่าพฤติกรรมการดื่มเหล้าและการเดิมพันแย่ไปสักหน่อย แย่อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถึงอย่างไรนิสัยการเล่นหมากล้อมก็ดี ทั้งๆ ที่มีวิชาหมากล้อมสูงส่งขนาดนี้ แต่กลับไม่เคยเอาเรื่องนี้มา โอ้อวด ไม่นึกว่าจะยังเหลือมโนธรรมอีกน้อยนิดที่ยังไม่ถูกสุนัขของใต้หล้าไพศาล คาบไปกินทั้งหมด
ตอนนี้กิจการของร้านเหล้าดีมากจริงๆ เถ้าแก่ใหญ่เตี๋ยจ้างจึงคิดจะซื้อร้าน สองร้านที่อยู่ติดกัน แรกเริ่มนางกลัวมากกว่าการทำเช่นนั้นจะเป็นการกระทำที่เกินความจำเป็น จึงเตรียมใจไว้แล้วว่าอาจต้องถูกอบรมสั่งสอน หลังจากบอกความคิดนี้แก่เถ้าแก่รองอย่างระมัดระวัง คิดไม่ถึงว่าเถ้าแก่รองจะพยักหน้ารับบอกว่าทำได้ เตี๋ยจ้างจึงรู้สึกว่าตัวเองพอจะเข้าใจการทำการค้าขึ้นมาบ้างแล้ว เมื่อมีความคิดเช่นนี้ เตี๋ยจ้างจึงปรึกษากับจางเจียเจินที่มาช่วยงานเป็นลูกจ้างระยะสั้น เมื่อเด็กหนุ่มตอบตกลงก็จะได้ทำงานระยะยาวอยู่ในร้านเหล้า นอกจากจางเจียเจินจากตรอกหลิงซีแล้ว ยังมีเจี่ยงชวี่คนวัยเดียวกันจากตรอกซัวลี่ด้วย เขาเป็นฝ่ายมาหาเตี๋ยจ้าง หวังว่า จะช่วยงานในร้านเหล้าได้ ยังบอกอีกว่าเขาไม่ต้องการเงินเดือน ขอแค่มีข้าวให้กินอิ่มก็พอแล้ว แน่นอนว่าเตี๋ยจ้างไม่ตกลง ยังยืนกรานว่าจะจ่ายเงินเดือนให้เขา แต่แรกๆ จะไม่ได้ให้เงินมากนัก วันหน้าหากกิจการดีกว่าเดิมค่อยเพิ่มเงินเดือนให้ ดังนั้นช่วงนี้เจี่ยงชวี่จึงมักจะมาหาจางเจียเจินบ่อยๆ เพื่อสอบถามเรื่องงานจุกจิกในร้านเหล้า จางเจียเจินเองก็บอกทุกเรื่องที่ตัวเองรู้แก่คนวัยเดียวกันที่คุ้นเคยมานานแล้วผู้นี้ไป จนหมดเปลือก เด็กหนุ่มสองคนที่มาจากตรอกเก่าโทรมคนละแห่ง แต่มีชาติกำเนิดพอๆ กันจึงยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้น
ดื่มเหล้าไปแล้วก็กลับจวนหนิง ระหว่างทางที่กลับไป ชุยตงซานหิ้วเหล้าภูเขา ชิงเสินที่สองไหราคาห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะกลับไปด้วย แน่นอนว่าไม่ได้เชื่อกับ ทางร้านเหล้าเอาไว้
นี่ทำให้พวกผีขี้เหล้าทั้งหลายรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ จิตใจเยียบเย็น แม้แต่ เงินเทพเซียนของลูกศิษย์ตัวเอง เถ้าแก่รองก็ยังหลอกเอาไปด้วยหรือ? แล้วคน นอกหลุม เขาจะออมมือให้หรือไร?
