บทที่ 77 ขึ้นเขา
หลังจากวิ่งกลับมาถึงร้านตีเหล็ก ซิ่วหร่วนก็พบว่าเหลือเพียงบิดาของตนนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่เพียงลำพัง จึงส่งเหล้ากานั้นไปให้ จากนั้นตัวเองก็นั่งลงบนเก้าอี้อีกตัว “ท่านพ่อ พวกท่านคุยธระกันเสร็จแล้วหรือ?”
หร่วนฉงเปิดฝากาเหล้า ยังไม่ต้องดื่ม เพียงแค่สูดกลิ่นก็รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย นี่คือเหล้าต้มดอกท้อวสันต์ไม่ผิดแน่ แต่ไม่ใช่เหล้าต้มดอกท้อวสันต์ชั้นยอดที่มีราคาถึงสองตำลึง เห็นได้ชัดว่าเป็นเหล้าต้มราคาย่อมเยาที่สุดซึ่งราคาแค่แปดเหรียญเท่านั้น หางตาของหร่วนฉงเหลือบมองไปยังบุตรสาวของตัวเองที่สองมือบิดชายกระโปรง สายตาล่อกแล่กไม่อยู่นิ่งเหมือนโจรที่กลัวคนจับได้ เห็นได้ชัดว่ากลัวตนจะเปิดโปงนาง หร่วนฉงถอนหายใจอยู่ในใจ ได้แต่แสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพียงเงยหน้ากรอกเหล้าเข้าปากหนึ่งอึก ความโมโหอัดแน่นอยู่เต็มท้อง ทว่าชายวัยกลางคนก็ได้แต่กล่าวเนิบช้าว่า “คุยจบแล้ว พอคุยกันได้ เดี๋ยวจากนี้ข้าจะให้คนไปที่จวนตรวจการงานเตาเผา ไปหาขุนนางต้าหลีคนที่ชื่ออู๋ยวนผู้นั้น แล้วเอาแผนที่ภูเขาแม่น้ำสองฉบับเก่าใหม่มา คาดว่าเมื่อเฉินผิงอันนึกได้ ย่อมต้องมาขอจากข้าแน่”
หร่วนซิ่วโล่งใจเหมือนยกภูเขาหนักอึ้งออกจากอก ร้องอ้อรับด้วยรอยยิ้ม ดึงขาทั้งสองข้างแนบติดกันแล้วยื่นออกไป ยืดแขนบิดขี้เกียจอย่างสบายใจแล้วจึงเอนหลังพิกพนักเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กที่เรียบลื่นให้ความรู้สึกเย็นเล็กน้อย
หร่นฉงนึกถึงว่าตัวเองต้องตั้งต้นชีวิตอยู่ที่นี่ ทุกการเริ่มต้นยากเสมอ ทว่าสัญญาณเริ่มต้นกลับดีไม่น้อย อารมณ์ของเขาจึงดีขึ้นหลายส่วน เลยพูดชมเฉินผิงอันอย่างที่หาได้ยาก “เจ้าเด็กตรอกหนีผิงนั่น นิสัยเรียบง่ายก็จริง แต่แท้จริงแล้วกลับไม่โง่เลย”
หร่วนซิ่วยิ้มอารมณ์ดี “ท่านพ่อ นั่นเขาเรียกว่าน้ำนิ่งไหลลึก เข้าใจไหม?”
หร่วนฉงหัวเราะเฮอๆ ไม่พูดอะไร
แต่ในใจชายวัยกลางคนกลับสบถว่า ข้าไม่เข้าใจกะผีน่ะสิ
หร่วนฉงทอดสายตามองไปยังลำธารที่ห่างไปไกล สองนิ้วกุมหูกาเหล้าส่ายเบาๆ “คำพูดบางอย่าง พ่อไม่สะดวกพูดกับเขาตรงๆ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เขาคิดเลื่อนเปื้อนไปไกล จากที่คิดจะอวดความสามารถกลับอาจกลายเป็นการปล่อยไก่ พรุ่งนี้เจ้าพบเขา เจ้าเป็นคนพูดแล้วกัน”
หร่วนซิ่วถามอย่างสงสัย “เรื่องอะไร?”
