Skip to content

Sword of Coming 80

บทที่ 80 ออกจากภูเขา

หลังออกมาจากภูเขา เฉินผิงอันก็ไปที่ร้านตีเหล็กก่อน ตอนที่เดินผ่านสะพานหินโค้ง เด็กหนุ่มยกสองมือขึ้นพนม ก้มหน้าเดินเร็วๆ ผ่านไป สีหน้าเคร่งครึมและจริงใจอย่างถึงที่สุด ปากก็พร่ำท่องไปด้วยว่า “ท่านเทพเซียนผู้เฒ่า มีเรื่องอะไรก็พูดกันดีๆ โปรดอย่าลงมือตีคนเด็ดขาด หากมีข้อเรียกร้องอะไร ตอนกลางคืนก็มาเข้าฝันข้าได้ ทางที่ดีที่สุดอย่างมาเข้าฝันตอนกลางวันแสกๆ เลย ข้ารู้สึกกลัวจริงๆ”

โชคดีที่พอเดินไปถึงปลายอีกฝั่งหนึ่งของสะพานหิน เฉินผิงอันยังคงปลอดภัยดี เด็กหนุ่มพลันคลายหัวคิ้วคลี่ยิ้ม กระโดดโลดเต้นไปหาช่างหร่วนและหร่วนซิ่ว

คนหนุ่มสาวไม่รู้ว่าความทุกข์คืออะไร

หร่วนฉงยังคงรับรองเฉินผิงอันอยู่ใต้ชายคาดังเดิม โดยนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ขนาดเล็กคนละตัว หร่วนซิ่วยืนอยู่ด้านหลังบิดาของนาง ใบหน้าเต็มไปด้วยความปิติยินดีที่ปกปิดไม่มิด

หร่วนฉงมองเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยคราบฝุ่นซึ่งปลดตะกร้าลงวางด้านหน้าอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็หยิบเอาผ้าที่ห่อแผนที่ภูมิศาสตร์สองฉบับซึ่งวางไว้ด้านใต้สมุนไพรเกินครึ่งตะกร้าออกมาอย่างระมัดระวัง ตอนที่ยื่นส่งให้เขา เด็กหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงละอายใจ “ตอนที่ขึ้นไปบนภูเขาเที่ยวเติง ระหว่างทางเจอน้ำตกสายใหญ่สกัดขวาง ข้าเลยหาที่ซ่อนตะกร้าไว้ใกล้ๆ กับบ่อลึกด้านล่างน้ำตก แล้วยังเอากิ่งไม้เล็กๆ มาสุมกันไว้เพื่อกันลมกันฝน คิดไม่ถึงว่าปีนขึ้นไปบนยอดน้ำตกได้ไม่นานเท่าไหร่ ฝนจะตกหนัก น้ำฝนมากจริงๆ รอจนข้ารีบลงมาด้านล่าง โครงกิ่งไม้ก็ถล่มลงมาแล้วดังคาด ตะกร้าและห่อผ้าฝ่ายต่างก็ถูกน้ำฝนซึมเข้าไป ยังดีที่แผนที่สองแผ่นใช้กระดาษน้ำมันห่อไว้ค่อนข้างแน่นหนา รอจนพระอาทิตย์ปรากฎขึ้น ข้าเอาออกมาดู มีเพียงขอบของแผนที่เท่านั้นที่ชื้นเล็กน้อย แต่พอตากแดดแล้วก็ยังมีร่องรอยที่เห็นได้ชัดอยู่…”

หร่วนฉงเปิดห่อผ้าและกระดาษน้ำมันออก ค้นพบว่าสภาพของแผนที่ทั้งสองแทบจะสมบูรณ์แบบไร้ตำหนิ ความเสียหายเล็กน้อยเท่านั้นสามารถมองข้ามไปได้ อีกอย่าง เดิมทีนี่ก็เป็นแค่แผนที่สองแผ่นเท่านั้น ทั้งจวนผู้ตรวจการงานเตาเผาและที่ว่าการอำเภอหลงเฉวียนจึงไม่มีท่าทีว่าจะเก็บกลับคืนไป ทว่าหร่วนฉงไม่ต้องการใช้ความจริงนี้มาปลอบใจเด็กหนุ่ม จึงปรายตามองเฉินผิงอันที่ยืนอยู่ด้านหน้าตนด้วยท่าทางกระวนกระวาย แล้วพูดว่า “ฝนตกหนักแบบนั้น เจ้าปีนขึ้นปีนลงน้ำตกหลงชิวของเขาเที่ยวเติง อยากตายนักหรือไง?”