ได้ยินมาว่าผู้ฝึกกระบี่ก่อนกำเนิดคนหนึ่งที่บอกว่าตัวเองเชี่ยวชาญวิชาการ เดิมพันเป็นอันดับหนึ่ง แม้แต่อาเหลียงก็ยังหลอกเอาเงินเขาไปไม่ได้แม้แต่ เหรียญเดียว เวลานี้ได้เริ่มทำการศึกษาแล้วว่าควรจะลงเดิมพันกับเถ้าแก่รอง แล้วหาเงินมาให้ตัวเองได้อย่างไร ถึงเวลานั้นก็จะเขียนหนังสือรวบรวมเป็นรูปเล่ม แล้วจะมอบตำราเล่มนี้ให้คนอื่นโดยไม่เก็บเงิน ขอแค่เป็นคนที่มาดื่มเหล้าในเหลาสุราเป่ากวงซึ่งเป็นเหลาสุราที่ใหญ่ที่สุดในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ก็สามารถเอาไปได้เลยเล่มหนึ่ง เมื่อดูตามนี้ เหลาสุราเป่ากวงที่อยู่ในนามของตระกูลฉีก็ถือว่าตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับเถ้าแก่รองแล้ว
น่าหลันเย่สิงเปิดประตู ด้วยความดีใจที่ได้เหล้ามาสองกา คนที่เฝ้าประตูใหญ่ แต่กลับควบคุมประตูเล็กอย่างปากตัวเองไม่อยู่จึงเอ่ยเรียกอีกฝ่ายว่าน้องเล็กตงซานอย่างกระตือรือร้น ชุยตงซานยิ้มตาหยี ปากก็เรียกว่าท่านปู่น่าหลัน แต่ในใจกลับคิดว่าพี่ใหญ่น่าหลันผู้นี้อายุมากแล้วก็เลยเลอะเลือนจนจำรสชาติตอนถูกตีไม่ได้แล้วสินะ อยากโดนซ้อมอีกรอบหรือไร ก่อนหน้านี้คำพูดของตนก็แค่ทำให้ในใจป๋ายหมัวมัว อึดอัดเล็กน้อยเท่านั้น ทว่าครั้งนี้คงต้องลงมืออย่างโหดร้ายออกหมัดเต็มแรงใส่พี่ใหญ่น่าหลันอย่างเจ้าแล้ว ตีเพราะสนิทสนม ด่าก็เพราะรัก จงรับไว้และเสพสุขกับมันแต่โดยดี
เพื่อไม่ให้โอกาสน่าหลันเย่สิงได้ล้อมคอกเมื่อวัวหาย หลังจากที่เดินข้ามผ่านธรณีประตูใหญ่มาพร้อมกับอาจารย์ ชุยตงซานจึงพูดกลั้วหัวเราะเสียงเบาว่า “ลำบากให้ พี่หญิงลั่วซานต้องคอยคุ้มกันมาส่งแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าว “เป็นหน้าที่ของนาง ไม่จำเป็นต้องคิดมาก”
ชุยตงซานสะบัดชายแขนเสื้อ “แน่นอน เพียงแต่ว่าในใจศิษย์กระวนกระวาย ไม่แน่ใจว่าการแต่งกายวันนี้จะเข้าตาพี่หญิงลั่วซานหรือไม่”
น่าหลันเย่สิงยิ้มกล่าว “ตงซานอ่า เจ้าคือเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาที่ยากจะพานพบได้ เซียนกระบี่ลั่วซานจะต้องจดจำเจ้าได้อย่างแน่นอน”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ “นั่นสิๆ”
ทางฝั่งของลานประลองยุทธฟ้าดินเล็กเมล็ดงา เผยเฉียนกำลังถูกป๋ายหมัวมัวป้อนหมัดให้
เฉินผิงอันไม่ได้อยู่ด้วย เพราะทนมองไม่ไหว
หากตัวเฉินผิงอันเป็นคนถูกป้อนหมัดเอง รสชาติการถูกผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบ ป้อนหมัดเป็นอย่างไร ต่อให้อนาถแค่ไหนก็ไม่เป็นไร แต่กลับทนเห็นลูกศิษย์ของตน ถูกป้อนหมัดไม่ได้
สาเหตุที่แท้จริงก็คือ เฉินผิงอันกลัวว่าหากตัวเองมองมากหน่อย แล้ววันหน้า เผยเฉียนทำความผิด ตนจะตัดใจตำหนินางไม่ลง แล้วจะกลายเป็นว่าใช้เหตุผลกับนางน้อยลง
เพราะถึงอย่างไรตลอดเวลาหลายปีที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน เฉินผิงอันก็เจอความยากลำบากบนเส้นทางหัวใจสายนี้มาจนเกินพอแล้ว
