Skip to content

Sword of Coming 67

บทที่ 67 เดินทางไกล

สองวันก่อนที่ฉีจิ้งชุนจะวางตะเกียบคู่นั้นลง เมืองเล็กเกิดลางบางอย่างที่ไม่ค่อยดีนัก ระดับน้ำในบ่อโซ่เหล็กลดลงอย่างน่ากลัว กิ่งไหวปริแตกและหักร่วงลงมาจากลำต้น ใบไหวล้วนเหลืองกรอบ เห็นได้ชัดว่าไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ที่ว่าใบไม้ผลิเขียวขจีใบไม้ร่วงเหลืองเหี่ยว และยังมีสถานที่นอกเมืองเล็กที่เต็มไปด้วยเทวรูปดินเหนียวและไม้แกะสลักกองกลาดเกลื่อนที่มักจะมีเสียงระเบิดเหมือนไม้ไผ่แตกดังขึ้นมากลางดึก คนที่อยากรู้อยากเห็นลองวิ่งออกไปดูจึงเห็นว่าเหล่าองค์เทพและพระโพธิสัตว์ดินเหนียวไม้แกะสลักที่อยู่ในพื้นที่แถบติดกับเมือง หากเป็นเมื่อฤดูหนาวของปีก่อนยังต้องมีให้เห็นมากมาย แต่ตอนนี้กลับหายไปเกินครึ่งแล้ว

รถม้าและเกวียนเทียมวัวที่ขับออกจากถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่เคลื่อนผ่านถนนกว้างใหญ่ซึ่งปูด้วยแผ่นหินสีเขียวไปอย่างไม่ขาดสาย แม้แต่ยามดึกดื่นค่อนคืนก็ยังได้ยินเสียงกีบเท้าม้าและวัวดังรบกวนความฝันอันงดงาม

คนต่างถิ่นที่สวมอาภรณ์หรูหรา แผ่กลิ่นอายความสูงศักดิ์ร่ำรวยไปทั่วร่างเริ่มรีบร้อนเดินทางออกจากเมือง คนส่วนใหญ่ล้วนมีสีหน้าไม่ดีนัก ในกลุ่มสองคนสามคนมักจะต้องมีคนหันไปชี้ไม้ชี้มือใส่ทิศทางของโรงเรียน ท่าทางแค้นเคืองอย่างมาก

ชายโสดเจิ้งต้าเฟิงที่เฝ้าประตูตะวันออกของเมืองเล็กหายตัวไป จวนผู้ตรวจการงานเตาเผาก็ไม่มีท่าทีว่าจะหาคนมาทำงานแทน ดังนั้นเมืองเล็กจึงเหมือนคนที่ฟันหน้าหายไปสองซี่ ยามพูดยามจาลมจึงลอดจากปากไปได้ง่าย

หลิวป้าเฉียวและเฉินซงเฟิงเดินย้อนกลับไปทางเดิม ตอนที่คนทั้งสองมองเห็นเค้าโครงของสะพานแบบคานได้ลางๆ ก็เป็นยามสนธยาแล้ว หลิวป้าเฉียวเดินบนทางเส้นเล็กไปถึงริมธารน้ำ ก่อนจะนั่งยองโน้มตัววักน้ำล้างหน้า อาจเพราะยังไม่ชุ่มฉ่ำสาแก่ใจพอจึงนั่งแปะลงบนพื้นแล้วนอนคว่ำ จุ่มทั้งหัวลงไปในธารน้ำ สุดท้ายเงยหน้าพรวดขึ้นมาหอบหายใจเสียงดัง หันหน้ากลับไปมองเฉินซงเฟิงที่เหงื่อโชกไปทั้งตัว หลิวป้าเฉียวก็กล่าวอย่างสนุกสนานว่า “บัณฑิตผู้สุภาพอ่อนแอ ไม่มีแรงแม้แต่จะจับไก่สินะ”

เฉินซงเฟิงเพียงแค่วักน้ำในลำธารขึ้นมาดื่มหนึ่งอึก เอ่ยเสียงแหบแห้ง “ที่ตอนแรกข้าทนลำบากลำบนกลายมาเป็นผู้ฝึกลมปราณ ก็เพราะหวังว่าจะทำร่างกายให้แข็งแรง มีชีวิตอยู่เพิ่มได้อีกหลายปี ได้อ่านหนังสือมากขึ้นอีกหลายเล่มเท่านั้น มีหรือจะเทียบกับผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกเจ้าได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูแห่งนี้ เว้นจากผู้ฝึกกระบี่แล้ว ผู้ฝึกลมปราณก็ที่คือคนที่เสียเปรียบมากที่สุด หากไม่ระวังโคจรลมปราณก็ต้องเผาผลาญตบะที่สั่งสมไว้ ยิ่งขอบเขตสูงมากเท่าไหร่ ความเสียหายก็ยิ่งมีมาก ไม่เคยคิดเลยว่าการที่ข้ามีตบะต่ำจะกลายมาเป็นเรื่องดีได้”

หลิวป้าเฉียวตบไหล่อีกฝ่าย “ไม่สู้เปลี่ยนสำนัก มาเข้าร่วมกับสวนลมฟ้าของพวกเรา วันหน้าข้าจะปกป้องเจ้าเอง เจ้าลองคิดดูสิ กลายมาเป็นผู้ฝึกกระบี่ ขับเคลื่อนกระบี่ควบคุมลม ทะยานสูงกลางอากาศหมื่นจั้ง โผนทะยานดุจสายฟ้าแลบ โดยเฉพาะเวลาที่ฝนตกฟ้าร้องฟ้าผ่าก็ยังสามารถเหยียบกระบี่บินทะยานอยู่ท่ามกลางสายฝน…”

เฉินซงเฟิงพลันหัวเราะ “ได้ยินมาว่าผู้ฝึกกระบี่ของสวนลมฟ้าที่ถูกฟ้าผ่ามากที่สุดมีนามว่า…”

หลิวป้าเฉียวยกฝ่ามือขึ้นห้าม “หยุดเลย!”

ผู้ฝึกกระบี่ก็คือหนึ่งในผู้ฝึกลมปราณ เพียงแต่ว่าร่างกายและจิตวิญญาณจะใกล้เคียงกับผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่อยู่ในเส้นทางอีกสายหนึ่งมากกว่าผู้ฝึกลมปราณทั่วไป พูดง่ายๆ ก็คือ ผู้ฝึกกระบี่เน้นการฝึกควบทั้งกระดูกเส้นเอ็นเลือดเนื้อและจิงชี่เสิน ผู้ฝึกลมปราณด้านอื่นๆ แค่ขอให้ร่างกายและจิตใจไม่ถึงกับเป็นตัวถ่วงในการฝึกตนก็พอแล้ว ไม่ได้ตั้งใจที่จะฝึกฝนมากเป็นพิเศษ แน่นอนว่าในเวลาเดียวกันกับที่ผู้ฝึกลมปราณหล่อเลี้ยงลมปราณ หลอมลมปราณ แท้จริงแล้วการปรับปรุงแก้ไขร่างกายให้สมบูรณ์ขึ้นก็เหมือนกับลมวสันตฤดูที่แปรเปลี่ยนมาเป็นสายฝน (อุปมาถึงการให้การศึกษาที่ดี) ซึ่งต้องผ่านการขัดเกลาฝึกฝนอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อเทียบกับผู้ฝึกกระบี่แล้ว ในเรื่องของการหล่อหลอมเรือนกายและจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นด้านพละกำลังหรือจำนวนครั้ง พวกเขาก็ล้วนเทียบไม่ติด ยิ่งไม่มีทางเป็นเหมือนผู้ฝึกยุทธที่มุ่งมั่นปรารถนาในสิ่งเดียวอย่างมุมานะและขยันมั่นเพียร

