Skip to content

Sword of Coming 62

บทที่ 62 ไม้ล้ม

หนิงเหยาหลับสนิทฝันดีจนกระทั่งตื่นขึ้นมาเอง พอลืมตาแล้วพบว่าตัวเองนั่งอยู่บนม้านั่ง นางมึนงงเล็กน้อย หลังจากเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปผลักประตูห้องให้เปิดออก จึงเห็นว่ากลางระเบียงด้านหนึ่งมีหนึ่งแก่หนึ่งเด็ก น้ำเต้าตัน (เปรียบเปรยถึงเรื่องที่เดายากจนน่ากลุ้มหรือคนที่ไม่ชอบพูด) สองลูกนั่งอยู่ แล้วก็ไม่พูดอะไรกัน พอได้ยินเสียงฝีเท้าของหนิงเหยา เฉินผิงอันจึงหันหน้ามายิ้มให้ “ตื่นแล้วหรือ เห็นเจ้าหลับสนิท ข้าก็เลยไม่ได้เรียก”

หนิงเหยาพยักหน้ารับ ไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ เพียงเอ่ยถามว่า “ผู้อาวุโสหยาง?”

ผู้เฒ่ากล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ทำไม หรือกลัวว่าตอนเจ้านอนหลับเฉินผิงอันจะแอบไปเจ๊าะแจ๊ะกับผู้หญิงคนอื่น วางใจเถอะ ข้าช่วยจับตาดูเขาแทนเจ้าแล้ว เขามันแค่มีใจอยากเป็นโจร แต่ไม่มีความกล้าให้เป็นโจรหรอก”

เฉินผิงอันรีบพูดอธิบาย “แม่นางหนิง เจ้าอย่าไปฟังคำพูดเหลวไหลของท่านปู่หยาง ข้ารับรองว่าใจอยากเป็นโจรข้าก็ไม่มี!”

มือทั้งสองข้างของหนิงเหยาทำท่าระงับปราณไว้ตรงจุดตันเถียน บอกกับตัวเองว่า “เป็นผู้ใหญ่ต้องจิตใจกว้างขวาง”

ผู้เฒ่าเหลือบมองเด็กหนุ่มรองเท้าแตะ กล่าวกลั้วหัวเราะอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “ช่างไม่เข้าใจอะไรซะเลย”

ฝนซาลงมากแล้ว ผู้เฒ่าเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “กลับไปเอาเงินก้งหย่างถุงนั้นมา จะถือว่าค่ายาของนังหนูนี่กับยาที่เจ้าใช้ไปจ่ายหมดแล้ว”

หนิงเหยาขมวดคิ้ว “ร้านตระกูลหยางใช้ยาอะไรถึงได้แพงขนาดนี้?!”

ผู้เฒ่าเอ่ยเรียบเรื่อย “ยามที่คนใกล้ตาย หมั่นโถวในมือข้าจะมีค่าสักเท่าใด?”

หนิงเหยาพูดเสียงหนัก “ท่านฉวยโอกาสปล้นตอนไฟไหม้ชัดๆ!”

ผู้เฒ่าออกแรงสูบกระบอกยาสูบอย่างแรง เป็นเหตุให้ร่างครึ่งบนถูกปกคลุมอยู่ท่ามกลางกลุ่มควันบางๆ หลังจากนั้นเสียงแหบพร่าเย็นชาของผู้เฒ่าก็ดังออกมาจากด้านใน “ขายราคาสูงเทียมฟ้า ซื้อราคาต่ำเรี่ยดิน นั่นมันวิธีการของพวกพ่อค้าชั้นต่ำ ข้าทำไม่ลง กฎของข้า พูดหนึ่งไม่มีสอง มีแค่ราคาเดียวเท่านั้น พวกเจ้าอยากซื้อก็ซื้อ อยากขายก็ขาย”

หนิงเหยายังจะพูดต่อ แต่กลับพบว่าเฉินผิงอันกระตุกชายแขนเสื้อของตัวเอง ขยิบตาให้ สุดท้ายนางจึงยอมกล้ำกลืนความไม่พอใจลงไป

สมุนไพรและตัวยาที่เกิดจากถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กแห่งนี้มีคุณภาพยอดเยี่ยมก็จริง ทว่าถ้ำสวรรค์หลีจูที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วแจกันสมบัติทวีปบูรพาแห่งนี้ไม่ได้เลื่องลือในด้านวัตถุดิบวิเศษ แต่เป็นเพราะ “เครื่องปั้น” และโชควาสนากับสมบัติวิเศษทั้งหลายที่ทำให้มันมีชื่อเสียงครึกโครมไปทั่วหล้า ดังนั้นต่อให้ยาสมุนไพรของร้านตระกูลหยางจะกองกันเป็นภูเขา ก็ยังมีค่าเทียบเท่าเหรียญทองแดงแก่นทองแค่ไม่กี่เหรียญเท่านั้น