ตัดขาดความสำคัญกับคนอื่น ต่อให้ยากแค่ไหนก็ไม่ยากอีกต่อไป มีเพียงตัดขาดความสัมพันธ์กับตัวเองคนเมื่อวานเท่านั้นที่ลำบากสุดแสน ยากดั่งเดินขึ้นสวรรค์
……
ในคฤหาสน์หลบร้อนหลังหนึ่งของใต้เท้าอิ่นกวานที่ตั้งอยู่นอกเมือง
ใต้เท้าอิ่นกวานนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ลอยอยู่กลางอากาศ มือทั้งสองของนาง จับผมแกละสองข้างของตัวเอง ก้มหน้ามองลงไป จุดที่สายตานางมองเห็นคือ ภาพแผนที่ของนคร แต่มีขนาดใหญ่ยิ่งกว่าอีกทั้งยังละเอียดกว่าแผนที่ปกติทั่วไป ต่อให้เป็นสวนดอกไม้ หอเก๋งศาลาส่วนตัวของเรือนใหญ่ทั้งหลายซึ่งรวมถึงเรือนบนถนนไท่เซี่ยง ก็ล้วนเห็นชัดเจนครบถ้วน
เพียงแต่ว่าตอนนี้บนแผนที่กลับเป็นเส้นทางทั้งหลายที่วาดด้วยพู่กันสีชาด เส้นทางสีแดงสด ฝั่งหนึ่งคือจวนหนิง อีกฝั่งหนึ่งกลับไม่มีเป้าหมายแน่นอน มากสุดก็คือร้านเหล้าของเตี๋ยจ้าง รวมไปถึงมุมหัวเลี้ยวของตรอกเส้นนั้น ตำแหน่งที่ นักเล่านิทานมักจะเอาม้านั่งตัวเล็กมาวางไว้ รองลงมาก็คือจุดที่จั่วโย่วฝึกกระบี่ ส่วนที่เหลือก็คือร่องรอยเส้นทางต่างๆ ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ สรุปก็คือเถ้าแก่รองเดินไปที่ไหนก็จะมีคนวาดภาพบนแผนที่ไปถึงที่นั่น
ผังหยวนจี้เคยถามว่า “เฉินผิงอันไม่ใช่สายของเผ่าปีศาจเสียหน่อย เหตุใดอาจารย์ต้องสนใจการเดินทางของเขาขนาดนี้ด้วย”
ใต้เท้าอิ่นกวานตอบกลับมาว่า “ไม่ได้ต่อสู้ ไม่มีเหล้าดื่ม อาจารย์เบื่อมากนี่นา”
ผังหยวนจี้จึงไม่ถามให้มากความอีก เพราะเหตุผลข้อนี้ของอาจารย์มีเหตุผลอย่างมาก
ตามคำบอกของอาจารย์เขา สายของอิ่นกวานในประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เมื่อสืบทอดมาถึงมือของนาง ต่อให้จะไม่ถือว่าทำได้ดีนัก แต่ก็ถือว่า ผ่านเกณฑ์และได้มาตรฐานอย่างแน่นอน ไม่เพียงแต่ผ่านเกณฑ์ ยังทำเรื่องอย่างอื่นเพิ่มเติมหลายต่อหลายเรื่อง คุณความชอบไม่ถือว่าน้อยเลยจริงๆ แต่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็ยังชอบยั่วยุนางอยู่ร่ำไป รังแกกันเกินไปแล้วจริงๆ ผู้มีความสามารถมากก็ต้องเหนื่อยกว่าคนอื่น แต่ไม่เห็นต้องมีชะตาชีวิตที่เหน็ดเหนื่อยวุ่นวายขนาดนี้เลยนี่นา
ลั่วซานเซียนกระบี่หญิงยังคงสวมชุดผ้าฝ้ายคอกลม รูปแบบยังคงเดิม แต่เปลี่ยนสีใหม่ อีกทั้งยังปักปิ่นดอกไม้ไว้บนมวยผม
อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ลั่วซานที่อยู่ในสายของอิ่นกวาน รวมไปถึงโจวเฉิงสตรีวิปลาสที่โล้ชิงช้าอยู่บนหัวกำแพงเมืองผู้นั้น ล้วนถือว่ามีรูปโฉมโดดเด่นอย่างถึงที่สุดแล้ว
พอมาถึงห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์หลบร้อน ลั่วซานที่ถือพู่กันด้ามหนึ่งก็เดินมาวาดเส้นทางสีแดงอีกเส้นหนึ่งลงไปบนแผนที่
เซียนกระบี่จู๋อานขมวดคิ้ว “คราวนี้ทำไมถึงได้พาชุยตงซานไปยังที่พักของเถาเหวิน? เขาต้องการสิ่งใด?”
