Skip to content

Sword of Coming 71

บทที่ 71 ชอบเล็กน้อย

เฉินผิงอันเดินออกไปนอกห้องด้วยสีหน้าเลื่อนลอย มาหยุดอยู่ในลานเล็ก เงยหน้ามองไป ดวงอาทิตย์ร้อนแรงลอยอยู่บนนภา สายตาจึงมองเห็นได้ชัดเจนเป็นพิเศษ ท้องฟ้าเหมือนเครื่องปั้นที่สีเคลือบชั้นนอกหลุดลอก แวววาวเกลี้ยงเกลาน่ามอง

เฉินผิงอันสัมผัสได้โดยบังเอิญว่าลมหายใจของตัวเองติดขัดเล็กน้อยจึงนั่งลงบนธรณีประตู กลั้นลมหายใจ ยกนิ้วทั้งสิบประกบกันเป็นท่าหมัดเจี้ยนหลู

หนึ่งก้านธูปผ่านไป เฉินผิงอันถึงรู้สึกได้ว่าลมหายใจของตัวเองลื่นไหลมั่นคงขึ้น เพิ่งจะคิดลุกขึ้นยืน หางตาเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างจึงนั่งกลับลงไปบนธรณีประตูอีกครั้ง คราวนี้เขาหันมาเบิกตากว้างมอง ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่มุมหนึ่งในลานกว้างมีหินสีดำก้อนหนึ่งวางนอนนิ่งอยู่ นั่นคือหินลับกระบี่ที่ดีที่สุดในโลก แท่นสังหารมังกร!

เฉินผิงอันรีบลุกขึ้นยืนแล้วเดินเร็วๆ ไปหามัน ก่อนจะนั่งยองพิจารณาอย่างละเอียด เมื่อเทียบกับแท่นตั้งเทวรูปหลิงกวานที่พังถล่มลงมาก่อนหน้านี้ มันกลับเหมือนก้อนเต้าหู้ที่คนใช้มีดหั่นลงไปตรงๆ มีดเดียว จึงแบ่งมันออกเป็นสองท่อนได้อย่างง่ายดาย เฉินผิงอันลูบคลำปลายคาง ค่อยๆ ขยับตัวย้ายตำแหน่งไปทีละนิด จากออกไปตกจากเหนือไปใต้จนครบหนึ่งรอบ พอย้ายกลับมานั่งตำแหน่งเดิมก็ยิ่งแน่ใจว่านี่คือแท่นหินใต้ฝ่าเท้าของเทวรูปที่ “พระโพธิสัตว์ตอบรับ” ก้อนนั้นจริงๆ

นี่ทำให้เฉินผิงอันหวาดหวั่นพรั่นพรึง แม้ว่าแม่นางหนิงจะชอบพูดประโยคที่ฟังดูใหญ่โต แต่คำพูดที่นางไม่เอ่ยมากความย่อมไม่มีทางเป็นเท็จแน่นอน นางบอกว่าแท่นสังหารมังกรแน่นหนาทนทานมากเป็นพิเศษ มีเพียงมหาเซียนกระบี่ยอมจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลเท่านั้นถึงจะฟันออกได้ ข้อนี้เฉินผิงอันเชื่ออย่างหมดใจ ถ้าอย่างนั้นแท่นสังหารมังกรนี้มีขาเป็นของตัวเองแล้ววิ่งมาอยู่ที่บ้านของเขาเฉินผิงอันหรือไร?

ตอนนี้เฉินผิงอันรู้แล้วว่าบนโลกมีเทพเซียนมีภูตผีปีศาจอยู่อย่างแท้จริง แล้วก็ยังมีตัวประหลาดอีกนับไม่ถ้วน ทว่าการที่ก้อนหินกลายเป็นภูติคงมีความเป็นไปได้ไม่มากกระมัง? อีกอย่างไม่ว่ามันจะวิ่งไปอยู่บ้านใครก็ล้วนเสวยสุขได้ แต่วิ่งมาบ้านตนนอกจากจะพบเจอความยากลำบากแล้วจะยังทำอะไรได้อีก มีภูติก้อนหินที่โง่ขนาดนี้เชียวหรือ?

เฉินผิงอันลองถามหยั่งเชิง “นี่ เจ้าพูดได้ไหม? หรือว่าเข้าใจที่ข้าพูดหรือเปล่า?”

แน่นอนว่าย่อมไม่ได้

เด็กหนุ่มที่สงสัยเทพสงสัยผีส่ายหน้าให้กับตัวเอง จ้องมองก้อนหินไม่ละสายตา

อาจเป็นเพราะความฝันก่อนหน้านี้เหมือนจริงเกินไป อันที่จริงแล้วจนถึงตอนนี้เด็กหนุ่มก็ยังไม่ค่อยจะคืนสติเท่าใดนัก เป็นเหตุให้ไม่ว่าตอนนี้มองเห็นอะไรก็รู้สึกประหลาดไปหมด

เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในอดีตที่ไม่เคยครุ่นคิดจริงจัง ตอนนี้กลับปะติดปะต่อเข้าด้วยกันจึงคล้ายว่าจะกระจ่างแจ้งในทันที

ท่านฉีบอกว่าบนโลกนี้มีความเป็นไปได้อยู่มากมาย หนิงเหยาก็ยิ่งเคยพูดถึงเรื่องประหลาดในฟ้าดินด้านนอก

ต่อให้เป็นผู้เฒ่าเหยาเองก็ยังเคยพูดถึงเรื่องหยุมหยิมมากมาย แค่การขึ้นเขาง่ายๆ ก็มีจุดที่ต้องพิถีพิถันหลายอย่าง ซึ่งผู้เฒ่าเหยาเคยพูดถึงอยู่หลายเรื่อง ยกตัวอย่างเช่นตอไม้เก่าแก่ที่ไม่สะดุดตาอาจจะมีเทพภูเขาเฝ้าพิทักษ์ ห้ามไปนั่งเด็ดขาด แล้วยังบอกว่าภูเขาใต้หล้า ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ อันที่จริงแล้วล้วนสืบทอดมาจากสายเดียวกัน เพียงแต่ว่ามีการแบ่งแยกเป็นบรรพบุรุษและลูกหลาน

นาทีนี้เฉินผิงอันพลันใคร่รู้อย่างมาก อยากรู้ว่าต้องทำอย่างไรกันแน่ถึงจะมองเห็นสภาพถ้ำสวรรค์หลีจูของเมืองเล็กแห่งนี้ได้ทั้งหมด? หรือว่ามีเพียงต้องปีนขึ้นไปบนยอดเขาที่สูงกว่าเขาพีอวิ๋นเท่านั้นถึงจะมองเห็นได้?

เฉินผิงอันเก็บความคิดทั้งหมดกลับคืน ก้มหน้าลงมองหินสีดำก้อนนั้น คิดอยากจะย้ายมันไปที่ร้านตีเหล็ก แม่นางหนิงต้องได้ใช้หินก้อนนี้แน่ ส่วนข้อที่ว่าเมื่อถึงเวลานั้นแม่นางหนิงจะจัดการกับหินก้อนนี้อย่างไร จะเลือกนำมาทำเป็นหินลับกระบี่ให้กับตัวเอง หรือมอบให้แก่ช่างหร่วน เพื่อใช้เป็นของขวัญขอบคุณที่เขาช่วยหลอมกระบี่ให้ เฉินผิงอันไม่มีความเห็น เขาแค่อยากรู้ว่าหินลับกระบี่ใช้ลับกระบี่อย่างไร จะเหมือนตอนที่ตนลับมีดผ่าฟืนหรือไม่?

เฉินผิงอันไม่เคยทำอะไรล่าช้าอืดอาด พอตัดสินใจได้ก็ลงมือทันที เขายื่นสองมือออกไปยกหินลับกระบี่ขึ้น สามารถยกเหนือพื้นดินมาได้ประมาณหนึ่งชุ่นกว่า น้ำหนักค่อนข้างมาก แต่ก็ไม่ถึงขั้นว่าจะเคลื่อนย้ายไม่ไหว แบบนี้ก็ง่ายเลย เฉินผิงอันจึงไปหาตะกร้าใบหนึ่งมาจากในห้อง

เพียงไม่นานเด็กหนุ่มก็แบกตะกร้าเดินออกจากตรอกหนีผิง ใช้เสื้อตัวหนึ่งปิดทับบนหินลับกระบี่ก้อนนั้น

พอเดินออกมาจากตรอกหนีผิง เฉินผิงอันค้นพบว่าคนที่ออกมาเดินมีมากเป็นพิเศษ คาดว่าความมืดมิดที่มาเยือนอย่างฉับพลันครั้งนั้นทำให้ทุกคนหวาดผวา กว่าจะได้เห็นแสงแดดอีกครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย จึงอยากจะออกมาสูดอากาศกันสักหน่อย ดังนั้นชาวบ้านในเมืองส่วนใหญ่จึงออกจากบ้านมาเดินตามตรอกซอกซอยต่างๆ พวกเขาพากันวิพากษ์วิจารณ์ บางครั้งก็มีคนวิ่งผ่านไปอย่างเร่งร้อน โวยวายว่าบ่อน้ำแห้งขอดจนเห็นก้นบ่อแล้ว ขนาดโซ่เหล็กเส้นนั้นที่ไม่รู้ว่าถูกแขวนไว้มากี่ร้อยกี่พันปีก็ยังถูกเจ้าสารเลวบางคนขโมยกลับไปซ่อนที่บ้าน แล้วก็ยิ่งมีเด็กเล็กบางคนที่กลัวว่าใต้หล้าจะไม่วุ่นวายมากพอจึงจับกลุ่มกันสองคนสามคน กระโดดโลดเต้น สีหน้าลิงโลด พากันพูดเหลวไหลถึงการเปลี่ยนแปลงของต้นไหวโบราณ

ที่แท้ต้นไหวถูกถอนรากถอนโคนล้มเอียงอยู่บนถนนใหญ่ในเวลา “เพียงแค่ข้ามคืน” กิ่งไหวแตกหักและใบไหวเหลืองกรอบกระจายอยู่เต็มพื้น ตอนแรกชาวบ้านหลายคนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงยังรู้สึกว่าสิ้นเปลืองจึงฉวยเก็บกิ่งไหวกลับไปเผาไฟที่บ้าน พวกชายฉกรรจ์ขี้เกียจบางคนที่ไม่อยากฟังเมียตัวเองเร่งรัดจึงถือมีดผ่าฟืนไปฟันกิ่งไหวบางส่วนที่ค่อนข้างหนาใหญ่ ใช่ว่าจะไม่มีคนห้ามปราม พวกผู้เฒ่าที่บรรพบุรุษหลายรุ่นหลายสมัยอาศัยอยู่แถบใกล้เคียงกับต้นไหวต่างก็ร้องคร่ำครวญด้วยความเสียดาย ด่าทอพวกชายฉกรรจ์และหญิงแต่งงานแล้วทั้งหลายที่ขาดศีลธรรมพวกนั้นอย่างใส่อารมณ์ แล้วก็มีผู้เฒ่าบางคนที่พร่ำพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างต้นไหวโบราณกับเมืองเล็กด้วยความหวังดี บอกว่าต้นไหวต้นนี้มีปราณวิญญาณ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ แม้ตอนที่แห้งเหี่ยวหลุดร่วงลงจากขั้วก็ยังเลือกตอนกลางดึกที่ผู้คนพากันหลับสนิท ไม่ยินดีจะร่วงหล่นลงบนศีรษะของคน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าทุกครั้งที่ผลเก็บเกี่ยวไม่ดี ดอกไหวของต้นไหวโบราณเป็นดั่งข้าวสารที่เติมท้องของคนมากมายให้เต็มอิ่ม

แต่ก็ไม่ได้ผล

ชายฉกรรจ์เหล่านั้นหากไม่สนใจใยดี เอาแต่ก้มหน้าก้มตาฟันต้นไม้ บางคนที่อารมณ์ร้ายสักหน่อยก็ถึงกับทะเลาะกับพวกผู้เฒ่า ผลักๆ ดันๆ สรุปคือวุ่นวายอยู่ไม่น้อย

พอได้ยินเรื่องความเคลื่อนไหวของต้นไหวโบราณ เฉินผิงอันที่แบกตะกร้าสานก็ลังเลตัดสินใจไม่ได้ จึงชะลอฝีเท้า เดินสามก้าวหันกลับไปมองยังทิศทางของต้นไหวหนึ่งครั้ง ลางสังหรณ์บอกกับเขาว่าควรจะไปดูต้นไหวโบราณสักหน่อย แต่ลึกๆ ในใจกลับมีเสียงหนึ่งบอกให้เขารีบไปที่ร้านตีเหล็ก

เขาพลันมองเห็นเงาร่างเล็กปราดเปรียวดุจสายลมของคนผู้หนึ่งเดินสวนไหล่ตัวเองไป คือเด็กหญิงสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงสด ที่ทำให้คนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีก็คือบนไหล่ของเด็กหญิงแบกกิ่งไหวขนาดเท่าแขนผู้ใหญ่ ยาวเท่าตัวคนกิ่งหนึ่ง ฝีเท้าของเด็กหญิงซอยถี่ว่องไว เหมือนล้อที่บดอยู่บนถนน มีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง

เพียงมองปราดเดียวเฉินผิงอันก็จำนางได้ นางก็คือเด็กหญิงที่ชอบอยู่เพียงลำพัง ไปมาดุจสายลม ชอบไปเที่ยวเล่นเตร็ดเตร่รอบเมืองเล็ก นางกับกู้ช่านถือว่าไม่ตีกันคงไม่รู้จักกัน ก่อนหน้านี้ไม่นานเขายังเคยเจอกับนางบนหินหลังควาย นางอยู่ข้างกายบุคคลที่เป็นดั่งเทพเซียนเหล่านั้น ดูเหมือนว่าจะมีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับแม่ชีสาว เฉินผิงอันยังยกหินดีงูก้อนเล็กให้นางก้อนหนึ่ง

เฉินผิงอันรีบตะโกนเรียกนาง เด็กหญิงชุดบุนวมสีแดงหันหน้ามา พอเห็นว่าเป็นเฉินผิงอันก็ยิ้มกว้าง ดวงตาประกายน้ำที่พูดได้คู่นั้นเหมือนกำลังบอกว่าเจ้ามีเรื่องอะไรก็รีบพูดมาเถอะ ข้าฟังอยู่ ข้ายังมีธุระให้ต้องไปทำอีกมาก!

เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม กวักมือเรียก “ข้ามีเรื่องจะปรึกษาเจ้าหน่อย เจ้าเสียเวลาแค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้น”

เด็กหญิงชุดผ้าฝ้ายสีแดงสดแบกกิ่งไม้วิ่งปรู๊ดมาหาเขาว่องไวดุจสายฟ้า นางเบี่ยงตัวหันข้างเล็กน้อย เงยหน้ามองเขาด้วยความสงสัย

เฉินผิงอันเอ่ยถาม “กิ่งไหวกิ่งนี้ เจ้าเอามาจากต้นไหวโบราณกระมัง?”

เด็กสาวพยักหน้ารับอย่างแรง กล่าวน้ำเสียงเสียดาย “หากไม่รีบไปคงถูกคนแย่งหมดแน่ ข้าแรงน้อย ได้แต่ขนกิ่งใหญ่เท่านี้ คงต้องวิ่งไปกลับหลายรอบหน่อย”

ความคิดของเฉินผิงอันแล่นว่องไว จึงลองถามหยั่งเชิง “ถ้าบ้านเจ้าอยู่ถนนฝูลวี่ก็ไกลไปหน่อย หากเจ้าเชื่อใจข้า สามารถเอากิ่งไหวไปเก็บไว้ที่บ้านข้าก่อนได้ แบบนี้เจ้าจะได้ไปกลับหลายรอบหน่อย”

เด็กหญิงชั่งผลได้ผลเสียอยู่เงียบๆ นางครุ่นคิดอย่างจริงจัง ขณะเดียวกันก็คอยสังเกตสีหน้าและสายตาของเฉินผิงอันอยู่ตลอดเวลา อาจจะเป็นเพราะรู้สึกว่าเฉินผิงอันไม่มีเจตนาร้าย นางจึงพยักหน้ารับ “เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไร? บอกไว้ก่อนนะว่าข้าแบกกิ่งไม้ที่ใหญ่มากไม่ค่อยไหว มันหนัก ตอนนี้บ่าข้ายังเหมือนมีไฟลุกเลย”

เฉินผิงอันหยิบกุญแจพวงหนึ่งออกมาแล้วปลดดอกหนึ่งในนั้นยื่นส่งให้เด็กหญิง “นี่คือกุญแจประตูหน้าบ้านข้า เจ้ารับไป ข้าไม่ต้องการให้เจ้าทำอะไรมาก แค่ตอนที่เจ้าแย่งกิ่งไหวมาช่วยดูหน่อยว่าบนพื้นมีใบไหวสีเขียวที่เปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือไม่ ถ้ามีก็ช่วยเก็บมาให้ข้าด้วย”

นางไม่ได้รับกุญแจมา เพียงเบิกตากว้าง “แค่นี้น่ะหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้ม “ใช่ แค่นี้แหละ เจ้ารู้ว่าบ้านข้าอยู่ตรงไหนกระมัง?”

นางอืมรับหนึ่งที “บ้านหลังที่สิบสองนับจากฝั่งซ้ายของตรอกหนีผิง”

สุดท้ายนางก็ยังไม่รับกุญแจไป “กำแพงบ้านของเจ้าไม่สูง ข้าสามารถโยนกิ่งไหวเข้าไปข้างในลานโดยไม่ต้องเปิดประตูหน้าบ้านก็ได้”

เฉินผิงอันเลยเก็บกุญแจลงไป เด็กหญิงชุดผ้าฝ้ายสีแดงจึงหมุนกายแล้ววิ่งห้อจากไป

เฉินผิงอันรู้สึกว่านางเหมือนตัวเองเวลาขึ้นเขา นางเดินลอดไปตามถนนและตรอกซอกซอย ส่วนตนเดินขึ้นเขาข้ามแม่น้ำลำธาร

เฉินผิงอันเดินออกจากเมืองเล็ก ตรงดิ่งไปทางทิศใต้ รอจนเขาขยับไปใกล้ “สะพานแบบคาน” กลับค้นพบว่าสะพานแบบคานไม่อยู่แล้ว

กลับคืนมาเป็นสะพานหินโค้งเก่าแก่อย่างที่เคยจำได้ในความทรงจำ

ไม่รู้ว่าทำไม แม้สะพานแบบคานจะกว้างขวางดูทันสมัย ซ้ำยังแขวนกรอบป้ายตัวอักษรสีทองสะดุดตา แต่เฉินผิงอันกลับชื่นชอบสะพานโบราณตรงหน้านี้มากกว่า

เฉินผิงอันยืนอยู่ตรงหัวสะพานหิน จู่ๆ ก็ไพล่นึกไปถึงความฝันที่อธิบายไม่ได้นั้น เขาพลันสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะค่อยๆ เดินขึ้นไปบนเนินลาด

ยิ่งขยับเข้าไปใกล้ใจกลางของสะพาน เฉินผิงอันก็ยิ่งตึงเครียด เดิมทีก็เหงื่อแตกอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ยิ่งเหมือนคนตากฝน เพียงแต่ว่ารอจนเขาข้ามไปถึงหัวสะพานอีกฝั่งกลับไม่มีเรื่องใดๆ เกิดขึ้น เฉินผิงอันหัวเราะตัวเอง ครั้นจึงเพิ่มความเร็วฝีเท้าเดินไปยังร้านตีเหล็ก

……

ตรงหินหลังควาย หยางเหล่าโถวนั่งอยู่ริมขอบของก้อนหินสีเขียวเข้ม สูบยาเฮือกใหญ่คำแล้วคำเล่า

บ่อน้ำใต้ฝ่าเท้าของผู้เฒ่ามีริ้วน้ำกระเพื่อมเป็นระลอก เบื้องใต้ผิวน้ำเหมือนมีหญ้าน้ำกอใหญ่ส่ายไหวไปตามกระแส แม้จะอยู่เบื้องใต้แสงเจิดจ้าของดวงอาทิตย์ แต่ก็ยังแผ่กลิ่นอายอึมครึมน่าขนลุกอย่างที่อธิบายไม่ได้อยู่ดี

หยางเหล่าโถวเอ่ยเสียงเย็นชา “ข้าไม่ได้มาเพื่อซักไซ้เอาความผิด หลังจากนี้เจ้าเองก็จงทำเหมือนกัน ขอแค่ทุ่มเททำในสิ่งที่ตัวเองทำได้อย่างสุดกำลัง ไม่เลอะเลือนก็พอแล้ว แต่ว่าตอนนี้มีโอกาสที่พันปียากจะพานพบวางอยู่ตรงหน้าเจ้า ต้องดูแค่ว่าตัวเจ้าจะกล้าช่วงชิงมันหรือไม่”

ใบหน้าสีเขียวทะมึนของหญิงชราส่ายไหวไปตามน้ำ มองแล้วน่าขนลุกอย่างบอกไม่ถูก พอได้ยินว่าท่านเซียนใหญ่ตั้งใจชี้ทางสว่างให้แก่ตนก็รีบทำท่าเงี่ยหูตั้งใจฟังทันที

ผู้เฒ่าพูดเนิบนาบ “ตอนนี้ถ้ำสวรรค์เล็กกำลังค่อยๆ ร่วงลงคืนสู่โลกมนุษย์ เชื่อมต่อเข้ากับพื้นดิน อยู่ในช่วงเวลาสำคัญที่จะได้ตั้งรกราก อีกไม่นานก็จะต้องผูกมิตรดุจพี่น้องกับราชวงศ์ต้าหลี การที่เจ้าถูกเรียกว่าเป็นแค่แม่ย่าลำธาร แต่ไม่ใช่เทพลำธาร หากเทียบกับราชสำนักของโลกมนุษย์ เจ้าก็ยังเป็นได้แค่เสมียนน้อยที่ยังไม่มีตำแหน่งขั้นใดๆ ยังไม่ได้เป็นขุนนางที่แท้จริง ห่างเพียงก้าวเดียว แต่ต่างราวฟ้ากับเหว”

เขาใช้กระบอกยาสูบเก่าแก่ชี้ไปทางสะพานหินโค้ง “ที่เป็นเช่นนี้ สาเหตุไม่ได้เป็นเพราะเขตควบคุมของเจ้าเล็ก แต่เป็นเพราะถิ่นของเจ้าถูกตัดขาดไปกลางคัน เห็นสะพานนั่นหรือไม่ เป็นมันที่สกัดควันธูปในอนาคตของเจ้าทิ้ง ตอนนี้ขอแค่เจ้าว่ายผ่านใต้สะพานไปได้ก็จะมีอนาคตยาวไกล ธารน้ำสายเล็กที่เจ้าอยู่ในเวลานี้ วันข้างหน้าจะกลายมาเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำที่สำคัญมากมาย อย่าว่าแต่เทพลำธารระดับล่างที่เส้นผมยาวแค่ไม่กี่ร้อยลี้เลย ต่อให้เป็นเทพแม่น้ำที่ต้าหลีเป็นผู้แต่งตั้ง มีเส้นผมยาวหลายพันลี้ ก็ยังไม่ยาก”

ดวงตาของหญิงชรากลอกไปมาเบาๆ

หยางเหล่าโถวก็ไม่เอ่ยเร่ง เพียงพูดยิ้มๆ “นอนอยู่ในดินโคลน อันที่จริงก็สบายมาก ถูกไหม ทำไมต้องให้คนมาฉุดขึ้นด้วย ถูกไหมล่ะ?”

ก่อนหน้านี้หญิงชราขลาดกลัวไม่กล้าตกปากรับคำ ตอนนี้พอได้ยินคำพูดเย้ยหยันจากท่านเซียนใหญ่ก็รู้ได้ว่าท่าไม่ดี จึงรีบวิงวอนขอร้อง น้ำในบ่อลึกพลันกระเพื่อมซัดรุนแรง

ผู้เฒ่าพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชาอย่างไม่รู้สึกรู้สา “จะเป็นปลาหนีชิวที่ส่ายหางขอความเมตตาสงสารต่อไป หรือจะจำแลงกายกลายเป็นเจียวลำธารที่บัญชาการณ์การโคจรของน้ำในพื้นที่แถบหนึ่ง ล้วนอยู่ที่การกระทำในครั้งนี้ อีกอย่าง อย่าลืมล่ะว่าตอนนั้นข้าบอกกับเจ้าไว้อย่างไร เส้นทางสายนี้ไม่มีที่ให้เดินย้อนกลับ ได้แต่เดินไปให้สุดความดำมืด ใต้หล้าไม่มีเรื่องดีที่ได้มาโดยไม่ต้องเปลืองแรง คำพูดอาจไม่น่าฟัง แต่ชาวบ้านในเมืองเล็กแห่งนี้ไม่ว่าใครก็อาจได้รับความดีตอบแทน ทว่าจะอย่างไรก็ไม่มีทางตกมาถึงเจ้า”

ยิ่งท่านเซียนใหญ่ที่มีวิชาอภินิหารกว้างไกลพูดจาผ่อนคลายสบายอารมณ์มากเท่าไหร่ หญิงชราแม่ย่าลำธารก็ยิ่งใจเต้นกระหน่ำราวรัวกลองมากเท่านั้น สุดท้ายจึงกัดฟันกรอดแล้วพุ่งพรวดดำดิ่งลงไปใต้น้ำ

ครู่หนึ่งต่อมาเรือนกายของหญิงชราก็หายวับไป ทว่าในธารน้ำระหว่างหินหลังควายกับสะพานหินโค้งเหมือนจะมีเงาดำบิดเบี้ยวเงาหนึ่งกำลังพุ่งไปยังตอนล่างของธารน้ำอย่างต่อเนื่อง

หลังจากที่เงาดำนี้ขยับเข้าไปใกล้สะพานหินโค้ง ความเร็วก็ลดลง สุดท้ายเหมือนเต่าที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำ

อยู่ห่างจากบ่อลึกใต้สะพานหินโค้งอีกสิบกว่าจั้ง เงาร่างของหญิงชราแม่ย่าลำธารพลันเพิ่มความเร็ว เห็นได้ชัดว่าหวังจะได้โชควาสนาจากการเสี่ยงอันตราย จึงคิดจะลองเสี่ยงตายวัดดวงดูสักครั้ง

แค่แหวกว่ายก็ผ่านไป

ราบรื่นไร้อุปสรรค

หลังจากหญิงชราพุ่งออกมารวดเดียวหลายสิบจั้ง เงาร่างที่อยู่ใต้น้ำก็หมุนคว้าง เพื่อฉลองที่รอดชีวิตมาจากหายนะจึงอดจะหมุนตัวเป็นวงอย่างเริงร่าไม่ได้ เส้นแสงสีเขียววงหนึ่งหมุนวนอยู่รอบเรือนกายผอมแห้งที่ไร้เลือดเนื้อของนาง

แม่ย่าลำธารท่านนี้ยืนตรงหยุดนิ่งอยู่กลางธารน้ำ เงยหน้ามองไปทางสะพานหินโค้งแห่งนั้น ในที่สุดก็มองเห็นกระบี่โบราณเล่มนั้นอย่างชัดเจน

ยังคงมีสนิมเกราะเขรอะ ไม่แตกต่างไปจากที่นางเคยเห็นตอนยังเป็นเด็ก เป็นวัยรุ่น เป็นวัยกลางคนเลยแม้แต่น้อย

ทว่านาทีถัดมา ดวงตาทั้งคู่ของหญิงชราแม่ย่าลำธารที่แค่มองกระบี่โบราณเล่มนี้นานไปหน่อยกลับพลันระเบิดแตก

เสียงร้องโหยหวนดังลั่น

ธารน้ำซัดตลบ ริ้วน้ำแผ่กระเพื่อมเป็นระลอก

เนิ่นนานต่อมา ลำธารช่วงนั้นคลื่นลมกลับคืนมาเป็นปกติดังเดิมในที่สุด ดวงตาทั้งคู่ของหญิงชรางอกกลับมาอีกครั้ง แต่ปราณของนางเปลี่ยนมาเป็นอ่อนระโหยโรยแรง ข้างหูมีเสียงของท่านเซียนใหญ่ดังขึ้นมา “เขาไม่สนใจเจ้าก็ถือเป็นผลบุญที่บรรพบุรุษของเจ้าสั่งสมมาไว้ จงอย่าได้คืบจะเอาศอก วันหน้าเมื่อผ่านสะพานหิน จำไว้ว่าห้ามเงยหน้าขึ้นอีก”

หญิงชราตัวสั่นงันงก “ไม่กล้าแล้ว ไม่กล้าอีกแล้ว”

เสียงของหยางเหล่าโถวดังแว่วมาไกลๆ “เจ้าแค่ลองเคลื่อนตัวลงไปด้านล่าง ดูว่าจะว่ายไปได้ถึงตรงไหน ตอนที่ผ่านร้านตีเหล็กแห่งนั้นก็อย่าได้จองหองมากนัก แต่ก็ไม่ต้องเป็นกังวลมากเกินไป การดำรงอยู่ของเจ้าสามารถทำให้ลำธารสายนี้เปลี่ยนมาเป็น ‘มืดมน’ มากเป็นพิเศษ หากมีผลึกน้ำก่อกำเนิดขึ้นมาก็จะมีประโยชน์ต่อการหลอมกระบี่ อาจารย์หร่วนคนนั้นย่อมไม่สร้างความลำบากใจให้แก่เจ้า หากเจ้าทุ่มเทมากพอ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเมตตามอบวาสนาแก่เจ้าเป็นทาน แม้ถ้ำสวรรค์หลีจูจะแตกแล้ว ปราณวิญญาณสลายไปทั่วอย่างรวดเร็ว ทว่าก็ยังพอจะทนต่อไปได้อีกสักสามสิบสี่สิบปี ตำแหน่งอริยะของอาจารย์หร่วนมั่นคงมากนัก สำหรับเขาแล้วนี่กลับเป็นเรื่องดี”

หญิงชราผ่อนลมหายใจ เอ่ยประจบ “น้อมรับบัญชาท่านเซียนใหญ่”

น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเลื่อมใสของคนผู้หนึ่งดังขึ้นมาจากตรงหินหลังควาย “ท่านผู้อาวุโสช่างมีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่นัก ถึงขนาดสามารถแต่งตั้งแม่ย่าลำธารได้ด้วยตัวเอง ประเด็นสำคัญคือยังไม่รบกวนไปถึงวิถีสวรรค์ด้วย”

หยางเหล่าโถวยังคงนั่งท่าเดิม ไม่แม้แต่จะหันหน้ามา เพียงเอ่ยเสียงเย็น “แม่ย่าลำธารกับเทพลำธารต่างกันแค่คำเดียว ทว่ากลับห่างชั้นราวก้อนเมฆกับดินโคลน บัณฑิตอย่างเจ้าจะไม่เข้าใจเชียวรึ?”

ผู้ที่มาก็คือเมล็ดพันธ์ปัญญาชนที่ใหญ่ที่สุดแห่งสำนักศึกษากวานหู ชุยหมิงหวง เขาน่าจะเป็นคนต่างถิ่นคนสุดท้ายที่เดินทางออกจากเมืองแห่งนี้

บัณฑิตหน้าตาหล่อเหลาบุคลิกนุ่มนวลสุภาพผู้นี้ตอบด้วยรอยยิ้ม “แค่นี้ก็น่าตะลึงมากพอแล้ว บนเส้นทางที่ถูกตัดขาดกลับมีทางสายเล็กแยกออกมา วิธีการเช่นนี้ จะไม่ให้ข้าผู้น้อยเลื่อมใสได้อย่างไร”

หยางเหล่าโถวถามเสียงเรียบ “เจ้าหนู เจ้ารู้ตัวตนของข้ารึ?”

ชุยหมิงหวงส่ายหน้ายิ้ม “ก่อนหน้านี้ท่านเจ้าขุนเขาไม่ได้บอกข้า แต่ข้าพอจะเดาต้นสายปลายเหตุได้กล้อมแกล้ม”

หยางเหล่าโถวเริ่มไม่สบอารมณ์ “ไปๆๆ เด็กอย่างเจ้ายังไม่มีคุณสมบัติให้พูดคุยกับข้า หากเปลี่ยนมาเป็นเจ้าขุนเขาของพวกเจ้าก็ยังพอว่า”

ชุยหมิงหวงไม่เพียงแต่ไม่จากไป กลับหาที่นั่งบนหินหลังควาย ก่อนจะนั่งลงไม่ลืมยื่นมือออกไปประคองหยกประดับตรงเอวอย่างระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มันกระทบกับก้อนหิน เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าสีฟ้ากระจ่างเพราะไม่มีสิ่งใดบดบัง เอ่ยเสียงแผ่วเบา “เสียแรงที่มีตบะค้ำฟ้า เพื่อปกป้องถ้ำสวรรค์หลีจูแห่งนี้ เพื่อไม่ให้วิถีสวรรค์แทรกซอนเข้ามา ถึงขนาดไม่ยอมแสดงความสามารถออกมาแม้แต่นิดเดียว ถึงท้ายที่สุดก็ได้แต่อาศัยตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตสองตัวประคับประคองตัวไว้จนตายไปจริงๆ ท่านผู้เฒ่าหยาง ท่านว่าท่านฉีของพวกเราทำแบบนี้เพราะหวังอะไร?”

ผู้เฒ่าเอาแต่สูบยาหน้าดำคร่ำเครียด

ชุยหมิงหวงพึมพำ “หากหวัง ‘ทำเพื่อชาวประชา’ ก็เสียเปรียบยิ่งนัก เขาคือฉีจิ้งชุนเชียวนะ เจ้าขุนเขาแห่งสำนักศึกษาซานหยา ลูกศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจของอริยะท่านที่สี่แห่งสำนักขงจื๊อ ชีวิตของเขาแลกมาด้วยการได้กลับชาติมาเกิดใหม่ของมนุษย์ธรรมดาห้าหกพันคน คุ้มกันแล้วหรือ? ข้าว่าไม่คุ้มเลย หากเปลี่ยนมาเป็นข้า ย่อมไม่มีทางทำได้แน่”

หยางเหล่าโถวพ่นควันยาสูบลอยโขมง “หากเป็นเจ้า ก็คงได้แค่มาพร่ำบ่นเอากับข้า หาไม่แล้วหากแพร่ออกไป เจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้เป็นเจ้าขุนเขาไปชั่วชีวิต เห็นแก่ที่เจ้าถึงกับพูดความในใจออกมา พวกเรามาลองคุยเล่นกันดูดีไหม?”

บัณฑิตหนุ่มยิ้มบางๆ “เยี่ยมไปเลย ข้าอยากคุยกับท่านใจจะขาดแล้ว”

ผู้เฒ่ามองผิวน้ำ “แต่ว่าก่อนที่จะทำอย่างนั้น ข้าอยากถามเจ้าคำถามหนึ่ง”

ชุยหมิงหวงพยักหน้า “ผู้อาวุโสถามมาได้เลย”

ผู้เฒ่าเอ่ยเนิบนาบ “บีบบังคับทุกก้าวย่างจนฉีจิ้งชุนเหลือเพียงความตายสถานเดียวเท่านั้น ใช่ฝีมือของเจ้าหรือไม่?”

ชุยหมิงหวงตะลึงก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็ยิ้มเจื่อน สุดท้ายถึงเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “ผู้อาวุโสประเมินข้าสูงเกินไปหน่อยหรือเปล่า?”

หยางเหล่าโถวไม่ได้หันกลับมา ควันกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าลอยอวลขึ้นมาจากด้านหน้าของผู้เฒ่า “ความสามารถอื่นข้าไม่มี แต่เรื่องมองใจคนกลับพอจะมีฝีมืออยู่บ้าง เพราะฉะนั้นเจ้าไม่ควรมาที่นี่”

ชุยหมิงหวงอธิบายด้วยรอยยิ้ม “ต่อให้นับช้าไปสักหน่อย ตั้งแต่ครั้งแรกที่ตำแหน่งของอริยะคนที่สี่สำนักขงจื๊อข้าในศาลเจ้าบุ๋นตกอันดับลงมา ใช้เรื่องนี้เป็นจุดเริ่มต้น นั่นก็เป็นเรื่องตั้งแต่เมื่อแปดสิบปีก่อน ตอนนี้ข้าเพิ่งถึงวัยสร้างเนื้อสร้างตัว (วัยประมาณสามสิบปี) จะอธิบายได้อย่างไร?”

ผู้เฒ่าหันหน้ากลับมายิ้มตาหยี “ความหมายของเจ้าก็คือ ตัวเองแค่มาเอาหยกประจำแคว้นที่นี่โดยบังเอิญ แล้วก็ประจวบเหมาะเจอเข้ากับเหตุการณ์ครั้งนี้พอดี ถือว่าเป็นโคลนเหลืองที่ร่วงใส่ในกางเกง ไม่ใช่ขี้แต่ก็เป็นขี้?” (เปรียบเปรยว่าเหตุการณ์หนึ่งที่หากฟ้าดินและคนเป็นใจ ต่อให้เป็นของปลอมก็กลายมาเป็นของจริงได้)

ชุยหมิงหวงยิ้มตอบด้วยสีหน้าปกติ “บนโลกใบนี้ไม่มีอะไรที่ตายตัว เรื่องบังเอิญมีมากมาย”

หยางเหล่าโถวหัวเราะเฮอๆ หน้ายิ้มแต่ใจไม่ยิ้ม

ชุยหมิงหวงไม่คิดจะเสียเวลาต่ออีก จึงพูดเข้าประเด็น “ผู้น้อยชื่นชอบเขาพีอวิ๋นลูกนั้นมาก หวังว่าจะใช้มันเป็นที่ตั้งสำนักศึกษาแห่งใหม่ ผู้น้อยมาที่นี่เป็นแขก เมื่อเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม ตามเหตุตามผลก็ควรจะมาทักทายผู้อาวุโสหยางสักหน่อย ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสมีเงื่อนไขอย่างไร?”

หยางเหล่าโถวทำหน้านิ่ว เงียบงันไม่เอ่ยตอบ

ดูเหมือนว่าชุยหมิงหวงจะไม่กล้าเร่งรัดผู้เฒ่า เขาลุกขึ้นยืนช้าๆ เอ่ยเสียงเบา “ท่านผู้อาวุโสโปรดวางใจ หากผู้อาวุโสไม่พยักหน้ายินยอม สำนักศึกษาของข้าผู้น้อยก็ไม่กล้าขุดดินก่อสร้าง หากวันใดผู้อาวุโสรู้สึกเรื่องนี้สามารถทำได้ ก็ให้ทางจวนผู้ตรวจการงานเตาเผานำความไปบอกชุยหมิงหวงแห่งสำนักศึกษากวานหูสักคำก็พอ”

หยางเหล่าโถวอืมรับหนึ่งที ไม่ได้ปฏิเสธอย่างเด็ดขาดไปเลยทันที

ชุยหมิงหวงยกมือคารวะบอกลา

เมื่อเปรียบเทียบหมากตัวเล็กๆ อย่างหญิงชราแม่ย่าลำธารที่จะกลายเป็นเทพได้สำเร็จจริงหรือไม่ กับสำนักศึกษากวานหูที่ปรารถนาได้ครอบครองพื้นที่บนกระดานหมากล้อมของราชวงศ์ต้าหลีจึงหมายตาเขาพีอวิ๋นลูกนั้น อันที่จริงผู้เฒ่าไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้มากนัก เพราะไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ

เรื่องเดียวที่ผู้เฒ่าให้ความสนใจก็คือ คืนนั้นเมื่อฉีจิ้งชุนมาถึงสะพานได้พูดอะไรกับหร่วนฉง สุดท้ายแล้วเขานั่งอยู่บนสะพานเพียงลำพังทั้งคืน ฟ้าสว่างแล้วถึงได้ลุกขึ้นเดินกลับเมือง ระหว่างนั้นฉีจิ้งชุนพูดอะไร แล้วทำอะไรบ้าง?

ผู้เฒ่าฉวยกระบอกยาสูบเก่าแก่ขึ้นมาแล้วลุกยืน สบถด่าเสียงเบา “ไม่มีใครทำให้สบายใจเลยสักคน”

……

ในโรงเรียน เด็กนักเรียนสี่คนมองหน้ากันไปมา

พวกเด็กๆ ไม่เจอท่านฉี กลับเจอผู้เฒ่าที่ทั้งปีทั้งชาติดูเหมือนจะเอาแต่กวาดพื้นคนนั้นแทน เขาเปลี่ยนมาสวมชุดขงจื๊อที่คล้ายคลึงกับของท่านฉี ตรงเอวห้อยหยกประดับหนึ่งชิ้น เส้นผมสีขาวโพลนหวีเก็บเป็นระเบียบเรียบร้อย สวมกวานสูง ผู้เฒ่านั่งอยู่ตรงตำแหน่งที่นั่งเดิมของท่านฉี บอกกับเด็กทั้งสี่คนว่า ท่านฉีลาออกจากตำแหน่งอาจารย์สอนหนังสือและเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาแล้ว ดังนั้นหลังจากนี้จึงมีเขาเป็นผู้นำพาออกเที่ยวจาริกแสวงหาความรู้ในครั้งนี้

เรื่องการออกเดินทางไกล ท่านฉีได้บอกกับเด็กๆ ไว้แต่แรก และผู้ปกครองของพวกเขาต่างก็อนุญาตกันหมดแล้ว

ผู้เฒ่าไม่เหลือสีหน้าเมตตาปราณีอย่างในอดีต กลับกันคือเต็มไปด้วยพลังอำนาจ เขาเอ่ยถามว่า “หลี่เป่าผิงล่ะ? ทำไมถึงไม่มาเรียน?”

หลี่ไหวที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ ปกติก็ไม่ค่อยจะถูกกันกับเด็กหญิงชุดบุนวมสีแดงอยู่แล้ว จึงรีบฟ้องทันที “ระหว่างที่มาเรียน หลี่เป่าผิงได้ยินว่าต้นไหวโบราณล้มลงจึงยืนกรานว่าจะไปดูความครึกครื้น ข้ารั้งนางไว้ไม่อยู่ นางเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองมาก ไม่ว่าข้าจะเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่ยอมฟัง แถมนางยังจะลงไม้ลงมือกับข้าด้วย”

เด็กเล็กที่เหลืออีกสามคนต่างก็หันมาซุบซิบกัน บอกว่าหลี่ไหวเหมือนมารดาเขาจริงๆ ความสามารถในการพูดเหลวไหลหน้าตาเฉยร้ายกาจยิ่งกว่าใคร

ผู้เฒ่าหันหน้าไปมองเด็กหญิงคนหนึ่งที่มัดผมแกละ “ไปเรียกหลี่เป่าผิงกลับมา วันนี้พวกเราจะเดินทางออกจากเมือง”

เด็กหญิงร้องอ้อรับหนึ่งที ลุกขึ้นยืนอย่างไม่เต็มใจนัก ก่อนจะวิ่งออกไปจากโรงเรียน

หลี่ไหวอายุไม่มาก แต่ปากคมยิ่งนัก ไม่ลืมที่จะราดน้ำมันลงบนกองเพลิงด้วยการพูดจาเหมือนคนแก่มากประสบการณ์ “เหล่าหม่าเอ๋ย เด็กนักเรียนเกเรอย่างหลี่เป่าผิงผู้นี้ต้องควบคุมให้ดีถึงจะถูก ไม่อย่างนั้นคงประสบความสำเร็จไม่ได้ ในเมื่อท่านฉีไม่อยู่แล้ว เหล่าหม่าท่านต้องแบกรับหน้าที่ให้ดี…”

ผู้เฒ่าถลึงตาใส่สีหน้าดุดัน หลี่ไหวตกใจเงียบกริบเป็นจักจั่นหน้าหนาว ยอมปิดปากแต่โดยดี เพียงแต่ในใจด่ากราดไม่หยุดว่าตาแก่หม่าผู้นี้เฮงซวยนัก พยัคฆ์ไม่อยู่ในภูเขา ลิงก็เรียกตัวเป็นจ้าวป่าเสียแล้ว

ในอดีตหลี่ไหวเบื่อหน่ายความเจ้าระเบียบของท่านฉี แต่ตอนนี้กลับคิดถึงความดีของเขา

ในห้องข้างชั้นเรียนที่เป็นของท่านฉี ชุยหมิงหวงแห่งสำนักกวานหูนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะหนังสือ กวาดตามองไปรอบด้าน รอยยิ้มของบัณฑิตซึ่งยึดครองพื้นที่ของคนอื่นนิ่งสงบ เอ่ยเบาๆ ด้วยความเสียดายเล็กน้อย “หนังสือก็มีแค่ไม่กี่เล่มเอง”

……

หลังจากมาถึงร้านตีเหล็ก เฉินผิงอันที่ได้ยินข่าวหนึ่งถึงกับยืนอึ้งไปทันที

หนิงเหยาออกจากเมืองตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง หร่วนซิ่วบอกว่าทางภูเขาห้อยหัวมีกระบี่บินส่งข่าวมา แม่นางหนิงได้ยินเข้าก็รีบร้อนออกไปจากร้าน

เวลานี้เฉินผิงอันถึงเพิ่งรู้ว่า ที่แท้ก่อนหน้านี้แม่นางหนิงไปตรอกหนีผิงก็เพื่อบอกลาตน

เฉินผิงอันสะพายตะกร้า ยืนอยู่ใต้ชายคากระท่อมที่หนิงเหยาพักอาศัยชั่วคราว เม้มปากยืนนิ่ง

หร่วนซิ่วเอ่ยเสียงอ่อนโยน “แม่นางหนิงฝากให้ข้าบอกเจ้าว่า นางขอยืมฝักกระบี่เล่มนั้นก่อนสักช่วงเวลาหนึ่ง วันหน้าจะยังต้องคืนให้เจ้า”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่เป็นไร”

หร่วนซิ่วเผยอปากทำท่าจะพูด เฉินผิงอันถึงตระหนักได้ว่าพูดประโยคนี้กับแม่นางหร่วน ไม่มีความหมายอะไรเลย จึงเกาหัว “ข้ากลับตรอกหนีผิงก่อนแล้วกัน”

หร่วนซิ่วพยักหน้ารับ

เฉินผิงอันเดินไปข้างหน้า

หร่วนซิ่วพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงตะโกนตามหลัง “เฉินผิงอัน พ่อข้าบอกว่าช่วงนี้ให้เจ้าทำงานอยู่ที่ร้านได้อย่างสบายใจ วันหน้าอาจต้องการให้เจ้าช่วยตีเหล็ก”

เฉินผิงอันหันหน้ากลับมายิ้มให้ “ขอบคุณมาก”

เด็กสาวชุดเขียวยิ้มหวานตอบกลับ

เฉินผิงอันเดินอยู่ริมธารเพียงลำพัง พอเดินขึ้นบันไดสะพานหินโค้งก็พลันหยุดเท้า ปลดตะกร้าด้านหลังลง นั่งอยู่ริมขอบสะพานหิน สองขาห้อยกลางอากาศ ตะกร้าที่บรรจุแท่นสังหารมังกรหนักอึ้งวางอยู่ข้างกาย

รองเท้าแตะคู่นั้นเหวี่ยงไกวเบาๆ

สำหรับการจากไปของหนิงเหยา เด็กหนุ่มไม่ได้รู้สึกเสียใจเท่าไหร่นัก เพราะรู้แต่แรกแล้วว่านางต้องจากไป

เพียงแต่ว่ามีคำพูดบางอย่างที่เขายังไม่ทันได้พูดกับนาง

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เฉินผิงอันสะดุ้งตกใจเพราะเสียงดังลั่นของน้ำที่แตกกระเซ็น เขารีบหันไปมอง ตะกร้าไม่อยู่แล้ว!

เฉินผิงอันไร้ซึ่งความลังเล สองมือดันพื้นแล้วทิ้งตัวลงน้ำ

พอลงน้ำก็เปลี่ยนท่ากลางน้ำทันที เอาหัวพุ่งลง พยายามดำลงไปด้านล่าง

เมื่อเฉินผิงอันเบิกตากว้างก็เห็นแสงสว่างจุดหนึ่ง ทว่าเพียงชั่วพริบตาเขากลับหมดสติไป

นาทีถัดมา เฉินผิงอันค้นพบว่าตัวเองยืนอยู่บนผิวน้ำที่เป็นดั่งกระจก กระทืบเท้าเบาๆ ก็ทำให้เกิดริ้วน้ำเป็นวงๆ แต่หน้ากระจกกลับไม่ได้พังถล่มลงไป

เฉินผิงอันพลันยกมือขึ้นมาบังดวงตา

ด้านหน้ามีแสงจ้าพร่าตาส่องสว่างทั้งฟ้าดิน

รอจนแสงเบาบางลง เฉินผิงอันถึงวางมือลง เห็นว่าห่างไปไกลมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่กลางอากาศ ขาข้างหนึ่งงอขึ้น อีกข้างทิ้งตัวลงมา เหมือนคนนั่งอยู่ริมหน้าผาอย่างเกียจคร้าน

ทั้งร่างของเขาอาบแช่อยู่ท่ามกลางแสงศักดิ์สิทธิ์สีขาวบริสุทธิ์ เส้นแสงจำนวนมากส่ายสะบัดไม่หยุดนิ่ง

ไม่ว่าอย่างไรเฉินผิงอันก็ไม่อาจเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นได้ชัด

เทียบกับบุคคลที่ยืนอยู่กลางสะพานในความฝันที่ตรอกหนีผิงก่อนหน้านี้ คนทั้งสองเหมือนกันมาก

แต่เฉินผิงอันไม่กล้ายืนยันว่าจะเป็นคนเดียวกันหรือไม่

คนผู้นั้นเงยหน้าขึ้นหาวหวอด ก่อนเอ่ยเนิบช้า “บัณฑิตที่ชื่อฉีจิ้งชุนผู้นั้นบอกว่าเขาผิดหวังกับโลกใบนี้มาก แล้วเจ้าล่ะ?”

หลังจากที่คนผู้นั้นเปิดปาก เฉินผิงอันก็หายใจได้อย่างยากลำบาก กัดฟันแน่น

ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นอีกครั้ง เหมือนมีคนรัวกลองสะเทือนชั้นฟ้า ใบหน้าของเด็กหนุ่มแดงก่ำ ยกมือขึ้นกดแน่นลงไปที่หัวใจ

องค์เทพรัวกลอง ป่าวประกาศแก่ใต้หล้าว่าวสัตฤดูมาถึงแล้ว

เสียงกลองไม่ดัง ฤดูใบไม้ผลิไม่มาเยือน

คนผู้นั้นโบกมืออย่างไม่ใส่ใจหนึ่งครั้ง ชายแขนเสื้อกว้างใหญ่สะบัดก่อเกิดเป็นเส้นสายราวทางช้างเผือกเส้นหนึ่ง

บนสะพานหินโค้ง เด็กหนุ่มที่ผงกศีรษะหงึกๆ ราวไก่จิกเมล็ดข้าวสารพลันสะดุ้งตื่นอย่างมึนงง หันหน้ากลับไปมอง ตะกร้ายังคงวางนิ่งอยู่ข้างกายตน

เด็กหนุ่มกุมหัว “อีกแล้วหรือ?!”

เฉินผิงอันตบบ้องหูตัวเองอย่างแรง เจ็บ

ลุกขึ้นยืนอย่างลนลาน แบกตะกร้าขึ้นหลังได้ก็ออกวิ่งทันที

เฉินผิงอันวิ่งมาตลอดทางจนถึงตรอกหนีผิง เปิดประตูบ้านพบว่าจุดที่อยู่ใกล้กับหน้าประตูมีกิ่งไหวเจ็ดแปดกิ่งกองระเกะระกะ

ในใจคิดว่าแม่หนูนั่นวิ่งเก่งแบกเก่งจริงๆ

เฉินผิงอันปลดตะกร้าลง จากนั้นนั่งลงหน้าประตูบ้าน ปาดเหงื่อทิ้ง

สีแดงกลุ่มหนึ่งวิ่งปรู๊ดจากฝั่งหนึ่งของตรอกหนีผิงเข้ามา

เด็กหญิงเหงื่อท่วมเต็มหน้า พอเห็นเฉินผิงอันก็ยิ้มกว้าง

นางใช้กิ่งไหวยันพื้น หอบหายใจฮักๆ ควักเอาใบไหวสีเขียวมรกตสดใสราวจะเค้นน้ำปึกหนึ่งออกมาจากถุงปักลายที่ห้อยอยู่ตรงเอว

พอเฉินผิงอันรับมาก็ก้มหน้าลงมอง เมื่อเทียบกับใบไหวที่ครั้งนั้นท่านฉีพาเขาไปขอมา แม้ว่าใบไหวเหล่านี้จะเป็นสีเขียวเหมือนกัน แต่ลายเส้นกลับเปลี่ยนเป็นสีเหลือง พอเพ่งมองนานเข้าก็มองไม่ออกแล้วว่ามีแสงสีเขียวมรกตไหลวนอยู่ด้านใน

เฉินผิงอันมองเด็กหญิงชุดแดงที่กวาดตามองซ้ายมองขวาไปทั่ว ก่อนคลี่ยิ้มยื่นมือออกไป

เด็กหญิงทำหน้ามึนงง

เฉินผิงอันไม่ได้ดึงมือกลับ

นางนิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่ ควักใบไหวใบสุดท้ายในถุงปักลายออกมาอย่างขุ่นเคืองแล้วตบลงบนมือเฉินผิงอันอย่างแรง

เฉินผิงอันยังคงยื่นมือค้างไว้

นางพองแก้ม หมุนตัวหันหลังให้ ไม่รู้หยิบใบไหวอีกใบออกมาจากตรงไหนยื่นส่งให้เฉินผิงอันด้วยสีหน้าบูดบึ้ง

เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม เอาใบไหวทั้งแปดใบรวมเข้าด้วยกัน แล้วดึงออกมาสามใบยื่นส่งให้เด็กหญิงชุดผ้าฝ้ายสีแดง เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ให้เจ้า”

เด็กหญิงไม่ได้รับใบไหวมา ดวงตากลมโตคลอประกายน้ำเหมือนลูกองุ่นสีดำเต็มไปด้วยความสงสัย

เฉินผิงอันลูบหัวเด็กหญิง อธิบายเสียงนุ่มนวล “การที่เจ้าเก็บไว้เองตั้งแต่ต้น กับการที่ข้ายกให้เจ้าในตอนหลัง ไม่เหมือนกันเลย วันหน้าอย่าลืมว่า รับปากอะไรใครไว้ ต้องทำให้ได้”

เฉินผิงอันมองใบหน้าอ่อนเยาว์ไร้เดียงสาพลางกล่าวยิ้มๆ “หากพยายามแล้ว แต่ยังทำไม่ได้ ก็จำไว้ว่าควรต้องบอกกล่าวกันสักหน่อย”

แม้เด็กหญิงจะรู้สึกว่าเขาพูดมีเหตุผลมาก แต่ถ้ายอมรับตนก็ขายหน้าแย่ ดังนั้นจึงพยายามทำหน้ายับยุ่ง ตอบกลับด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “ทำไมเจ้าถึงได้เลียนแบบเหมือนท่านฉีที่โรงเรียนขนาดนี้ ข้าไม่ชอบเจ้าแล้ว!”

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ข้าจะช่วยขนกิ่งไหวพวกนั้นไปที่บ้านเจ้า ข้าแรงเยอะ รอบเดียวก็ขนหมดแล้ว”

ดวงตาของเด็กน้อยชุดแดงที่เหนื่อยล้าเต็มทีพลันเป็นประกาย ยิ้มกว้างจนดวงตาทั้งคู่หยีลงเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว “ถ้าอย่างนั้นข้าจะชอบเจ้ามากขึ้นอีกสักหน่อย!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version