หร่วนฉงเงียบไปครู่หนึ่ง ยกกาเหล้าขึ้นจิบอีกคำเล็กๆ ก่อนจะพูดว่า “เจ้าบอกกับเขาไปว่า อย่าได้ไปคาดหวังกับภูเขาหลงจี๋ ต่อให้เป็นพวกห้าขอบเขตบนบางส่วนที่ไม่มีคนหนุนหลัง ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะกล้าเอ่ยขอ แท่นสังหารมังกรก้อนใหญ่ขนาดนั้น ศาลลมหิมะและเขาเจินอู่ลงแรงไปไม่น้อย บวกกับที่สถานะของพ่อในตอนนี้ถึงพอจะฮุบเอามาเป็นของตัวเองได้อย่างกล้อมแกล้ม แต่นี่ก็ยังทำให้คนไม่น้อยอิจฉาตาร้อน แอบเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่หลังม่าน แน่นอนว่าเจ้าไม่ต้องอธิบายอ้อมค้อมแบบนี้ให้เฉินผิงอันฟัง พูดตรงประเด็นให้เขาเข้าใจไปเลยว่าอย่าได้มีความหวังกับเขาหลงจี๋ อีกอย่างก็คือคราวนี้ราชสำนักต้าหลีขายยอดเขาในราคาต่ำ แต่จะอย่างไรซะจำนวนรวมก็มีแค่หกสิบกว่าลูก เขาเฉินผิงอันมากสุดก็ซื้อไว้ให้แค่ห้าลูกเท่านั้น มากกว่านี้ก็ยากที่ข้าจะคุ้มครองเขาและภูเขาของเขาได้อย่างเต็มที่ ข้อที่สาม เมื่อครู่นี้พ่อก็เพิ่งตัดสินใจว่าจะรีดไถภูเขาสามลูกซึ่งมีภูเขาเสินซิ่วเป็นหลักมาจากต้าหลี เจ้าบอกเฉินผิงอันว่าตอนที่ตรวจดูแผนที่สภาพแวดล้อม ให้จับสังเกตภูเขาน้อยใหญ่รอบภูเขาเสินซิ่ว ภูเขาเที่ยวเติงและยอดเขาเหิงซั่ว พ่อไม่ใช่คนไร้เหตุผล ไม่มีทางให้เขาเอาเงินทั้งหมดไปทิ้งไว้ในบริเวณใกล้เคียง แค่หวังให้เขาเอาเหรียญทองแดงแก่นทองออกมาครึ่งหนึ่งก็พอ จะว่าไปแล้ว หากเขาฉลาดจริงๆ ซื้อภูเขาสักลูกสองลูกรอบๆ ภูเขาของพ่อเจ้าเก็บไว้ต่างหาก ถึงจะเป็นหนทางที่ถูกต้อง สุดท้ายเจ้าสามารถบอกเขาได้ว่า หากสามารถเก็บเงินเหรียญทองแดงไว้ได้สักสี่ห้าเหรียญก็ควรจะซื้อร้านสองสามร้านในเมืองเก็บไว้ คาดว่าในอนาคตต้องมีร้านที่ไม่เลวจำนวนมากถูกเปลี่ยนมือ เพราะตระกูลในเมืองเล็กมากมายที่มีความสัมพันธ์กับคนด้านนอกต่างก็ต้องพากันย้ายออกไป ดังนั้นราคาขายย่อมไม่แพง มากสุดก็แค่หนึ่งเหรียญทองแดงเท่านั้น”
หร่วนซิ่วถามหยั่งเชิง “ท่านพ่อ ถ้าไม่อย่างนั้นท่านซื้อร้านยาสุ่ยเก็บไว้ดีไหม? เหรียญทองแดงสองถุงของข้า ท่านเป็นคนเก็บไว้ไม่ใช่หรือ ท่านคืนมาให้ข้าก่อนเหรียญหนึ่ง แค่เหรียญเดียว ดีไหม?”
หร่วนฉงโมโหจนขำ “เหรียญทองแดงที่อยู่กับพ่อ เจ้าไม่ต้องหวังแล้ว รีบตัดใจซะเถอะ ใช่แล้ว เจ้าไปขอให้เฉินผิงอันควักกระเป๋าดูสิ ตอนนี้เขาต่างหากที่เป็นเศรษฐีของเมืองเรา”
หร่วนซิ่วตอบอย่างไม่ลังเล “ทำแบบนั้นจะได้อย่างไร เขาจนจะตายไป ขนาดเงินแค่สิบกว่าตำลึงยังต้องขอยืมจากคนอื่นเลย”
มุมปากหร่วนฉงกระตุก อดไม่ไหวจึงหันไปถาม “อ้อ เงินของพ่อไม่ใช่เงิน แต่เงินของเฉินผิงอันถึงจะเป็นเงินงั้นรึ?”
