บทที่ 614 สิบสี่บัลลังก์ มังกรข้าเชิดหัว
เซียนกระบี่ใหญ่เยว่ชิงสวมชุดคลุมอาคมตัวหนึ่งที่หอภูษาเป็นผู้ตัดเย็บ ตรงเอวห้อยกระบี่ ‘สยบห้าขุนเขา’ กระบี่ประจำกาย เพียงแต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับอาวุธกึ่งเซียนที่ไม่ชักออกจากฝักง่ายๆ เล่มนี้ อันที่จริงเยว่ชิงชอบกระบี่ยาวรูปแบบเฉพาะที่หอกระบี่เป็นผู้สร้างมากกว่า ดังนั้นเวลานี้กระบี่ที่อยู่ในมือทั้งสองจึงเป็นกระบี่ที่หอกระบี่สร้างขึ้น
และการที่เซียนกระบี่และผู้ฝึกกระบี่เซียนดินจำนวนมากของกำแพงเมืองปราณกระบี่นิยมสวมชุดคลุมอาคมของหอภูษา ใช้กระบี่ของหอกระบี่ ก็ต้องยกความดีความชอบให้กับเยว่ชิง
เซียนกระบี่หญิงโจวเฉิงยังคงนั่งโล้ชิงช้าอยู่เหมือนเดิม ในอดีตที่ผ่านมานาน มากๆ แล้ว คนหนุ่มที่บอกว่าจะมาดูบ้านเกิดให้เห็นกับตาตัวเองสักครั้งผู้นั้น สุดท้าย ก็ต้องตายด้วยน้ำมือของคนจากบ้านเกิดเขาเพื่อนาง โจวเฉิงไม่มีกระบี่ประจำกาย รอบกายนางคือปณิธานกระบี่เส้นสีทองที่สืบทอดมาจากสำนักหลายรุ่นหลายสมัยซึ่งล่องลอยไม่หยุดนิ่ง นั่นก็คือกระบี่ไร้ฝักของนาง
อู๋เฉิงเพ่ยเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่มีรูปโฉมของคนหนุ่มอีกทั้งหน้าตายังหล่อเหลา เวลานี้ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ ใบหน้าบิดเบี้ยว ดีๆๆ วันนี้ปีศาจใหญ่มีมากเป็นพิเศษ คนคุ้นหน้าคุ้นตาก็มีเยอะ และคนแปลกหน้าก็ไม่น้อยเช่นกัน
หยวนชิงสู่เซียนกระบี่แห่งทักษินาตยทวีปกับเกาขุยเซียนกระบี่ในท้องถิ่นยืน เคียงไหล่กัน เกาขุยมีสีหน้าเคร่งเครียด ใช้เสียงในใจอธิบายประวัติความเป็นมาของปีศาจใหญ่ในตำนานส่วนหนึ่งให้หยวนชิงสู่ฟัง ครั้งนี้ปีศาจใหญ่ที่หลบซ่อนตัวมานานหลายปีพากันระดมพลออกมาหมด มารวมตัวกันที่สนามรบทางทิศใต้ คือสถานการณ์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในรอบหมื่นปี โดยเฉพาะปีศาจใหญ่สิบสี่ตนที่ยืนอยู่ตำแหน่งหน้าสุดของแผ่นดินทางทิศใต้ที่ยิ่งเป็นบุคคลซึ่งอยู่ในลำดับแรกสุดของปฏิทินเหลืองเก่าแก่ฉบับดั้งเดิมอย่างภาพวก ‘ภาพไป๋เจ๋อ’ ‘ภาพค้นภูเขา’
ซึ่งการจัดพิมพ์หลายฉบับในช่วงรุ่นหลังกลับไม่มีบันทึกถึงพวกมันอยู่แล้ว ต่อให้เป็นเกาขุยก็ยังยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าตัวเขาเองไม่เคยเห็นปีศาจเหล่านี้ตัวเป็นๆ มาก่อน ครั้งนี้กลับดีนัก คราวหน้าใต้หล้าเปลี่ยวร้างคิดจะรวมตัวกันได้ครบถ้วนแบบนี้ ยากแล้ว
หยวนชิงสู่ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้า ทุกครั้งที่เกาขุยพูดถึงประวัติความเป็นมาอันเก่าแก่ของปีศาจใหญ่ตนหนึ่ง หยวนชิงสู่ก็จะจิบเหล้าหนึ่งคำ ใช้นามของปีศาจใหญ่มาแกล้มเหล้า รสชาติยอดเยี่ยมยิ่งนัก
หานไหวจื่อเจ้าสำนักกระบี่ไท่ฮุยกำลังหลับตาทำสมาธิ ฝ่ามือดันด้ามกระบี่ที่พกติดกาย บางครั้งก็ตีเบาๆ หนึ่งที ข้างกายคือลี่ไฉ่เจ้าสำนักทะเลสาบกระบี่ฝูผิงที่มาจากอุตรกุรุทวีปเช่นเดียวกัน
ดวงตาสองข้างของลี่ไฉ่เปล่งประกาย เจ้าพวกตัวดี แต่ละตนดูท่าแล้วน่าจะต่อสู้กันเก่งไม่น้อย
มีนักเดินทางต่างถิ่นสองท่านที่ไม่เหมือนเซียนกระบี่ แต่กลับเหมือนชาวประมงและคนตัดต้นไม้มากกว่า คนคู่นี้คือสหายสนิทบนภูเขาของธวัลทวีป เป็นคน บนเส้นทางเดียวกัน เซียนกระบี่จางเซาและเซียนกระบี่หลี่ติ้ง เดิมทีต่างก็มีอารมณ์หนักอึ้ง แต่พอคนทั้งสองมองสบตากันก็คลี่ยิ้มอย่างรู้ใจ ต่างก็พร้อมยอมรับความตายแล้ว
จ้าวเก้ออี๋นั่งอยู่ที่เดิม หันหน้ามามองหนึ่งที เดิมทีบนหัวกำแพงเมืองทิศเหนือต้องมีเฉิงเฉวียนนั่งอยู่ เพียงแต่ว่าถูกปีศาจใหญ่ทำร้ายให้บาดเจ็บสาหัสขอบเขตถดถอย จึงกลายเป็นแมลงน่าสงสารก่อกำเนิด เนื่องจากด้านหน้าไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ห้า ขอบเขตบน เขาจึงด่าจนอีกฝ่ายเดินจากไป จ้าวเก้ออี๋ถอนสายตากลับมาแล้ว หัวเราะร่าอย่างสาแก่ใจ ตนกับเฉิงเฉวียนผู้นั้นประชันขันแข่งกันมาตั้งแต่เด็ก แข่งเรื่องขอบเขต กระบี่บินดีหรือเลว พลังพิฆาตมากน้อย แล้วยังแย่งสตรีที่หมายปองกัน ล้วนเป็นเฉิงเฉวียนผู้นั้นที่ชนะมากกว่า แล้วเวลานี้ล่ะเป็นอย่างไร?
ตนไม่เพียงแต่ขอบเขตสูงกว่า ลำพังเพียงแค่เรื่องของการประชันกันกระโจน เข้าหาความตายนี้ เจ้าเฉิงเฉวียนเป็นเพียงก่อกำเนิดตัวเล็กๆ แม้แต่โอกาสก็ไม่มีแล้ว ถ้าอย่างนั้นเจ้าเฉิงเฉวียนก็จงกินฝุ่นอยู่หลังก้นข้าแต่โดยดีเถอะ
พอไปถึงด้านล่าง ข้าจะไปพบนางก่อน เอาให้เจ้าเฉิงเฉวียนโมโหตายไปเลย
น่าหลันเย่สิงมีโทสะเล็กน้อย พวกสัตว์เดรัจฉานจากใต้หล้าเปลี่ยวร้างพวกนี้จะรออีกสักนิดแล้วค่อยมารนหาที่ตายไม่ได้หรือไร? รอให้เขากลับคืนสู่ขอบเขตเซียนเหรินเสียก่อน ถึงเวลานั้นสัตว์เดรัจฉานอย่างพวกเจ้าก็มาตายอยู่ใต้กระบี่บินของข้า น่าหลันเย่สิง ก็จะได้ตายเร็วหน่อยไม่ใช่หรือ?