ผู้เฒ่าโบกกระบอกยาสูบ “ฝนหยุดแล้ว พวกเจ้าสองคนหยุดเล่นหูเล่นตาใส่กันตรงนี้เสียที ไม่รู้จักอายเสียบ้าง”

เฉินผิงอันดึงแขนหนิงเหยาพาเดินลงบันได ผ่านห้องโถงหลักของร้านยามาถึงถนนใหญ่ เฉินผิงอันถึงถามยิ้มๆ ว่า “เจ้ายังไม่เข้าใจใช่ไหมล่ะ? ไม่เป็นไรหรอก ท่านปู่หยางก็เป็นเช่นนี้ ไม่ชอบพูดเรื่องน้ำใจกับใคร ไม่ว่าทำอะไรก็ล้วน…ยุติธรรม ใช่ ยุติธรรมอย่างมาก”

หนิงเหยาแค่นยิ้ม “ยุติธรรม? ในใจของแต่ละคนล้วนมีตาชั่ง เขาอาศัยอะไรมาคิดว่าตัวเองยุติธรรม? อาศัยว่าอายุมากกว่างั้นหรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่เห็นรู้สึกว่าจ่ายเงินเหรียญทองแดงไปถุงหนึ่งจะเสียเปรียบตรงไหน”

หนิงเหยาขมวดคิ้วมองเด็กหนุ่ม “หากเจ้าไปอยู่ข้างนอกได้เกินสิบปีแล้วยังตบอกพูดประโยคนี้อย่างมั่นใจได้ซ้ำอีกรอบ ข้าจะถือว่าเจ้าชนะ!”

เฉินผิงอันพูดยิ้มๆ “งั้นก็รอให้ถึงตอนนั้นก่อนค่อยว่ากัน”

หนิงเหยาถอนหายใจ หน่ายใจกับอีกฝ่ายจริงๆ “จากนี้จะไปไหนกันต่อ?”

เฉินผิงอันครุ่นคิด “ไปที่ร้านฝั่งนั้นดูว่าหลิวเสี้ยนหยางเป็นอย่างไรบ้างแล้ว แล้วก็ถือโอกาสไปดึงดาบเจ้าออกมาจากใต้ดินด้วยเสียเลย”

หนิงเหยาตอบรับฉับไว “งั้นเจ้านำทาง”

นางพลันถามว่า “ร่างกายเจ้าไม่เป็นอะไรแล้วหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มกว้าง “ไม่มีปัญหาใหญ่อะไรแล้ว แต่นอกจากฝึกหมัด ทุกวันหลังจากนี้ก็ต้องต้มยาดื่มเหมือนกับเจ้า ท่านปู่หยางบอกว่าหากได้ผลไม่ดี ก็อาจต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก”

หนิงเหยากังขา “เจ้าเชื่อเขาจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้ม คล้ายคร้านจะต่อปากต่อคำกับนางเรื่องนี้

พอเดินออกมาจากเมืองเขาก็ม้วนชายแขนเสื้อขึ้น ปลดมีดทับกระโปรงเล่มนั้นส่งคืนให้กับนาง

นางเก็บมีดทับกระโปรงไปซ่อนไว้ให้เรียบร้อย จากนั้นก็ไปเก็บดาบแคบที่ถูกวานรย้ายภูเขากระทืบจมดินกลับมา ส่วนฝักกระบี่ที่ยกให้เฉินผิงอันไปแล้ว เฉินผิงอันได้ฝากไว้ที่หนิงเหยาชั่วคราว นางจึงเอามันมาแขวนไว้ที่เอว กระบี่บินเล่มนั้นจึงถือว่ามีที่ให้พักพิงได้ในที่สุด

เมื่อเฉินผิงอันกับหนิงเหยาเดินมาถึงฝั่งทิศใต้ของสะพานก็เห็นเด็กสาวชุดเขียวมัดผมหางม้านั่งอยู่ตรงบันไดขั้นบนสุด นางยกมือสองข้างเท้าคางมองเหม่อไปยังทิศไกล หันแผ่นหลังให้คนทั้งสอง

……

ลานด้านหลังร้านตระกูลหยาง ผู้เฒ่าที่นั่งอยู่เพียงลำพังเก็บกระบอกยาสูบลง โบกมือปัดควันที่ลอยขโมงให้พ้นไป ครั้นจึงกล่าวว่า “วางใจเถอะ เมื่อจบเรื่องแล้ว ข้ารับปากว่าจะมอบร่างแม่ย่าลำธารไม่ดับสลายให้แก่เจ้า ส่วนวันข้างหน้าเจ้าจะมีร่างเทพและเลื่อนขั้นเป็นเทพแม่น้ำได้อย่างแท้จริงหรือไม่ ก็ต้องดูที่โชควาสนาของเจ้าเองแล้ว”

สุดท้ายผู้เฒ่าหยิบกระบอกยาสูบขึ้นมาเคาะลงบนพื้นเบาๆ หนึ่งครั้ง เงยหน้ามองไปยังทิศที่ตั้งของต้นไหวเก่าแก่ในเมือง จุ๊ปากพูด “ต้นไม้ล้มลิงค่างก็แตกซ่าน”