สำหรับผู้ฝึกลมปราณบนโลกแล้ว พวกเขามีความเห็นพ้องต้องกันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือเรือนกายเป็นเพียงเปลือกที่ห่อหุ้มอยู่ภายนอก สักวันก็ต้องแห้งเหี่ยวโรยรา มีแค่พอใช้ก็พอแล้ว แต่แน่นอนว่าหากโชคดีสามารถฝึกได้ร่างอรหันต์ทองมิพ่าย เรือนกายแก้วผ่องแผ่วก็ย่อมดีที่สุด หากไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ห้ามมุ่งมั่นศึกษาจนทำลายรากฐานแห่งมหามรรคาเด็ดขาด

หลิวป้าเฉียวเอ่ยถามส่งเดช “ญาติห่างๆ ของเจ้าคนนั้นคือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตที่เท่าไหร่กันแน่?”

เฉินซงเฟิงกล่าวอย่างจนใจ “ข้าจะไปรู้เรื่องลับระดับนี้ได้อย่างไร?”

หลิวป้าเฉียวนึกถึงความขัดแย้งที่ปะทุขึ้นในห้องโถงหลักของจวนผู้ตรวจการวันนั้นขึ้นมาได้ จึงพูดอย่างปลงอนิจจัง “ซ่งจ่างจิ้งช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก ที่น่ากลัวที่สุดก็คืออ๋องเจ้าแคว้นต้าหลีผู้นี้ยังหนุ่มถึงเพียงนี้ ผู้ฝึกยุทธ์ระดับแปด ระดับเก้าทั่วไป ใครบ้างไม่มีอายุครึ่งร้อย อายุหกสิบปี ถึงขั้นที่ว่าต่อให้อายุร้อยปีก็ยังไม่เรียกว่าสูงวัย แต่หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ซ่งจ่างจิ้งเพิ่งจะเกือบสี่สิบปีเท่านั้น มิน่าเล่าตอนนั้นถึงได้ถูกคนผู้นั้นกล่าวกลั้วหัวเราะว่า ‘จำเป็นต้องกำราบความยโสโอหังสักหน่อย’”

เฉินซงเฟิงเอ่ยเบาๆ “เกิดตามบัญชาสวรรค์ สภาพแวดล้อมเป็นใจคอยอำนวย”

นักพรตห้าขอบเขตบนยากที่จะตามตัวได้เจอ ดุจมังกรเทพที่เห็นแต่หัวไม่เห็นหาง แต่คนขอบเขตที่แปดและเก้าในบรรดาผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหลาย ทั่วทั้งใต้หล้าล้วนรู้ดีว่าพวกเขาอยู่ห่างจากราชวงศ์ของโลกมนุษย์ไม่ไกลนัก แล้วนับประสาอะไรกับที่การปีนป่ายสู่ที่สูงของวิถีการต่อสู้ล้วนอาศัยสงครามใหญ่ที่ตัดสินเป็นตายครั้งแล้วครั้งเล่า ความเป็นความตายถูกขวางกั้นเพียงแค่เส้นบางๆ เมื่อเคยเห็นความเป็นความตายมาก่อน ถึงจะปล่อยวางความเป็นความตายได้ และจะมีสภาพจิตใจคล้ายคำว่า “อิสระ” ของศาสนาพุทธและคำว่า “บริสุทธิ์” ของลัทธิเต๋า

นอกจากการประชันฝีมือกันระหว่างสองปรมาจารย์ใหญ่แล้ว ผู้ฝึกยุทธ์ระดับแปด ระดับเก้าชอบที่จะรังแกผู้ฝึกลมปราณที่เก่งกาจที่สุดในห้าขอบเขตกลาง โดยเฉพาะผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในขอบเขตที่เก้าอย่างซ่งจ่างจิ้งที่แทบจะเรียกได้ว่าไร้ศัตรูนับแต่ห้าขอบเขตบนลงมา แล้วก็มีเพียงผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นหนึ่งในผู้ฝึกลมปราณเท่านั้นที่ถึงจะสามารถต่อสู้กับเขาได้ ทว่าก็ได้แค่ทำให้ตัวเองไม่พ่ายแพ้อย่างอเนจอนาถมากนัก และพอจะเรียกได้ว่าพ่ายแพ้อย่างสมเกียรติก็เท่านั้น

แต่เรื่องนี้กลับมีสาเหตุซ่อนแฝงอย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้ฝึกยุทธขอบเขตที่เก้ากล้าทำตัวกำเริบเสิบสาน นั่นก็คือเดิมทีนักพรตใหญ่ชั้นที่สิบซึ่งเป็นชั้นสุดท้ายของห้าขอบเขตกลางก็ไม่มีใจจะยุ่งเกี่ยวกับข้อพิพาททางโลกอีกแล้ว ถึงขั้นที่ว่าไม่ว่าตระกูลของตัวเองจะดำรงอยู่หรือล่มสลาย ราชสำนักจะรุ่งเรืองหรือเสื่อมถอย พวกเขาก็ล้วนไม่สนใจ ทุกอย่างนี้ก็เพียงแค่เพื่อสองคำว่า “มหามรรคา” เท่านั้น

หลิวป้าเฉียวยังคงจมอยู่กับความคิดของตัวเอง “ซ่งจ่างจิ้งบอกว่าหลังจากที่ข้าออกไปจากเมืองเล็กแล้ว ให้อาศัยความสามารถตัวเองไปเอากระบี่อาญาสิทธิ์เล่มนั้นมา เรื่องนี้ต้องแจ้งสวนลมฟ้า ให้พวกเขาเตรียมจัดงานเลี้ยงฉลองไว้แต่เนิ่นๆ ด้วยหรือเปล่า?”

เฉินซงเฟิงไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี มองน้ำไหลที่ลึกไม่เกินหัวเข่า คิดถึงซ่งจ่างจิ้งรวมไปถึงเด็กหนุ่มท่าทางสง่างามที่อยู่ข้างกายอ๋องเจ้าแคว้นผู้นั้น เฉินซงเฟิงก็แอบรู้สึกถึงลางบางอย่างว่ากองกำลังใหญ่กำลังรวมตัวกัน จึงตัดสินใจว่าเมื่อกลับไปถึงบ้านสกุลเฉินที่เมืองหลงเหว่ยแล้วต้องพูดเกลี้ยกล่อมให้คนในตระกูลลงเดิมพันกับราชวงศ์ต้าหลีให้จงได้ ต่อให้จะไม่สามารถทุ่มหมดหน้าตัก ก็ต้องให้ลูกหลานสกุลเฉินฉวยโอกาสแทรกซอนเข้าไปในราชสำนักของต้าหลีให้ได้โดยเร็วที่สุด

เฉินซงเฟิงพึมพำ “บรรยากาศของต้าหลีชัดเจนว่าเมื่อโชคมา แม้แต่ฟ้าดินก็ยังร่วมใจ ด้วยเหตุนี้สกุลเฉินของข้าต้องประคับประคองมังกรตัวจริง แค่อย่าไปช่วงชิงมังกรแอบอ้างกับคนอื่นก็เท่านั้น”

หลิวป้าเฉียวเอ่ยถาม “พึมพำอะไรของเจ้า?”