เฉินผิงอันเพียงยิ้มให้

หร่วนฉงโบกมือ บอกเป็นนัยให้เด็กหนุ่มนั่งกลับลงไปอีกครั้ง อย่ามายืนขวางหูขวางตาตน

เฉินผิงอันนั่งกลับลงไปบนเก้าอี้ไม้ไผ่สีเขียวมรกตน่ารักตัวนั้น หลังจากที่เขายื่นแผนที่สองฉบับส่งให้หร่วนฉงแล้ว ในที่สุดก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก ตลอดทางมานี้หากไม่เป็นเพราะกลัวว่าจะทำลายแผนที่ที่มีค่าทั้งสองแผ่นจนเสียหาย การขึ้นเขาและออกจากเขาของเขาในครั้งนี้ อย่างน้อยสามารถประหยัดเวลาไปได้สามถึงสี่วัน อีกทั้งการที่ได้อยู่เคียงข้างกันมานานขนาดนี้ แท้จริงแล้วส่วนลึกในใจของเด็กหนุ่มที่คิดถึงความสัมพันธ์เก่าก่อนมาโดยตลอดก็อดอาลัยอาวรณ์แผนที่ทั้งสองฉบับไม่ได้ ทุกครั้งที่เจอกับอากาศดีๆ หรือได้ขึ้นไปบนยอดเขา เฉินผิงอันจะชอบเลือกสถานที่ที่การมองเห็นเปิดกว้าง จากนั้นหยิบแผนที่สองฉบับออกมากาง ทอดสายตามองไกลๆ ไปยังภูเขาและลำธารที่อยู่เบื้องหน้าครู่หนึ่ง แล้วก็ก้มหน้าลงมองแผนที่สักทีหนึ่ง

เวลาเกินครึ่งเดือนที่ผ่านมา เฉินผิงอันไม่เคยรู้สึกถูกเติมเต็มแบบนี้มาก่อน

หร่วนฉงพลันโยนแผนที่สองฉบับให้เฉินผิงอันเบาๆ “เก้าอี้ทำได้ไม่เลว กลับไปทำมาอีกสองตัว แผนที่ถือเป็นค่าตอบแทน ยกให้เจ้าแล้ว”

แม้หร่วนฉงจะไม่ค่อยชอบเด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงผู้นี้มากนัก แต่เขาก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะต้องปฏิเสธเฉินผิงอันไปทุกเรื่องด้วยสาเหตุนี้

หร่วนฉงสามารถจินตนาการถึงภาพเหตุการณ์นั้นได้เลยว่า ท่ามกลางฝนฟ้าที่เทกระหน่ำ เด็กหนุ่มผอมแห้งที่ใจร้อนราวไฟลนต้องรีบเร่งเดินทางลงมาจากน้ำตกเพียงเพื่อได้เห็นว่าแผนที่ยังปลอดภัยดีถึงจะวางใจ

แน่นอนว่าในสายตาของหร่วนฉง การกระทำเช่นนี้ไม่องอาจกล้าหาญเอาเสียเลย กลับกันยังคร่ำครึตายตัวเกินไปด้วยซ้ำ