……

รถม้าสามคันขับตามกันไปยังตรอกหนีผิง

อ๋องเจ้าแคว้นต้าหลีคิดไม่ตกจริงๆ ว่าเหตุใดหลานชายของตนคนนี้ถึงต้องคิดจะงัดข้อกับเด็กหนุ่มผู้ยากจนคนหนึ่งให้ได้

จนถึงขั้นเกิดเป็นปมในใจที่คลายไม่ออก

ซ่งจ่างจิ้งกล่าวยิ้มๆ “ในเมื่อข้าผู้เป็นอ๋องยื่นมือเข้าแทรกบัญชีเลอะเลือนระหว่างเจ้ากับเฉินผิงอันไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเป็นครั้งที่สอง เจ้าจัดการเอาเองก็แล้วกัน”

สุดท้ายซ่งจ่างจิ้งเอ่ยเตือนว่า “เจ้าจะมีความสัมพันธ์เป็นการส่วนตัวกับเขาตะวันเที่ยงก็ได้ แต่อย่าให้ลึกซึ้งมากเกินไป”

ซ่งจี๋ซินอารมณ์ดีทันใด “มีความสัมพันธ์เป็นการส่วนตัว? หมายถึงเด็กหญิงคนนั้นน่ะหรือ? ฮ่าๆ ก็แค่หาเรื่องสนุกทำเท่านั้น ไม่นับเป็นความสัมพันธ์อะไรได้”

ซ่งจ่างจิ้งคลี่ยิ้ม “แค่หาเรื่องเล่นสนุกก็ถึงกับยกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกหนึ่งไปให้นางเลยน่ะหรือ?”

ซ่งจี๋ซินเงียบเสียงลงอย่างไม่สบอารมณ์นัก

รถม้าเข้าไปในตรอกเล็กไม่ได้ ซ่งจ่างจิ้งเองก็ไม่อยากลงจากรถ ซ่งจี๋ซินเลยลงไปคนเดียว พบว่าฝนกำลังตก ตอนนี้ยังคงเป็นเพียงฝนวสันตฤดูเม็ดบางขมุกขมัว แต่มีทีท่าว่าจะตกหนักมากขึ้นเรื่อยๆ

เขาเดินเร็วๆ เข้าไปในตรอกหนีผิงจนถึงบ้านของตัวเอง พอผลักประตูเปิดแล้วเดินเข้าไปจึงเห็นว่าจื้อกุยนั่งอยู่บนธรณีประตูของห้องหลัก นางกำลังเหม่อลอย

ซ่งจี๋ซินจึงตะโกนเรียกยิ้มๆ “ไป คุณชายจะพาเจ้าไปเปิดโลกที่เมืองหลวงต้าหลี!”

จื้อกุยคืนสติกลับมา “หา? เร็วขนาดนี้เชียวหรือ?”

ซ่งจี๋ซินพยักหน้ารับ “จะอย่างไรก็เก็บของไว้เรียบร้อยนานแล้ว ในห้องของข้ามีลังใหญ่แค่สองใบ บวกกับลังเล็กของเจ้าอีกใบหนึ่ง ของอะไรในบ้านของพวกเราที่ขนย้ายไปได้ก็เอาไปหมด ไม่ลืมของอะไรไว้แล้ว ไปช้าไปเร็วก็ไม่มีอะไรแตกต่าง”

จื้อกุยวางคางทาบบนหัวเข่า พูดอย่างเสียใจ “ใช่สิ ที่นี่คือบ้านของพวกเรา”

ซ่งจี๋ซินถอนหายใจ นั่งลงบนธรณีประตูเป็นเพื่อนนาง ยกมือเช็ดคราบน้ำฝนบนหน้าผาก เอ่ยเสียงอ่อนโยน “ทำไมล่ะ ตัดใจจากไปไม่ลงหรือ? หากอาลัยอาวรณ์จริงๆ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ค่อยไปทีหลัง ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าจะไปคุยกับทางนั้นเอง”

จื้อกุยพลันหัวเราะ ยื่นกำปั้นออกมาโบกแรงๆ “ไม่ต้อง! ไปก็ไปสิ ใครกลัวกันเล่า!”

ซ่งจี๋ซินเอ่ยเตือน “อย่าลืมงูสี่ขาตัวนั้นล่ะ”

จู่ๆ จื้อกุยก็เดือดดาลอย่างหนัก “ไอ้เจ้าโง่สมควรตายพันครั้งตัวนั้น เมื่อวานแอบดอดเข้าไปนอนอยู่ใต้ลังของข้า ทำให้ข้าต้องหาตัวมันอยู่เป็นครึ่งค่อนวัน กว่าข้าจะหาเจอได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ดันเห็นว่ากล่องชาดทาหน้าหลายกล่องที่อยู่ในลังสกปรกไปหมด! โทษมหันต์ไม่สมควรให้อภัย สมควรตายอย่างไม่อาจละเว้นจริงๆ!”