เฉินซงเฟิงลุกขึ้นยืน สะบัดมือ กล่าวยิ้มๆ “ดูเหมือนว่าเจ้าจะถูกชะตากับเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงคนนั้นมากเลยนะ”

หลิวป้าเฉียวลุกขึ้นตาม พูดตอบโผงผาง “พบเจอโดยบังเอิญ ไม่แน่ว่าจะได้อยู่ร่วมกันหรือแยกจาก ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าวันหน้าจะยังได้พบเจอเขาอีกหรือไม่”

คนทั้งสองเหยียบต้นหญ้าอ่อนริมธารน้ำเดินขึ้นฝั่ง เฉินซงเฟิงถามว่า “ได้ยินมาว่าพื้นที่วิเศษในเขตการปกครองของแคว้นหนันเจี้ยนแห่งนั้นจะเปิดแก่ภายนอกช่วงฤดูหนาวของปีนี้ อนุญาตให้คนหลายสิบคนเข้าไปข้างใน ตอนนี้เจ้ายังไม่อาจฝ่าคอขวด[1]ไปได้ไม่ใช่หรือ? จะลองไปเสี่ยงดวงดูหน่อยหรือเปล่า?”

หลิวป้าเฉียวหัวเราะหยัน “ข้ายืนกรานว่าจะไม่ไป ให้ไปวางอำนาจบาตรใหญ่อยู่ในกลุ่มมดตัวน้อย ข้าผู้อาวุโสเบื่อหน่ายยิ่งนัก”

เฉินซงเฟิงส่ายหน้า “ท่านหลิวของบ้านข้าเคยบอกว่า จิตใจเหมือนกระจก ยิ่งเช็ดก็ยิ่งใสแวววาว ดังนั้นหากสามารถนั่งลืมจิตตนอยู่บนแท่นดอกบัวบรรพจารย์เต๋าเพื่อฝึกสภาพจิตใจ ย่อมมีประโยชน์อย่างใหญ่หลวง ทว่าบางครั้งการที่ตะเกียกตะกายอยู่ในบ่อดินโคลนเล็กๆ ก็ใช่ว่าจะไม่มีผลดีเสมอไป ไปเป็นเจ๋อเซียน[2]ที่ลืมอดีตชาติ ลืมตัวตนในพื้นที่วิเศษ จะเสวยสุขก็ดี จะประสบทุกข์ก็ช่าง จะมากหรือน้อยก็ถือว่า…”

ไม่รอให้เฉินซงเฟิงพูดจบ หลิวป้าเฉียวก็โวยขึ้นมาเสียงดัง “ข้ามีนิสัยชอบเอาชนะ หากไปยังพื้นที่วิเศษที่มีปราณวิญญาณเบาบาง แล้วไม่สามารถอาศัยความสามารถของตนเองทลายอุปสรรคข้อห้ามไปได้ กลับไปถึงบ้านเกิดย่อมต้องทิ้งปมในใจไว้ให้ข้า แบบนั้นก็ไม่ยิ่งเสียมากกว่าได้ มีผลร้ายมากกว่าผลดีหรอกหรือ อีกอย่างหากไม่ทันระวังถูก ‘คนท้องถิ่น’ ในพื้นที่วิเศษรังแกเข้า เพิ่มอาการป่วยทางใจมาอีกโรคหนึ่ง รอจนขวัญข้ากลับคืนแล้ว ต่อให้ต้องสูญเสียค่าตอบแทนมหาศาล ข้าก็ต้องพา ‘ร่างจริงตัวตนจริง’ เยื้องกรายไปเยือนถึงที่ ถึงจะสาแก่ใจ ทว่าหากเป็นเช่นนั้นก็ไม่เท่ากับผิดต่อเจตนาเดิมของข้าหรอกหรือ?”

หลิวป้าเฉียวใช้สองมือกุมท้ายทอย สีหน้าเต็มไปด้วยความดูหมิ่น “คำพูดนี้อาจไม่น่าฟัง แต่ตอนนี้พื้นที่วิเศษสามแห่งของแจกันสมบัติทวีปบูรพาเรา ใครเล่าที่ไม่รู้อยู่แก่ใจว่ามันได้เปลี่ยนแปลงไปนานแล้ว เปลี่ยนไปกลายมาเป็นสถานที่ที่พวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยของราชสำนักบนโลกมนุษย์จ่ายเงินเพื่อไปหาความบันเทิง มิน่าเล่าถึงได้ถูกเรียกว่าเป็นสถานที่มั่วสุมเป็นแหล่งอโคจรภายใต้การปกครองของตระกูลเซียน เต็มไปด้วยความสกปรกโสมม”

เฉินซงเฟิงกล่าวยิ้มๆ “ก็ไม่อาจเหมารวมได้ทั้งหมด ไม่พูดถึงคนต่างถิ่นอย่างพวกเรา เอาแค่คนในท้องที่พวกนั้น พวกเขาไม่ขาดแคลนคนมีความสามารถฝีมือเลิศล้ำเลย”

หลิวป้าเฉียวกลอกตาขึ้นสูง “พื้นที่วิเศษแห่งนี้ มีประชากรแค่นั้น แต่ละปีจะมีสักกี่คนที่โดดเด่นขึ้นมา? แค่คนเดียวก็ไม่แน่ว่าจะมี ความสำเร็จล้วนมาจากพวกเราทั้งนั้น ในเวลาหนึ่งร้อยปี ผู้ที่ถูกพวกเราจารึกชื่อสุดท้ายแล้วมีอยู่สักกี่คน? มีน้อยจนนับนิ้วได้เลยใช่ไหมล่ะ นี่แหละที่ข้าไม่เข้าใจ ทำไมพื้นที่วิเศษพวกนี้ถึงได้รับการยอมรับเลื่อมใสจากผู้คนมากนัก แถมยังมีคนป่าวประกาศไปทั่วด้วยว่า ขอแค่ได้ครอบครองอำนาจในการปกครองส่วนหนึ่งของพื้นที่วิเศษ ผลประโยชน์ที่จะได้รับไม่น้อยไปกว่านักพรตห้าขอบเขตบนคนหนึ่งเลย บ้าไปแล้วไหมล่ะ”

เฉินซงเฟิงคลี่ยิ้ม “ได้รับผลประโยชน์ในพื้นที่วิเศษ ดุจน้ำสายเล็กไหลยาว บางครั้งยังมีเรื่องประหลาดใจที่น่ายินดีโผล่มาให้ได้ลุ้นบ้าง ประเด็นที่สำคัญที่สุดก็คือผลประโยชน์ทั้งหมดล้วนเป็นของพวกคนที่รอชุบมือเปิบไม่ต้องลงแรงอะไร ใครเล่าจะไม่ยินดีเข้ามาขอแบ่งน้ำแกงไปสักถ้วย?”