บอกตามตรง เมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มผู้ยากลำบากคนนี้แล้ว หร่วนฉงชื่นชมซ่งจี๋ซินองค์ชายต้าหลีที่รู้จักพลิกแพลงตามสถานการณ์ตั้งแต่เด็ก หรือไม่ก็หลิวเสี้ยนหยางที่นิสัยร่าเริงเปิดกว้าง ไม่เคร่งเครียดกับเรื่องใดเสียมากกว่า หรือต่อให้จะเป็นคนอย่างหม่าขู่เสวียนที่เย่อหยิ่งและอวดดีก็ยังมีจุดให้น่าชื่นชมมากมาย ต่อให้เป็นจ้าวเหยาเมล็ดพันธ์ปัญญาชนที่ติดตามอยู่ข้างกายฉีจิ้งชุนมาตั้งแต่ยังเด็กก็ยังไม่คร่ำเคร่งทึ่มทื่ออย่างเฉินผิงอัน

การที่เขาเปลี่ยนใจกะทันหัน หาข้ออ้างมามอบแผนที่ให้แก่เฉินผิงอัน อันที่จริงเป็นเพราะตัดสินใจแล้วว่าจะขีดเส้นแบ่งกับเด็กหนุ่มอย่างชัดเจน ร้านตีเหล็กสามารถรับเขาเป็นลูกศิษย์หลอมกระบี่ได้ แต่เขาจะไม่มีทางกลายมาเป็นลูกศิษย์บุกเบิกสำนักของตนเด็ดขาด วันหน้าตนจะทำตามสัญญาด้วยการปกป้องภูเขาที่เขาซื้อเอาไว้ แต่เจ้าเด็กนี่อย่าได้หวังว่าจะมามีความสัมพันธ์ใดๆ กับบุตรสาวของเขาเป็นอันขาด

แท้จริงแล้วหากจะพูดกันถึงแก่น หร่วนฉงไม่ได้ดูถูกเฉินผิงอันเพราะชาติกำเนิดของอีกฝ่าย แต่เพียงแค่เพราะเดินกันคนละวิถีทาง จึงไม่อาจคบค้าสมาคมด้วยได้เท่านั้น

ลูกศิษย์ของหร่วนฉงจะต้องเป็นคนบนวิถีเดียวกันกับเขา ทั้งสองฝ่ายเป็นทั้งอาจารย์และเป็นทั้งมิตร สามารถจับมือกันสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่สำนัก ดังนั้นความเข้ากันได้ของนิสัยใจคอจึงสำคัญอย่างยิ่งยวด

แน่นอนว่าเฉินผิงอันย่อมไม่รู้ถึงความคิดที่อ้อมไปไกลของช่างหร่วน เด็กหนุ่มเพียงแค่รับแผนที่มากอดไว้ตรงหน้าอก เอ่ยถามว่า “ใต้เท้าผู้ตรวจการงานเตาเผาของจวนผู้ตรวจการจะไม่มีความเห็นหรือ?”

หร่วนฉงแค่นหัวเราะเสียงเย็น “อย่างน้อยภายในเวลาหกสิบปี ข้าก็คือไท่ซ่างหวง (太上皇 พระเจ้าหลวงหรือจักรพรรดิที่สละราชบัลลังก์) ของอำเภอหลงเฉวียนแห่งนี้ ดังนั้นกฎเกณฑ์ของข้าใหญ่ที่สุด”

หร่วนซิ่วพึมพำ “ท่านพ่อ มีใครเขาแปะทองบนหน้าตัวเองอย่างท่านบ้าง” (เปรียบเปรยถึงคนที่ชมตัวเอง หลงตัวเอง)

สำหรับการขัดคอจากลูกสาว หร่วนฉงแสร้งทำเป็นหูทวนลม เพียงพูดเสียงหนักกับเฉินผิงอัน “คุยเป็นการเป็นงาน สุดท้ายเจ้าเลือกภูเขาห้าลูกไหนบ้าง?”