ซ่งจี๋ซินเริ่มเป็นกังวลกับจุดจบของงูสี่ขาตัวนั้น เลยถามหยั่งเชิงไปว่า “เจ้าโง่นั่นคงไม่ได้ถูกเจ้า…กำจัดทิ้งไปแล้วหรอกนะ?”

จื้อกุยส่ายหน้า “เปล่าสักหน่อย ข้ายังเว้นชีวิตมันไว้ชั่วคราว ไปถึงเมืองหลวงเมื่อไหร่ค่อยคิดบัญชีย้อนหลังกับมัน ใช่แล้ว คุณชาย พอไปถึงเมืองหลวง พวกเราเลี้ยงแม่ไก่หลายๆ ตัวหน่อย ดีไหม? อย่างน้อยต้องห้าตัว!”

ซ่งจี๋ซินถามอย่างแปลกใจ “ไข่ก็พอกินแล้วนี่นา ทำไมถึงยังต้องซื้ออีก? ไม่ใช่ว่าเจ้ารำคาญที่แม่ไก่ตัวนั้นชอบทำเสียงดังหรอกหรือ?”

จื้อกุยกล่าวอย่างจริงจัง “พอถึงเวลานั้นข้าจะเอาเชือกรัดขาแม่ไก่ทุกตัว จากนั้นก็แยกกันไปผูกไว้บนขาทั้งสี่และหัวของเจ้าโง่นั่น เมื่อไหร่ที่อารมณ์ไม่ดี ข้าก็สามารถไล่แม่ไก่พวกนั้นไปได้ เพราะแม้ว่างูสี่ขาตัวนั้นจะโง่ แต่กลับวิ่งเร็วนัก ก่อนหน้านี้ไล่จับมันเมื่อไหร่ต้องเหนื่อยแทบตายทุกครั้ง มีแต่จะทำให้โมโหยิ่งกว่าเดิม…”

รับฟังเสียงบ่นของสาวใช้ตัวเอง ในหัวของซ่งจี๋ซินก็มีภาพการลงโทษผุดขึ้นมา จึงพึมพำกับตัวเองว่า “นั่นไม่ใช่ห้าม้าแยกร่างหรอกหรือ (วิธีการลงโทษอย่างหนึ่ง ใช้ม้าห้าตัวผูกติดกับขาสองข้างแขนสองข้างและศีรษะของคนผู้หนึ่ง แล้วให้ม้าขยับเดินเพื่อแยกร่างของคนผู้นั้น)…อ้อ ไม่ถูกสิ ต้องเป็นห้าไก่แยกร่าง”

ซ่งจี๋ซินกุมท้องหัวเราะก๊าก

จื้อกุยเคยชินกับวิธีการคิดอันเต็มไปด้วยจินตนาการล้ำเลิศของคุณชายตัวเองเสียแล้ว จึงแค่ถามว่า “คุณชาย ลังหนักขนาดนั้น พวกเราสองคนจะยกอย่างไร แถมยังมีของดีบางส่วนที่ควรทิ้ง แต่ยังไม่ได้ทิ้งไปด้วย”

ซ่งจี๋ซินลุกขึ้นยืนพลางตะโกนเรียก “ออกมาเถอะ ข้ารู้ว่าพวกเจ้าหลบอยู่ใกล้ๆ นี้ รบกวนพวกเจ้าช่วยยกลังขึ้นไปบนรถม้าด้วย

รอบด้านเงียบสงัดไร้เสียงตอบรับ

ซ่งจี๋ซินเงียบงันไปนาน สีหน้าเคร่งเครียด “ไสหัวออกมา! ถ้าไม่ออกมา เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะไปบอกให้ท่านอามายกลังด้วยตัวเอง?!”

ผ่านไปครู่หนึ่ง เงาร่างหลายเงาที่ซ่อนตัวอยู่ก็พากันปรากฏตัว บ้างก็พลิ้วกายจากหลังคาบ้านฝั่งตรงข้ามของตรอกหนีผิงลงมาในตรอก บ้างก็โผล่ออกมาจากกลางซอยนอกประตูลานบ้าน

นักรบเดนตายนับรวมกันแล้วได้ห้าคน พอหัวหน้าผลักประตูเข้ามา คนที่เหลือก็พากันเดินตามเป็นพรวน

คนที่เป็นหัวหน้าลังเลอยู่ชั่วครู่ก็กุมมือประสาน เอ่ยเสียงหนัก “ก่อนหน้านี้เพราะมีหน้าที่ติดตัว จึงไม่กล้าเผยตัวตนโดยพละการ หวังว่าองค์ชายจะให้อภัย”

ซ่งจี๋ซินพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ไปทำธุระของพวกเจ้าเถอะ”

คนผู้นั้นก้มหน้าอยู่ตลอดเวลา “ข้าน้อยขอร้ององค์ชายโปรดช่วยอธิบายให้ท่านอ๋องเข้าใจด้วย”

ซ่งจี๋ซินเริ่มไม่สบอารมณ์ “เรื่องหยุมหยิมพวกนี้ ท่านอาข้าจะคิดเล็กคิดน้อยกับพวกเจ้าหรือไง?!”