คนที่ออกไปจากถ้ำสวรรค์ ส่วนใหญ่แล้วล้วนมีโชคชะตาที่ดี คนที่ได้เลื่อนขั้นมาจากพื้นที่วิเศษ ชะตาจะแข็งมากเป็นพิเศษ

หลิวป้าเฉียวเอ่ยถาม “ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ค่อยชอบเด็กหนุ่มแซ่เฉินคนนั้นสักเท่าไหร่?”

เฉินซงเฟิงครุ่นคิด แล้วก็เลือกที่จะเปิดใจตามตรง “หากพูดถึงตัวเขา ข้าไม่มีความเห็นใดๆ ต่อเด็กหนุ่มคนนั้น แต่ถ้าว่ากันไปตามสถานการณ์ การดำรงอยู่ของเขา แท้จริงแล้วทำให้ตระกูลของข้ากระอักกระอ่วนอย่างมาก ลูกหลานสกุลเฉินในถ้ำสวรรค์หลีจู เดิมทีก็เป็นเรื่องตลกของทวีปนี้อยู่แล้ว แซ่สกุลในเมืองเล็กที่จำนวนคนมีไม่น้อยกลับเหลืออยู่แค่คนเดียว คนอื่นๆ ล้วนกลายมาเป็นบ่าวรับใช้ของตระกูลอื่น จะกลายมาเป็นตัวตลกให้ผู้คนหัวเราะเยาะ ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ในสายตาของคนสกุลเฉินเมืองหลงเหว่ย แม้ว่าพวกเรากับคนสกุลเฉินในเมืองเล็กจะมีบรรพบุรุษร่วมกัน แต่นั่นล้วนเป็นเรื่องเก่าแก่นานนมมากแล้ว ไม่ถือว่ามีความสัมพันธ์ใดๆ ได้เลย แต่มีหรือที่ศัตรูทั้งหมดของสกุลเฉินเมืองหลงเหว่ยจะมองแบบนี้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากเด็กหนุ่มของตรอกหนีผิงกลายเป็นขี้ข้าของตระกูลใหญ่ไปด้วย ถือว่ายังพอทำเนา เพราะเมื่อเรื่องน่าขันผ่านพ้นไปก็ยากที่จะกลายมาเป็นหัวข้อที่ผู้คนพูดถึงกันอย่างยาวนาน ทว่าการที่เด็กหนุ่มคนนี้กัดฟันยืนหยัดดำรงอยู่ด้วยตัวเองเพียงลำพัง เห็นได้ชัดว่าดึงดูดความสนใจของผู้คนเป็นพิเศษ หลายคนข้างนอกถึงขั้นพนันกันด้วยซ้ำว่า ลูกหลานสกุลเฉินคนนี้สายนี้ในเมืองเล็กแห่งนี้จะไม่ใช่ ‘หนึ่งเดียว’ อีกต่อไปเมื่อไหร่”

หลิวป้าเฉียวขมวดคิ้ว “นี่ก็ไม่ใช่ความผิดของเด็กหนุ่มนั่นสักหน่อย”

เฉินซงเฟิงยิ้ม “แน่นอน เด็กหนุ่มคนนั้นไม่มีความผิด แต่บนโลกใบนี้ก็มักจะมีเรื่องบางเรื่องที่ยากจะอธิบายถึงเหตุผลให้แน่ชัดอยู่เสมอ”

หลิวป้าเฉียวส่ายหน้า “ไม่ใช่ว่ายากจะอธิบายเหตุผล แต่ในความเป็นจริง เดิมทีพวกเจ้าก็ไม่มีเหตุผลอยู่แล้ว เพียงแค่เพราะว่าเด็กหนุ่มคนนั้นอ่อนแอเกินไป ถึงได้ทำให้พวกเจ้าเหมือนมีเหตุผลอันสมควร บวกกับที่ชื่อเสียงและบารมีของสกุลเฉินพวกเจ้าในเมืองหลงเหว่ยมีมากกว่าเด็กหนุ่ม แต่พอเอาไปเทียบกับพวกคนที่รอชมเรื่องสนุกอยู่ข้างๆ แล้ว พวกเจ้ากลับธรรมดาอย่างมาก ดังนั้นจึงตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกมากขึ้นทุกที มาถึงท้ายที่สุดก็ไม่ยอมรับว่าตัวเองไร้ความสามารถ ได้แต่หันมาบอกกับตัวเองว่าเด็กหนุ่มคนนั้นต่างหากที่เป็นตัวการของเรื่องร้ายทั้งหมด ข้าเชื่อว่าหากไม่ใช่เพราะถ้ำสวรรค์หลีจูแห่งนี้เข้ามาได้ยาก เด็กหนุ่มยากจนที่ทำให้สกุลเฉินเมืองหลงเหว่ยตกอยู่ในสภาวะยากลำบากคนนั้นก็คงถูกลูกหลานสกุลเฉินเมืองหลงเหว่ยแอบหาข้ออ้างมาจัดการ หรือไม่ก็ให้คนในตระกูลที่พึ่งพาพวกเจ้ามาสังหารเขาเพื่อเอาคุณความชอบนานแล้ว”

สีหน้าของเฉินซงเฟิงแดงก่ำ รู้สึกอับอายแล้วพานเป็นความโกรธอยู่หลายส่วน

หลิวป้าเฉียวกุมท้ายทอย เงยหน้ามองท้องฟ้า สีหน้ายังคงเกียจคร้านสบายใจเช่นเดิม “ข้ารู้ว่าเจ้าเฉินซงเฟิงไม่ใช่คนแบบนี้ น่าเสียดายที่คนอย่างเจ้ามีน้อย คนที่ไม่เหมือนเจ้ากลับมีมาก”

“อย่างวานรย้ายภูเขาของเขาตะวันเที่ยงตัวนั้น ตัวเองไม่อาจเอาคัมภีร์กระบี่ไปได้ กลัวว่าสวนลมฟ้าของข้าจะได้ไปก็เลยจะต่อยให้เด็กหนุ่มหลิวเสี้ยนหยางตายในหมัดเดียว เจ้าคิดว่าทำแบบนี้มีเหตุผลไหม? ข้ารู้สึกว่าทำแบบนี้ไม่มีเหตุผลเอามากๆ แต่จะมีประโยชน์อะไร? ไม่มีประโยชน์เลย เพราะแม้แต่จะไปท้าทายวานรย้ายภูเขาซึ่งๆ หน้า ข้าก็ยังไม่กล้า”

หลิวป้าเฉียวถอนหายใจ ปล่อยมือข้างหนึ่งแล้วเอามาตบหน้าท้องตัวเอง เอ่ยเย้ยตัวเองว่า “ข้าน่ะก็แค่ปากเก่งไปอย่างนั้น หมัดไม่แข็งมากพอ กระบี่ก็ยังไม่เร็วพอ หาไม่แล้วข้าที่ในหัวสะสมหลักการไว้จนเต็มแน่นก็อยากเอามาพูดอธิบายให้คนบนโลกฟังอยู่เหมือนกัน”

เฉินซงเฟิงพ่นลมหายใจหนึ่งที “ดังนั้นเจ้าเลยรู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนั้นไม่เลว?”