เฉินผิงอันนั่งหลังตรงโดยไม่รู้ตัว “บริเวณรอบๆ ภูเขาเสินซิ่ว ข้าเลือกภูเขาไว้สามลูก ภูเขาเป่าลู่ (ยันต์วิเศษ) ยอดเขาฉ่ายอวิ๋น (เมฆสีรุ้ง) และภูเขาเซียนฉ่าว (หญ้าเซียน)”

หร่วนฉงพยักหน้ารับ “สายตาไม่เลว พื้นที่ของภูเขาเป่าลู่ใหญ่มาก ถือว่าอยู่ในอันดับแรกๆ ของภูเขาทั้งหกสิบกว่าลูก อีกทั้งไม่ได้เป็นเพียงภูเขาที่ดีแต่เปลือก หากไม่เพราะหลังจากนี้ข้าต้องพิจารณาถึงค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขา ก็จะทิ้งยอดเขาเหิงซั่วมาเลือกภูเขาเป่าลู่เหมือนกัน เพราะอย่างไรซะท่ามกลางภูเขาและธารน้ำในรัศมีพันลี้นี้ เว้นเสียจากภูเขาที่มีเทพภูเขาเฝ้าพิทักษ์หรือภูเขาที่ซุกซ่อนสมบัติลับเอาไว้ ใครที่ครอบครองพื้นที่ใหญ่ที่สุด คนผู้นั้นก็ได้ครอบครองปราณวิญญาณมากที่สุด และแน่นอนว่าต้องได้เปรียบมากที่สุด”

“ภูเขาเซียนฉ่าวคือพื้นที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมที่มีหวังว่าจะเกิดภูตพืชหญ้า เสียดายก็แต่พื้นที่เล็กเกินไป ต่อให้มีภูตพืชหญ้าปราฎขึ้นจริง รากฐานและรูปลักษณ์ก็คงไม่ค่อยดีนัก เหตุผลนั้นง่ายมาก บ่อน้ำเล็กๆ แห่งนี้จะเลี้ยงเจียวหลงตัวใหญ่ได้อย่างไร ส่วนยอดเขาฉ่ายอวิ๋น ค่อนข้างจะธรรมดา นอกจากพื้นที่จะสูง ทัศนียภาพงดงามแล้ว สำหรับการฝึกตนกลับไม่ค่อยมีประโยชน์มากนั เว้นแต่ว่าเจ้ามีความสามารถไปหาหินรากเมฆจากเขาเมฆาเรืองมาวางไว้บนช่องโพรงหลายจุดของตัวยอดเขาฉ่ายอวิ๋น ถึงจะทำการซื้อขายที่มีกำไรได้”

“เจ้าได้ไปดูทะเลสาบที่อยู่ในภูเขาหวงหู (ทะเลสาบเหลือง) หรือไม่?”

คำถามสุดท้ายของหร่วนฉง สร้างความตะลึงให้แก่เฉินผิงอัน “ไปดูมาแล้ว”

“เจ้าลองบอกต่อสิ ภูเขาอีกสองลูกคือที่ไหน?”

หร่วนฉงแค่เอ่ยถึงให้ฉุกคิด ไม่ได้เจาะรายละเอียดถึงหัวข้อก่อนหน้านี้ ถือเป็นการพยายามให้คำแนะนำอย่างดีที่สุดแล้ว จึงไม่คิดจะเปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์ต่อไปอีก

เพราะทะเลสาบขนาดเล็กที่อยู่ในภูเขาหวงหูคล้ายคลึงกับในภูเขาเซียนฉ่าว ความต่างก็คือ ภูเขาเซียนฉ่าวมีหวังว่าจะมีภูตพืชหญ้าปรากฎ ส่วนภูเขาหวงหูกลับมีงูหลามตัวหนึ่งขนาดพอๆ กับปากบ่ออาศัยอยู่ ซึ่งก็คือ “งูเจ้าถิ่น” สมชื่อ เพียงแต่เพราะพ่ายแพ้ใน “ศึกชิงน้ำ” กับปลาหนีชิวน้อยบางตัว จึงสูญเสียโอกาสแห่งมหามรรคที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือคว้าไป