เพียงแต่ว่าน่าหลันเย่สิงเองก็อัดอั้นอยู่ไม่น้อยด้วย ดูจากท่าทางของอีกฝ่ายแล้วค่อนข้างจะแปลกประหลาดอยู่บ้าง ในอดีตมักจะมีกองทัพใหญ่ที่บนฟ้ามากมายดุจ ฝูงตั๊กแตน บนพื้นก็เคลื่อนพลเนืองแน่นประหนึ่งมดหนูวิ่งพล่าน แต่ตอนนี้กลับยังรวมตัวกันไม่ครบถ้วน หรือว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะอาศัยพวกปีศาจใหญ่เหล่านี้ ด้วยคิดว่าจะสามารถโจมตีหัวกำแพงเมืองได้แล้ว? เหล้าของท่านเขยไม่ได้ขายไปที่ ใต้หล้าเปลี่ยวร้างเสียหน่อย เหตุใดสมองของปีศาจใหญ่พวกนี้ถึงพังเสียแล้วเล่า
หานไหวจื่อยิ้มบางๆ สีหน้าผ่อนคลายหลุดพ้น เปี่ยมไปด้วยปณิธานฮึกเหิม
หลังผ่านศึกนี้ไป สำนักกระบี่ไท่ฮุยของข้าก็ไม่เหลือความเสียดายใดๆ แล้ว
ใต้เท้าอิ่นกวานถูฝ่ามือ บางครั้งก็คอยยกมือมาเช็ดมุมปาก พึมพำว่า “แค่เห็นก็รู้แล้วว่าต้องการจับคู่ต่อสู้ตัวต่อตัว ศึกครั้งนี้ผ่านไป ขอแค่ยังไม่ตายก็ไม่เพียงแต่ดื่มเหล้าได้ ยังจะดื่มได้จนเต็มอิ่มด้วย”
มีเซียนกระบี่ท่านหนึ่งนั่งยองอยู่ริมขอบของหัวกำแพง ยื่นฝ่ามือไปลูบปลายแหลมของหัวกำแพง สีหน้าเฉยชาแฝงไว้ด้วยแววหวนคำนึงถึงความเป็นความตายอย่างบางเบา
มีเซียนกระบี่คนหนึ่งเปิดกาเหล้าแล้วท่องบางอย่างอยู่ในใจ รินเหล้าช้าๆ จนหมดกา จากนั้นก็โยนกาเปล่าไปนอกหัวกำแพงเมืองอย่างไม่ใส่ใจ
เฒ่าหูหนวกสีหน้าไร้อารมณ์ คิดเพียงแค่ว่าเมื่อไหร่จะสามารถเดินลงจาก หัวกำแพงเมืองกลับไปอยู่รังเล็กๆ ของตนได้ ลมบนหัวกำแพงนี้แรงเกินไปจริงๆ
หมี่ฮู้มีสีหน้าเครียดขรึม ครั้งนี้บอกได้เลยว่าผู้มาเยือนมีเจตนาร้ายอย่างถึงที่สุด
หลี่ทุ่ยมี่ขอบเขตเซียนเหรินยิ้มฝาดเฝื่อน ดีนักนะ คราวนี้ไม่ใช่ขุนเจ้าอ้วนเยี่ยนน้อยเอามากินเนื้อแล้ว ดูจากท่าทางของอีกฝ่าย ตนก็เป็นอาหารในจานพวกมันเหมือนกัน
เห็นเพียงว่าบนผืนแผ่นดินที่กว้างใหญ่ทางทิศใต้ของหัวกำแพงเมือง มองเห็นเป็นเส้นยาวๆ เส้นหนึ่งเรียงต่อกัน ทั้งหมดรวมแล้วมีที่นั่งสิบสี่แห่ง เพียงแต่ว่าระดับสูงต่ำไม่เท่านั้น ขนาดเล็กใหญ่ของเก้าอี้ก็ยิ่งแตกต่าง เหมือนกับศาลบรรพจารย์ที่ แปลกประหลาดอย่างถึงที่สุดแห่งหนึ่ง
นี่ไม่ค่อยเหมือนกับการจัดวางเก้าอี้ในศาลบรรพจารย์ของใต้หล้าไพศาลสักเท่าไร
นอกจากปีศาจใหญ่สิบสี่ตนที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตาแล้ว ปีศาจใหญ่ตนอื่นๆ ก็เรียกได้ว่า เป็นคนคุ้นหน้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่ตลอดร้อยปีมานี้ ตอนนี้ดูแล้วกลับไม่ค่อยสมกับคำว่าปีศาจใหญ่สักเท่าใด บุคคลผู้โดดเด่นที่สะดุดตาที่สุดและดึงดูดกระบี่บิน ได้มากที่สุดในสงครามทุกครั้ง เวลานี้แต่ละตนกลับยืนอยู่ด้านหลังเส้นนั้นอย่าง สงบเสงี่ยม
นี่ก็คือกฎเกณฑ์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เรียบง่าย หยาบกระด้าง ตรงไปตรงมา ตรงแน่วเสียยิ่งกว่าคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่เสียอีก ส่วนใต้หล้าไพศาลที่ชอบความเลื่อนลอยไร้สาระเป็นที่สุดก็ยิ่งเทียบไม่ติด
เฉินชิงตูเอาสองมือไพล่หลัง กล่าวกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “เวทกระบี่สูงมากพอแล้วมาชมภาพตรงหน้านี้ใหม่อีกครั้ง ก็จะเป็นทัศนียภาพที่ยิ่งใหญ่งดงามจนเกินคำบรรยาย มักจะรู้สึกว่าแค่ออกกระบี่ง่ายๆ ก็สามารถพุ่งเข้าตรงจุดได้ทุกครั้ง จั่วโย่ว เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
จั่วโย่วยื่นมือไปกุมกระบี่ยาว “ยามที่ข้าออกกระบี่ไม่เคยคิดอะไรมากมายขนาดนั้น”
เฉิงชิงตูมองไปยังทิศใต้ซึ่งอยู่ห่างไปไกลยิ่งกว่า ไม่เสียแรงที่เป็นเจ้าของใต้หล้าแห่งนี้ ไม่ยอมเปิดเผยตัวตน หากอยู่ห่างไปอีกนิดก็คงมองไม่เห็นแล้วจริงๆ
เฉินชิงตูจึงถอนสายตากลับมามองเจ้าพวกคนที่พอลงสนามรบทำสงครามก็ชอบเอะอะมะเทิ่งเหล่านั้น ในบรรดานั้นมีคนบางส่วนที่เคยสมาคมกันมาก่อน แน่นอนว่าสาเหตุแตกต่างหลากหลาย ยกตัวอย่างเช่นโชคดี หนีได้เร็ว หนังหนา ฯลฯ จึงไม่ถูกตนฟันตาย แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ผ่านมานานมากๆ แล้ว ส่วนจะมีเรื่องราว ‘ภายหลังอีกเนิ่นนาน’ ตามมาหรือไม่นั้น ก็บอกได้ยากแล้ว
เคยอนุมานจนได้ผลลัพธ์ว่า เมื่อรวบรวมกำลังการต่อสู้ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างมาได้ครบถ้วน ก็จะสามารถกลืนกินกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ทั้งแห่ง อันที่จริงนั่นไม่ใช่ถ้อยคำข่มขู่ใดๆ
และความจริงก็เป็นเช่นนี้
เพียงแต่ว่าเจ้าพวกสัตว์เดรัจฉานแก่และเด็กกลุ่มนี้มักจะเก่งอยู่แต่ในโปงผ้าห่มของตัวเอง บวกกับเจ้าแก่หนังเหนียวที่ตายมาโดยตลอดแต่ดันไม่ตายจริงๆ ผู้นั้นปรากฏตัวแต่ดันไม่เผยตัว ไม่มีหัวใจหลักที่มาเป็นผู้นำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่มีเขา เฉินชิงตูที่สามารถควบคุมพวกมันได้อย่างแท้จริง สุดท้ายแล้วจึงกระจัดกระจายเหมือนเม็ดทราย ศึกโจมตีเมืองที่หลายๆ ครั้งกุมชัยชนะไว้ในมือ ก็แค่มองดูแล้วโหดเหี้ยม ทำร้ายไปถึงเส้นเอ็นและกระดูกเท่านั้น เพราะสู้กันได้ไม่นานก็จะมี ปีศาจใหญ่นำทัพถอยร่นพาเผ่าปีศาจกลับไปพักรักษาตัวแล้ว
หรือไม่พวกเซียนกระบี่ใหญ่บางท่านก็จะบุกเข้าไปในใจกลางของทัพศัตรู สังหารปีศาจใหญ่บางตน พวกปีศาจใหญ่ก็จะเริ่มยุ่งอยู่กับการฮุบกลืนกองกำลังของปีศาจใหญ่ที่ตายไป ไม่มีเวลามาสนใจกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่พอโจมตีได้สำเร็จก็ ไม่ต่างจากซี่โครงไก่อีกแล้ว
นี่จึงเป็นเหตุให้ในประวัติศาสตร์มีเพียงครั้งเดียว และก็ถือว่าเป็นครั้งที่อันตรายที่สุด นั่นก็คือที่ตำหนักอิงหลิงของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง หรือที่เฉินชิงตูเรียกว่ารูหนูแห่งนั้น บนบัลลังก์ราชามีเจ้าของปรากฏตัวเกือบครึ่ง ต่างคนต่างสาบานว่าจะทำตามสัญญา เมื่อแบ่งผลประโยชน์กันเรียบร้อยแล้วถึงได้มีสงครามใหญ่ครั้งนั้น และคาดว่า ครั้งนั้นก็คงจะเป็นสงครามที่โหดร้ายที่สุด หากเฉินชิงตูจำไม่ผิด ตอนนั้นตลอดทั้ง หัวกำแพงเมืองเหลือแค่เขาคนเดียว นครทางทิศเหนือก็เกือบจะถูกทำลายค่ายกล สะบั้นอนาคตของกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างสิ้นเชิง