หร่วนซิ่วหัวเราะคิกคัก “ก็ข้าไม่สนิทกับเขานี่นา”
หร่วนฉงเก็บจะกระอักเลือดเก่าออกมา ยังจะบอกว่าไม่สนิทอีกรึ? ไม่สนิทเจ้าจะยังใจดำให้พ่อตัวเองดื่มเหล้ารสชาติทุเรศ จากนั้นเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองเพื่อจะเก็บเงินให้เจ้าลูกเต่านั่นยืมรึ? ลูกสาวเจ้าคิดว่าต้องสนิทถึงขั้นไหนถึงจะเรียกว่าสนิท? หร่วนฉงกรอกเหล้าต้มรสชาติแสนธรรมดาเข้าปากอย่างแรง ลุกขึ้นยืน “จะอย่างไรซะสิ่งที่ต้องพูดพ่อก็พูดไปแล้ว เจ้าคิดทบทวนคำที่จะใช้พูดกับเฉินผิงอันพรุ่งนี้เองแล้วกัน”
ชายวัยกลางคนก้าวยาวๆ จากไป อันที่จริงใช้ก้นคิดเขาก็รู้ได้ว่า อะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด พรุ่งนี้บุตรสาวเขาจะพูดออกไปทั้งหมด
หร่วนฉงยิ่งคิดยิ่งอัดอั้น จะด่าบุตรสาวก็ไม่ได้ จะตีเจ้าลูกหมาที่เลื่อยขาเก้าอี้ตนก็ไม่ได้ ชายวัยกลางคนจึงได้แต่สบถด่าเบาๆ พอเดินมาถึงจุดที่รอบกายไม่มีผู้คนถึงได้โยนกาเหล้าว่างเปล่าที่ต่อให้รสชาติทุเรศแค่ไหนก็ดื่มจนเกลี้ยงทิ้งไป ก่อนจะทะยานร่างขึ้นสูง เพียงชั่วพริบตาก็พลิ้วกายลงมาตรงหน้าประตูร้านขายเหล้าต้มดอกท้อวสันต์ เวลานี้แน่นอนว่าร้านต้องปิดไฟพักกิจการแล้ว เขาเคาะประตูอย่างแรง ไม่นานก็มีหญิงแต่งงานแล้วคนหนึ่งลุกจากเตียงเดินงัวเงียจากลานบ้านด้านหลังมาเปิดประตู ปากก็แผดเสียงด่าทอว่า “จะรีบไปตายหรือไง” “ดึกดื่นค่อนคืนยังคิดจะดื่มเหล้า ทำไมเจ้าไม่ดื่มเยี่ยวซะล่ะ ไม่ต้องเปลืองเงินด้วย” “กล้ามาเคาะประตูบ้านหญิงหม้ายตอนดึก ไม่กลัวว่ามารดาจะตัดไอ้จ้อนเจ้าทิ้งหรือไง” อย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย
หร่วนฉงยืนอยู่หน้าประตู สีหน้าดำทะมึน ไม่พูดอะไรสักคำ
พอเห็นว่าเป็นช่างหร่วนของร้านตีเหล็ก หญิงแต่งงานแล้วอาศัยแสงจันทร์เหลือบมองท่อนแขนของชายฉกรรจ์วัยกลางคนที่กล้ามเนื้อตึงแน่น สีหน้าก็พลันแปรเปลี่ยน คิ้วตาแผ่ความนุ่มนวลดุจเส้นผม ดึงแขนชายฉกรรจ์อย่างกระตือรือร้อ แข็งแกร่งปานเหล็กซะจริงๆ รอยยิ้มของหญิงแต่งงานแล้วที่เป็นดั่งผืนดินแตกแห้งพบเจอฝนชุ่มฉ่ำยิ่งเชิญชวนเร่าร้อน ตอนที่นำทางยังเดินสะดุดทำท่าจะล้มลงในอ้อมกอดของชายฉกรรจ์ เสียดายก็แต่ชายตีเหล็กไม่เข้าใจการเชื้อเชิญของหญิงสาว จึงแค่ประคองไหล่นางเบาๆ สุดท้ายเขาทิ้งเงินไว้ให้ หยิบกาเหล้าสองกาได้ก็ก้าวยาวๆ จากไป
หญิงแต่งงานแล้วยืนอยู่หน้าประตู ใบหน้าเต็มไปด้วยแววเหยียดหยาม เอ่ยเยาะเสียงดัง “เป็นถึงชายฉกรรจ์แข็งแรงล่ำสัน แต่ทำตัวกระจอกราวกับนก! ช่างหร่วน (หร่วนคำนี้หมายถึงอ่อนนุ่มออกเสียงเหมือนแซ่หร่วนของหร่วนฉง) อ้อ ไม่สิ ช่างหร่วน วันหน้าหากมาซื้อเหล้าที่ร้านข้าอีก ข้าจะเก็บเงินเจ้าสองเท่า! หากวันไหนเอวของช่างหร่วนแข็งพอ ไม่แน่ว่าข้าอาจจะไม่เก็บเงินสักอีแปะเดียว ดื่มเหล้าไม่คิดเงิน นอนกับคนก็ไม่คิด”
หร่วนฉงเดินไปสุดปลายถนนอย่างเฉยเมย ก่อนที่ร่างเขาจะขยับวูบ ไม่ได้ย้อนกลับไปยังร้านทางทิศใต้ของเมือง แต่มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ มาหยุดอยู่หน้าภูเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง
ทั้งหมดล้วนเป็นเครื่องปั้นแตกหัก กองทับถมกันเป็นภูเขา
ตอนที่อยู่ห่างจากภูเขาเล็กลูกนี้ไปประมาณสามสิบก้าว หร่วนฉงก็หาที่ว่างแล้วนั่งลงขัดสมาธิ
น้ำเสียงหนึ่งดังขึ้นไม่ไกล “บังเอิญจริง เจ้าเองก็อยู่ด้วยหรือ”
หร่วนฉงพยักหน้ารับ โยนเหล้ากาหนึ่งออกไป
ผู้เฒ่ารับเหล้ามา ชั่งน้ำหนักเล็กน้อยก็จุ๊ปากพูด “ไปซื้อเหล้าร้านหญิงหม้ายหลิวเอาในเวลานี้ เป็นผู้ชายก็ยังเป็นฝ่ายเสียเปรียบได้”
แน่นอนว่าหร่วนฉงไม่คิดจะคุยเรื่องนี้ จึงถามว่า “ผู้เฒ่าหยาง เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างกายอู๋ยวนผู้ตรวจการคนใหม่คือเทพเจ้าจากฝ่ายใดกันแน่ ข้ามองความตื้นลึกของเขาไม่ออก ดูภายนอกไม่ต่างจากคนปกติเลย”
ผู้เฒ่าก็คือหยางเหล่าโถวของร้านตระกูลหยาง เขาดื่มเหล้าหนึ่งอึกก่อนตอบ “สถานะไม่รู้ แต่คำโบราณกล่าวไว้ดี ผู้มาไม่เป็นมิตร ผู้เป็นมิตรไม่มา ถูกไหมล่ะ?”