แต่ความมหัศจรรย์ของมหามรรคาอยู่ที่ว่า มันมักจะมีทางออกให้คนเสมอ ตอนนี้ถ้ำสวรรค์หลีจูระเบิดแตกแล้วร่วงลงมา ปลาหลีสีทองที่อยู่ในกรงราชามังกรซึ่งถูกพาไปต้าสุย มังกรเพลิงที่กลายมาเป็นกำไลข้อมือของหร่วนซิ่ว ปลาหนีชิวตัวที่อยู่ข้างกายหลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวิน มังกรไม้ที่ถูกจ้าวเหยาแต้มนัยน์ตา บวกกับสี่ขาสีเหลืองเหมือนดินที่ต่อให้ต้องดิ้นรนสุดชีวิตก็ต้องติดตามอยู่กับหวังจูให้ได้ เจ้าตัวน้อยทั้งห้านี้ก็คือโชควาสนาใหญ่ห้าส่วนที่แท้จริงซึ่งถ้ำสวรรค์หลีจูสั่งสมมาตลอดเวลาสามพันปีก่อนชีวิตจะดับสิ้น ส่วนสมบัติอาคมอาวุธวิเศษอย่างพวกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ กระจกส่องมาร แน่นอนว่าย่อมไม่แย่ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับโชคชะตาที่มีชีวิตห้าส่วนนั่นแล้วกลับยังเป็นรองอยู่มาก

ส่วนงูหลามใหญ่ที่อยู่บนภูเขาหวงหูตัวนั้น ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าได้โชคจากเคราะห์ ในรัศมีพันลี้ไม่มีคู่ต่อสู้ที่สามารถมางัดข้อกับมันได้อีกแล้ว เพียงแค่เหตุการณ์เดียวก็กลายมาเป็นผู้พิชิตของพื้นที่หนึ่ง วันหน้าหากเทพภูเขาเทพลำธารเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ข้างใน ขอแค่งูหลามใหญ่ตัวนี้รู้อะไรควรไม่ควรก็อาจจะถูกหนึ่งในนั้นรับมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา หลังจากได้รับยันต์คุ้มกันกายจากราชสำนักต้าหลีแล้ว ไม่แน่ว่านับแต่นี้ไปก็อาจจะได้เดินบนเส้นทางของการฝึกตนอย่างแท้จริง

เฉินผิงอันกล่าว “ข้าคิดว่าจะซื้อภูเขาเจินจู (ไข่มุก) กับภูเขาลั่วพั่ว (ตกอับ)”

หร่วนฉงตะลึง ก่อนถามอย่างใคร่รู้ “ภูเขาเจินจูก็ยังพอทำเนา เพราะแค่เงินอิ๋งชุนเหรียญเดียวเท่านั้น สามารถพูดได้ว่าความปิติสุขยากที่จะใช้ทองพันชั่งซื้อ แต่ภูเขาลั่วพั่วนั่น ไปถูกใจเจ้าได้ยังไง? แม้ภูเขาลูกนี้จะตั้งอยู่ริมชายแดนฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของอำเภอหลงเฉวียนแคว้นต้าหลี ดูจากระยะการเดินทางของเจ้า ต้องไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนแน่ ซ้ำในอดีตมันยังเป็นภูเขาที่ต้าหลีปิดตาย เจ้าเลือกมันโดยอาศัยฟังจากชื่อเท่านั้นหรือ?”

เฉินผิงอันรู้สึกอายเล็กน้อย จึงไม่เต็มใจจะพูดถึงเหตุผล

ตอนนั้นเฉินผิงอันปูแผนที่กับพื้น ตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะเลือกภูเขาใหญ่ลูกไหน ผลกลับกลายเป็นว่ามีนกตัวหนึ่งบินผ่านศีรษะของเขาไปแล้วถ่ายลงบนแผนที่ เฉินผิงอันรีบเช็ดออกให้สะอาด ค้นพบว่าตำแหน่งที่นกขี้ใส่ก่อนหน้านี้เป็นตัวอักษรคำว่าภูเขาลั่วพั่ว (ตกอับ) พอดี เฉินผิงอันจึงไม่คิดอะไรให้มากความอีก ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวที่จะเลือกภูเขาลั่วพั่วโดยไม่สนใจว่าชื่อของมันอัปมงคลหรือไม่

ผู้เฒ่าเหยาเคยบอกว่า ระหว่างลำธารและขุนเขาล้วนมีวิญญาณสถิตอยู่

เฉินผิงอันจึงคิดว่านั่นคือการบอกเป็นนัยจากองค์เทพภูเขา

หร่วนฉงครุ่นคิด “เลือกภูเขาลั่วพั่วก็ใช่ว่าจะไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้แหละ ภูเขาลั่วพั่ว ภูเขาเป่าลู่ ภูเขาเซียนฉ่าว ยอดเขาฉ่ายอวิ๋น ภูเขาเจินจู ถูเขาห้าแห่ง มีระยะเวลาครอบครองสามร้อยปี ในระหว่างนี้ ต่อให้เจ้าจะขุดเอาภูเขาทั้งลูกไปจนหมด ก็ไม่มีใครขัดขวางได้ ผลผลิตทุกอย่างบนภูเขา ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพรหญ้าวิเศษ สัตว์ปีกหรือสัตว์ป่า หรือแม้แต่สมบัติลับที่อาจพบเจอโดยบังเอิญก็ล้วนเป็นของชื่อคนที่ลงสัญญาบนลำดับศักดิ์วงศ์ตระกูลของแผ่นดินต้าหลีคนนั้น”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว”

หร่วนฉงยังอธิบายต่ออย่างใจเย็น “ข้อที่ควรระวัง หนึ่งคือก่อนที่เจ้าจะตาย ต้องแจ้งให้ทางราชสำนักต้าหลีรับทราบโดยผ่านทางที่ว่าการอำเภอหลงเฉวียน เจ้าจำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อของคนบางคนหรือคนบางส่วนที่จะรับช่วงสืบทอดภูเขาทั้งห้าลูก แน่นอนว่าทางฝ่ายกรมครัวเรือนของต้าหลีจะต้องมีเอกสารลับเก็บไว้ฉบับหนึ่ง เจ้าสามารถเขียนชื่อผู้รับประโยชน์ในนามของภูเขาทั้งห้าลูกเอาไว้ เผื่อวันใดวันหนึ่งเจ้าตายอย่างฉับพลัน ก่อนตายไม่ทันสั่งเสีย อีกข้อหนึ่งก็คือในเวลาสามร้อยปี หากเจ้าอยากจะขายภูเขา ก็ไม่สามารถตัดสินใจตอนไหนก็ได้ จำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากกองกำลังอย่างน้อยสามฝ่ายของทางการต้าหลี การค้าขายถึงจะเป็นจริงได้ อีกอย่างข้าไม่แนะนำให้เจ้าขายภูเขาพวกนี้ เพราะไม่ว่าเจ้าจะขายได้ราคาสูงแค่ไหน สุดท้ายเจ้าก็จะต้นพบว่าตัวเองเป็นฝ่ายขาดทุน”

แม้หร่วนฉงจะเป็นอริยะสำนักการทหารที่เฝ้าพิทักษ์สถานที่แห่งนี้ แต่กลับมานั่งพูดคุยอย่างเท่าเทียมกับเด็กหนุ่มยากจนที่จู่ๆ ก็เป็นเศรษฐี มองดูเหมือนเหลวไหล แต่กลับสมเหตุสมผลอย่างยิ่ง เมื่อเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันกับการเปิดภูเขาตั้งสำนัก และโอกาสที่บุตรสาวของตนจะได้บรรลุมรรคา จะไม่ให้หร่วนฉงพร่ำพูดด้วยความหวังดีย่อมไม่ได้ เขาแทบจะค่อยๆ แยกแยะอธิบายหลักการเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหมดให้เด็กหนุ่มตรงหน้าฟังด้วยซ้ำ

หร่วนฉงถาม “เฉินผิงอัน มีอะไรอยากถามหรือไม่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ไม่มีแล้ว”

หร่วนฉงพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้ไปก่อน ข้าคาดว่าเจ้าน่าจะยังเหลือเหรียญทองแดงอีกบางส่วน กลับไปข้าจะช่วยเจ้าดูว่ามีร้านค้าไหนในเมืองเล็กจะขายบ้าง เจ้าเองก็สามารถฉวยโอกาสลงมือได้เช่นกัน แต่ตะกละกินย่อมเคี้ยวไม่ละเอียด วันหน้าในเมืองเล็กจะมีทั้งคนดีคนชั่วปะปนกัน เจ้าซื้อร้านเก่าแก่มีชื่อที่รากฐานมั่นคงไว้สักร้านสองร้านก็พอแล้ว”

สีหน้าของเฉินผิงอันเริ่มแดงปลั่ง “ขอบพระคุณช่างหร่วน”

หร่วนฉงเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “วิญญูชนครุ่นคิดถึงคุณธรรม คนถ่อยครุ่นคิดถึงผลประโยชน์ส่วนตน”

เฉินผิงอันสงสัยเล็กน้อย เพราะไม่เข้าใจว่าคำพูดประโยคนี้หมายความว่าอย่างไร

หร่วนฉงโบกมือไล่คน “ไปทำธุระของเจ้าเถอะ ไม่ต้องสนใจเรื่องที่ไม่คู่ควรแก่การสนใจพวกนี้ แล้วนับประสาอะไรกับที่เจ้าอายุยังน้อย เดิมทีก็ไม่ควรถึงขั้นที่จะต้องมาพูดคุยเปิดใจอะไรอยู่แล้ว”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน แบกตะกร้าไม้ไผ่ขึ้นหลัง แต่พลันได้ยินหร่วนฉงพูดนอกเรื่องขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “หลังจากที่ท่านฉีจากไป จะคิดถึงท่านฉีบ้างเป็นบางครั้ง แน่นอนว่าไม่มีปัญหา นี่เป็นความรู้สึกของคนปกติ แต่อย่าพาตัวเองจมลงไป ยิ่งไม่ต้องคิดจะสืบสาวราวเรื่องให้ถึงแก่น รอจนซื้อภูเขาห้าลูกและร้านหนึ่งหรือสองร้านมาได้แล้ว เจ้าก็จงนอนรอเก็บเงินให้สบาย ถึงเวลาก็แต่งภรรยามีลูก แตกกิ่งก้านสาขา ก็ถือว่าสร้างความรุ่งโรจน์ให้แก่บรรพบุรุษแล้ว ข้าหร่วนฉงก็ดี ราชสำนักต้าหลีก็ช่าง พวกเราต่างก็จะช่วยดูแลปกป้องเจ้าและกิจการของเจ้า ก็เหมือนชื่อของเจ้า ผิงผิงอันอัน สงบสุขปลอดภัย ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าอะไร ไม่แน่ว่าวันหน้าเมื่อโชคดีมาเยือน ได้เดินไปบนเส้นทางของการฝึกตน ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเสียเลย”

เฉินผิงอันจากไปเงียบๆ

หลังจากเด็กหนุ่มออกไปจากร้านแล้ว หร่วนซิ่วที่นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ก็ถามว่า “ท่านพ่อ คำพูดประโยคนั้นของท่านหมายความว่าอะไร?”

หร่วนฉงตอบรับเสียงเรียบเฉย “ความหมายก็คือ คนถ่อยทีขอบเขตความคิดเทียบวิญญูชนไม่ได้ ก็มีแต่คิดจะหาพื้นที่สะดวกสบายให้กับตัวเองเท่านั้น”

หร่วนซิ่วแปลกใจ “แล้วมีอะไรผิด รักบ้านเกิดเมืองนอน ไม่ยอมย้ายถิ่น ไม่ว่าจะดูจากตรงไหนก็ไม่เห็นมีปัญหา ทำไมถึงเป็นคนถ่อยไปได้? ประโยคนี้ใครเป็นคนพูด ข้ารู้สึกว่าไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย”

หร่วนฉงสีหน้ามืดคล้ำ พูดเบาๆ ว่า “ดังนั้นอริยะลัทธิขงจื๊อถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่า ที่ใดเป็นที่พักใจและสงบสุขได้ ที่นั้นแหละนับเป็นบ้านเกิดเมืองนอน”

หร่วนซิ่วกล่าวอย่างขุ่นเคือง “บัณฑิตช่างน่าโมโหจริงๆ หลักการของใต้หล้าล้วนถูกพวกเขายกมาพูดหมดแล้ว!”