คนทั้งห้ายืนตากฝนนิ่งอยู่ในลานบ้าน ให้ตายก็ไม่ยอมขยับเท้า

ซ่งจี๋ซินจึงยอมประณีประนอม “ก็ได้ ข้าจะช่วยพวกเจ้าอธิบายเอง”

คนทั้งห้าถึงได้ยอมเข้าห้อง ชายชุดดำสามคนแยกกันแบกลังขึ้นหลังอย่างสบายๆ คนสองคนที่มือเปล่าคอยคุมอยู่หัวและท้ายขบวน หลังจากเดินเข้าไปในตรอกหนีผิงแล้ว ทุกคนก็เริ่มห้อตะบึงออกไป

ซ่งจี๋ซินตกอยู่ในภวังค์ของความคิด

จื้อกุยถือร่มกระดาษน้ำมันคันหนึ่ง ส่งร่มคันที่ค่อนข้างใหญ่ให้ซ่งจี๋ซิน หลังจากลงกลอนประตูห้องหลัก ประตูห้องครัวและประตูหน้าบ้านแล้ว นายและบ่าวสองคนจึงยืนกางร่มอยู่หน้าประตูบ้าน ซ่งจี๋ซินมองกลอนคู่พื้นแดงตัวอักษรสีดำกับรูปเทพทวารบาลหลากสี เอ่ยเสียงเบา “ไม่รู้ว่าคราวหน้าที่พวกเรากลับมาจะยังได้เห็นกลอนคู่บทนี้อยู่ไหม”

จื้อกุยกล่าว “ไปแล้วก็คือไป จะยังกลับมาทำไมอีก?”

ซ่งจี๋ซินเอ่ยเย้ยตัวเอง “ก็จริงนะ มีชีวิตดี กลับมาหาคนโอ้อวดให้ฟังไม่เจอ แต่หากมีชีวิตไม่ดี คนรอสมน้ำหน้ากลับมีไม่น้อย”

ฝนตกไม่หยุด ดินในตรอกเล็กเริ่มกลายเป็นโคลนเฉอะแฉะ จื้อกุยไม่อยากอยู่นานไปกว่านี้จึงเอ่ยเร่ง “ไปเถอะๆ”

ซ่งจี๋ซินพยักหน้ารับ คนทั้งสองคนหนึ่งเดินนำ คนหนึ่งเดินตาม พากันออกไปหน้าตรอกหนีผิง

จื้อกุยเดินอยู่ด้านหน้า ฝีเท้าเร่งร้อน

ซ่งจี๋ซินเดินอยู่ข้างหลัง ฝีเท้าเนิบช้า เมื่อเขาเดินผ่านผนังสูงของตรอกเล็กที่อยู่ตรงข้ามกับประตูบ้านของครอบครัวหนึ่ง ซ่งจี๋ซินที่ถือร่มอยู่ในมือพลันชะงักฝีเท้า หันหน้ากลับไปมอง

เด็กหนุ่มมองผนังดินเหลืองที่ไม่มีความพิเศษใดๆ ด้วยสายตาเหม่อลอย

จื้อกุยที่เดินนำอยู่ด้านหน้าหันกลับมามองแล้วก็อดบ่นไม่ได้ “คุณชาย หากไม่เดินให้เร็วกว่านี้ ฝนจะตกหนักแล้วนะ!”

สีหน้าของเด็กหนุ่มที่อยู่ใต้ร่มมองเห็นไม่ชัดนัก หลังจากยกมือขึ้นทำท่าหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงเอ่ยรับคำของสาวใช้ และในที่สุดก็เริ่มเพิ่มความเร็วฝีเท้าเดินไปข้างหน้า

……

ในห้องรถม้าที่จอดอยู่บนถนนนอกตรอกหนีผิง ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้นต้าหลีกำลังนั่งหลับตาพักผ่อน

ทุกวันจวนผู้ตรวจการจะต้องทำเอกสารลับขึ้นมาหนึ่งฉบับโดยมีสายลับเดนตายฝีมือสูงสุดของต้าหลีเก้าคนรับผิดชอบคอยตรวจสอบบันทึก สิ่งที่เขียนไว้ล้วนเป็นเรื่องยิบย่อยในชีวิตประจำวันของ ‘บุตรนอกสมรสของใต้เท้าซ่งผู้ตรวจการงานเตาเผา’ วันนี้ไปเดินเล่นที่ถนนอะไรกับสาวใช้ ใช้เงินเท่าไหร่ซื้อของกินของใช้อะไร เนื้อหาที่ท่องในตอนเช้ามาจากตำราของนักปราชญ์เล่มไหน แอบดื่มเหล้าครั้งแรกเมื่อไหร่ ไปเล่นว่าวจับจิ้งหรีดที่นอกเมืองกับใคร ทะเลาะกับใครด้วยเรื่องอะไร ที่ไหน เป็นต้น