ลั่วซานกล่าว “เจ้าถามข้า? ถ้าอย่างนั้นจะให้ข้าไปถามเฉินผิงอันหรือถาม ชุยตงซานดีล่ะ?”
เซียนกระบี่จู๋อานร้องอ้อหนึ่งที “คิดจะไปก็ไปเถอะ ข้ารั้งไว้ไม่อยู่สักหน่อย”
ลั่วซานถลึงตาใส่
จู๋อานกลับไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย
ใต้เท้าอิ่นกวานเอ่ย “น่าจะไปเกลี้ยกล่อมเถาเหวินว่าให้ขยันหาเงินมากๆ อย่ารนหาที่ตายกระมัง เถ้าแก่รองผู้นี้ยังใจอ่อนไปหน่อย มิน่าเล่าครั้งแรกที่ข้าเห็นหน้าเขาถึงไม่ชอบเขาทันทีเลย”
ใต้เท้าอิ่นกวานบิดผมแกละของตัวเอง เบ้ปากเอ่ย “บางทีอาจเป็นเพราะ เถ้าแก่รองผู้นี้ยังได้เห็นมาน้อยนัก เวลาสั้นเกินไป หากได้มองนานกว่านี้แล้วยังมีจิตใจเช่นนี้ได้ ข้าก็คงนับถือเขาจริงๆ น่าเสียดายนัก…”
น่าเสียดายที่ใต้เท้าอิ่นกวานไม่ได้เอ่ยประโยคต่อไป ลั่วซานและเซียนกระบี่ จู๋อานต่างก็ไม่ได้ถามอะไรมาก
จู่ๆ ใต้เท้าอิ่นกวานก็ทอดถอนใจ สีหน้ายิ่งแสดงความเสียดาย “เยว่ชิงไม่ถูกฆ่าตาย ไม่สนุกเลยสักนิด”
คราวนี้เซียนกระบี่จู๋อานใคร่รู้ขึ้นมาจริงๆ แล้ว เพราะถึงอย่างไรเฉินผิงอันที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองคนหนึ่ง เขาก็ไม่ค่อยสนใจสักเท่าไร แต่จั่วโย่วที่เป็น ผู้ฝึกกระบี่เหมือนกัน เขากลับสนใจอย่างยิ่ง จึงถามว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน สรุปแล้วเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเอ่ยอะไรกันแน่ ถึงทำให้จั่วโย่วยอมหยุดมือเก็บกระบี่?”
ใต้เท้าอิ่นกวานยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา
เซียนกระบี่จู๋อานจึงโยนเหล้าหมักเซียนชั้นเลิศของเหลาสุราเป่ากวงไปให้นางกาหนึ่ง
ใต้เท้าอิ่นกวานเก็บไว้ในชายแขนเสื้อ เอ่ยว่า “คงจะพูดกับจั่วโย่วว่า ศิษย์หลานพวกนั้นของเจ้ากำลังมองดูอยู่ ปล่อยกระบี่ออกไปมากขนาดนั้นกลับยังฆ่าใครไม่ได้ นี่ก็น่าขายหน้ามากพอแล้ว ไม่สู้ล้มเลิกความคิดที่จะฆ่าเยว่ชิงไปซะ ถือเสียว่าเป็นการประลองฝีมือไปดีกว่า หากฆ่าอีกฝ่ายตายไปจริงๆ จะเป็นการลดเกียรติของอาจารย์ ลุงใหญ่อย่างเจ้าเอาได้กระมัง”
ลั่วซานกับเซียนกระบี่จู๋อานมองสบตากัน รู้สึกว่าคำตอบนี้ยากจะทำให้คนเชื่อได้
ใต้เท้าอิ่นกวานกระโดดขึ้นไปยืนบนที่เท้าแขนเก้าอี้ มองแผนที่นั้นจากมุมที่ สูงกว่าเดิมอีกหน่อย พูดพึมพำกับตัวเองว่า “คนที่ใกล้จะตายมีค่อนข้างเยอะนะเนี่ย คนที่รอดชีวิตได้ก็มีอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน แพ้เสียเงินชนะได้เงิน หาเงินคืนเงิน มีคนทำการค้าแบบนี้ด้วยหรือ? ในอนาคตใครเล่าจะจดจำเงินขายชีวิตน้อยนิดของเจ้า เถาเหวินได้ ใครจะจำเรื่องเล็กน้อยเท่าเมล็ดงาที่เจ้าเฉิงผิงอันทำลงไปได้? ภายใต้สถานการณ์ใหญ่ ทุกคนต่างก็ยากจะหลบหนีได้พ้น เป็นเรื่องที่ไร้ความหมายสิ้นดี แต่กลับยังตั้งใจทำขนาดนี้?