ครั้งนั้นมีผู้เฒ่าในสายตาของผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ตายไปมากมาย แล้วก็มีเด็กน้อยในสายตาของเซียนกระบี่ตายไปมากมายเช่นกัน
เฉินชิงตูถอนหายใจ ก่อนเอ่ยเนิบช้าว่า “สำหรับทั้งสามฝ่าย ควรจะมีผลลัพธ์ได้แล้ว”
เป็นนักโทษอาญาที่ลี้ภัยมานานนับหมื่นปี ก็ควรจะมีคำอธิบายให้ตนได้บ้างแล้ว
จุดที่ห่างไปไกลยิ่งกว่าทางทิศใต้
มีขุนเขาแห่งหนึ่งที่พังถล่มพลิกกลับหัวกลับหาง ก้อนหินใหญ่ยักษ์จำนวนนับไม่ถ้วนถูกร้อยให้เชื่อมโยงกันด้วยโซ่เหล็ก สภาพคล้ายคลึงกับภูเขาห้อยหัวอยู่มาก เพราะปลายแหลมของภูเขาชี้ลงดิน ฐานภูเขาหงายขึ้นฟ้า บนหอสูงของขุนเขาที่ ห้อยกลับหัว พื้นผิวราบเรียบดุจกระจก พอแสงแดดส่องลงมาก็เกิดประกายแสง เจิดจ้า ราวกับเป็นเงินเหรียญทองแดงแก่นทองเหรียญที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้า มีปีศาจใหญ่สวมชุดคลุมตัวยาวสีทอง มองเห็นหน้าตาไม่ชัดอยู่ตนหนึ่ง
ปีศาจใหญ่ยื่นมือออกมาคว้า ในฝ่ามือก็มีเงินเหรียญทองแดงสีทองที่เป็นภาพมายากำใหญ่ปรากฏขึ้น เพียงแต่ไม่นานเหรียญทองแดงก็เหมือนน้ำที่ไหลผ่านร่องนิ้วกลับลงสู่พื้นดิน ถึงอย่างไรก็ยังไม่สมจริงมากพอ ต้องเอาองค์เทพแห่งขุนเขาสายน้ำจำนวนมากของใต้หล้าไพศาลมาชดเชยถึงจะได้ ถึงเวลานั้นภูเขาหยกแก่นทองลูกนี้ของตนถึงจะสมชื่ออย่างแท้จริง ตามข้อตกลง ตนออกจากภูเขาครั้งนี้ เศษชิ้นส่วน ร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งสายน้ำภูเขาทั้งหมดของทวีปหนึ่งในใต้หล้าไพศาลจะต้องตกมาเป็นของตน แต่น่าเสียดายที่ยังไม่พอ อยู่ไกลเกินกว่าคำว่าพอมากนัก หากตนได้เป็นบุคคลที่ไม่ต่างจากดวงตะวันลอยกลางนภาจริงๆ มหามรรคาก็มิอาจพันธนาการได้เป็นพันเป็นหมื่นปี กลายเป็นอมตะไม่เสื่อมสลาย ก็จะต้องกินมากกว่านี้ ทางที่ดีที่สุดก็กินร่างจริงของพวกทวยเทพแห่งสรวงสวรรค์ที่ลงไปจุติในโลกมนุษย์ตามตำนานไปพร้อมกันด้วยเลย นั่นต่างหากถึงจะอิ่มท้องอย่างแท้จริง!
มีหอหยกเรือนอัญมณีที่ลอยสูงเคียงข้างกันอยู่บนนภากาศ มีปีศาจใหญ่ที่กลายร่างเป็นมนุษย์นั่งอยู่บนราวรั้วราวกับทาสเฝ้าทรัพย์ที่เฝ้าพิทักษ์กิจการยิ่งใหญ่เพียงลำพัง มันกำลังยิ้มตาหยีมองไปทางกำแพงเมืองปราณกระบี่ ได้ยินว่าห่างไกลไปทางทิศเหนือของหัวกำแพงเมืองแห่งนั้นมีหอถิงอวิ๋นที่สร้างขึ้นมาจากหยกมรกตของตระกูลเซียนอยู่หลังหนึ่ง และยังมีเรือนว่านเฮ้อที่มีลมเย็นจันทร์กระจ่าง ยามค่ำคืน ก็ยิ่งมีเสียงลมพัดกิ่งไม้ต้นสนส่งเสียงดังดุจคลื่นกระทบฝั่ง ดูเหมือนว่าพอจะเอามาเพิ่มสีสันให้กับเรือนของตนเองได้ เพียงแต่สิ่งเหล่านี้ได้แต่ยัดซอกฟันเท่านั้น หากควบรวมสถานที่ที่ตั้งของสกุลเฉินผู้รอบรู้ที่เป็น ‘สถานที่รวบรวมซุ้มประตูแห่งผู้ประสบความสำเร็จของใต้หล้า’ ในทักษินาตยทวีปแห่งนั้นเข้าไปด้วย มันถึงจะพอใจ แล้วถ้าได้หอบินทะยานเก่าแก่บางแห่งในแจกันสมบัติทวีปเล็กๆ แต่กลับมีฟ้าดิน กว้างใหญ่เก็บเข้ามาไว้ในกระเป๋าได้ด้วยก็ยิ่งไม่เลว
โครงกระดูกของทวยเทพใหญ่ยักษ์ร่างหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ มีปีศาจใหญ่นั่งอยู่บนหัวของโครงกระดูก ข้างกายมีทวนยาวเล่มหนึ่งที่แทงทะลุหัวกะโหลกของ องค์เทพตนนั้น ตัวของทวนผลุบหายเข้าไป มีเพียงปลายทวนแหลมและหางของทวนเท่านั้นที่ปรากฏอยู่ด้านนอก
ตรงปลายทวนแหลมพอจะมีเสียงฟ้าร้องคำรามให้ได้ยินแว่วๆ สะเทือนให้ โครงกระดูกทั้งร่างสั่นไหว ปีศาจใหญ่ตบลงบนปลายแหลมคมเบาๆ ได้ยินมาว่า ผู้ฝึกตนของใต้หล้าไพศาลเชี่ยวชาญเวทห้าอัสนี โดยเฉพาะอย่างยิ่งจวนเทียนซือ ภูเขามังกรพยัคฆ์ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง สามารถลองไปพบเจอกันดูได้
มีบัลลังก์โครงกระดูกแห่งหนึ่งที่สร้างจากกองกระดูกทับถมกัน โครงกระดูก หลายสิบล้านโครงมีทั้งของเผ่าปีศาจ แล้วก็มีทั้งของผู้ฝึกกระบี่ มีปีศาจใหญ่ กระดูกขาวที่บนกายไร้เนื้อหนังตนหนึ่ง กระดูกทั่วร่างเป็นสีขาวแวววาวดุจหยก ใต้ฝ่าเท้าของมันคือศีรษะของเซียนกระบี่บรรพกาล ปีศาจใหญ่ที่ถือจอกเหล้าดื่มสุราใช้ปลายเท้าบิดศีรษะนี้กลับไปกลับมา ปีศาจใหญ่ไม่ได้เอาแต่ดื่มเหล้าอยู่กับตัวเองอีกต่อไป แต่เปลี่ยนท่านั่งเสียใหม่ เอนจอกเหล้าในมือลง สุราหมักสีแดงสดราดรดลงบนศีรษะนั้น ครู่หนึ่งต่อมาศีรษะก็ค่อยๆ ลอยขึ้นกลางอากาศ ยิ่งสุราออกจากจอกมากเท่าไร ศีรษะนั้นก็เริ่มมีเลือดเนื้อ เส้นเอ็นงอกขึ้นมาทีละนิด สุดท้ายกลายเป็นผู้เฒ่าเรือนกายสูงหนึ่งจั้งตนหนึ่ง รูปโฉมไม่ต่างจากมนุษย์ ปีศาจใหญ่กระดูกขาวสะบัด ชายแขนเสื้อ แสงสว่างเส้นหนึ่งที่พุ่งออกมาจากด้านใน ถูกผู้เฒ่าที่เรือนกายค่อนข้างแข็งทื่อนั้นกุมไว้ในมือ ชั่วขณะที่ผู้เฒ่าทึ่มทื่อดวงตากลวงโบ๋คว้าจับแสงนั้นไว้ ก็เหมือนเซียนกระบี่ถือกระบี่ที่พลังอำนาจเปี่ยมล้นน่าเกรงขาม
มีเสากลมเก่าแก่สูงพันจั้งเสาหนึ่ง ด้านบนสลักอักขระยันต์ที่หายสาบสูญไป นานแล้ว และยังมีงูตัวยาวสีแดงสดตัวหนึ่งล้อมพันเอาไว้ บริเวณโดยรอบๆ มีไข่มุกของเจียวหลงที่หม่นหมองไร้ประกายคอยหมุนวนไม่หยุดนิ่ง งูตัวยาวแลบลิ้น สายตาจ้องเขม็งไปยังกำแพงแห่งนั้น ทุบทำลายรั้วผุพังที่ทอดขวางมานานหมื่นปีนี้เสร็จค่อยทุบภูเขาห้อยหัวลูกนั้นให้เละ เป้าหมายของมันมีเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือเจ้าตัวน้อยที่พอจะถือว่าเป็นมังกรตัวสุดท้ายบนโลกมนุษย์ตัวนั้น นับจากนี้ไปมหามรรคาก็จะได้รับการชดเชยจนครบถ้วน การโปรยพิรุณและวิชาวารีแห่งสรวงสวรรค์ของสองใต้หล้าก็ล้วนมีมันเป็นคนตัดสิน