หลิวป้าเฉียวหันไปมองภูเขาสูงทางทิศตะวันตกที่ดวงอาทิตย์ลาลับไป “รู้สึกว่าไม่เลว? จะเป็นไปได้อย่างไร”

เฉินซงเฟิงแปลกใจเล็กน้อย

หลิวป้าเฉียวจึงยกยิ้ม “แค่เห็นเด็กหนุ่มคนนั้น ข้าก็รู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้แล้ว”

เฉินซงเฟิงเหลือเชื่อ ส่ายหน้ายิ้ม “ถึงขนาดนี้เชียว?”

หลิวป้าเฉียวกลืนคำพูดบางอย่างที่มารออยู่ตรงปากลงไปเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ทำร้ายจิตใจกัน แม้ว่านิสัยใจคอของเฉินซงเฟิงผู้นี้จะไม่ถูกใจเขานัก แต่เมื่อเทียบกับบัณฑิตทั่วไปแล้วก็ถือว่าดีกว่ามาก ตนควรจะรู้จักพอใจในสิ่งที่มี

หลิวป้าเฉียวที่ช่างจ้อจึงเงียบไปตลอดทางเพราะเหตุนี้

ม่านราตรีดำมืด เฉินผิงอันทำคบเพลิงขึ้นเองสามชิ้น คนทั้งสามเดินชูคบเพลิงเดินไปข้างหน้า

สุดท้ายมาถึงตีนภูเขาสูงลูกหนึ่ง เฉินผิงอันปาดเหงื่อที่หน้าผาก พูดกับหนิงเหยาว่า “แม่นางหนิง บอกกับนางหน่อยว่า ที่นี่คือภูเขาที่ทางการสั่งปิด นางมีข้อห้ามอะไรหรือไม่?”

หลังจากหนิงเหยาหันไปบอกเฉินตุ้ยแล้ว ฝ่ายหลังจึงส่ายหน้า

เฉินตุ้ยทอดสายตามองไป นางมั่นใจอย่างถึงที่สุดว่าหลุมศพของสกุลเฉินแห่งอิ่งอินต้องอยู่ที่นี่แน่นอน

คนที่รอนแรมไปไกลหวนคืนสู่บ้านเกิด ใจจึงเกิดการขานรับ

เฉินตุ้ยหลับตาลงช้าๆ ครู่หนึ่งต่อมานางก็นั่งยอง ใช้นิ้วมือเขียนอักษรยาวแถวหนึ่งลงไปบนพื้นดิน พอเขียนจบ ริมฝีปากนางขยับขมุบขมิบ สุดท้ายถึงใช้ฝ่ามือลบร่องรอยทั้งหมดทิ้งไปช้าๆ พอลุกขึ้นยืน นางเดินอ้อมผ่านจุดที่ตัวอักษรถูกทำลายลง เดินนำขึ้นไปบนยอดเขาก่อน ถึงขั้นไม่ต้องให้เฉินผิงอันบอกทาง

คนทั้งสามมาถึงตำแหน่งหนึ่งของครึ่งภูเขา เฉินผิงอันชี้ไปยังจุดที่ห่างไม่ไกล บนเนินดินเล็กๆ มีต้นไม้ต้นหนึ่งงอกขึ้นมา ลำต้นของมันแปลกประหลาด เพราะมันตั้งตรงแน่วอยางถึงที่สุด เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก พยักหน้ากล่าว “ที่นี่แหละ”

เฉินตุ้ยกล่าวเสียงหนัก “พวกเจ้าลงไปรอข้าข้างล่าง”

หนิงเหยากระตุกชายแขนเสื้อของเฉินผิงอัน บอกเป็นนัยให้เขาลงไปจากภูเขา

เฉินตุ้ยวางหีบหนังสือลง ก่อนจะหยิบของเซ่นไหว้แต่ละชิ้นที่ตั้งใจจัดเตรียมไว้ออกมาอย่างระมัดระวัง เพื่อใช้บูชาเทพเจ้าเซ่นไหว้บรรพบุรุษ

ระหว่างนี้มีอยู่ชั่วขณะที่สีหน้าของเฉินตุ้ยเหม่อลอย นางมองต้นไม้เล็กนั่นด้วยสายตาหลงใหล น้ำตาคลออยู่เต็มกรอบดวงตา ดีใจจนน้ำตาไหล พึมพำกับตัวเองว่า “เป็นอย่างนี้จริงๆ เป็นอย่างนี้จริงๆ ด้วย!”

สุดท้ายหญิงสาวก้มตัวลงทำพิธีสามคำนับเก้ากราบต่อเนินดินเล็กๆ อย่างเคร่งครัดศรัทธาถึงขีดสุด

หลังจากนั้นเฉินตุ้ยก็ยังก้มกราบค้างไว้ไม่เงยหน้าขึ้นมา พูดเสียงสั่นว่า “ข้าสกุลเฉินแห่งอิ่งอินขอกราบขอบพระคุณท่านบรรพบุรุษที่ช่วยปกป้อง!”

ตีนเขา เฉินผิงอันและหนิงเหยานั่งอยู่บนขอบตะกร้าคนละฝั่ง หันหลังให้กัน หนิงเหยาเอ่ยถาม “ก่อนหน้านี้มีระยะทางช่วงหนึ่ง ทำไมเจ้าต้องจงใจเดินอ้อมทางที่ไกลกว่าด้วย?”

เฉินผิงอันตะลึง กล่าวอย่างตกใจ “แม่นางหนิง ขนาดเจ้าก็ดูออกหรือ?”

หนิงเหยาจับด้ามฝักกระบี่ดันไปด้านหลัง ปลายของฝักกระบี่จึงชนเข้าที่เอวด้านหลังของเด็กหนุ่ม “ตัดคำว่า ‘ขนาด’ ทิ้งไป!”

เด็กหนุ่มรองเท้าแตะแยกเขี้ยว คลึงบั้นเอวตัวเองเบาๆ พูดเสียงแผ่วต่ำ “ข้าเคยบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่ามีหน้าผาใหญ่แห่งหนึ่งที่มีแต่หินสีดำซึ่งพวกเจ้าเรียกว่าแท่นสังหารมังกร ข้ากลัวว่าหากให้นางเห็นเข้า แล้วนางเองก็มองออก ถึงเวลานั้นหากนางมีใจคิดไม่ซื่อจะทำอย่างไร? ใจคิดร้ายต่อคนอื่นไม่ควรมี แต่ใจป้องกันคนอื่นกลับไม่ควรขาด หลักการข้อนี้ข้ายังพอจะเข้าใจกับเขาอยู่เหมือนกัน”

หนิงเหยายิ้ม “เจ้าคนหน้าเงิน ไม่ใช่เจ้ากลัวว่านางคิดจะขนพวกมันไป จนกลายเป็นว่าเจ้าเหลือแต่สองมือว่างเปล่าหรอกหรือ”

เฉินผิงอันหัวเราะเฮอๆ อย่างโง่งม “แม่นางหนิง เจ้าโผงผางขนาดนี้ คงมีเพื่อนไม่มากกระมัง?”