เฮ้อ ไม่รู้จริงๆ ว่ามือกระบี่ที่เรียนหนังสือพวกนี้ทำอะไรอยู่ แล้วยังเป็นอย่างนี้มาโดยตลอด ดันดื่มเหล้าไม่ได้อีก ข้าล่ะกลุ้มจะตายอยู่แล้ว จู๋อาน เจ้ารีบดื่มเข้าสิ ให้ข้าได้ดมกลิ่นเหล้าก็ยังดี”
กำแพงเมืองปราณกระบี่ในวันนี้
จั่วโย่วไม่ใช่แค่รู้สึกไม่ค่อยชินสักเท่าไร แต่ไม่ชินอย่างถึงที่สุด
กับชุยตงซานนั้น สามารถแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา ขัดหูขัดตาก็ออกกระบี่ใส่
กับเฉินผิงอัน สอนวิชาความรู้บางอย่างของตนให้เขา หากมีจุดไหนขัดตาก็จะสอนศิษย์น้องเล็กให้ฝึกกระบี่
แต่ทั้งสองคนตรงหน้านี้ต่างก็เป็นศิษย์หลาน!
บวกกับกวอจู๋จิ่วที่ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ถูกศิษย์น้องเล็กพามาอยู่ข้างกาย ก็ถือว่าเป็นศิษย์หลานครึ่งตัวด้วย?
ครั้งนี้เผยเฉียนพยายามจะแย่งพูดให้ได้ก่อน เคยแพ้ให้เฉาฉิงหล่างไปหนึ่งครั้ง นั่นเป็นเพราะนางโชคไม่ดี แพ้สองครั้ง นั่นก็แสดงว่าตนไม่มีมารยาทต่ออาจารย์ ลุงใหญ่มากพอ!
ดังนั้นรอให้อาจารย์ของตนทักทายกับอาจารย์ลุงใหญ่ของตนเรียบร้อยแล้ว ตนก็ต้องลงมือแล้ว!
คิดไม่ถึงว่าเผยเฉียนวางแผนมาเป็นดิบดี กลับดันแพ้ให้กับกวอจู๋จิ่วที่ถือว่าเป็นสหายร่วมสำนักครึ่งตัว
ไม่รู้ว่าเหตุใดคนผู้นี้ถึงไม่ถูกกักบริเวณแล้ว ช่วงนี้จึงมักจะมาเยือนจวนหนิงบ่อยๆ มาบ่นว่าอาจารย์แม่ปิดด่านก็แล้วไปเถอะ ประเด็นสำคัญคือพอมาเจอกับอาจารย์ลุงใหญ่ของตนก็ยังไม่รู้จักพูดจาดีๆ เสียบ้าง
ศิษย์พี่หญิงใหญ่ไม่ยอมรับศิษย์น้องหญิงเล็กอย่างเจ้า ก็เป็นเหตุผลให้ศิษย์ น้องหญิงเล็กอย่างเจ้าไม่ยอมรับศิษย์พี่หญิงใหญ่อย่างนั้นหรือ? หืม? หัวสมองเล็กๆ ของเจ้าถูกทุบจนเละไปแล้วหรือไร? ช่างเถิดๆ ต้องจดจำคำสอนของอาจารย์ให้ขึ้นใจ กระบี่สูงอยู่ในฝัก หมัดสูงอย่าได้ปล่อยออกไป
วันนี้กวอจู๋จิ่วชิงพูดก่อนว่า “ว่าที่ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ ท่านหนึ่งคนหนึ่งกระบี่ถูกเซียนกระบี่มากมายขนาดนั้นซึ่งรวมถึงเซียนกระบี่ใหญ่เยว่ชิงล้อมเอาไว้ อันที่จริงอารมณ์ของท่านผ่อนคลายมากเลย ใช่ไหม? เพราะในอดีตศึกใหญ่ที่ท่านออกจาก หัวกำแพงไปสังหารปีศาจ ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ก็ถูกปีศาจมากมายล้อมเอาไว้เหมือนกัน ผ่าแตงหั่นผักควั่บๆๆ เพราะฉะนั้นจึงเคยชินมานานแล้ว ต้องเป็นอย่างนี้แน่นอน! อาจารย์ลุงใหญ่ท่านอย่าได้ไม่ยอมรับเด็ดขาดเชียว!”