หลังหยางเหล่าโถวพูดประโยคนี้จบก็หัวเราะพลางเงยหน้ามองไปด้านบน
ยอดเขาเครื่องปั้นมีเด็กหนุ่มชุดเขียวคนหนึ่งยืนสอดมือสองข้างไว้ในชายแขนเสื้อ กลางหว่างคิ้วมีไฝสีแดง รอยยิ้มดุจสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
เด็กหนุ่มดึงมือข้างหนึ่งออกจากชายแขนเสื้อแล้วยกขึ้นโบก “เข้าประตูต้องเรียกคนก่อน เข้าวัดต้องกราบไหว้เทพเจ้าก่อน ข้ารู้กฎระเบียบ ก่อนหน้านี้ไปพบอาจารย์หร่วนมาแล้ว จึงมาพบผู้เฒ่าหยาง ในด้านมารยาทหาข้อตำหนิไม่เจอ”
หยางเหล่าโถวไม่ได้ดื่มเหล้าต่อ ไม่รู้ว่าเขาไปหยิบเชือกเส้นหนึ่งมาจากที่ไหน เขารอยกาเหล้าเข้ากับเชือกแล้วรัดไว้ที่เอว สูบยาหนึ่งที เอ่ยยิ้มๆ “ขึ้นเขาลงห้วย วาดยันต์ให้กลัว เพียงแต่ไม่รู้ว่ายันต์ที่เจ้าวาดเป็นยันต์ผีหรือยันต์เทพเซียนกันแน่?”
เด็กหนุ่มเก็บมือ โน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย ยิ้มตาหยี “ไม่ว่าผู้เฒ่าหยางและอาจารย์หร่วนจะเข้าใจผิดเช่นไร สรุปคือข้ามาเยี่ยมเยือนครั้งนี้รับรองว่าหลังจากทักทายท่านทั้งสองแล้ว จะไม่มาพบหน้าอีก อืม หากจะต้องพบเจอจริงๆ เกรงว่าคงต้องเป็นที่เขตการสร้างหอเฉิงหวงเท่านั้น เพราะมันอยู่ในความรับผิดชอบของข้าชั่วคราว ซึ่งอาจจะล้ำเขตท่านทั้งสองมาบ้าง ส่วนหอเหวินชาง ศาลอู่เซิ่งอะไรนั่น ข้าไม่สน ข้าสนแค่หอเฉิงหวงที่เล็กเท่าเมล็ดงาเมล็ดถั่วเขียวของข้าเท่านั้น”
อิงตามคำพูดของชาวบ้านร้านตลาด ในขอบเขตของอำเภอแห่งหนึ่ง นายอำเภอจะเป็นผู้ดูแลกิจการงานทั้งหมดในเขตปกครองในยามกลางวัน ส่วนเทพเฉิงหวง (เหมือนเจ้าหลักเมือง) ดินเหนียวที่ประดิษฐานอยู่บนแท่นสูงองค์นั้น แท้จริงแล้วจะรับผิดชอบคอยจับตามองเหตุการณ์ในยามค่ำคืน
หร่วนฉงขมวดคิ้วแน่น เป็นขุนนางกรมพิธีการของราชสำนักต้าหลี? หรือเป็นผู้ฝึกลมปราณสำนักโหราศาสตร์?
แต่ไม่ว่าเบื้องหลังเขาจะเป็นกรมพิธีการ สำนักโหราศาสตร์หรือว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในวังหลวงต้าหลี ในเมื่อสามารถมายืนอยู่บนยอดภูเขาเครื่องปั้นได้อย่างใจกล้า อย่างน้อยก็ต้องเป็นนักพรตขั้นสิบคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของห้าขอบเขตกลางแน่นอน
ดังนั้นเด็กหนุ่มคนนี้ต้องไม่ใช่เด็กหนุ่มแน่
นักพรตหน้าตางามพิสุทธิ์ที่กลางหว่างคิ้วคล้ายแต้มชาดหนึ่งจุดมองหยางเหล่าโถวแล้วพูดว่า “ท่านผู้เฒ่า มีคำพูดที่อยากจะเตือนไว้ก่อน ระมัดระวังรอบคอบ ย่อมล่องเรือได้นานนับหมื่นปี”
หยางเหล่าโถวสูบยาอย่างแรงหนึ่งคำ แต่สุดท้ายกลับพ่นออกมาเป็นควันกลุ่มหนึ่งที่เล็กบางอย่างมาก อีกทั้งยังสหลายไปท่ามกลางฟ้าดินอย่างรวดเร็วด้วย
มือทั้งคู่ของนักพรตที่หน้าตาน่ามองยังคงสอดอยู่ในชายแขนเสื้อ เพียงแต่ว่าชายแขนเสื้อของเขาสั่นไหวน้อยๆ เหมือนว่านิ้วทั้งสิบของเขากำลังทำมุทรา
หร่วนฉงถอนหายใจหนักๆ หนึ่งครั้ง “เห็นแก่หน้าข้า ทั้งสองท่านโปรดหยุดเพียงเท่านี้เถิด หาไม่แล้วหากพวกเราสามคนต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ รัศมีพันลี้ของที่แห่งนี้จะไม่ราบเป็นหน้ากลองไปเลยหรือ?”
ชายหนุ่มรีบเอามือทั้งสองโผล่ออกจากชายแขนเสื้อแล้วชูขึ้นสูง เหมือนผู้ต้องสงสัยที่เปลี่ยนแปลงการกระทำตามสถานการณ์ กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ข้าไม่มีปัญหา”
หยางเหล่าโถวสูดจมูกหนึ่งที ควันสีเขียวอมม่วงสองกลุ่มที่แทบจะมองไม่เห็นหายเข้าไปในจมูกของผู้เฒ่าอย่างรวดเร็ว
ผู้เฒ่าหัวเราะหยัน “เจ้ารู้อะไรไม่น้อยเลยนี่”
ชายหนุ่มยกมือขึ้นคีบจมูก “ไม่มากไม่น้อยกำลังดี ยกตัวอย่างเช่นข้ารู้แค่ว่าควรเรียกท่านว่าท่านชิง…ต้า ไม่ใช่ท่านผู้เฒ่าหยางอะไร”
เด็กหนุ่มจงใจละอักษรตัวหนึ่งไป
ไม่ได้ล้อเล่นหรือรู้สึกสนุกสนาน แต่นาทีที่อักษรคำนั้นจะหลุดออกจากปาก เขาสัมผัสได้ถึงปราณสังหารจากผู้เฒ่าอย่างแท้จริง ทั้งยืนกรานและเด็ดเดี่ยว ดังนั้นเขาจึงเลือกจะถอยให้ก้าวหนึ่งชั่วคราว
ร่างของเด็กหนุ่มหงายไปทางด้านหลัง กล่าวยิ้มๆ “จบกันเพียงเท่านี้ หวังว่าจะไม่ต้องเจอกันอีก” เส้นทางกว้างใหญ่ สะพานไม้เดียวดาย หรือด่านประตูผี ต่างคนต่างเดิน ต่างคนต่างแสดงอภินิหารกันไปคนละด้าน”
เด็กหนุ่มชุดเขียวที่เอนถอยไปด้านหลังหายตัวไปอย่างว่องไว
หร่วนฉงกล่าวเสียงหนัก “มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นห้าขอบเขตบน!”
หยางเหล่าโถวหลุดหัวเราะพรืด “ตกอกตกใจไปได้ เจ้าหร่วนฉงก็ไม่ใช่ห้าขอบเขตบนหรอกหรือ ต่อให้แจกันสมบัติทวีปบูรพาจะเล็กแค่ไหนก็เป็นหนึ่งในเก้าทวีป อย่าว่าแต่นักพรตชั้นที่สิบเอ็ด สิบสองเลย แม้แต่นักพรตชั้นที่สิบสามก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสปรากฎตัว”
อารมณ์ของหร่วนฉงยังไม่ผ่อนคลาย ส่ายหน้ากล่าวว่า “จะอย่างไรซะข้าก็เพิ่งเลื่อนสู่ชั้นที่สิบเอ็ด ขอบเขตยังไม่มั่นคง แม้ว่าจะถือกำเนิดในสำนักการหทาร พอจะเชี่ยวชาญวิถีการจู่โจม และวิชาการเข่นฆ่าอยู่บ้าง แต่…”
ผู้เฒ่าโคลงศีรษะ หมุนกายจากไป มือถือกระบอกยาสูบ พ่นควันโขมง “เจ้ารู้จักพอเถอะ นักพรตบนโลกมากมายดารดาษ แต่นักพรตชั้นสิบก็ถือว่าหายากดุจขนหงส์เขากิเลนแล้ว นับประสาอะไรกับห้าขอบเขตบน จะว่าไปแล้ว อันที่จริงเจ้ากริ่งเกรงคนผู้นั้น ไฉนเลยที่คนผู้นั้นจะไม่กริ่งเกรงเจ้าเช่นกัน เครื่องกระเบื้องชนเครื่องหยก แท้จริงแล้วพวกเจ้าทั้งสองต่างก็ร้อนตัวกันไปเอง”
หร่วนฉงคิดดูแล้วก็เห็นด้วย เดิมทีเขาก็ไม่ได้มีนิสัยยึดติดดึงดันอยู่แล้ว จึงไม่มัวมาคิดเล็กคิดน้อยกับความเป็นมาของเด็กหนุ่มประหลาดคนนั้นอีก สองฝ่ายเป็นน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับน้ำคลองย่อมดีที่สุด อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขย่อมนำพาความร่ำรวยมาให้
เสียงตูมดังสนั่นหวั่นไหว ร่างของหร่วนฉงทะยานขึ้นฟ้า พอไปถึงทะเลเมฆก็ร่วงลงมาที่ธารน้ำอย่างรวดเร็ว
หยางเหล่าโถวที่เดินเตร่กลับเมืองหัวเราะร่า “คนหนุ่มเปี่ยมพลังชีวิต”
……
เด็กหนุ่มชุดเขียวคนหนึ่งเดินอยู่ในตรอกของเมืองเล็กพลางพึมพำกับตัวเอง “คำสั่งห้ามยามวิกาลต้องมี ยามรักษาการณ์ต้องมี ตลาดก็ต้องมี ฟื้นฟูแหล่งทรุดโทรม ใต้เท้านายอำเภอของพวกเรามีเรื่องให้ต้องยุ่งวุ่นวายแล้ว”
เด็กหนุ่มหน้าตาใส่สะอาดกลางหว่างคิ้วมีไฝแดงควงพวงกุญแจเก่าแก่พวงหนึ่งบนนิ้วมือตัวเองเบาๆ เดินเข้ามาในตรอกแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าตรอกเอ้อหลาง มันอยู่ติดกับตรอกซิ่งฮวา เล่าลือกันว่าในอดีตเคยมีบุคคลที่ร้ายกาจมากสองคนปรากฎตัว แต่ว่าเป็นใครและทำอะไร กลับไม่มีใครบอกได้ นานวันเข้าก็กลายมาเป็นเพียงเรื่องเล่าในอดีตที่เหล่าผู้เฒ่าหยิบยกมาคุยโม้กันใต้ต้นไหวโบราณเท่านั้น
ตอนนี้พอต้นไหวโบราณล้มลง จำนวนประชากรในเมืองเล็กก็คล้ายจะลดลงไปมาก พวกเด็กๆ สัมผัสได้ไม่ชัดเจนนัก ทว่าคนหนุ่มสาวกลับรู้สึกว่าการมองเห็นกว้างไกลยิ่งกว่าเดิม มีพื้นที่ว่างโล่งขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นมาอีกแห่ง ดียิ่งนัก มีเพียงพวกคนแก่ที่คิดถึงวันเวลาในอดีตเท่านั้นที่จะทอดถอนใจบ้างเป็นบางครั้ง ตรอกเอ้อหลางและตรอกซิ่งฮวาไม่มีคนรวยตระกูลสูงศักดิ์ใหญ่โตอยู่อาศัย แน่นอนว่าเทียบกับบนไม่มากพอ เทียบกับล่างกลับเหลือเฟือ ยกตัวอย่างเช่นชาวบ้านในบริเวณใกล้เคียงอย่างคนตรอกหนีผิงที่หากคนคนของสองตรอกนี้ ส่วนใหญ่มักจะเงยหน้าไม่ขึ้น แม่เฒ่าหม่าและหม่าขู่เสวียนหลานชายก็อยู่อาศัยที่ตรอกซิ่งฮวา สถานภาพในเมืองเล็กถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว
เด็กหนุ่มหยุดอยู่หน้าประตูบ้านหลังหนึ่ง บนประตูใหญ่แปภาพเทพทวารบาลใหม่เอี่ยมสองแผ่น เด็กหนุ่มเงยหน้ามองเทพทวารบาลเกราะเงินหนึ่งในนั้นที่ถือง้าวสั้นไว้มือหนึ่ง เปี่ยมบารมีน่าเกรงขาม เท้าข้างหนึ่งตวัดงอขึ้น ยืนด้วยขาเดียว อยู่ในท่าจินกังถลึงตาพิโรธ เด็กหนุ่มกล่าวยิ้มๆ “สวมแพรอาภรณ์กลับคืนบ้านเกิด ก็แค่นี้เท่านั้น”
เด็กหนุ่มเปิดประตูเดินเข้าไป เป็นบ้านหลังหนึ่งที่ขนาดไม่ใหญ่แต่กลับงามประณีต เหนือศีรษะเปิดเป็นเพดานรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส บนพื้นเจาะบ่อน้ำหนึ่งบ่อ ลมผ่านได้อย่างดีเยี่ยม ชั้นสองมีระเบียงที่นั่งคนงาม[1]เหมาะสมให้ชื่นชมดวงดาวยามค่ำคืน ชมหิมะยามฤดูหนาว เด็กหนุ่มพึงพอใจอย่างมาก พร่ำพูดว่าไม่เลวๆ เป็นสถานที่ทีดีในการฝึกตนบ่มเพาะปราณ
เด็กหนุ่มย้ายเก้าอี้ไม้สลักรูปดอกไม้ตัวหนึ่งมาแล้วนั่งลงข้างบ่อน้ำ สะบัดชายแขนเสื้อเสียงดังฟึ่บฟั่บ เศษซากเครื่องปั้นร่วงกราวลงมากองเป็นพะเนิน ขนาดใหญ่เท่ากำปั้น เล็กเท่าเมล็ดข้าวสาร มากมายนับไม่ถ้วน สุดท้ายก็กองเต็มพื้น คาดว่าตะกร้าใบหนึ่งก็คงบรรจุไม่หมด ทั้งหมดล้วนลอยอยู่กลางอากาศเหนือบ่อน้ำใต้เพดาน
มือข้างนี้ สมกับคำว่าชายแขนเสื้อมีฟ้าดินอย่างแท้จริง
เด็กหนุ่มมองซ้ายมองขวา นวดคลึงหว่างคิ้ว พึมพำกับตัวเองว่า “จะเริ่มจากตรงไหนดีนะ?”
“งั้นเจ้าแล้วกัน” สุดท้ายเขาถูกใจเศษกระเบื้องสีแดงพุทราชิ้นหนึ่งมากที่สุด เมื่อความคิดบังเกิด มันก็บินออกมาจากในกองเศษกระเบื้อง แล้วมาหยุดอยู่กลางอากาศห่างจากหน้าเขาไปหนึ่งฉื่อ
หลังจากนั้นก็มีเศษกระเบื้องบินออกมาจากภูเขาลูกเล็กแล้วหยุดลงตรงหน้าเด็กหนุ่มอย่างต่อเนื่อง จากนั้นก็ถูกเขาวางลงบนมุมใดมุมหนึ่งเบาๆ
คล้ายกำลังประกอบเครื่องปั้นชิ้นหนึ่ง
……
วันที่สอง ที่ร้านตีเหล็ก หร่วนซิ่วมอบแผนที่สองแผ่นให้แก่เฉินผิงอัน แผ่นหนึ่งเก่า กระดาษเป็นสีออกเหลือง บนแผนที่คือภาพเทือกเขาที่สลับขึ้นลง เพียงแต่ว่าชื่อยอดเขาล้วนเป็นหนึ่ง สอง สาม สี่เท่านั้น ส่วนบนแผนที่แผ่นใหม่ทียังคงส่งกลิ่นหมึกหอม นอกจากจะเหมือนแผนที่แผ่นที่หนึ่งแล้วยังมีชื่อภูเขาหลงจี๋ ภูเขาเจินจู ภูเขาซิ่วซานซึ่งไม่ดูจืดชืดไร้รสชาติเพิ่มขึ้นมา สุดท้ายยังมี “อำเภอหลงเฉวียนต้าหลี” เพิ่มเติมมาด้วย
หร่วนซิ่วชี้ไปที่ชื่อภูเขาและชื่อสถานที่เหล่านั้นพลางไล่อธิบายและแนะนำให้เฉินผิงอันฟัง สุดท้ายจึงเอ่ยเตือนว่า “ถึงแม้ว่าบนแผนที่จะดูเหมือนห่างกันแค่นิ้วมือ แต่รอจนเจ้าเข้าไปในภูเขาแล้วจะค้นพบว่าเป็นระยะทางหลายลี้ เพราะหลังจากที่ถ้ำสวรรค์หลีจูร่วงลงมาบนพื้นดินของต้าหลีแล้ว เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงมาก ซ้ำยังมียอดเขาบางส่วนที่ฐานรากไม่มั่นคงจึงพังครืนลงมาในเวลานั้น ขณะเดียวกันนี่ก็จะทำให้เส้นทางเบื้องหน้าเจ้าเกิดเรื่องไม่คาดฝันมากมาย เจ้าต้องระวังตัวให้มาก”
เฉินผิงอันเก็บแผนที่ทั้งสองแผ่นอย่างระมัดระวัง สุดท้ายแบกตะกร้าใบหนึ่งขึ้นหลังคล้ายกับตอนที่พาพวกเฉินตุ้ยขึ้นเขาคราวก่อน จากนั้นก็หันมาเอ่ยขออภัยกับหร่วนซิ่ว “ครั้งนี้ข้าจะพยายามไปแถวๆ ภูเขาเที่ยวเติง ยอดเขาเหิงซั่วบนแผนที่ อย่างน้อยอาจต้องใช้เวลาครึ่งเดือน มากสุดคือหนึ่งเดือนถึงจะกลับมาที่นี่”
หร่วนซิ่วเอ่ยเบาๆ “นานขนาดนี้เชียวหรือ ถ้าอย่างนั้นของที่เจ้าเอาไปจะพอกินได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม “ข้าอยู่ในเขาจนชินแล้ว ผลไม้ป่าอาหารป่าล้วนกินได้หมด แล้วก็หาเจอได้งาย ข้ารับรองว่าจะไม่ปล่อยให้ตัวเองหิวเด็ดขาด”
หร่วนซิ่วพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ท่านพ่อข้ารับปากว่าจะให้เจ้ายืมเงินสิบกว่าตำลึงนั่น หลังจากเจ้าออกจากภูเขามา ข้าจะต้องมอบให้เจ้าแน่”
เฉินผิงอันคิดอยู่เล็กน้อยก็เลือกจะพูดไปตามความจริง “แม่นางหร่วน เจ้าอย่าลำบากตัวเองเลย เรื่องเงินข้าคิดหาวิธีเองได้ เจ้าคงไม่อาจยืนกรานว่าจะไม่กินขนมร้านยาสุ่ยได้เป็นสิบวันเป็นครึ่งเดือนหรอกกระมัง?”