รายละเอียดยิบย่อยทุกอย่างล้วนถูกบันทึกไว้ในเอกสาร จากนั้นจะถูกนำส่งเมืองหลวงต้าหลีหนึ่งครั้งในทุกๆ สามเดือน ถูกนำไปวางไว้บนโต๊ะห้องทรงพระอักษรของวังหลวง สุดท้ายถูกรวบรวมแล้วเย็บขึ้นเป็นเล่ม ก่อนจะถูกพี่ชายผู้ชอบเล่นสำบัดสำนวนผู้นั้นตั้งชื่อให้ว่า “บันทึกชีวิตแต่น้อย” จากบันทึกชีวิตแต่น้อยเล่มหนึ่ง มาจนถึงวันนี้คือเล่มที่สิบห้า สิ่งละอันพันละน้อยตลอดสิบห้าปีของเด็กหนุ่มเรียบง่ายอายุสิบห้าปีคนหนึ่งถูกคนนำมาเขียนเป็นหนังสือสิบห้าเล่ม

ก่อนหน้าที่ซ่งจ่างจิ้งจะมาเยือนเมืองเล็กได้อ่านหนังสือที่บันทึกแต่เรื่องจุกจิกน่าเบื่อเหล่านั้นมาแล้ว แต่เขากลับค้นพบอย่างเฉียบไวว่าหนังสือเล่มที่ “เจ็ด” หายไปหน้าหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าถูกคนฉีกออกไป นี่น่าจะหมายความว่าช่วงฤดูร้อนเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิตอนซ่งจี๋ซินอายุสิบสองปีได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับเขา

ก่อนหน้าที่ซ่งจ่างจิ้งจะมาเยือนเมืองเล็กนึกว่าบันทึกที่ขาดหายไปนั้นคือการเข่นฆ่านองเลือดที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงของต้าหลี เกี่ยวพันไปถึงบุคคลที่แม้แต่พี่ชายของเขาก็ยังทำได้แค่ปิดปากเงียบสนิท แต่ภายหลังซ่งจ่างจิ้งตระหนักได้ว่า เรื่องราวที่บันทึกไว้ในหน้านั้น น่าจะไม่ใช่ความทรงจำที่น่ายินดีอะไรสำหรับซ่งจี๋ซิน อีกทั้งยังต้องเกี่ยวข้องกับเฉินผิงอันตรอกหนีผิงด้วย

ซ่งจ่างจิ้งเริ่มจัดระเบียบความคิด อ๋องเจ้าแคว้นผู้ยิ่งใหญ่ของต้าหลีที่ยากนักกว่าจะหาเวลาว่างได้จากกิจรัดตัวลองย้อนนึกถึงบทสนทนาของเด็กหนุ่มทั้งสองคน รวมไปถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานั้นซึ่งถูกบันทึกไว้อย่างละเอียด

ซ่งจ่างจิ้งลืมตา เลิกม่านตรงหน้าต่างรถขึ้น มองเห็นเรือนกายเพรียวบางของสาวใช้ที่ถือร่มเดินมาเป็นคนแรก จากนั้นถึงตามมาด้วยซ่งจี๋ซินหลานชายของตน นายบ่าวสองคนเดินไปยังรถม้าคันที่สอง ส่วนลังสามใบถูกย้ายไปไว้บนรถม้าคันสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว

ซ่งจ่างจิ้งจิ่งเอ่ยเบาๆ “ไปได้”

รถม้าจึงขับเคลื่อนออกไปช้าๆ

ทว่าจู่ๆ รถม้ากลับหยุดชะงัก ผ่านไปไม่นานนัก ซ่งจี๋ซินก็บุกเข้ามาในห้องโดยสารด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเดือดดาล “ท่านหมายความว่าอย่างไร?!”

ซ่งจ่างจิ้งถาม “เจ้าหมายถึงศพที่อยู่บนรถน่ะรึ?”

ซ่งจี๋ซินหน้าเขียว จ้องซ่งจ่างจิ้งเขม็ง

ซ่งจ่างจิ้งสีหน้าเรียบเฉย “รู้ตัวตนของศพนั้นหรือไม่? องค์กรสายลับของต้าหลีมีเจ็ดแห่ง ข้าผู้เป็นอ๋องควบคุมสามแห่งในนั้น งานหลักๆ ก็แค่แทรกซึมเข้าไปในราชสำนักของแคว้นต่างๆ สืบหารายงานข่าวทางการทหารที่สำคัญและซื้อตัวขุนนางบุ๋นบู๊ของแคว้นศัตรู ราชครูซิ่วหู่ควบคุมสามแห่ง หลักๆ คือพุ่งเป้าไปที่ข้อคิดเห็นของมวลชนที่มีต่อฝ่ายในของราชสำนักและความเคลื่อนไหวของยุทธภพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือจำเป็นต้องจับตามองทุกความเคลื่อนไหวในเมืองหลวง ส่วนแห่งสุดท้ายรับผิดชอบรับมือกับผู้ฝึกตนบนภูเขาโดยเฉพาะ ควบคุมโดยตรงจาก…คนบางคน เมืองเล็กแห่งนี้มีสายลับของต้าหลีอยู่ทั้งหมดเก้าคน ซึ่งต่างก็มาจากองค์กรทั้งเจ็ดแห่งนี้ หน้าที่ของพวกเขาคือรับรองความปลอดภัยของเจ้า แน่ใจได้ว่าจะไม่เกิดเรื่องผิดพลาดกับเจ้าแม้แต่นิดเดียว”

ซ่งจี๋ซินเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “ท่านต้องการจะพูดอะไรกันแน่?”