ชุดคลุมตัวยาวชุดหนึ่งที่ขาดวิ่นไม่เหลือชิ้นดีลอยขึ้นมาช้าๆ ด้านในชุดคลุมไม่มี สิ่งใดอยู่ มันลอยไปลอยมา ส่งเสียงสะบัดดังพึ่บพั่บไปตามลม
เมื่อชุดคลุมยาวไร้เจ้าของตัวนี้ปรากฏขึ้นมา ระหว่างฟ้าดินที่อยู่ใกล้กับ กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็มีปณิธานกระบี่บรรพกาลที่ลิงโลดเหมือนเจอกับสหายเก่า
แล้วก็มีปณิธานกระบี่ที่มากกว่านั้นกำลังส่งเสียงสะอึกสะอื้น ส่วนปณิธานกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนกลับมีท่าทางฮึกเหิมดุร้าย ยิ่งนานก็ยิ่งเกรี้ยวกราด ราวกับกำลังตำหนิชุดคลุมยาวสีเทาตัวนั้นอย่างเดือดดาล
โฉมสะคราญงามเลิศล้ำคนหนึ่งที่สวมมงกฎจักรพรรดิ สวมชุดคลุมมังกรสีหมึก หัวเป็นคนร่างเป็นงูนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรที่สูงกว่าเทือกเขาน้อยใหญ่ ร่างงูที่ ยาวเหยียดเลื้อยส่ายอยู่บนพื้น ทุกครั้งที่หางตีลงบนพื้นดินเบาๆ พื้นดินในรัศมีร้อยลี้ ก็จะสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ฝุ่นดินคลุ้งตลบ เมื่อเทียบกับนางที่มีเรือนกายใหญ่โตมโหฬารแล้ว เหล่าสตรีร่างอรชรบอบบาง สวมชุดสีสันสดใสพลิ้วไสว กอดผีผาไว้ในอ้อมอกประหนึ่งภาพนางฟ้าบนฝาผนังนับร้อยนับพันคนที่อยู่ข้างกายนางก็ดูเล็กจ้อยราวกับฝุ่นธุลี
มีผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยขี่กระบี่ลอยตัวอยู่กลางอากาศคนหนึ่ง สองแขนยาวดุจแขนวานร บนบ่าแบกกระบองยาวหนึ่งอัน มือทั้งสองข้างวางไว้บนกระบองอย่างผ่อนคลาย ทั้งเส้นผมและหนวดเคราของเขาล้วนเป็นสีขาว แต่กลับสวมชุดสีดำ กระบี่ยาว หมุนวนช้าๆ บางครั้งที่สูดลมหายใจหนึ่งครั้ง สตรีอุ้มผีผาหนึ่งคนสองคนที่อยู่ใกล้ๆ ก็จะถูกดูดเข้าปาก แล้วเขาค่อยขบเคี้ยวอย่างละเอียด
บนข้อมือข้างหนึ่งของผู้เฒ่าสวมสร้อยประคำ เพียงแต่ลูกประคำค่อนข้างหยาบ เป็นเพียงแค่ก้อนหินน้อยใหญ่ที่ยังมีเหลี่ยมมุมชัดเจน
สตรีที่สวมมงกุฎจักรพรรดินั่งอยู่บนบัลลังก์ข้างกายผู้เฒ่าก็ไม่ถือสา ยังโบก ชายแขนเสื้อ เป็นฝ่ายตบ ‘สาวใช้’ หลายสิบคนให้ลอยเข้าไปหาผู้เฒ่า ปล่อยให้มันกลืนลงท้องได้ตามใจชอบ
ผู้เฒ่าสวมชุดคลุมเต๋าสีขาวหิมะคนหนึ่งนั่งอยู่กลางอากาศ ใบหน้าพร่าเลือน เรือนกายสูงสามร้อยจั้ง ไม่ใช่กายธรรม แต่กลับเป็นร่างที่แท้จริง ด้านหลังผู้เฒ่ามีจันทร์เสี้ยวสว่างไสวลอยอยู่ ราวกับว่าไปเด็ดเอามาไว้ในโลกมนุษย์
มียักษ์สามเศียรหกกรนั่งอยู่บนเบาะรองนั่งขนาดมหึมาที่คลี่ปูมาจากตำราสีทองเล่มแล้วเล่มเล่า ต่อให้จะนั่งอยู่อย่างนี้ ร่างก็ยังสูงกว่านักพรตเต๋าที่เป็น ‘เพื่อนบ้าน’ คนนั้นอยู่ดี ตรงหน้าอกมีรอยกระบี่ที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงอยู่เส้นหนึ่ง ลึกดั่งร่องน้ำ และยักษ์ตนนี้ก็ไม่ได้จงใจปิดบัง ความอัปยศใหญ่หลวงถึงเพียงนี้ ยามใดที่กอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมาได้ ยามนั้นก็สามารถยกมือปาดมันให้ราบเรียบได้อย่างง่ายดาย
จุดที่สูงอย่างถึงที่สุดมีชายฉกรรจ์เคราดกสวมเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านคนหนึ่ง ตรงเอวห้อยดาบ ด้านหลังสะพายกระบี่ ข้างกายมีคนหนุ่มแบกชั้นวางกระบี่คนหนึ่งยืนอยู่ เสื้อผ้าของเขาขาดวิ่น บนชั้นวางสอดกระบี่ไว้เป็นจำนวนมาก เมื่อคนหนุ่ม ร่างผอมแห้งผู้นี้สะพายเอาไว้จึงมองดูเหมือนนกยูงรำแพนหาง
คราวก่อนเหล่าผู้กล้ามารวมตัวกันปรึกษาธุระในตำหนักอิงหลิง ทั้งๆ ที่เขาได้รับคำสั่งแล้วก็ยังไม่ยอมมาเข้าร่วม แม้แต่จะเผยโฉมก็ยังไม่ยินดี ทว่าตอนนั้นกลับไม่มีใครกล้าพูดอะไรมาก
จุดที่สูงยิ่งกว่าคือบุรุษสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่กำลังนั่งอย่างสำรวมคนหนึ่ง ใบหน้าประดับรอยยิ้ม สองมือวางทับซ้อนกันไว้ตรงหน้าท้อง ฝ่ามือประคองถือกลุ่มแสงขนาดใหญ่เท่ากำปั้นกลุ่มหนึ่ง บางครั้งก็ส่องสว่างเป็นสีขาวหิมะ บางครั้งก็เป็นสีดำ มืดมิด ไม่ก็สลับสับเปลี่ยนกันหลากสีสัน
คนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาอย่างถึงที่สุดคนหนึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งที่ไม่สูงไม่ต่ำ ไม่เพียงแต่กลายร่างเป็นมนุษย์ได้แล้ว เรือนกายยังมีความสูงพอๆ กับมนุษย์ทั่วไป เพียงแต่หากมองอย่างละเอียด ใบหน้านั้นของเขากลับเกิดจากการนำเนื้อหนังมาประกบติดกัน ตรงเอวห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกหนึ่งที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน ด้านในล้วนบรรจุเศษซากวิญญาณของเซียนกระบี่กับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ปณิธานถูกกร่อนทอนให้เสียหายเอาไว้เป็นจำนวนมาก เขาเองก็ไม่ต่างจากปีศาจใหญ่ที่ตำแหน่งที่นั่งสูงๆ ต่ำๆ ไม่เท่ากันข้างกายมากนัก ต่างก็ไม่ได้เผยตัวบนโลกมานานมากๆ แล้ว ของเล่นที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ล้วนเป็นของบรรณาการที่ศิษย์ลูก ศิษย์หลานแต่ละยุคสมัยนำมามอบให้
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำสวมเกราะทองคนหนึ่ง เท้าทั้งคู่เหยียบอยู่บนพื้นดิน สองมือกำเป็นหมัดแน่น มีแสงสีทองเข้มข้นดุจน้ำมันไหลซึมออกมาจากร่องเสื้อเกราะอย่างต่อเนื่อง เกราะทองระดับขั้นอาวุธเซียนแต่กลับใกล้จะปริแตกชิ้นนี้ไม่ใช่สมบัติที่เขาตั้งใจเอามาสวมไว้บนร่างด้วยตัวเอง แต่เป็นกรงขังที่เหมือนฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน เผ่ามนุษย์เดินขึ้นสู่ที่สูง เผ่าปีศาจถูกขับไล่ให้ไปอยู่ยังพื้นที่กันดารเปลี่ยวร้างที่แม้จะมีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลทว่าปราณวิญญาณกลับแร้นแค้น จากนั้นผู้ฝึกกระบี่ก็ถูกเนรเทศให้มาอยู่ในแถบกำแพงเมืองปราณกระบี่ของทุกวันนี้ แล้วเริ่มสร้างกำแพงเมืองขึ้นป้องกัน นี่ก็คือใต้หล้าเปลี่ยวร้างในทุกวันนี้ คือหนึ่งในสี่ส่วนของโลกมนุษย์ที่ถูกตัดแบ่งในอดีต ช่วงแรกที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างเพิ่งจะกลายเป็น ‘ใต้หล้าแห่งหนึ่ง’ อย่างเป็นทางการ ฟ้าดินเพิ่งจะก่อกำเนิดก็เหมือนชีวิตที่เพิ่งเกิดใหม่ มหามรรคายังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ยังไม่มั่นคง ผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นนักโทษอาญาสามท่านของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่มีเฉินชิงตูเป็นผู้นำมาถามกระบี่ ที่ภูเขาทัวเยว่ หลังจากนั้นมาบรรพบุรุษเผ่าปีศาจก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เมื่อฝูงมังกรไร้หัว ก็ถึงได้ทำให้เกิดการคุมเชิงกันระหว่างใต้หล้าเปลี่ยวร้างกับ กำแพงเมืองปราณกระบี่ ส่วนบ่อโบราณที่ถูกเรียกว่าตำหนิงอิงหลิงแห่งนั้นก็เป็นทั้งสถานที่ปรึกษาธุระเรื่องสำคัญของปีศาจใหญ่ในภายหลัง แล้วก็เป็นสถานที่กักขัง แห่งหนึ่ง
อันที่จริงภูเขาทัวเยว่ต่างหากที่ช่วงแรกสุดถึงจะเหมือนพระราชวังในราชวงศ์ โลกมนุษย์มากที่สุด เพียงแต่ว่าเมื่อศึกที่ภูเขาทัวเยว่ผ่านไป เฉินชิงตูหวนกลับไปกำแพงเมืองปราณกระบี่เพียงลำพัง ตอนนั้นภูเขาทัวเยว่ผุพังไม่เหลือชิ้นดี จึงได้แต่สร้าง ‘เมืองหลวงแห่งที่สอง’ อย่างตำหนักอิงหลิงมาไว้ใช้ปรึกษาหารือ เพียงแต่ในประวัติศาสตร์นับหมื่นปีมานี้ บัลลังก์สิบสี่แห่งไม่เคยมีคนมารวมตัวกันครบมาก่อน อย่างมากสุดมีปีศาจใหญ่แค่หกเจ็ดท่านก็ถือว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างมีเรื่องใหญ่ให้ต้องปรึกษากันแล้ว ส่วนน้อยก็คือมีแค่ปีศาจใหญ่สองสามตนก็สามารถตัดสินชี้ขาดได้แล้ว
เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงที่มาเยือนอย่างกะทันหันครั้งนั้น การเข่นฆ่าสะท้านฟ้าสะเทือนดินผ่านพ้นไป งูและมังกรตามป่าเขาสายน้ำก็ลุกผงาดขึ้นมานับไม่ถ้วน พากันลุกฮือกรูเข้ามา ต่างคนต่างยึดเอาพื้นที่หนึ่งไปครอง ชายฉกรรจ์สวมเกราะทองท่านนี้ก็ยิ่งเป็นคนที่โดดเด่นในกลุ่มคนระดับบนๆ แผ่นดินที่กันดารเปลี่ยวร้าง เมื่อผ่าน ศึกใหญ่นั้นไปก็สูญเสียคนที่สามารถสยบฝูงชนได้ เขาจึงช่วงชิงสถานะของ ผู้ครอบครองใต้หล้ามา เพียงแต่ตามกฎแล้ว เมื่อการเดินขึ้นเขาทัวเยว่ล้มเหลวก็ต้องถูกลงโทษ ปีศาจใหญ่หลายตนที่รับผิดชอบเฝ้าภูเขาทัวเยว่จึงร่วมมือกันกักขังเขาไว้ ใต้ก้นบ่อของตำหนักอิงหลิง
คิดไม่ถึงว่าเขาต้องวางแผนสารพัด ลอบติดต่อกับโลกภายนอก กว่าจะหลุดพ้นจากพันธนาการมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เวลานั้นกลับมีนักพรตน้อยขี่วัวคนหนึ่งเดินทางมาท่องเที่ยวที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างและมาถึงบ่อโบราณแห่งนี้พอดี อีกฝ่ายยืนอยู่บนปากบ่อ ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมากดเบาๆ ครั้งเดียว ปีศาจใหญ่ที่หลุดจากพันธนาการปีนขึ้นมาจากก้นบ่อได้อย่างยากลำบากตนนี้ก็ร่วงลงไปที่ก้นบ่ออีกครั้ง โชคดีที่นับแต่โบราณมาปีศาจใหญ่ก็มีอายุขัยยืนยาว เกินกว่าเผ่ามนุษย์ที่เคยเป็นอาหารของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยุคบรรพกาลจะเทียบได้ติด หากเลือกที่จะจำศีลในระยะยาวแล้ว แม่น้ำแห่งกาลเวลาที่ไหลรินผ่านไปก็ยิ่งแทบไม่ส่งผลกระทบต่อพวกมัน และในที่สุดเขาจึงอดทนจนกระทั่งผู้เฒ่าคนนั้นปรากฏกายขึ้นมาอีกครั้ง อนุญาตให้เขาทำความดีชดใช้ความผิด
บนเส้นที่ทอดยาวแนวขวางซึ่งหยุดนิ่งไม่ขยับทางทิศใต้เส้นนั้น
มีปีศาจใหญ่สวมชุดคลุมสีทองของเทือกเขาที่ห้อยกลับหัว
มีปีศาจใหญ่ที่นั่งอยู่กลางหอหยกเรือนอัญมณีเพียงลำพัง ราวกับเซียนบรรพกาลที่ถูกบันทึกไว้ในตำราของใต้หล้าไพศาล
บุรุษที่อยู่บนศีรษะขององค์เทพ ข้างกายคือทวนยาวที่ปักทะลุหัวกะโหลกซึ่งซ่อนปณิธานเวทอสนีที่บริสุทธิ์ที่สุดของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเอาไว้
บนบัลลังก์กระดูก เซียนกระบี่ใหญ่บรรพกาลท่านหนึ่งถูกสร้างเป็นหุ่นเชิดที่กลับคืนสู่ขอบเขตเดิม
งูยาวสีแดงสดที่ล้อมพันเสากลมต้นนั้นปานประหนึ่งเจ้าของเทพแห่งสายน้ำทั้งหมดในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
นักพรตสวมชุดเต๋าสีขาวหิมะหลอมแก่นวิญญาณครึ่งหนึ่งของหนึ่งในดวงจันทร์สามดวงของใต้หล้าเปลี่ยวร้างให้กลายเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตของตนเอง
ยักษ์สามเศียรหกกรเคยบุกมาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ โดนกระบี่หนึ่งของ เฉินชิงตูไปแล้วยังไม่ตาย ไปเยือนใต้หหล้าไพศาลครั้งนี้ ไม่ว่าที่แห่งใดที่มี ศาลบรรพจารย์ จะเล็กหรือใหญ่ ล้วนต้องแตกหักยับเยินสิ้น
สตรีสวมชุดคลุมมังกรสวมมงกุฎมีปณิธานอยู่ที่การได้เป็นผู้ครองด้านล่างขุนเขาของเก้าทวีปใหญ่ในใต้หล้าไพศาล ควันธูปในโลกมนุษย์หมุนเวียนอย่างมีระเบียบ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ถือกำเนิดกลับคืนมาอีกครั้ง ทุกอย่างล้วนอยู่ในการควบคุมของนาง ส่วนของแลกเปลี่ยนก็คือนางจะมอบแม่น้ำเย่ลั่วที่อยู่ในการครอบครองของตนให้กับปีศาจใหญ่อีกตนหนึ่งที่เป็นคนรุ่นเดียวกัน นับจากนี้ไม่แย่งชิงบนมหามรรคากับ อีกฝ่ายอีกแล้ว ซึ่งก่อนหน้านั้น ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ได้เชื่อใจกัน
อีกทั้งต่างคนก็ต่างอยากฮุบกลืนอีกฝ่าย ทว่าตอนนี้กลับไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะแต่ละคนต่างก็มีสิ่งที่ต้องการที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม
เจ้าของชุดคลุมยาวขาดวิ่นผู้นั้นเคยติดตามเฉินชิงตูออกมาจากกำแพงเมือง ปราณกระบี่ คือหนึ่งในผู้ฝึกกระบี่รุ่นเดียวกันที่มาถามกระบี่บนภูเขาทัวเยว่ เคยเป็นสหายรักของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส
ชายฉกรรจ์เคราดกที่ยืนอยู่ข้างกายซึ่งเป็นลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวก็เคยต่อสู้กับ อาเหลียง แล้วก็เคยดื่มเหล้าด้วยกันมาก่อน ยามที่อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำก็เคยช่วย ผู้เฒ่าตาบอดย้ายขุนเขาใหญ่
ชายสวมชุดลัทธิขงจื๊อต้องการไปเยือนใต้หล้าไพศาล และเมื่อโลกมนุษย์สิ้นราบพนาสูรไปแล้ว เขาจะสร้างขุนเขาสายน้ำขึ้นมาใหม่ ใช้ความรู้ของเขาคนเดียวมาอบรมสั่งสอนปวงประชา ไม่ว่าใครก็ล้วนมีโอกาสได้เล่าเรียน
ปีศาจใหญ่ที่ถูกเกราะทองกักขังมานานหลายปีจนนับไม่ถ้วนไม่เพียงแต่จะไปเยือนใต้หล้าไพศาล แต่จะยังนำทัพไปเยือนใต้หล้ามืดสลัว ไปเยือนป๋ายอวี้จิงแห่งนั้น
ผู้เฒ่าที่ขี่กระบี่ต้องการหลอมขุนเขาทั้งห้าที่มีชื่อเสียงทั้งหมดในใต้หล้าไพศาลให้กลายมาเป็นของตน เขาต้องการทุบทำลายหอพิทักษ์เมืองทั้งเก้าแห่งให้เละด้วยมือตัวเอง จากนั้นก็ถามไป๋เจ๋อผู้นั้นกับปากตัวเองว่าคิดอะไรอยู่กันแน่
บุรุษหน้าตาหล่อเหลาที่รัดน้าเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงเอวคิดว่าความทะเยอทะยานของตนนั้นน้อยที่สุดแล้ว ก็แค่ต้องการรวบรวมหนังหน้าสาวงามทั้งหมดใน ใต้หล้าไพศาล เพราะต่อให้ผู้ฝึกตนหญิงที่อยู่บนภูเขาไม่มีหนังบนใบหน้า ก็ใช่ว่าจะ ไม่มีชีวิตรอดเสียหน่อย หากแค่เสียผิวหนังบนใบหน้าไปแล้วไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ ก็ไม่จำเป็นต้องให้เขาลงมือเอง เพราะย่อมมีวิธีการตายนับพันนับหมื่นรอพวกนางอยู่
ปีศาจใหญ่สิบสี่ตนก็คือผู้ที่อยู่บนยอดเขาสูงสุดของใต้หล้าเปลี่ยวร้างในทุกวันนี้
ส่วนใหญ่ถูกปลุกให้ตื่นจากการจำศีลที่ยาวนานจนแทบจะไม่มีขอบเขตสิ้นสุด
ส่วนหนึ่งที่ต่อให้จะฟื้นตื่นขึ้นมาแล้ว ทว่าท่ามกลางประวัติศาสตร์อันยาวนานกลับเลือกจะอยู่ในรังเดิมของตัวเองมาตลอดเวลา เลือกจะมองดูดายสงครามที่ต่อสู้กับกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่เคยสอดมือเข้าแทรกการโจมตีเมืองที่ประมาณร้อยปีจะมีสักหนึ่งครั้ง
ตำแหน่งที่นั่งในตำหนักอิงหลิงใช่ว่าไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลง และจำนวนก็ไม่ได้คงที่ บางคนตายไป บัลลังก์ก็จะแตกสลายแล้วร่วงหล่นลงสู่ก้นบ่อด้วยตัวเอง ส่วนพวกเด็กรุ่นหลังที่ผงาดขึ้นมาก็จะมีพื้นที่ให้นั่งในตำหนักอิงหลิง ไม่มีการแบ่งแยกความอาวุโสสูงหรือต่า ขอแค่เป็นผู้ที่มีพลังการต่อสู้สูง บัลลังก์ที่นั่งก็จะสูงตาม พวกที่อ่อนแอกว่าก็ควรต้องแหงนหน้ามองพวกเขา ประวัติศาสตร์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็คือประวัติศาสตร์ที่ผู้แข็งแกร่งส่วนหนึ่งเหยียบย่าลงบนโครงกระดูกของมดตัวน้อยแล้วค่อยๆ เดินขึ้นสู่ที่สูง จากนั้นจึงสร้างกิจการยิ่งใหญ่ไม่เสื่อมสลายขึ้นมา แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีราชวงศ์โลกมนุษย์ที่ก่อตั้งอยู่บนพื้นแผ่นดิน มีกฎเกณฑ์พิธีการน้อยใหญ่ไม่ต่างจากใต้หล้าไพศาล เพียงแต่ว่าสุดท้ายแล้วกลับมีจุดจบที่ไม่ดีนัก ไม่อาจดำรงอยู่ได้นาน มิอาจทนรับการเหยียบย่าจากปีศาจใหญ่ที่เปลี่ยนจากคนกลางกลายมาเป็นศัตรู ท่ามกลางแม่น้าแห่งกาลเวลา ราชวงศ์เหล่านี้จึงเป็นเหมือน ดอกราตรีที่เบ่งบานเพียงชั่วข้ามคืน
ในทางส่วนตัวแล้ว สิ่งที่พวกเขาแสวงหาก็คือความแข็งแกร่งอย่างไร้เทียมทาน การได้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้างไปตลอดกาลเท่านั้น
นอกจากนี้ล้วนเป็นเพียงมายาเลื่อนลอย
ความขัดแย้งภายใน การล่มสลายของเผ่าปีศาจนับล้านเผ่า การหายไปของ พวกมดตัวน้อยจำนวนนับไม่ถ้วน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นขั้นบันไดแน่นหนาที่ประคองให้ ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งก้าวเดินขึ้นสู่ที่สูงทีละขั้น
จากนั้นกลุ่มบุคคลที่มีจำนวนน้อยนิดเพียงหยิบมือนี้ก็จะคานอำนาจกันเอง หลีกเลี่ยงไม่ให้เดินเข้าหาการล่มสลาย นี่ก็คือกฎเกณฑ์เพียงหนึ่งเดียวของใต้หล้าเปลี่ยวร้างแห่งนี้ การดำรงอยู่ของตำหนักอิงหลิง การเพิ่มการลดของบัลลังก์ทั้งใหม่และเก่าทุกบัลลังก์ในบ่อโบราณแห่งนี้ ล้วนเป็นผลมาจากกฎเกณฑ์ข้อนี้ทั้งสิ้น
ปีศาจใหญ่สิบสี่ตนพลันพลิ้วกายลงพื้น
ผู้เฒ่าสวมชุดสีเทาคนหนึ่งที่ในมือจับจูงเด็กน้อยคนหนึ่งเดินออกมาจากพื้นที่ แถบใจกลางช้าๆ
ส่วนในมือของเด็กน้อยก็จิกผมของศีรษะหนึ่งเอาไว้ บุรุษตายตาไม่หลับ ก่อนจะตาย ก็ยังเบิกตาค้าง เพียงแต่ไม่มีความหวาดกลัวใดๆ มีเพียงความเคียดแค้นที่มิอาจสงบเท่านั้น
ด้านหลังผู้เฒ่าชุดเทาและเด็กน้อยตามมาด้วยปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งที่ก้มหน้าค้อมเอว ก็คือปีศาจใหญ่ที่รับผิดชอบควบคุมสงครามโจมตีกำแพงเมืองครั้งก่อนหน้านี้ ซึ่งก็เป็นคนเดียวกับที่ถูกจั่วโย่วเซียนกระบี่ใหม่ของหัวกำแพงเมือง ไล่ฆ่า ปีศาจใหญ่ตั้งชื่อให้ตนเองว่าฉงกวง คือบุคคลที่อยู่มายาวนานซึ่งได้รับ ความเคารพนับถือจากใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
แน่นอนว่าปีศาจใหญ่ฉงกวงย่อมไม่กล้าเปิดเผยร่างจริงมาเดินอาดๆ อยู่ด้านหลังผู้เฒ่าชุดเทา
หลังจากที่ผู้เฒ่าชุดเทาหยุดเดิน ฉงกวงก็ทำตามคำสั่งที่ได้รับจากอีกฝ่ายด้วยการก้าวยาวๆ เดินไปข้างหน้า ขยับเข้าใกล้กำแพงเมืองปราณกระบี่เพียงลำพัง แล้วเอ่ยเสียงดังกังวานว่า “สงครามใหญ่ครั้งถัดไป เซียนกระบี่ที่ไม่ออกกระบี่อย่างเต็มกำลัง วันที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ถูกบุกทะลวง ไม่ต้องตาย! จากนั้นจะมาท่องเที่ยวใน ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง หรือไปชมทัศนียภาพของใต้หล้าไพศาลก็ตามแต่ใจ
ส่วนผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างคนอื่นๆ ที่ตัวอยู่บนหัวกำแพง แต่กลับไม่ยินดี ออกกระบี่ เมื่อออกมาจากหัวกำแพงแล้วล้วนถือเป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดของ ใต้หล้าเปลี่ยวร้างข้า!”