จั่วโย่วยิ้มเอ่ยว่า “สามารถยอมรับได้”
กวอจู๋จิ่วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หากข้าเป็นคนของใต้หล้าเปลี่ยวร้างคงต้อง จุดธูปไหว้พระ ขอร้องไม่ให้เวทกระบี่ของอาจารย์ลุงใหญ่สูงไปกว่านี้แม้สักเสี้ยวเดียวเลยล่ะ”
เผยเฉียนร้อนใจจนตาแดงก่ำ ยกสองมือเกาหัว
คำประจบสอพลอแบบนี้ไม่มีความจริงใจเกินไปแล้ว
อาจารย์ลุงใหญ่ท่านห้ามเชื่อเด็ดขาดเลยนะ
จั่วโย่วคลี่ยิ้ม เอ่ยพูดคุยกับเผยเฉียนและเฉาฉิงหล่างสองสามประโยค ถ้อยคำ ที่ใช้เกรงใจและมีมารยาท มีมาดของผู้อาวุโสอย่างยิ่ง เอ่ยชมวิชากระบี่มารคลั่งของเผยเฉียน บอกให้นางพยายามเข้าอีก ยังบอกอีกว่าปณิธานกระบี่ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของเซียนกระบี่โจวเฉิงนั้นสามารถเรียนได้ แต่ไม่จำเป็นต้องเลื่อมใส วันหน้าอาจารย์ลุงใหญ่จะถ่ายทอดเวทกระบี่ให้เจ้าด้วยตัวเอง
จั่วโย่วยังกำชับเฉาฉิงหล่างว่าให้ตั้งใจเล่าเรียน ทั้งฝึกตนและเรียนหนังสือ ล้วนอย่าให้ถูกถ่วงเวลาทั้งสองอย่าง นั่นจึงจะเป็นรากฐานในการหยัดยืนของสาย เหวินเซิ่ง ไม่ลืมสอนวิชาที่อาจารย์ของตนเองถนัดแก่เฉาฉิงหล่าง บอกกับเฉาฉิงหล่างว่าในเรื่องของการศึกษาหาความรู้อย่าเรียนรู้จากเฉินผิงอันเป็นพอ เพราะมันอยู่ไกลเกินกว่าคำว่าพอมากนัก จำเป็นต้องเป็นศิษย์ที่เก่งกว่าอาจารย์ นี่ต่างหากจึงจะเป็นรากฐานในการเรียนรู้ของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นว่าแต่ละรุ่นแย่ลงเรื่อยๆ นั่นจะไม่ทำให้พวกอดีตปราชญ์ทั้งหลายขำขันหรอกหรือ? ไม่พูดถึงระบบความรู้ของสายอื่น แต่สายของเหวินเซิ่งย่อมไม่มีหลักการเหตุผลนี้อยู่แน่นอน
ทำเอาเฉินผิงอันที่มองดูอยู่ทั้งดีใจ ทั้งกระอักกระอ่วน
ไม่เคยเห็นศิษย์พี่ใหญ่ท่านนี้จะเคยพูดจาน่าฟังด้วยสีหน้าเมตตาอ่อนโยนแบบนี้กับตนเลย
หรือว่านี่ก็คือคำกล่าวที่ว่าห่างกันรุ่นหนึ่งจะสนิทกันมากกว่า?