โอ้ย

เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของเฉินผิงอันดังขึ้นอีกครั้ง รีบยื่นมือไปนวดคลึงเอวอีกข้างทันที

เฉินผิงอันพลันใช้ข้อศอกชนแผ่นหลังหนิงเหยาเบาๆ ถามว่า “อยากกินผลไม้ป่าไหม? ตอนที่เดินมาข้าเก็บมาได้สามลูกแล้วซ่อนไว้ในกระเป๋า นางน่าจะไม่เห็น”

หนิงเหยาพูดเสียงสะบัด “ผลไม้บนภูเขาหน้านี้จะอร่อยได้ยังไง?”

เฉินผิงอันหันตัวยื่นผลไม้ป่าสีแดงฉ่ำขนาดเท่าลูกท้อมาให้นางสองลูกพลางพูดยิ้มๆ “แม่นางหนิง เจ้าไม่รู้ซะแล้วว่าผลไม้ชนิดนี้มีเพียงฤดูใบไม้ผลิเท่านั้นถึงจะกินอร่อย ปลายฤดูหนาวมันยังไม่ออกผล ต้นฤดูใบไม้ผลิถึงจะสุกงอม ตอนนี้สุกเต็มทีแล้ว กินเข้าไป จุ๊ๆๆ รสชาตินั้น หากไม่ทันระวังก็อาจกินเพลินจนกัดลิ้นตัวเองเข้าไปด้วย ที่น่าแปลกยิ่งกว่านั้นก็คือ ที่นี่มีภูเขาอยู่หลายลูก แต่ผลไม้ชนิดนี้มีอยู่แค่ในบริเวณใกล้เคียงนี้เท่านั้น ข้ารู้ได้ก็เพราะปีนั้นตอนที่มาหาดินชนิดหนึ่งกับผู้เฒ่าเหยา เขาเป็นคนบอกข้า สถานที่อื่นๆ ก็มีผลไม้ป่าบางอย่างที่รสชาติไม่เลวอยู่เหมือนกัน แต่ข้ากินไปกินมา กินนู่นกินนี่ก็ยังรู้สึกว่าสู้ผลไม้ชนิดนี้ไม่ได้”

หนิงเหยารับผลไม้สองลูกนั่นมา ตัดสินใจไว้แล้วว่าถ้าไม่อร่อยจะต้องเอาลูกที่เหลือคืนกลับไป “ทำเป็นพูดว่ากินไปกินมา กินนู่นกินนี่ เจ้าเป็นหมูป่าในภูเขาหรือไง?”

เฉินผิงอันกัดผลไม้ป่า กล่าวยิ้มๆ “ตอนเด็กที่บ้านยากจน เจออะไรก็ต้องกินอันนั้น เจ้าอย่าได้พูดไป มีอยู่ครั้งหนึ่งเป็นเพราะกินของผิดสำแดงเข้าไปจริงๆ เจ็บปวดทรมานจนข้าต้องนอนกลิ้งไปมาอยู่ในตรอก นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินว่าเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังเหมือนเสียงฟ้าผ่า”

น่าเสียดายก็แต่หนิงเหยาเอาแต่ง่วนอยู่กับการกินผลไม้ ไม่ทันได้ฟังว่าสุดท้ายเด็กหนุ่มพูดอะไร คำแรกที่กัดลงไปก็รู้สึกได้ว่าผลไม้ชนิดนี้หวานฉ่ำผิดปกติ พอกลืนเนื้อผลไม้ลงท้อง ร่างทั้งร่างก็พลันอบอุ่น ร่างกายเหมือนอยู่ในห้องที่ฝังเตาใต้ดิน ส่วนผลไม้ป่าลูกนี้ก็คือฟืนหลายถุง หนิงเหยาหลับตาลง รับสัมผัสกับอวัยวะภายในทั้งห้า แม้จะรู้สึกโปร่งสบายไปทั้งกาย แต่นอกจากนี้กลับไม่มีความรู้สึกที่ผิดปกติ นี่หมายความว่าผลไม้ป่าชนิดนี้พอจะติดอยู่ในอันดับวัตถุดิบบนเขาที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเทพเซียน แต่ก็ถูกกำจัดอยู่เฉพาะที่นี่ หากนำไปขายในราชสำนักของโลกมนุษย์ต้องได้ราคาสูงแน่นอน แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่ทำให้นักพรตตาแดงก่ำด้วยความอยากได้

สำหรับมนุษย์ธรรมดาที่อยู่ล่างภูเขาแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นวัตถุล้ำค่ามิอาจหาสิ่งใดเปรียบที่สามารถต่ออายุขัยให้ยืนยาวได้

หากรู้ว่าเป็นอย่างนี้แต่แรก หนิงเหยาคงไม่รับเอาผลไม้นี้มาแล้ว

หนิงเหยารู้สึกเสียดายเล็กน้อย นางเช็ดปาก หันตัวยื่นผลไม้ที่เหลือส่งไปให้เฉินผิงอัน “ไม่อร่อย คืนให้เจ้า”

เฉินผิงอันรับคืนกลับมาอย่างไม่ชอบใจนัก รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เขายังนึกว่าแม่นางหนิงจะรู้สึกว่ามันไม่เลวเสียอีก

หนิงเหยาใช้เท้าเตะไปที่ตะกร้าด้านหลังเบาๆ หลุดปากถามไปว่า “เก็บไว้ให้ผู้หญิงที่ชื่อเฉินตุ้ยนั่นหรือไง?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “จะให้นางทำไม ไม่ใช่ญาติไม่ใช่เพื่อนสักหน่อย แน่นอนว่าต้องเก็บไว้ให้หลิวเสี้ยนหยาง”

หนิงเหยาพลันกล่าวอย่างแปลกใจ “หากหร่วนซิ่วอยู่ที่นี่ เจ้าจะไม่ให้เฉินตุ้ย แต่ให้หร่วนซิ่วใช่หรือไม่?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “แน่นอนสิ”

หนิงเหยาถามอีก “แล้วถ้าในมือเจ้ามีผลไม้ป่าแค่สองผล เจ้าจะให้ข้า หรือให้หร่วนซิ่ว?”

เฉินผิงอันตอบอย่างไม่ลังเล “ลูกหนึ่งให้เจ้า อีกลูกหนึ่งให้หร่วนซิ่วไง ข้ามองพวกเจ้ากินก็พอ”

เฉินผิงอันถูกโจมตีอีกครั้ง เขาลูบสะบักตัวเอง พูดด้วยน้ำเสียงของคนได้รับความไม่เป็นธรรม “แม่นางหนิง ทำอะไรของเจ้าน่ะ?”

หนิงเหยาถามอีก “ถ้ามีแค่ผลเดียวล่ะ?”

เฉินผิงอันหัวเราะร่า “ให้เจ้า”

หนิงเหยา “ทำไมล่ะ?”

เฉินผิงอันตอบอย่างทั้งเจ้าเล่ห์และทั้งจริงจัง “แม่นางหร่วนไม่ได้อยู่ที่นี่สักหน่อย แต่เจ้าแม่นางหนิงอยู่ที่นี่นี่นา”

สะบักเด็กหนุ่มถูกกระแทกหนักๆ ติดต่อกันในทันที เจ็บจนเฉินผิงอันรีบลุกขึ้นยืนกระโดดเหยง พอเขาทำอย่างนี้ หนิงเหยาเลยหงายเงิบเข้าไปนั่งแปะอยู่ในตะกร้าใบใหญ่

เฉินผิงอันรีบดึงนางออกมาจากในตะกร้า

หนิงเหยากลับไม่โกรธ แค่ถลึงตาใส่เฉินผิงอันอย่างดุดันหนึ่งครั้ง

เฉินผิงอันเก็บตะกร้าขึ้นมาตั้งดังเดิม คนทั้งสองนั่งหันหลังชนกันอีกครั้ง

หนิงเหยาถาม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าต้นไม้นั่นคือต้นอะไร?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่รู้หรอก ข้าแค่เคยเห็นที่นี่ บนภูเขาลูกอื่นเหมือนว่าจะไม่มี”

หนิงเหยาถามเน้นเสียง “เล่าลือกันว่าหากต้นเจีย (อบเชยจีน) งอกขึ้นบนหลุมศพของตระกูล คือลางมงคลบอกว่าอริยะของสำนักขงจื๊อจะเผยกาย อีกทั้งอริยะท่านนี้ยังจะแข็งแกร่งและซื่อตรงอย่างถึงที่สุด มีจิตวิญญาณอันเที่ยงธรรมยิ่งใหญ่ ดังนั้นใต้หล้าแห่งนี้ของพวกเจ้าจะต้องได้รับความโปรดปรานมากเป็นพิเศษ”

เฉินผิงอันร้องอ้อรับหนึ่งที

อริยะสำนักขงจื๊ออะไร ลางมงคล ความเที่ยงธรรมซื่อตรงอะไรทั้งหลาย เด็กหนุ่มรองเท้าแตะคนนี้ล้วนฟังไม่เข้าใจ

หนิงเหยาเอ่ยถาม “เจ้าไม่อิจฉาผู้หญิงที่อยู่บนเขาคนนั้นบ้างหรือ? แล้วไม่เคยคิดบ้างหรือว่าทำไมต้นเจียต้นนี้ถึงไม่ไปงอกอยู่บนหลุมศพของบรรพบุรุษตัวเองบ้าง?”

เฉินผิงอันตอบไม่ตรงคำถามด้วยน้ำเสียงเบิกบาน “เชงเม้งปีนี้ ข้ายังสามารถปัดกวาดหลุมศพให้ท่านพ่อท่านแม่ได้ ดีจริงๆ”

หนิงเหยาพลันลุกขึ้นยืน คราวนี้เป็นเฉินผิงอันบ้างที่ต้องร่วงเข้าไปในตะกร้า

หนิงเหยาที่ยืนอยู่ข้างๆ กุมท้องหัวเราะเสียงดัง

……

เด็กนักเรียนเพียงห้าคนที่เหลืออยู่ในโรงเรียนมีฐานะสูงต่ำไม่เท่ากัน อายุก็แตกต่างกันออกไป คนหนึ่งในนั้นคือเด็กหญิงสวมชุดผ้าฝ้ายสีแดงสด แม้จะมาจากถนนฝูลวี่ แต่นางที่อยู่ในโรงเรียนไม่เคยรังแกใคร ทว่าก็ไม่ชอบเข้าร่วมเรื่องสนุกสนาน แต่ไหนแต่ไรมานางจะเอาแต่เที่ยวเล่นอยู่เพียงลำพัง ครอบครัวทางฝั่งตะวันตกสุดของเมือง หลี่ไหวบุตรชายหลี่เอ้อก็มาขอเรียนอยู่ที่โรงเรียนแห่งนี้ พ่อแม่พาพี่สาวของเขาออกไปจากเมือง ทิ้งเขาไว้ที่นี่คนเดียว หลี่ไหวไม่เพียงแต่ไม่ร้องไห้โยเย กลับยังดีใจแทบตาย เพราะในที่สุดก็ไม่ต้องถูกใครบังคับ เพียงแต่ว่าเมื่อยามค่ำคืนมาถึง พอเด็กชายที่ถูกฝากฝังให้อยู่บ้านของท่านลุงสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายกลับแผดเสียงร้องไห้โหยหวนปานจะขาดใจ ผลกลับกลายเป็นว่าปลุกให้ท่านลุงและท่านป้าตื่นขึ้นมาร่วมมือกันกำราบ คนหนึ่งใช้ไม้ขนไก่ อีกคนหนึ่งใช้ไม้กวาด

อีกสามคนที่เหลือมีมาจากตรอกเถาเย่ ตรอกฉีหลงและตรอกซิ่งฮวา ชายสองหญิงหนึ่ง

หลังจากเลิกเรียน ท่านฉีมอบภาพอักษรให้พวกเขาคนละหนึ่งตัว บอกให้พวกเขาเก็บรักษาไว้ให้ดี คัดลอกตามอย่างละเอียด บอกว่าอีกสามวันเขาจะมาตรวจการบ้าน

นั่นคือตัวอักษรคำว่าฉี

หลังจากเด็กนักเรียนแยกย้ายกันไป ผู้เฒ่าที่เริ่มแก่ชราทำหน้าที่กวาดพื้น พออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยก็มานั่งรออยู่บนพื้นนอกห้องหนังสือของท่านฉี

ผู้เฒ่าเอ่ยปากถามเกี่ยวกับคัมภีร์สำนักขงจื๊อที่ชื่อว่า “ชุนหวังเจิ้งเยว่[3]”

ฉีจิ้งชุนยิ้มอย่างเข้าใจ ก่อนจะช่วยไขข้อข้องใจ อธิบายให้เขารู้ว่าอะไรคือชุน อะไรคือหวัง อะไรคือเจิ้ง และอะไรคือเยว่

นี่ก็คือการ “ถือคัมภีร์ซักถามปัญหา” ที่มีเฉพาะในสำนักศึกษาใหญ่ๆ แต่ละแห่งของลัทธิขงจื๊อ ในห้องเรียนจะจัดให้มี “ผู้ซักถาม” คอยป้อนคำถามให้กับผู้สอน สามารถถามได้หนึ่งคำถาม หลายคำถาม สิบคำถามหรืออาจถึงร้อยคำถาม

การถามตอบนี้เกิดขึ้นเมื่อตอนที่ท่านฉีกับผู้เฒ่าพบกันครั้งแรก

นั่นเป็นเรื่องเก่าแก่ตั้งแต่เมื่อแปดสิบปีก่อนแล้ว

แต่ว่าตอนนั้นฉีจิ้งชุนเป็นคนถาม ส่วนผู้ที่ตอบคืออาจารย์ที่คนทั้งสองมีร่วมกัน

หลังจากที่ผู้เฒ่าถามคำถามทั้งหมดจบก็หันมามองฉีจิ้งชุน “ยังจำคำพูดก่อนจากที่ท่านอาจารย์ทิ้งไว้ให้พวกเราก่อนที่พวกเราจะไปสำนักศึกษาซานหยาได้หรือไม่?”