บนหัวกำแพงเงียบสงัดไร้สรรพสำเนียง
ต่งซานเกิงหัวเราะเสียงหยัน “สัตว์เดรัจฉานห้าขอบเขตบนทางทิศใต้ ใครที่ขึ้นหัวกำแพงมาก่อนก็ตายก่อน”
ฉงกวงหันหน้ามามอง เพราะถึงอย่างไรต่อให้คิดจะเอ่ยคำอาฆาต ก็ยังไม่ใช่เขา ที่มีสิทธิ์สอดปาก
ผู้เฒ่าชุดเทาตบศีรษะของเด็กคนนั้นเบาๆ “ไป พวกเจ้าล้วนเคยเป็นคนรู้จักกัน ตอนนี้ก็จงใช้ตัวตนของลูกศิษย์ผู้สืบทอดของภูเขาทัวเยว่ไปคารวะเฉินชิงตูเสีย”
เด็กคนนั้นถือศีรษะที่เบิกตากว้างเลือดสดแห้งกรังเดินออกไปช้าๆ ยิ่งเดินก็ยิ่งเร็ว พลังอำนาจดุจสายฟ้า สุดท้ายเมื่อหยุดยืนนิ่งก็ขว้างศีรษะนั้นออกไปอย่างแรง ศีรษะกลิ้งหลุนๆ อยู่บนพื้น
เจ้าของศีรษะนั้นก็คือเซียนกระบี่ใหญ่ท่านหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่แฝงตัวอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างมานานถึงหกร้อยปี ไม่เพียงแต่เวทกระบี่สูง ยังเชี่ยวชาญศาสตร์การยุแยงให้ศัตรูขัดแย้งกันเอง การกระทบกระทั่งและการต่อสู้ระหว่าง ปีศาจใหญ่หลายๆ ครั้งก็ล้วนเป็นแผนการของคนผู้นี้
เด็กน้อยหันหน้ามาพูดด้วยน้าเสียงน้อยใจ “อาจารย์ ตอนนี้ข้าขอบเขตต่าเกินไป แถมคนบนหัวกำแพงเมืองก็มีมากเกินไป ข้าโยนไปได้ไม่ถึงบนหัวกำแพงขอรับ”
ผู้เฒ่าชุดเทายิ้มกล่าว “แค่แสดงเจตจำนงได้ก็พอแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่สายตาของเหล่าผู้ฝึกกระบี่ล้วนดีเยี่ยมกันทั้งนั้น”
เด็กคนนั้นยิ้มกว้าง ย้ายสายตามองไปยังคนหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกายชายฉกรรจ์เคราดก ในสายตาแฝงไว้ด้วยแววท้าทายเล็กน้อย
คนหนุ่มไม่เอ่ยคำใด เพียงแต่กระบี่มากมายที่อยู่ในชั้นวางกระบี่ด้านหลังกลับ พากันขยับออกจากฝักมาชุ่นกว่า
ผู้เฒ่าชุดเทาแหงนหน้ามองไปยังหัวกำแพงเมือง ในสายตามีเพียงเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสอย่างเฉินชิงตู
เฉินชิงตูเอาสองมือไพล่หลัง ก้มหน้าลงมองผืนแผ่นดิน สบตากับอีกฝ่าย ผายมือออกมา ศีรษะของปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งที่ถูกขังอยู่ในคุกทางทิศใต้ของหัวกำแพงเมืองก็หลุดออกจากร่างแล้วบินมาอย่างง่ายดาย จากนั้นเฉินชิงตูก็ถือเอาไว้ในมือ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ศีรษะนี้เก็บไว้ให้เจ้าโดยเฉพาะมานานหลายปี คือ ผู้สืบทอดของภูเขาทัวเยว่เช่นเดียวกัน”
ผู้เฒ่าชุดเทายิ้มบางๆ “เฉินชิงตู ไม่เจอกันหมื่นปี ร้ายกาจขนาดนี้แล้วหรือ?”
หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง สุดท้ายผู้เฒ่าก็ถามว่า “ถ้าอย่างนั้นก็จะให้เจ้าตายอีกครั้ง ดีไหม?”
เซียนกระบี่ต่างถิ่นหลายคนที่อยู่บนหัวกำแพงต่างก็ฉงนสนเท่ห์
เฉินชิงตูเอ่ยว่า “ไม่เสียแรงที่เป็นความแค้นซึ่งเก็บซ่อนไว้ใต้ดินมานานเป็นหมื่นปี เปิดปากที คำพูดคำจาถึงได้ใหญ่โตเพียงนี้”
ผู้เฒ่าชุดเทาส่ายหน้า “ได้ยินมาว่ากระบี่เล่มใหม่ชื่อปราณยาว ใช้ไม่ได้เท่าไร ไม่ถูกสิ ใช้ไม่ได้เลยต่างหาก”
เฉินชิงตูเอาสองมือไพล่หลังอยู่ตลอดเวลา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าต้องเป็นสตรี ถึงจะมีปัญญารู้ว่า ข้าใช้ได้หรือไม่ได้กันแน่”
เสียงผิวปากหวือดังระงมอยู่บนหัวกำแพง
ดูท่าไม่เพียงแต่ผู้ฝึกกระบี่ในนครที่ชอบเรื่องพวกนี้
อันที่จริงเซียนกระบี่ก็ไม่ต่างกันสักเท่าไร
เด็กคนนั้นกลับไปหยุดอยู่ข้างกายผู้เฒ่าชุดเทา จับชายแขนเสื้ออาจารย์แกว่งเบาๆ “คำพูดนี้ฟังแล้วต้องยอมจริงๆ”
ผู้เฒ่าชุดเทาไม่ขุ่นเคืองแม้แต่น้อย ก้มหน้าลงมองลูกศิษย์คนสุดท้ายที่ เปลืองกำลังกายใจตามหา แต่จิตวิญญาณก็ยังได้มาไม่ครบถ้วนผู้นี้แล้วหัวเราะเอ่ยว่า “คนพวกนี้น่ะ ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย จะใช่ผู้ฝึกกระบี่หรือไม่ ก็มีฝีปากนี่แหละที่ ร้ายกาจที่สุด วันหน้ายามอยู่ในใต้หล้าไพศาล หากเจ้าอยากจะเรียนวิชาชั้นต่ำประเภทนี้ก็ตามใจ”
ปีศาจใหญ่ที่นั่งอยู่บนราวรั้วจวนตระกูลเซียนพูดกลั้วหัวเราะขึ้นมาว่า “เจ้าเฉินชิงตู ทั้งน่าเคารพ น่ารังเกียจแล้วก็น่าสงสาร แต่ว่าน่าสงสารมากที่สุด ขังปีศาจใหญ่พวกนี้ไว้ไม่ยอมสังหาร เอามาใช้เป็นหินลับมีดของเซียนกระบี่ รวมถึงเอามาเป็นผลผลิตของหอโอสถ น่าจะถูกบัณฑิตไม่น้อยของใต้หล้าไพศาลด่าเอากระมัง? ลากคนทั้ง กำแพงเมืองปราณกระบี่มารอความตายอยู่ตรงนี้ ก็น่าจะถูกคนกันเองจำนวนไม่น้อยเคียดแค้นกระมัง? เจ้าว่าเจ้าน่าสงสารหรือไม่ ขนาดตายไปแล้วครั้งหนึ่ง ยังจะถูกคนพูดทิ่มแทงใจอยู่ลับหลัง เฉินชิงตูเอ๋ยเฉินชิงตู หากเปลี่ยนข้าไปเป็นเจ้า ป่านนี้คงตายๆ ไปเสียให้สิ้นเรื่องนานแล้ว”
เฉินชิงตูไม่คิดจะมองปีศาจใหญ่ขอบเขตสูงสุดตนนั้นเลยด้วยซ้า
จั่วโย่วมองไปยังหอหยกเรือนอัญมณีที่มีไอเซียนล้อมวนแล้วเอ่ยถาม “เจ้าคู่ควรจะพูดกับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสด้วยหรือ?”