ซ่งจ่างจิ้งยิ้มทันใด “เรื่องนี้สลับซับซ้อน คนผู้นั้นภักดีต่อใครกันแน่ ความจริงที่ถูกซ่อนอยู่ท่ามกลางหมอกควันอบอวล หากจะให้ข้าผู้เป็นอ๋องอธิบายอย่างชัดเจน คาดว่าคงยากมาก จะอย่างไรซะคนผู้นี้ถึงตายก็ไม่สาสมกับความผิดบาปที่ได้กระทำลงไป แต่มีอยู่ข้อหนึ่งที่เจ้าควรจะจำเอาไว้ ตอนนี้คนนอกมองเจ้าเป็นองค์ชายต้าหลี มองเป็นทายาทเชื้อพระวงศ์ที่ร้ายกาจ ภายนอกพวกเขาเคารพนอบน้อมต่อเจ้าก็ดี ประจบเอาใจเจ้าก็ช่าง เจ้าสามารถรับไว้ได้ทั้งหมด แต่อย่าลืมว่าเหตุใดพวกเขาถึงต้องทำเช่นนั้น”

ซ่งจี๋ซินหัวเราะหยัน “อ้อ? ทำไมล่ะ?”

ซ่งจ่างจิ้งยิ้มบางๆ “เจ้านึกว่าเป็นเพราะเจ้าสำคัญมากจริงๆ น่ะหรือ? ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะข้าผู้เป็นอ๋องอยู่ข้างกายเจ้า ด้วยกลัวว่าเจ้าจะจำข้อนี้ไม่ได้ ถึงได้ยืมใช้โอกาสนี้ช่วยให้เจ้าได้เปิดหูเปิดตาสักหน่อย อยู่กับคนที่ตายแล้วย่ำแย่มากก็จริง แต่ก็ดีว่าให้คราวหน้าข้าผู้เป็นอ๋องต้องไปอยู่ข้างศพของเจ้าแทน”

สีหน้าของซ่งจี๋ซินแดงก่ำ

ซ่งจ่างจิ้งปรายตามองเด็กหนุ่ม น้ำเสียงเย็นชา “ลงไป”

ซ่งจี๋ซินพลันกลืนคำพูดที่มารออยู่ริมฝีปาก หมุนตัวจากไปพร้อมเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างขุ่นเคือง

รอจนเด็กหนุ่มลงจากรถไปแล้ว ซ่งจ่างจิ้งก็คลี่ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “มีความสามารถเพียงแค่นี้ วันหน้าพอไปถึงเมืองหลวงจะไม่ถูกพวกพยัคฆ์เฒ่า พวกจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่ฟันร่วงหมดปากแล้วพวกนั้นหมายตา ปรารถนาจะฉีกเนื้อออกมาจากร่างเจ้าทันทีเลยรึ?”

พอคิดถึงว่าจะต้องไปเมืองหลวง อันที่จริงอ๋องเจ้าแคว้นผู้นี้ก็ปวดหัวอย่างมาก

……

ในห้องโดยสาร กลับกลายเป็นว่าศพนั้นกินพื้นที่ไปมากที่สุด

ซ่งจี๋ซินอึดอัดไม่สบายตัวอย่างมาก กลับเป็นสาวใช้จื้อกุยเสียอีกที่สีหน้าเป็นปกติ เขาจึงพูดชวนคุย “ใช่แล้ว จื้อกุย เจ้าได้เอากุญแจลูกเก่าของบ้านพวกเรามาด้วยไหม?”

นางถามกลับอย่างสงสัย “ไม่นะ ข้าเอาวางไว้ในห้องตัวเอง ข้าไม่คิดจะกลับไปอีกเสียหน่อย ทำไมหรือ คุณชายถามถึงมันทำไม อีกอย่างคุณชายเองก็มีกุญแจบ้านอยู่กับตัวอีกพวงหนึ่งไม่ใช่หรือ?”