พาพวกเขามากราบอาจารย์ลุงใหญ่
กระท่อมของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็อยู่ห่างไปไม่ไกล
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพาพวกเขาไปพบผู้เฒ่าด้วยกัน
เฉินชิงตูเดินออกมาจากกระท่อม ชำเลืองตามองชุยตงซานแวบหนึ่ง น่าจะเป็นการพูดว่าไอ้ลูกกระต่ายน้อยไสหัวไปให้ไกลๆ
ชุยตงซานจึงยิ้มกล่าว “ได้เลย”
กล่าวจบก็หมุนตัว กระโดดโลดเต้นจากไป ชายแขนเสื้อใหญ่สีขาวหิมะทั้งสองข้างโบกสะบัดพลิ้วไสว
กวอจู๋จิ่วยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ยื่นสองนิ้วชี้ไปที่หัว เท้าสองข้างทำท่าเตรียมก้าวเดิน
เซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฒ่ามองนางแวบหนึ่ง เพื่อแสดงความจริงใจ กวอจู๋จิ่วที่ยื่น สองนิ้วชี้ศีรษะจึงก้าวเดินเร็วกว่าเดิม
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “ไม่ได้บอกให้เจ้าไปเสียหน่อย”
กวอจู๋จิ่วเหมือนยกภูเขาออกจากอก หมุนตัวหนึ่งรอบแล้วหยุดยืนนิ่ง แสดงให้รู้ว่า ตนจากไปแล้วและกลับมาแล้ว
เผยเฉียนถอนหายใจอยู่ในใจไม่หยุด ต้องเกลี้ยกล่อมอาจารย์จริงๆ แล้วว่า แม่นางน้อยที่สมองไม่ใคร่จะสมประดีแบบนี้ พาเข้าสำนักไม่ได้จริงๆ ต่อให้จะต้องรับเป็นลูกศิษย์ แต่พอแม่นางน้อยที่โตแต่ตัวสมองไม่โตผู้นี้เข้าไปในศาลบรรพจารย์ ภูเขาลั่วพั่ว เก้าอี้ก็ต้องนั่งติดกับประตูใหญ่สักหน่อย
ในฐานะลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์ นางเผยเฉียนเห็นส่วนรวมเป็นหลักไร้ความเห็นแก่ตัว จะไม่มีส่วนร่วมกับบุญคุณความแค้นส่วนบุคคลเด็ดขาด ที่เสนอความเห็นเช่นนี้ก็เพราะเห็นแก่คุณธรรมใหญ่ของสำนักล้วนๆ
แต่เผยเฉียนก็รู้สึกเลื่อมใสกวอจู๋จิ่วอยู่นิดๆ เป็นคนโง่ก็ดีไปอย่าง นางถึงได้กล้าทำตัวกำเริบเสิบสานแบบนี้ต่อหน้าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส
หากเป็นตนย่อมไม่กล้าพูดแบบนี้แน่นอน ไม่กล้าแม้แต่จะมองผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ให้มากเกินจำเป็น เพราะจะทำให้นางเจ็บตา
เฉินชิงตูมองเด็กๆ ที่อยู่ข้างกายเฉินผิงอัน สุดท้ายก็เอ่ยกับเฉินผิงอันว่า “มีคำตอบแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันกล่าว “ลูกศิษย์สายเหวินเซิ่ง แต่ไหนแต่ไรมามักจะวิเคราะห์สถานการณ์แล้วทำการเลือกและสละอยู่เสมอ”
เฉินชิงตูพยักหน้ารับ เพียงแค่เอ่ยว่า “ตามใจเจ้า”
สุดท้ายวันนี้บนหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่ จั่วโย่วนั่งอยู่ตรงกลาง ซ้ายขวาคือเฉินผิงอันและเผยเฉียน ข้างกายเฉินผิงอันคือกวอจู๋จิ่ว ส่วนข้างกาย เผยเฉียนคือเฉาฉิงหล่าง
ไม่รู้ว่าเหตุใดชุยตงซานที่เมื่อครู่ถูกเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสไล่กลับไปแล้วถึงได้ถูกเรียกกลับมาอีกครั้ง
พูดคุยธุระจบ ชุยตงซานเอาสองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อ ถึงขั้นกล้ายืน เคียงไหล่กับเฉินชิงตูอย่างผึ่งผาย ดูเหมือนว่าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม คนทั้งสองถึงได้มายืนมองทัศนียภาพที่ห่างออกไปไม่ไกลด้วยกัน
เฉินชิงตูยิ้มถาม “ใต้เท้าราชครูคิดอย่างไร?”
ชุยตงซานเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “กลัวว่าจะเป็นเพียงฝันตื่นหนึ่ง”