หร่วนซิ่วหน้าแดง ไม่เข้าใจว่าเขารู้ความจริงได้อย่างไร
เฉินผิงอันระอาใจเล็กน้อย เพียงยิ้มโดยไม่เอ่ยอะไร ในใจคิดว่าด้วยนิสัยเจ้าอารมณ์ของช่างหร่วน ยอมให้ตนยืมเงินสิถึงจะแปลก ดังนั้นจึงไม่ใช่ว่าข้าสายตาเฉียบคม แต่เป็นเพราะฝีมือปกปิดของเจ้าแม่นางหร่วนไม่สูงเอาเสียเลย
เฉินผิงอันเห็นว่านางมีท่าทางผิดหวังจึงรีบเอ่ยปลอบโยนว่า “แม่นางหร่วน ความหวังดีของเจ้าข้ารับไว้แล้ว ขอบคุณนะ”
หร่วนซิ่วเม้มปากยิ้ม
นางพลันกล่าวว่า “ข้าจะเดินไปส่งเจ้า”
เฉินผิงอันก้าวเท้ายาวๆ จากไปแล้ว จึงหันหน้ามาโบกมือให้ “ไม่ต้องหรอก ข้าคุ้นเคยกับเส้นทางเป็นอย่างดี หลับตาเดินยังได้เลย”
เด็กสาวผมหางม้าร้องอ้อเบาๆ จากนั้นจึงโบกมือลาเขา
พอเดินออกมาจากร้านตระกูลหร่วน เฉินผิงอันก็วิ่งตะบึงขึ้นไปยังธารน้ำตอนบน
ภูเขาหลายลูกที่อยู่ใกล้กับเมืองเล็ก เฉินผิงอันไม่สนใจ แม้ว่าจะไม่ใหญ่ ราคาไม่แพง แต่เขาไม่ต้องการซื้อไว้ เพราะอยู่ใกล้กับเมืองเล็กเกินไป ความมีหน้ามีตาเช่นนี้จะรับมาไม่ได้ อีกทั้งก่อนหน้านี้ช่างหร่วนยังพูดบอกเป็นนัยไว้ก่อนแล้วว่า พื้นที่แถบที่มี “ภูเขาตี้เจิน” “ยอดเขาหย่วนมู่” อยู่ข้างใน รากฐานดั้งเดิมของมันแท้จริงแล้วก็ไม่เลว น่าเสียดายก็แต่หลายปีมานี้ถูกขุดจนแทบกลวงแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์นัก ต้องมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเรื่อยๆ จนไปถึงภูเขาเจินจูถึงจะดีขึ้น
เฉินผิงอันใช้เวลาเดินหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็ม ระหว่างนั้นใช้เวลาพักไม่ถึงสองชั่วยาม และในที่สุดถึงปีนขึ้นไปบนยอดเนินเขาเล็กๆ แห่งนี้ได้ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ในปอดเต็มไปด้วยกลิ่นหอมสดชื่นของหญ้าป่า
เด็กหนุ่มรองเท้าแตะยืดอกตั้ง กระทืบเท้าแรงๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงฮึกเหิมท่วมเทียมฟ้า “ที่นี่คือของข้า!”
—-
[1] ที่นั่งคนงาม คือ ม้านั่งตัวยาว ทำมาจากไม้ทั้งชิ้น ด้านหลังจะมีพนักพิงมีลักษณะโค้งยื่นออกไปคล้ายกับคอของห่านเพื่อให้ให้สะดวกสบายต่อการนั่ง