ปีศาจใหญ่ตนนั้นหัวเราะ “พูดกับเฉินชิงตู บางทีอาจจะขาดคุณสมบัติอยู่บ้าง แต่พูดกับเจ้า ก็น่าจะพอมากแล้ว”
เด็กคนนั้นเดินออกมาเพียงลำพังอีกครั้ง สุดท้ายเดินมาหยุดอยู่ข้างศีรษะนั้น ยกเท้ากระทืบลงบนศีรษะของเซียนกระบี่ใหญ่ แล้วเงยหน้ายิ้มกล่าว “ตอนนี้ข้าอายุสิบสองปี กำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเจ้ามีผู้มากพรสวรรค์เยอะนักไม่ใช่หรือ? เอาคนที่อายุพอๆ กับข้ามาสู้กับข้าสักตั้งสิ! ข้าจะไม่รังแกพวกเจ้าก็แล้วกัน หากเป็น ผู้ฝึกกระบี่อายุต่ากว่าสามสิบปีลงไป ก็ได้เหมือนกัน จำไว้ว่าพกสมบัติอาคมอาวุธเซียนอาวุธกึ่งเซียนอะไรมาให้เยอะหน่อย ไม่อย่างนั้นคงไม่พอให้ดู!”
เซียนกระบี่ผู้เฒ่าฉีถิงจี้ขมวดคิ้ว “เจ้าลูกกระต่ายผู้นี้หวังจะให้หนิงเหยาปรากฏตัว พอแลกชีวิตกันแล้วก็คิดจะให้เจ้าออกไปจากหัวกำแพงเมือง ไอ้แก่นั่นจะได้เป็น ผู้ยึดครองความได้เปรียบด้านชัยภูมิ”
เฉินชิงตูพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “คงคิดแบบนี้จริง แต่ก็ไม่เป็นไร หากคำท้าแค่นี้ยังรับไว้ไม่อยู่ แล้วยังจะเฝ้าพิทักษ์กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้อย่างไร”
เฉินชิงตูกวักมือหนึ่งครั้ง
ด้านหลังก็ปรากฏกลุ่มคนหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่ง จำนวนสิบกว่าคน ผังหยวนจี้ เฉินซานชิว ต่งฮว่าฝูล้วนเป็นหนึ่งในนั้น
แน่นอนว่ามีหนิงเหยาที่ออกจากด่านมาเรียบร้อย รวมไปถึงเฉินผิงอันที่เดิมทียืนอยู่ในศาลาบนหน้าผาสังหารมังกร
เฉินชิงตูยื่นมือข้างที่ถือศีรษะนั้นออกมา แล้วหันหน้ามายิ้มเอ่ยว่า “ใครก็ได้เอาของขวัญไปคืนแทนข้าที”
หนิงเหยาก้าวออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แต่กลับถูกมือหนึ่งกดไหล่เอาไว้
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าไปเอง”
เฉินชิงตูยิ้มตาหยี “ไม่กลัวว่าโอกาสหนึ่งเดียวจะถูกใช้ไปตั้งแต่ตอนนี้หรือ? แล้วศึกใหญ่ครั้งถัดไปจะทำอย่างไร?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ถ้าอย่างนั้นถึงเวลาก็ค่อยว่ากัน”
เฉินชิงตูขว้างศีรษะของปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานออกไปง่ายๆ “เอาให้เต็มที่ สู้ให้ดีๆ สักครั้ง”
ชุดเขียวกระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพง จากนั้นก็เหยียบลงบนความว่างเปล่า วิ่งตะบึงเลียบตัวกำแพงลงไปด้านล่าง ครั้นจึงหยุดยืนนิ่ง ประหนึ่งสองเท้าหยั่งรากลงบนพื้น หัวเข่างอเล็กน้อย เสียงปังดังหนึ่งครั้งก็เหมือนลูกธนูที่พุ่งฉิวไปยังผืนแผ่นดินทางทิศใต้ รับศีรษะที่หล่นลงมานั้นไว้ได้พอดี มือหนึ่งหิ้วศีรษะ อีกมือหนึ่งไพล่หลัง สุดท้ายพลิ้วกายลงบนพื้น
บนแผ่นดินกว้างใหญ่ เด็กคนนั้นดีดปลายเท้างัดเตะศีรษะของเซียนกระบี่ใหญ่ที่เปื้อนฝุ่นขึ้นมาไว้ในมือ แล้วเดินหน้าไปช้าๆ
ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันร้อยกว่าก้าว
เฉินชิงตูหลุดหัวเราะพรืด “ตัดสินแพ้ชนะอยู่ที่เจ้าและข้า ใครปรี่เข้ามาโดนกระบี่ก่อน ตกลงไหม?”
ผู้เฒ่าชุดเทาพยักหน้า “ทำไมจะไม่ตกลงเล่า”
บนพื้นดิน สองฝ่ายคุมเชิงกัน เด็กคนนั้นยื่นมือออกมาพร้อมหัวเราะร่า
เฉินผิงอันขว้างศีรษะของปีศาจใหญ่ออกไปโดยตรง เด็กชายก็ยกแขนขึ้นพร้อมกัน ทั้งยังจงใจขว้างหัวของเซียนกระบี่ให้ได้สูงกว่า
เด็กชายไม่ได้ยื่นมือไปรับศีรษะของปีศาจใหญ่ร่วมสำนักภูเขาทัวเยว่ แต่ใช้เท้าเหยียบกดไว้บนพื้น ตบรอยเลือดบนร่างตัวเอง ครั้นจึงโน้มกายมาด้านหน้า สองแขนกอดอก “มองดูแล้วเจ้าตัวบางเบาราวกับจะปลิวลม คงไม่พอให้ต่อสู้หรอกนะ”
ทว่าคนหนุ่มชุดเขียวกลับยื่นมือไปรับศีรษะนั้นไว้ จับประคองไว้เบื้องหน้าตัวเอง ใช้มือข้างหนึ่งปาดลงไปบนใบหน้าของเซียนกระบี่ใหญ่ไม่ทราบชื่อเบาๆ ให้ดวงตา ของเขาหลับลง
แต่การกระทำนี้กลับเป็นการเผยช่องโหว่ที่ใหญ่เทียมฟ้า
เด็กคนนั้นปล่อยหมัดหนึ่งเข้าใส่ คนชุดเขียวก็ถอยกรูดออกไปหลายสิบจั้ง บนพื้นถูกกรีดเป็นร่องที่ไม่ถือว่าลึกเท่าใด เพียงแต่ร่างของเขายังคงยืนตระหง่านไม่ล้มลง
เด็กชายมายืนอยู่บนตำแหน่งที่คนหนุ่มยืนเมื่อครู่นี้ เขาพยักหน้า พูดอย่างดีใจว่า “นับว่าพอใช้ได้ สามารถเล่นเป็นเพื่อนข้าได้ครู่หนึ่ง”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง ศีรษะของเซียนกระบี่ในมือหายวับไปกลางอากาศ เยว่ชิงเซียนกระบี่ใหญ่หนีบศีรษะนั้นไว้ใต้รักแร้ ยกสองมือกุมหมัดคารวะคนหนุ่ม
เด็กชายยิ้มกล่าว “ข้าเปลี่ยนใจแล้ว มีผู้อาวุโสมากมายขนาดนี้มองดูอยู่ ฆ่าเจ้าให้เร็วหน่อยน่าจะดีกว่า เปลี่ยนเป็นเจ้าที่ต้องลงมือบ้างแล้ว มีโอกาสแค่ครั้งเดียว เพราะหลังจากนั้นข้าจะลงมือเต็มที่บ้างแล้ว เจ้าจะตายเร็วมากๆ เมื่อเทียบกับ บิดามารดาเศษสวะคู่นั้นของหนิงเหยาที่เป็นคู่ต่อสู้เดิมของข้าแล้ว จะต้องตายเร็วกว่าเสียอีก”
เฉินผิงอันหันหน้ามามองเด็กคนนั้น จากนั้นก้มหน้าลง ม้วนชายแขนเสื้อขึ้น มุมปากกระดก สุดท้ายรอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งฉีกกว้าง ทว่าสายตากลับมืดทะมึน วัตถุบางอย่างที่พยายามสยบไว้ในใจอย่างยากลำบาก ถึงเวลาเชิดหัวชูคอออกจากบ่อ
ดังนั้นสุดท้ายเมื่อเขาเงยหน้าขึ้น
นั่นก็คือใบหน้าของคนหนุ่มที่แสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม