บทที่ 75 ยึดภูเขาเป็นราชา
ท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดง ร้านตีเหล็กมีแขกแปลกหน้าคนหนึ่งมาเยือน ชายผู้นี้อายุอยู่ประมาณวัยตั้งตัว เรือนกายสูงใหญ่ คิ้วทั้งคู่เรียวยาว ผิวพรรณขาวนวล ใบหน้าที่แผ่ความอ่อนโยนประกอบกับเรือนกายใหญ่โตล่ำสันนั้นสร้างท่วงทำนองที่แปลกแยกเป็นเอกลักษณ์
หลังจากรู้ตัวตนของคนผู้นี้ หร่วนฉงก็ไม่ได้ทำตัวตามสบายอย่างเมื่อตอนที่ได้ต้อนรับชุยหมิงหวงแห่งสำนักศึกษากวานหู เพียงแค่คุยกันไม่กี่ประโยคอยู่หน้าห้องหลอมกระบี่ก็ให้หร่วนซิ่วย้ายเก้าอี้ไม้ไผ่สองตัวมาไว้กลางระเบียง ซ้ำยังยกเอาสุราอยางดีมาสองกา หนึ่งคนหนึ่งกา ชายผู้นั้นก็ไม่อิดออด รับกาเหล้ามาได้ก็เปิดผนึกดินออกแล้วกรอกใส่ปากหนึ่งอึก ครั้นจึงเอ่ยยิ้มๆ “ช่างหร่วน ท่านลงมือครั้งนี้เหี้ยมหาญสะเทือนไปทั่วทิศ ทางฝ่ายราชสำนักจะจัดการเป็นรูปธรรมอย่างไร ข้ายังไม่อาจรู้ได้ แต่ในฐานะที่เป็นผู้ตรวจการงานเตาเผาคนใหม่ควบคู่กับเจ้าเมืองหลงเฉวียน ถือว่าลดน้ำลายข้าไปได้มาก ตามหลักแล้วควรเป็นข้าที่ต้องหิ้วสุรารสเลิศมาเยี่ยมเยียนถึงจะถูก เพียงแต่ว่าตอนนั้นพอได้ยินเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงกลางทาง ข้าก็รีบหวดแส้ควบม้าเร็วมาอย่างรีบร้อน ถือว่าข้าติดค้างเหล้าดอกซิ่งสองไหใหญ่ของร้านยาสุ่ยตรอกฉีหลงกับช่างหร่วนไว้ก่อนแล้วกัน”
ช่างหร่วนโบกมือ “คำพูดเกรงใจกันพวกนี้ไม่ต้องพูดให้มากความ วันนี้หากเจ้าและข้าพูดคุยกันรู้เรื่อง วันหน้ายังมีโอกาสได้ดื่มเหล้าคุยเล่นกันอีกมาก แต่หากคุยกันไม่สำเร็จ เจ้ากับข้าก็ไม่ต้องเสียเวลาผูกมิตรกันอีก”
ชายผู้นั้นหัวเราะเสียงดังกังวาน ไม่เหมือนขุนนางของราชสำนักต้าหลีที่ควบตำแหน่งใหญ่สองอย่าง แต่กลับคล้ายจอมยุทธ์ที่ท่องไปทั่วยุทธภพมากกว่า เขาเช็ดมุมปาก วางกาเหล้าไว้บนหัวเข่า ไม่ได้มีท่าทีว่าจะดื่มเหล้าพลางคุยธุระไปด้วย “ภูเขาเจี่ยลิ่ว (甲六เจี่ยลิ่วคือตำแหน่งตามแผนภูมิสวรรค์)ที่ถูกต้าหลีปิดตายในช่วงปีชุนฮุย แน่นอนว่า นี่คือคำพูดอย่างเป็นทางการในเอกสารลับของกรมการคลังของราชสำนัก หากอิงตามชื่อที่ถูกบันทึกไว้ในอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ท้องถิ่น ควรจะเรียกว่าเขาหลงจี๋ (สันหลังมังกร) ตรงกึ่งกลางตัวภูเขาของมันมีแท่นสังหารมังกรขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ก่อนหน้าที่ข้าจะมารับตำแนห่งที่นี่ เคยได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ ฝ่าบาททรงตรัสอย่างชัดเจนว่า วัตถุชิ้นนี้มอบให้แก่ศาลลมหิมะที่ช่างหร่วนอยู่รวมถึงเขาเจินอู่ พวกเจ้าทั้งสองฝ่ายต่างก็ครอบครองร่วมกัน ส่วนเรื่องที่ว่ากองกำลังสำนักการทหารสองแห่งใหญ่ของพวกเจ้าจะขุด ผ่า ตัดแบ่ง หรือทิ้งไว้ไม่แตะต้องแท่นสังหารมังกรนี้ ยกให้มันเป็นกิจการของบรรพบุรุษ หรือย้ายกลับไปที่สำนักของใครของมัน ราชสำนักต้าหลีของข้าจะไม่ยื่นมือเข้าแทรกเด็ดขาด แค่รับฟังและทำตามอย่างเดียวเท่านั้น ถึงขนาดที่ว่าหากต้องการให้ต้าหลีส่งกองกำลังมาช่วยออกแรง ยกตัวอย่างเช่นออกคำสั่งให้วานรย้ายภูเขารุ่นเยาว์สองตัวที่อยู่ในการปกครองของต้าหลีทำให้ภูเขาเจี่ยลิ่วปริแตก จนแท่นสังหารมังกรเผยตัวออกมา เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ประเภทนี้ ช่างหร่วนไม่ต้องเกรงใจ”
ช่างหร่วนยิ้มตาหยี “ต้าหลีของพวกเจ้าจริงใจไม่น้อย”
ผู้ตรวจการคนใหม่เตรียมจะพูดตามน้ำ ช่างหร่วนกลับพูดขึ้นอีกว่า “แท่นสังหารมังกรแห่งนั้น ก่อนที่ข้าจะมาที่นี่ ศาลลมหิมะของพวกเราและเขาเจินอู่คุยกันรู้เรื่องตั้งนานแล้ว ข้าหร่วนฉง ศาลลมหิมะ เขาเจินอู่ ต่างก็มีส่วนได้ครอบครองมัน เจ้าน่าจะได้ยินข่าวเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างมาจากฮ่องเต้ของพวกเจ้าบ้างแล้วว่า ข้าวางแผนจะเปิดภูเขาตั้งสำนักอยู่ที่นี่ ดังนั้นสถานะบิดาและบุตรสาวจึงถูกย้ายออกมาจากศาลลมหิมะแล้ว ในเวลาหกสิบปีนับจากนี้ ข้าย่อมไม่สะดวกที่จะเปิดภูเขาอย่างเป็นทางการ แต่ขอแค่ต้าหลีของพวกเจ้าไม่ขัดหูขัดตาข้า เมื่อเวลาหกสิบปีสิ้นสุดลง ข้าก็จะเลือกภูเขาที่ใช้ได้ลูกหนึ่งของที่นี่มาทำเป็นจุดเริ่มต้นในการตั้งสำนักของข้าในอนาคต”
ชายที่ควบตำแหน่งทั้งผู้ตรวจการงานเตาเผาและเจ้าเมืองของที่นี่ไม่ปกปิดสีหน้ายินดีของตัวเองแม้แต่น้อย ราวกับกำลังรอให้หร่วนฉงเอ่ยประโยคนี้อยู่พอดี จึงรีบพูดเออออทันที “ช่างหร่วน ท่านวางใจได้เลย นอกจากเขาพีอวิ๋น ภูเขาหกสิบเอ็ดลูกที่ถูกแบ่งคร่าวๆ ในอาณาบริเวณของแคว้นเรา ช่างหร่วนสามารถเลือกได้ตามใจสามลูก เพื่อใช้เป็นรากฐานในการตั้งสำนักในอนาคต หากช่างหร่วนไม่อยากรีบร้อนตัดสินใจ ข้าผู้เป็นขุนนางสามารถนำแผนที่เทือกเขาเก่าและใหม่สองแผ่นของถ้ำสวรรค์หลีจูมาให้ช่างหร่วนดูก่อนได้ แล้วข้าผู้เป็นขุนนจะไปสำรวจเป็นเพื่อนช่างหร่วนด้วยตัวเอง ถึงเวลานั้นช่างหร่วนค่อยตัดสินใจ ดีไหม?”
ไม่ว่าราชวงศ์ใดก็ตามที่มีนักพรตใหญ่อย่างหร่วนฉงคอยช่วยเฝ้าพิทักษ์ดูแลแม่น้ำและขุนเขาล้วนถือเป็นความโชคดีอย่างใหญ่หลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหร่วนฉงยังออกปากเองด้วยว่าเขาเลือกลงหลักปักฐานที่นี่ ไม่ได้มีสถานะเป็นเพียงแค่ขุนนางต่างแคว้น ผู้ถวายงาน หรือราชครูที่ต้องพึ่งพาต้าหลี ดังนั้นจึงไม่ได้อยู่ในสภาพการณ์ที่ปรองดองก็รวม แตกหักก็แยกย้าย หร่วนฉงคือผู้ที่แตกกิ่งก้านสาขาอยู่บนแผ่นดินแคว้นต้าหลีอย่างแท้จริง มีความเกี่ยวพันอย่างแนบชิดกับโชคชะตาของราชวงศ์อย่างไร้รูปลักษณ์ อย่าว่าแต่ขุนนางผู้ตรวจการตัวเล็กๆ คนหนึ่งเลย ต่อให้ฮ่องเต้ต้าหลีมานั่งอยู่ที่นี่ก็ต้องปลื้มปิติเหมือนกัน
ต้าหลีมีนักสู้ที่โดดเด่น โดยมีซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้นเป็นผู้นำ จำนวนยอดฝีมือที่อยู่เหนือห้าขอบเขตขึ้นไปมีมากที่สุดในแจกันสมบัติทวีปบูรพา แต่เทพเซียนบนภูเขากลับมีน้อยจนน่าสงสาร ไม่สอดคลอ้งกับกองกำลังแห่งแคว้นของต้าหลีที่เจริญรุ่งเรืองเลยแม้แต่น้อย นี่จึงเป็นอาการป่วยทางใจของฮ่องเต้ต้าหลีเสมอมา
หร่วนฉงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เรื่องการยึดภูเขาตั้งตั้วเป็นราชานั้น ไม่ต้องรีบร้อน คำพูดอาจไม่น่าฟังนัก แต่นอกจากเขาพีอวิ๋นที่พวกเจ้าไม่ต้องการเอาออกมาแล้ว ก็ไม่มีภูเขาลูกไหนเข้าตาข้าอีก”
สีหน้าของผู้ตรวจการหนุ่มกระอักกระอ่วนเล็กน้อย อันที่จริงก่อนหน้าที่จะมาที่นี่ ไม่เพียงแต่เขา แม้แต่ฮ่องเต้ต้าหลีและอาจารย์ผู้มีพระคุณของตนต่างก็รู้สึกว่าความเป็นไปได้ที่หร่วนฉงจะเปิดภูเขาในต้าหลี มี แต่ไม่มากอย่างแน่นอน เพราะเอาเข้าจริงต้าหลีก็ไม่อาจเอาความจริงใจที่มากพอมาแสดงต่ออีกฝ่ายได้ แท่นสังหารมังกร? หากไม่เป็นเพราะตัวหร่วนฉงเองมีความสามารถที่จะไปพูดคุยกับศาลลมหิมะและเขาเจินอู่ จนช่วงชิงมาให้ตัวเองได้หนึ่งส่วน มีหรือต้าหลีจะกล้าแตกหักกับศาลลมหิมะและเขาเจินอู่เพียงเพื่อซื้อใจหร่วนฉงคนเดียว ค่าตอบแทนนั้นมหาศาลเกินไป ต่อให้เป็นราชวงศ์ต้าหลีที่กร้าวแกร่งดุจพยัคฆ์ก็ยังไม่อาจแบกรับได้ไหว
หร่วนฉงพลันพูดขึ้นว่า “แม้ว่าศาลลมหิมะและเขาเจินอู่จะไม่เคยเสนอแนะอะไร แต่ตัวข้าเองหวังว่าต้าหลีของพวกเจ้าจะสามารถนำศาสตราวุธที่คมกริบมากพอออกมาสองชิ้น กระบี่ก็ดี ดาบก็ช่าง อะไรก็ได้หมด ขอแค่ใช้ได้ก็พอ เมื่อถึงเวลาข้าสามารถช่วยพวกเจ้านำไปส่งต่อให้แก่นักพรตสำนึกการทหารสองคนที่มาที่นี่ เพื่อใช้แบ่งแท่นสังหารมังกรนั่น เจ้าสามารถนำไปแจ้งแก่ทางราชสำนักก่อนได้ รอให้ฮ่องเต้ต้าหลีตอบกลับมา เรื่องนี้ไม่รีบ”
ผู้ตรวจการหนุ่มใคร่ครวญอยู่เล็กน้อยก็เอ่ยเสียงทุ้มหนัก “เรื่องนี้ข้าสามารถตัดสินใจได้เอง รับปากช่างหร่วนไว้ก่อนได้!”
หร่วนฉงพยักหน้ารับ ดื่มเหล้าหนึ่งอึก ค่อนข้างพึงพอใจกับท่าทางและความกล้าหาญของคนผู้นี้ เพราะอย่างไรซะหลังจากนี้เป็นเวลานาน เขาต้องอยู่ร่วมกับชายที่ชื่ออู๋ยวนผู้นี้ หากอีกฝ่ายเป็นคนโง่ เขาจะต้องเหนื่อยมาก และหากเป็นคนขี้ขลาดตาขาวก็ยิ่งเหนื่อยหนักเข้าไปใหญ่
อู๋ยวนลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนดื่มเหล้าหนึ่งอึก คล้ายต้องการเพิ่มความกล้าให้กับตัวเอง “ช่างหร่วน อันดับแรก เตาเผามังกรทั้งเล็กและใหญ่สามสิบกว่าแห่งที่อยู่นอกเมืองจะทำการเปิดเตาเผาเครื่องปั้นใหม่อีกครั้ง เพียงแต่ว่านับจากวันนี้ไปจะเผาแค่เครื่องปั้นทั่วไปที่ใช้กับงานพระราชพิธีในราชสำนักเท่านั้น ข้อสอง เมื่อที่ว่าการอำเภอซึ่งสร้างใหม่ทางทิศตะวันออกของเมืองเล็กสร้างสำเร็จจะต้องติดป้ายประกาศข้อกำหนดกฎหมายของต้าหลี ซึ่งจะให้นักการของกรมการคลังที่พอจะอ่านออกเขียนได้ช่วยป่าวประกาศและอธิบายไปตามสถานที่ต่างๆ ของเมือง เพื่อให้ชาวบ้านธรรมดาได้รู้ว่าสถานะที่แท้จริงของตน คือราษฎรของต้าหลี”
สีหน้าของหร่วนฉงเย็นชา ปรายตามองอู๋ยวนที่ในนามคือเจ้าเมืองหลงเฉวียน ฝ่ายหลังอธิบายด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นเพียงแค่กิจธุระที่พุ่งเป้าไปยังชาวบ้านธรรมดาแต่เพียงภายนอกเท่านั้น ในเวลาหกสิบปีนี้ กฎของช่างหร่วนยังคงใหญ่ที่สุด กฎของสี่แซ่สิบตระกูลเป็นอันดับสอง กฎของต้าหลีต่ำสุด หากมีความขัดแย้ง จะอิงตามลำดับนี้เป็นบรรทัดฐาน ทุกการกระทำของช่างหร่วนในระยะพันลี้ของเมืองเล็ก ต้าหลีไม่เพียงแต่ไม่ก้าวก่าย ยังจะยืนอยู่ข้างเดียวกับช่างหร่วนโดยไม่ลังเล ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่ช่างหร่วนทำลายรางของนักพรตแม่น้ำจื่อแยนเสียเละ คนผู้นั้นตายไปก็ไม่เสียดาย เพราะเขาถึงขนาดพยายามทำตัวเป็นคนกลาง พยายามจะนำความไปแจ้งแก่ฝ่าบาท พออาจารย์ผู้มีพระคุณของข้ารู้ข่าว ไม่พูดมากความก็สงคนไปสังหารวิญญาณดั้งเดิมของนักพรตผู้นี้ทันที”
หร่วนฉงขมวดคิ้วน้อยๆ กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์นัก “บอกกับอาจารย์ของเจ้าด้วยว่า วันหน้าพยายามทำเรื่องเกินความจำเป็นพวกนี้ให้น้อยลง มีหน้ามีตาหรือไม่มี จะนับเป็นอะไรได้ ข้าเป็นช่างตีเหล็กหยาบกระด้าง ไม่ชอบทำตัวอ้อมค้อม หากต้าหลีของพวกเจ้ามีใจจริงๆ ก็แค่ยกผลประโยชน์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยให้ข้าก็พอ เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะรับไว้หรือไม่ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เศษสวะอย่างนักพรตแม่น้ำจื่อแยนผู้นั้น ตอนนั้นหากข้าคิดจะสังหารเขาจริงๆ เขายังจะหนีได้อีกหรือ? ต่อให้เขามีขาสักร้อยขาก็หนีไม่รอด หากข้าคิดจะสังหารคนจริงๆ ต้าหลีของพวกเจ้าจะมีสักกี่คนที่ขวางข้าได้? ต่อให้ขวางไว้ได้ แต่พวกเขาจะยินดีขวางหรือ?”
อู๋ยวนหน้าซีดขาวเล็กน้อย เสียงที่พูดค่อนข้างขมปร่า “ช่างหร่วน ข้าผู้เป็นขุนนางทราบแล้ว”
หร่วนฉงเองก็ไม่อยากจะให้สถานการณ์เคร่งเครียดเกินไปนัก เพราะอย่างไรเสียคนทั้งสองก็เพิ่งพบเจอกันเป็นครั้งแรก จะหวังให้คนอื่นทำตามความต้องการของตนไปเสียทุกเรื่องไม่ได้ แบบนั้นจะสร้างความลำบากใจให้คนอื่นมากเกินไป ดังนั้นจึงเป็นฝ่ายเปิดปากถามก่อนว่า “ราชวงศ์บนโลกมนุษย์สร้างหอเหวินชางและศาลอู่เซิ่ง แต่งตั้งเทพแห่งน้ำและภูเขาและห้ามไม่ให้คนในพื้นที่หมกมุ่นงมงายกับการเข้าวัดมากเกินไป นี่ล้วนเป็นหลักการที่ราชสำนักแห่งหนึ่งควรปฏิบัติตาม ทางฝ่ายของเมืองเล็กนี้ พวกเจ้าคิดว่าจะจัดการกันอย่างไร?”
อู๋ยวนที่เพิ่งจะเสียเปรียบไปหมาดๆ เลือกคำตอบอย่างระมัดระวัง “เกี่ยวกับหอเหวินชางและศาลอู่เซิ่ง ตอนนี้ต้าหลีของพวกเราได้เลือกสถานที่สองแห่งที่โหรหลวงหมายตาเอาไว้ แบ่งออกเป็นภูเขาเครื่องปั้นทางทิศเหนือของเมืองและสุสานเทพเซียนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ คนที่จะมาเซ่นไหว้บวงสรวงก็คือคนสองคนที่ในปีนั้นเคยออกไปจากเมืองเล็ก หนึ่งบุ๋นหนึ่งบู๊พอดี แล้วก็สร้างคุณูปการให้แก่ต้าหลีของพวกเราไว้มาก ช่างหร่วนมีความเห็นเช่นไร?”
น้ำเสียงของหร่วนฉงไม่ผ่อนคลาย “คนทั้งสองที่ได้รับควันธูปบุ๋นบู๊ เหมาะสมอย่างยิ่ง แต่สถานที่ตัดสินใจดีแล้วแน่หรือ? พวกเจ้าได้ถามความเห็นของผู้เฒ่าหยางบ้างหรือเปล่า?”
อู๋ยวนอึ้งอยู่กับที่ ถามอย่างระมัดระวัง “ช่างหร่วน ไม่ทราบว่าผู้เฒ่าหยางคือใคร?”
หร่วนฉงก็อึ้งงันไปเหมือนกัน ก่อนจะถามอย่างสนใจ “แม้แต่เรื่องนี้ อาจารย์ซิ่วหู่ผู้นั้นของเจ้าก็ไม่ได้บอกเจ้าหรือ? แต่ให้เจ้ามาเป็นผู้ตรวจการและพ่อเมืองเนี่ยนะ? อู๋ยวน เจ้าบอกกับข้ามาตามตรง เจ้าเองก็พอๆ กับฉีจิ้งชุนที่ทำพลาดในหน้าที่ กลายเป็นผู้ที่ถูกทอดทิ้ง เลยถูกเนรเทศมาที่นี่? หากเป็นแบบนี้ เรื่องที่ตกลงกันได้ไว้ก่อนหน้านี้ ข้าคงต้องกลับคำแล้วล่ะ”
อู๋ยวนมีร้อยปากก็ยากจะอธิบาย ทั้งไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไร เพราะตัวเขาเองก็งงเป็นไก่ตาแตกเหมือนกัน
ข้างบ่อแห่งหนึ่งที่ห่างออกไปไกล คนวัยเดียวกันสามคนนั่งยองอยู่บนพื้น หร่วนซิ่วกำลังสอนให้เฉินผิงอันรู้จักชื่อ ประโยชน์และความหมายของช่องโพรงทั้งหลาย ส่วนเด็กหนุ่มที่เพิ่มมาคนนั้นหน้าด้านพาตัวเองมาร่วมวงด้วย ตอนแรกเฉินผิงอันกับหร่วนซิ่วลบตัวอักษรทิ้ง ไม่พูดอะไร เอาแต่จ้องมองเขา เด็กหนุ่มคนนี้มีคิ้วตากระจ่างพิสุทธิ์ กลางหว่างคิ้วยังมีไฝสีแดงราวกับรูปวาดมังกรที่ถูกแต้มนัยน์ตาเม็ดหนึ่ง มองแล้วเป็นมงคลชวนให้คนชื่นชอบ แต่เฉินผิงอันกับหร่วนซิ่วประเมินความอดทนและความหนาของหนังหน้าเขาต่ำเกินไป เขาเอาแต่ยิ้มแต้มองซ้ายไปที่เด็กหนุ่มรองเท้าแตะทีหนึ่ง มองขวาไปที่เด็กสาวชุดเขียวทีหนึ่ง คนทั้งสามคุมเชิงกันได้ครึ่งก้านธูป เด็หนุ่มเหมือนจะรู้สึกว่าตัวเองก็ประเมินความอุตสาหะของคนทั้งสองข้างกายต่ำเกินไป ในที่สุดจึงเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อนด้วยภาษาถิ่นของเมืองเล็กอย่างไหลรื่น บอกว่าเขามาจากเมืองหลวง ติดตามใต้เท้าผู้ตรวจการมาชมทัศนียภาพของที่นี่ แล้วก็อยากไปดูภูเขาเครื่องปั้นมากเป็นพิเศษ
“พวกเจ้าคุยเรื่องช่องโพรงกันต่อสิ อย่าขี้เหนียวนักเลยน่า ข้าแค่ฟังด้วยจะเป็นไรไป? หรือว่าข้าฟังไปแล้วจะกลายเป็นเทพเซียนพสุธาได้ในทันที?”
หลังจากนั้นเฉินผิงอันกับหร่วนซิ่วก็ง่วนอยู่แต่เรื่องของตัวเอง ไม่คิดจะพูดคุยกับเจ้าคนประหลาดผู้นี้อีก
“อักษรตัวนี้ของเจ้าเขียนไม่ได้เรื่องเลย แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่เคยตั้งใจฝึกฝน ล่องลอยยิ่งนัก พอๆ กับเศษน้ำมันที่ลอยอยู่บนผิวน้ำเลย”
“แม่นาง ตรงนี้เจ้าอธิบายได้ไม่ครอบคลุมมากพอ คำที่ว่าต้มแผ่นดินอยู่ริมกระทะ และเขียนยันต์ไม่รู้หลัก ผีและเทพหัวเราะขัน แท้จริงแล้วก็คือแบบนี้นี่เอง…อ๋า พวกเจ้าข้ามช่องโพรงนี้ไปเลยเหรอ?”
“เฮอๆๆ แม่นางทำไมเจ้าไม่อธิบายให้เขาฟังล่ะว่าโพรงซานจงอยู่ตรงไหน มันยากเกินที่จะชี้ให้เขาดูใช่หรือเปล่า เฮ้อ แม่นาง หากเจ้าเขินอายล่ะก็ ข้าช่วยได้นะ…แม่นางในสายตาเจ้ามีปราณสังหารหรือนี่ เจ้าคงเข้าใจข้าผิดแน่แล้ว ความหมายของข้าก็คือข้าจะชี้ให้เขาดูว่าโพรงซานจงบนร่างข้าอยู่ตรงไหน หากเป็นโพรงซานจงบนรางของแม่นาง เกรงว่าเทพเซียนก็ยากที่จะหาได้พบ ข้าจะหาเรื่องใส่ตัวไปทำไม…”
“เอ๊ะ? แม่นางทำไมเจ้าต้องลงไม้ลงมือกันด้วยเล่า? ยังไม่เลิก? แม่นาง ข้าผิดไปแล้ว!”
“แม่นาง สามด่านตรงแผ่นหลังอย่างจุดเหวยหลวี เจียจี๋ อวี้เจิ่น ทำไมแม่นางก็ข้ามไปด้วยล่ะ คนโบราณบอกว่าสามจุดด่านหลังรู้เพียงหนึ่งก็ได้ผลทวีคูณ หดเกิ่น[1] ขยายเฉียน[2] คือหลักการที่ถูกต้อง เห็นได้ชัดว่ามันสำคัญมาก…”
ถึงท้ายที่สุด การปรากฏตัวของอู๋ยวนขุนนางผู้ตรวจการงานเตาเผาก็ได้ช่วยให้หร่วนซิ่วและเฉินผิงอันหลุดพ้นจากสถานการณ์อันน่าอึดอัดใจ เด็กหนุ่มพูดมากที่มีไฝแดงกลางหว่างติ้วกับขุนนางหนุ่มแห่งต้าหลีเดินเคียงไหล่กันออกไปจากร้านตีเหล็ก
เฉินผิงอันและหร่วนซิ่วนั่งบนปากบ่อน้ำ หร่วนซิ่วปรายตามองแผ่นหลังของคนทั้งสองแวบหนึ่งแล้วพูดเบาๆ ว่า “ชายหนุ่มคนโตนั้นเป็นขุนนาง ส่วนคนที่อยู่ข้างกายพวกเราเมื่อครู่นี้ ข้าไม่แน่ใจ แล้วก็ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติอะไร อาจจะเป็นเด็กรับใช้ของคนหนุ่มผู้นั้นกระมัง ตระกูลใหญ่หลายแห่งด้านนอกล้วนมีเพื่อนเรียนแบบนี้กันทั้งนั้น”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
หร่วนฉงเดินหน้าเคร่งเข้ามาใกล้บ่อน้ำ ทิ้งประโยคหนึ่งไว้ก็หมุนตัวจากไป “เฉินผิงอัน เจ้าตามข้ามา”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนอย่างมึนงง ก่อนหน้านี้แม่นางหร่วนบอกว่าบิดาของนางรับปากว่าจะให้ตนยืมเงินแล้ว แต่ว่าต้องรออีกประมาณสิบวัน หรือว่าเขาจะกลับคำแล้ว?