ซ่งจี๋ซินร้องอ้อรับหนึ่งที ก่อนจะกล่าวยิ้มๆ “ข้าก็ทิ้งไว้ในห้องเหมือนกัน”

……

รถม้าสามคันขับผ่านต้นไหวเก่าแก่ ขับออกจากเมือง สุดท้ายกระเด้งกระดอนอยู่บนถนนดินโคลนขรุขระมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก

ตอนที่ผ่านประตูรั้วฝั่งตะวันออกของเมือง คนเฝ้าประตูเจิ้งต้าเฟิงที่หลบฝนอยู่ในห้องดินเหนียวของตัวเองใช้มือสองข้างรวบชายแขนเสื้อนั่งยองอยู่หน้าประตู ชายโสดผู้นี้มองรถม้าสามคันพลางอ้าปากหาวหวอด

ประมาณครึ่งชั่วยามต่อมา ซ่งจ่างจิ้งถึงเอ่ยขึ้นเสียงหนัก “หยุดรถ!”

ซ่งจ่างจิ้งเดินลงจากรถม้า ซ่งจี๋ซินและจื้อกุยที่อยู่บนรถม้าด้านหลังเลิกผ้าม่านขึ้น ศีรษะสองลูกเบียดอยู่ด้วยกัน มองมาทางซ่งจ่างจิ้งด้วยสายตาใคร่รู้

ซ่งจ่างจิ้งโบกมือ ซ่งจี๋ซินจึงดึงจื้อกุยหดหัวกลับไป

ซ่งจ่างจิ้งเดินไปข้างหน้าต่อ ห่างออกไปไม่ไกลนักมีชายฉกรรจ์วัยกลางคนร่างล่ำเตี้ย หน้าตาไม่โดดเด่นยืนขวางอยู่กลางทาง รองเท้าแตะคู่นั้นและชายกางเกงทั้งสองข้างล้วนเต็มไปด้วยดินโคลน

ซ่งจ่างจิ้งเดินไปด้านหน้าพลางเปิดปากพูดกลั้วหัวเราะไปด้วย “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าในเมืองเล็กยังซ่อนบุคคลอย่างเจ้าเอาไว้ ดูท่าสายลับของต้าหลีพวกเราคงกินแต่อาจมแทนข้าวกันซะแล้ว”

ชุดคลุมตัวยาวสีขาวหิมะที่เดิมทีสะอาดเอี่ยมไม่มีฝุ่นเกาะของอ๋องเจ้าแคว้น บัดนี้กลับเปรอะไปด้วยเศษโคลนเป็นหย่อมๆ รองเท้าก็ยิ่งยากจะรอดพ้นไปได้

สุดท้ายซ่งจ่างจิ้งหยุดเดินตอนที่อยู่ห่างจากชายฉกรรจ์ผู้นั้นไปสิบก้าว “ในเมื่อไม่ได้ลงมือทันทีที่เจอหน้า ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ลองพูดดูว่า เจ้าต้องการอะไรกันแน่?”

ชายฉกรรจ์แห่งเมืองเล็กที่แม้แต่หลังคาบ้านตัวเองยังยอมให้ถูกวานรเฒ่าเหยียบพัง เวลานี้เมื่อเผชิญหน้ากับอ๋องเจ้าแคว้นต้าหลี ไหนเลยจะยังมีท่าทางขี้ขลาดเหมือนตอนนั่งยองอยู่ในลานบ้านตัวเองอีก “ซ่งจ่างจิ้ง ขอแค่หลังจากต่อสู้กันแล้ว เจ้ายังมีชีวิตรอดไปได้ ย่อมได้รู้คำตอบเอง!”

ซ่งจ่างจิ้งขมวดคิ้ว ชายฉกรรจ์จึงเอ่ยอย่างรู้ใจ “บอกให้รถม้าขับนำไปก่อนก็พอ”

ซ่งจ่างจิ้งพยักหน้ารับเบาๆ ไม่ได้หันตัวกลับไป เพียงตะโกนเสียงดัง จับจ้องชายฉกรรจ์อย่างไม่ละสายตา “ขับรถม้าล่วงหน้าไปก่อนได้เลย”

ชายฉกรรจ์ผู้นั้นขยับไปยืนอยู่ข้างทาง ปล่อยให้รถม้าทั้งสามคันผ่านทางไปได้โดยสะดวก

ซ่งจ่างจิ้งรอจนกระทั่งรถม้าลับหายไปจากสายตา ถึงได้มองไปยังชายวัยกลางคนที่ยังคงรออยู่อย่างอดทน

ขอบเขตของคนผู้นี้ เมื่อเทียบกับตนแล้วมีแต่จะสูงกว่า ไม่มีต่ำกว่า

แต่ว่าความต่างของคนทั้งสองมีจำกัด

ซ่งจ่างจิ้งไร้ซึ่งความหวาดเกรง กลับกันคือปณิธานแห่งการรบยิ่งฮึกเหิม เลือดร้อนเดือดพล่านจนต้องขยับดึงปกเสื้อ

แม้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้จะไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ย่อมต้องเป็นหินลับมีดที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการขัดเกลาวิถีการต่อสู้อย่างแน่นอน

ความรู้สึกบอกกับซ่งจ่างจิ้งว่า วันนี้จะเป็นหรือตาย พรุ่งนี้จะเก้าหรือสิบ ล้วนอยู่ที่การต่อสู้ครั้งนี้แล้ว!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!