ฉีจิ้งชุนยิ้มแต่ไม่ตอบ

ผู้เฒ่าถามเองตอบเอง “คำพูดประโยคนั้นที่มอบให้ข้าคือ ‘ฟ้าดินสร้างวิญญูชน วิญญูชนจัดระเบียบฟ้าดิน’ ส่วนประโยคที่มอบให้เจ้าคือ ‘การเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด น้ำเงินกำเนิดจากต้นคราม แต่สีเข้มกว่าคราม’ (อุปมาว่าลูกเก่งกว่าพ่อแม่หรือศิษย์เก่งกว่าครู)”

จู่ๆ ผู้เฒ่าก็ฮึกเหิมขึ้นมา “ท่านอาจารย์ช่างให้ความสำคัญกับเจ้ายิ่งนัก เขาหวังให้เจ้าเป็นน้ำเงินที่เข้มกว่าคราม! เหตุใดเจ้าต้องดึงดันจะอยู่ที่นี่ ไม่ชนกำแพงทิศใต้ก็ไม่หวนกลับ? เหตุใดเพื่อคนห้าหกพันคนในเมืองเล็กๆ แห่งเดียวถึงยอมสละตบะหนึ่งร้อยปี แม้แต่มหามรรคาพันปีก็ไม่ต้องการ?! หากเป็นบัณฑิตทั่วไปก็ยังพอทำเนา แต่เจ้าคือฉีจิ้งชุน คือลูกศิษย์ที่อาจารย์ของพวกเราภาคภูมิใจและให้ความสำคัญมากที่สุด! คือบัณฑิตที่มีหวังว่าจะบุกเบิกโฉมหน้าใหม่ หรืออาจถึงขั้นที่จะสร้างสำนักให้คนเรียกขานว่าบุรพาจารย์ได้!”

ผู้เฒ่าสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง “ข้ารู้แล้ว เป็นเพราะสำนักพุทธที่ทำให้เจ้าเข้าใจผิด! สรรพสิ่งเท่าเทียมกันอะไร! หรือเจ้าลืมไปแล้วว่าท่านอาจารย์เคยบอกว่า เข้าใจความสูงศักดิ์ต่ำศักดิ์…”

ฉีจิ้งชุนส่ายหน้ายิ้ม “แม้ว่าท่านอาจารย์จะเป็นอาจารย์ มีความรู้กว้างขวางลึกล้ำ แต่ใช่ว่าเหตุผลของเขาจะถูกต้องไปเสียทั้งหมด”

ผู้เฒ่าตกตะลึงจนไม่อาจตะลึงไปมากกว่านี้ได้อีก สีหน้าของเขาอึ้งค้างไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตวาดอย่างเดือดดาล “มารยาท คือสิ่งที่ผู้คนควรปฏิบัติ!”

ฉีจิ้งชุนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “วิญญูชนคล้อยตามกาลเทศะ ควรยืดก็ยืด ควรงอก็งอ”

มองดูเหมือนไม่มีต้นสายปลายเหตุ อยู่ห่างกันหนึ่งแสนแปดพันลี้ แต่พอผู้เฒ่าได้ยินกลับหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง สีหน้าเต็มไปด้วยความตะลึงระคนสงสัย

ฉีจิ้งชุนถอนหายใจ มองไปยังศิษย์น้องร่วมสำนักที่ติดตามตัวเองมาอยู่ที่นี่หกสิบปีคนนี้ ก่อนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องมาถึงตอนนี้ เด็กพวกนั้นที่เหลืออยู่คงต้องไหว้วานให้เจ้านำไปส่งที่สำนักศึกษาซานหยาด้วย”

ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากไปด้วยสีหน้าซับซ้อน

ฉีจิ้งชุนพึมพำกับตัวเอง “ท่านอาจารย์ บนโลกใบนี้มีหลักการฟ้าดินที่ถูกต้องอย่างไม่ต้องสงสัยอยู่จริงๆ น่ะหรือ?”

……

ในขณะที่ฟ้ายังไม่ทันจะสาง รถม้าสองคันก็ขับออกจากถนนฝูลวี่ ไปจากเมืองเล็กแต่เช้าตรู่

ช่วงเช้ามืด เด็กหนุ่มรองเท้าแตะคนหนึ่งที่พกถุงผ้าขนาดใหญ่สองใบมุ่งหน้าไปที่จวนผู้ตรวจการงานเตาเผาเพื่อรอคน

ถุงใบหนึ่งบรรจุเหรียญทองแดงแก่นทองไว้หลายถุง ส่วนอีกใบหนึ่งใส่หินดีงูที่เขารู้สึกว่ามีค่ามากที่สุด

แต่พอรอจนฟ้าสว่างโร่ ถึงขนาดที่คนเฝ้าประตูเดินถือไม้กวาดออกมาปัดกวาดถนนแล้ว เด็กหนุ่มก็ยังไม่เห็นรถม้าที่จะออกเดินทาง

เขาจึงได้แต่แบกหน้าเข้าไปถามว่าแขกกลุ่มที่ชื่อเฉินตุ้ยจะออกเดินทางจากถนนฝูลวี่เมื่อไหร่

คนเฝ้าประตูตอบกลับยิ้มๆ ว่า พวกเขาน่ะเหรอ ไปจากเมืองเล็กตั้งนานแล้ว

นาทีนั้นสายตาของเด็กหนุ่มพลันพร่ามัวเล็กน้อย

หลังกล่าวขอบคุณคนเฝ้าประตู เด็กหนุ่มก็เริ่มหมุนกายวิ่งตะบึงจากไป

วิ่งออกไปจากเมืองเล็ก เด็กหนุ่มวิ่งรวดเดียวไม่หยุดพักเป็นระยะทางเกือบหกสิบลี้ สุดท้ายมุ่งหน้าไปยังเนินลาดเอียงแห่งหนึ่ง เด็กหนุ่มที่เหนื่อยล้าหมดแรงเดินไปถึงยอดเนิน มองถนนคดเคี้ยวที่ทอดยาวตรงไปด้านหน้า

เด็กหนุ่มนั่งยองอยู่บนยอดเขา วางเงินเหรียญทองแดงและก้อนหินที่ไม่ได้ส่งมอบไว้ข้างเท้า

เด็กสาวพกกระบี่ห้อยดาบคนหนึ่งเดินมานั่งอยู่ข้างกายเขาอย่างเงียบเชียบ ลมหายใจของนางหอบหนัก กล่าวอย่างโกรธเคือง “เจ้าไม่ใช่คนโลภที่ในสายตามีแต่เงินหรอกหรือ ทำไมถึงได้ใจกว้างขนาดนี้? จะยกทรัพย์สินให้คนอื่นหมดเลยหรือไง? ต่อให้หลิวเสี้ยนหยางเป็นเพื่อนเจ้า ก็ไม่มีใครเขาใจใหญ่มือเติบแบบเจ้าหรอกนะ”

เด็กหนุ่มทำเพียงแค่กุมศีรษะ มองไปยังทิศไกล

—-

[1] คอขวด คือ ช่วงที่แคบลงของขวดจึงเปรียบเปรยถึงจุดที่เป็นอุปสรรค ฝ่าออกไปได้อย่างยากลำบาก

[2] เจ๋อเซียน ในอดีตหมายถึงเซียนที่ถูกลดขั้นให้กลายเป็นคนธรรมดา ภายหลังขยายความไปถึงคนของลัทธิเต๋าที่มีความรู้ความสามารถโดดเด่น

[3] ชุนหวังเจิ้งเยว่ คือ บทความหนึ่งในยุคจั้นกั๋วซึ่งวิเคราะห์ความหมายของศักราชแรกในการครองราชย์ของจักรพรรดิ ฤดูใบไม้ผลิและเดือนที่หนึ่งของปีที่จักรพรรดิเปลี่ยนแปลงปฏิทินหลังขึ้นครองราชย์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!