เด็กสาวชุดเขียวเดินตามอยู่ด้านหลังเฉินผิงอันด้วยความรู้สึกร้อนตัวเล็กน้อย
หร่วนฉงนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ แล้วบอกให้เฉินผิงอันนั่งบนเก้าอี้ที่อู๋ยวนเคยนั่งก่อนหน้านี้
หร่วนซิ่วกระแอมหนึ่งทีแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ท่านพ่อ เก้าอี้สองตัวนี้เฉินผิงอันเป็นคนทำ ไม่เลวใช่ไหมล่ะ?”
หร่วนฉงพูดหน้าดำ “ข้าจะคุยธุระกับเฉินผิงอัน ซิ่วซิ่วเจ้าอย่ามารบกวน”
เฉินผิงอันรีบนั่งตัวตรง “อาจารย์หร่วนเชิญพูด
หร่วนฉงหยิบเม็ดเงินกำหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ น่าจะประมาณสามสี่ตำลึง “ไปที่ตรอกฉีหลงในเมือง ซื้อเหล้าต้มดอกท้อมาให้ข้าหนึ่งกา เงินที่เหลือเจ้าก็ซื้อขนมมากินเอง”
หร่วนซิ่วไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่
หร่วนฉงแสร้งทำท่าเก็บเงิน “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไปเฝ้าไฟในเตาที่ห้องหลอมกระบี่แล้วกัน หนึ่งชั่วยามค่อยออกมา”
หร่วนซิ่วแย่งเงินมาแล้ววิ่งออกไป
รอจนลูกสาวตัวเองวิ่งห่างไปไกลแล้ว หร่วนฉงก็ถามเข้าประเด็น “เฉินผิงอัน เจ้ามีเงินเหรียญทองแดงแก่นทองอยู่สามถุงใช่หรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเป็นปกติ “ใช่”
ดูเหมือนว่าหร่วนฉงจะค่อนข้างถูกใจกับความซื่อสัตย์ของเด็กหนุ่ม สีหน้าจึงดีขึ้นหลายส่วน “ชาวบ้านธรรมดาในเมืองที่มีเงินเหรียญทองแดงแก่นทองสามถุงอย่างเจ้า ไม่มีคนที่สองอีกแล้ว ต่อให้เป็นสี่แซ่สิบตระกูลบนถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่ สกุลซ่งที่มีมากที่สุดก็ยังมีแค่สองถุง คนมากกว่านั้นมีกันแค่ถุงเดียว นอกจากนี้ครอบครัวเล็กๆ ในเมือง มีแปดครอบครัวที่ใช้สมบัติของบ้านตัวเองแลกเงินเหรียญทองแดงแก่นทองมาหนึงถุง ของเก่าแก่มีค่าของในเมืองเล็กส่วนใหญ่ล้วนตกสู่มือคนนอกไปหมดแล้ว ตอนนี้น่าจะเหลือแค่ประมาณเจ็ดแปดชิ้นที่สภาพพอใช้ได้”
“หลังจากนี้จะมีคนต่างถิ่นมาเยือนเมืองเล็กมากขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่าเจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของตัวเอง ที่ข้าพูดกับเจ้าอย่างตรงไปตรงมาก็เพราะหวังว่าเจ้าจะใช้เงินเหรียญทองแดงแก่นทองทั้งสามถุงในมือของตัวเองให้ดี ทั้งไม่ควรทิ้งไว้ในมือให้เสียเปล่า แล้วก็ไม่ควรใช้ฟุ่มเฟือยส่งเดช ทุกๆ หกสิบปีก่อนหน้าที่ข้าจะมาอยู่ เมืองเล็กจะมีการเปิดประตูเมืองหนึ่งครั้ง หลักๆ แล้วก็เพื่อปล่อยให้คนประมาณยี่สิบสามสิบคนเข้ามาในเมือง ให้พวกเขาตามหาโชควาสนาได้ตามใจชอบ แต่นับจากวันนี้เป็นต้นไปจะไม่มีกฎแบบนี้อีกแล้ว เมืองแห่งนี้จะเหมือนกับเมืองเล็กทั่วไปของต้าหลี ดังนั้นเงินเหรียญทองแดงแก่นทองสามถุงของเจ้าจะสะดุดตามากเป็นพิเศษ สุดท้ายแล้วจะนำปัญหามากมายที่ไม่จำเป็นมาสู่เจ้า และข้าคนนี้ก็เป็นพวกรำคาญความวุ่นวาย ถึงเวลานั้นคงต้องออกหน้าให้เจ้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่จะให้ข้าหร่วนฉงประมือกับพวกเด็กน้อยทุกสองวันสามวันก็ขายหน้าข้าเกินไป ดังนั้นข้าจึงมีข้อเสนออย่างหนึ่งให้แก่เจ้า จะฟังหรือไม่ ฟังจบแล้ว เจ้าก็ตัดสินใจเอาเอง”
“ก่อนจะพูดข้อเสนอแนะ มีเรื่องหนึ่งที่ต้องพูดกับเจ้าอย่างชัดเจนเสียก่อน ตอนนี้คือช่วงเวลาที่เหรียญทองแดงแก่นทองมีค่ามากที่สุด แต่กลับไม่ใช่ว่าใครก็สามารถใช้จ่ายมันได้ นอกจากสี่แซ๋ใหญ่แล้ว เกรงว่าสิบตระกูลเองก็คงไม่ใช่ข้อยกเว้น เพราะฮ่องเต้ต้าหลีคิดจะเปิดผนึกภูเขาทั้งหมดสามสิบเอ็ดลูกยกเว้นเขาพีอวิ๋น แล้วขายให้แก่กองกำลังสำนักใหญ่ต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับต้าหลี ราคาสูงต่ำของภูเขาสามสิบเอ็ดลูกนี้แตกต่างกันไปตามขนาดใหญ่เล็ก การที่โลกภายนอกแห่กันชิงสิ่งที่ไม่ถูกต้อง สาเหตุก็เป็นเพราะว่าค่ายกลใหญ่ของถ้ำสวรรค์หลีจูในเวลานี้พังทลาย ลดระดับลงมาเป็นเพียงพื้นที่วิเศษของในโลกมนุษย์ แม้ว่าปราณวิญญาณจะลดลง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับภูเขาใหญ่ทั่วไปแล้วก็ยังถือว่าสูงกว่าระดับใหญ่ ไม่เป็นรองเทือกเขาที่มีเทพภูเขาดั้งเดิมเฝ้าบัญชาการณ์เลยแม้แต่น้อย แล้วนับประสาอะไรกับที่ฮ่องเต้ต้าหลีรับปากแล้วว่าในอนาคตจะแต่งตั้งสถานที่แห่งนี้เป็นมหาเทพขุนเขา มีเทพภูเขาสามท่านและเทพลำธารหนึ่งท่าน มีทั้งเทพภูเขาและแม่น้ำมากมายขนาดนี้เฝ้าพิทักษ์ ทำให้ในระยะหนึ่งพันลี้ตลอดหกสิบปีหลังจากนี้จะยังคงมีฮวงจุ้ยดีเยี่ยม ปราณวิญญาณเปี่ยมล้น ดังนั้นธุรกิจการ ‘ซื้อภูเขา’ ในเวลานี้จึงมีแต่กำไร ไม่มีขาดทุน”
เฉินผิงอันถาม “หากวันนี้ข้าซื้อภูเขาลูกหนึ่ง พรุ่งนี้ข้าตาย จะทำอย่างไร?”
คำถามนี้ จี้ถูกจุดสำคัญในทันที
หร่วนฉงคลี่ยิ้มอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน “อันดับแรก ขอแค่เจ้าตั้งใจทำงาน ทำตัวเป็นคนดีอยู่ในเมืองเล็กแห่งนี้ ย่อมไม่มีทางตายแบบเฉียบพลันโดยไร้สาเหตุแน่นอน ยกตัวอย่างเช่นไม่ต้องกลัวว่าจะมีคนชั่วอย่างวานรย้ายภูเขามาหาเรื่องเจ้า ตอนนี้เมืองเล็กไม่มีข้อห้ามอะไรอีกแล้ว สิ่งที่ฉีจิ้งชุนเป็นกังวล แต่ข้าไม่ สิ่งที่ฉีจิ้งชุนต้องปฏิบัติตาม ข้าก็ไม่ต้องทำ ดังนั้นข้าสามารถออกหน้าช่วยเจ้าจัดการได้ เพราะเมื่อมาถึงเวลานี้ นี่ถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว อันดับที่สอง ราชสำนักต้าหลีเปิดขายภูเขา ก็เพื่อช่วงชิงผลบุญจากควันธูปจากนอกขอบเขตของต้าหลี ถือเป็นการขาดทุนเงิน แต่ได้กำไรจากใจคน หลังจากรับปากขายภูเขาลูกใดไปแล้ว ภายในเวลาสามร้อยปี ต่อให้คนซื้อภูเขาตายไปแล้ว หรืออาจถึงขั้นไม่มีลูกหลานสืบทอด ภายในสามร้อยปี ต้าหลีก็จะไม่มีทางเก็บภูเขาคืนมาเป็นของตนโดยพลการเด็ดขาด แต่จะปล่อยให้มันเก่าโทรมไปเอง สุดท้ายก็คือ ครั้งนี้ข้าจะได้ภูเขามาครองก่อนสามลูก ฮวงจุ้ยย่อมดีเยี่ยม หากหลังจากนี้เจ้าเองก็ได้มาสองสามลูก พวกเราสามารถซื้อพื้นที่ติดกันเป็นเพื่อนบ้าน สมมติว่าเจ้าไม่มีกำลังพอให้เปิดภูเขาคว้าผลประโยชน์ ต่อให้ได้แค่เปิดให้ข้าเช่าเป็นเวลาสามร้อยปี เจ้าก็ยังจะได้กำไรทุกปี เป็นเสือนอนกิน ลูกหลานรุ่นหลังก็เป็นเช่นเดียวกัน”
นี่คือความร่ำรวยที่เป็นดั่งน้ำน้อยไหลยาว ตระกูลสูงศักดิ์กี่มากน้อยที่เฝ้าปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน
หร่วนฉงไม่ต้องการเยินยอตัวเอง จึงไม่ได้บอกความลับทั้งหมดออกมา
เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู้ “อาจารย์หร่วน ราคาของภูเขาพวกนั้นคือประมาณเท่าไหร่?”
หร่วนฉงตอบอย่างไม่คิดมาก “ภูเขาลูกที่เล็กที่สุดซึ่งมีเพียงยอดเขาแห่งเดียวโดดเดี่ยวนั้น ถูกราชสำนักต้าหลีตั้งชื่อให้ว่าภูเขาเจินจู (ไข่มุกที่แท้จริง) ราคาคือเหรียญทองแดงแก่นทองหนึ่งเหรียญ แต่ว่าจำเป็นต้องเป็นเงินอิ๋งชุนเท่านั้น”
เฉินผิงอันตะลึง “แค่เหรียญเดียวเท่านั้นหรือ?”
หร่วนฉงตอบยิ้มๆ “พื้นที่ใหญ่แค่ก้น ตั้งชื่อสวยงาม แท้จริงแล้วไม่ควรเรียกว่ายอดเขาเลยด้วยซ้ำ ก็แค่เนินเขาเท่านั้น เงินอิ๋งชุนหนึ่งเหรียญ ไม่คุ้มค่า นี่เป็นเพราะว่าต้าหลีไม่สามารถตั้งราคาเป็นเหรียญทองแดงแก่นทองครึ่งเหรียญได้ก็เท่านั้น”
เฉินผิงอันพึมพำ “แค่เหรียญเดียวเท่านั้น ต่อให้เป็นภูเขาที่เล็กแค่ไหน ห้าร้อยปี สามร้อยปีเต็มก็ล้วนเป็นของตัวเอง ทำไมถึงจะเรียกว่าไม่คุ้มล่ะ”
หร่วนฉงกล่าวต่อไปว่า “ภูเขาขนาดกลางอย่างเขาเสวียนหลี เขาต้าแยน เขาเหลียนเติง ฯลฯ คาดว่าทางฝ่ายต้าหลีน่าจะตั้งราคาไว้ที่เหรียญทองแดงแก่นทองสิบถึงสิบห้าเหรียญโดยประมาณ เทือกเขาเล็กสายหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดและภูเขาอีกสองลูกอย่างเทือกเขาคูเฉวียน ภูเขาเซียงฮั่ว ภูเขาเสินซิ่วล้วนต้องจ่ายยี่สิบห้าถึงสามสิบเหรียญทองแดงแก่นทอง นี่ยังเป็นราคาที่ไม่มีใครแย่งชิงกัน แต่หากสืบสาวกันถึงแก่นแล้ว สิ่งที่ต้าหลีต้องการเก็บไว้หาใช่แก่นทองแต่ละถุงไม่ แต่เป็นสี่แซ่สิบตระกูล รวมไปถึงเส้นสายของพวกเขาที่อยู่ในแจกันสมบัติทวีปบูรพา หวังว่าภูเขาทรัพย์เบื้องหลังที่พวกเขาพึ่งพาอย่างแท้จริงจะเผยโฉมหน้า เป็นฝ่ายมาผูกมิตรกับต้าหลีด้วยตัวเอง”
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “อาจารย์หร่วน ถ้าถึงเวลานั้นข้าคงได้เปรียบมาก นั่นก็เท่ากับว่ามีหน้ามีตามากเลยล่ะสิ? จะไม่ถูกคนอื่นเกลียดแค้นฝังใจหรอกหรือ?”
หร่วนฉงหัวเราะฮ่าๆ “เจ้าก็มีที่พึ่งเหมือนกันนี่นา ห่างไกลสุดขอบฟ้า ใกล้เพียงปลายขนตา”
เฉินผิงอันเกาหัว ไม่ได้ตอบรับในทันที
หร่วนฉงไม่เพียงแต่ไม่หงุดหงิดกับการไม่รู้จักความหวังดีของคนอื่นของเด็กหนุ่มรองเท้าแตะ กลับยังกล่าวอย่างชอบใจ “ไม่ได้ลืมกำพืดของตัวเอง ไม่เลว หลังกลับไปถึงตรอกหนีผิงแล้วก็จงคิดให้ดีๆ พรุ่งนี้จะได้มีคำตอบให้กับข้า หากปล่อยไว้นานเข้าอาจเกิดเหตุไม่คาดฝัน ข้าไม่ได้ขู่เจ้า แต่นี่คือความจริง”
หลังออกมาจากร้านตีเหล็ก เฉินผิงอันก็เดินตรงไปจนถึงสะพานหินโค้งโดยที่ยังไม่คืนสติจากความตกตะลึง
ในอดีตเด็กหนุ่มก็เคยจินตนาการว่าอนาคตตัวเองจะร่ำรวย
ยกตัวอย่างเช่นสามารถกินซาลาปาเนื้อ พุทราเชื่อมได้ทุกสามวันห้าวัน หน้าบ้านแปะกลอนคู่ ภาพเทพทวารบาลและตัวอักษรฝู ซ่อมแซมบ้านบรรพบุรุษให้แข็งแรง เวลาไปทำความสะอาดสุสานให้พ่อแม่สามารถพกเหล้าดีสักกา และขนมสักห่อไปฝากด้วยได้ เป็นต้น
ตีให้ตายก็ไม่เคยมีวันใดที่เฉินผิงอันคิดว่าตัวเองจะสามารถได้ครอบครองภูเขาใหญ่หนึ่งลูก หรืออาจจะหลายลูก
—-
[1] เกิ่น(艮) หนึ่งในตรีลักษณ์ทั้งแปดซึ่งก็คือสัญลักษณ์อันเป็นตัวแทนของปรากฏการณ์ในธรรมชาติแปดอย่าง เกิ่นคือตัวแทนของภูเขา
[2] เฉียน(乾)หนึ่งในตรีลักษณ์ทั้งแปดซึ่งก็คือสัญลักษณ์อันเป็นตัวแทนของปรากฏการณ์ในธรรมชาติแปดอย่าง เฉียนคือตัวแทนของท้อง