หร่วนฉงกล่าวด้วยความหวังดี “ซิ่วซิ่ว นี่ไม่ใช่เหตุผลที่เจ้าไม่ชอบเรียนหนังสือหรอกนะ”

เด็กสาวมัดผมหางม้าแสร้งร้องเอ๊ะอย่างตกใจ แล้วรีบลุกขึ้นยืน “ท่านพ่อ ทำไมจู่ๆ ข้ารู้สึกว่ามีพละกำลังเพิ่มขึ้นมา ถ้าอย่างนั้นข้าไปตีเหล็กก่อนนะ”

……

เฉินผิงอันมุ่งหน้าไปยังร้านตระกูลหยาง ส่งสมุนไพรหลากสีสันที่มีเกินครึ่งตะกร้าให้กับมือของลูกจ้างร้านคนหนึ่ง พอชั่งน้ำหนักเรียบร้อย เฉินผิงอันก็ได้เงินมาสองตำลึง อันที่จริงสมุนไพรหายากหลายชนิดถือว่าเฉินผิงอันขายครึ่งราคาแถมยังยกให้ร้านไปครึ่งหนึ่งด้วยซ้ำ สมุนไพรที่พวกลูกจ้างหนุ่มๆ ในร้านไม่รู้จัก แท้จริงแล้วกลับเป็นสมุนไพรที่หยางเหล่าโหวให้ความสำคัญอย่างมาก เพราะสมุนไพรและดอกไม้ใบหญ้าพวกนี้ต่างหากที่เป็นของดีมีค่ามากอย่างแท้จริง

แต่เฉินผิงอันขึ้นเขาในครั้งนี้ เดิมทีการเก็บสมุนไพรก็เป็นแค่ผลพลอยได้เท่านั้น ไม่มีความคิดที่จะหาเงินตั้งแต่แรก และในความเป็นจริงแล้ว หลังจากที่เฉินผิงอันเรียนรู้การขึ้นเขาไปเผาฟืน ทุกครั้งที่ขายยาให้กับลูกจ้างร้านตระกูลหยาง นอกจากขายให้กับชายฉกรรจ์ท่าทางซื่อสัตย์ที่ชื่อหลี่เอ้อของร้านแล้ว หลายสิบครั้งที่เหลือล้วนขาดทุนทุกครั้ง

หยางเหล่าโถวไม่เคยรับสมุนไพรจากเฉินผิงอัน หากเฉินผิงอันกล้ายกให้ทางร้านโดยไม่คิดเงิน จะต้องถูกหยางเหล่าโถวโยนทิ้งไว้บนถนน แต่ถ้าหากขายให้ลูกจ้างในร้านหรือขายให้กับคนเก็บเงิน ถ้าเช่นนั้นไม่ว่าราคาจะไร้เหตุผลมากแค่ไหน หยางเหล่าโถวที่นิสัยประหลาดกลับไม่คิดถามไถ่หรือสนใจ

ครั้งนี้เฉินผิงอันไม่ได้เจอหยางเหล่าโถว

หลังออกจากร้าน เฉินผิงอันค้นพบว่าคนมากมายบนท้องถนนต่างก็กำลังวิพากษ์วิจารณ์กันว่าเกิดเรื่องใหญ่ที่ซุ้มประตูก้ามปูสิบสองขา บอกว่าใต้เท้าผู้ตรวจการคนก่อน ใต้เท้าซ่งที่ก่อนจะออกจากตำแหน่งได้ออกเงินสร้างสะพานแบบคานผู้คนได้กลับคืนมายังเมืองเล็กอย่างเปิดเผยแล้ว อีกทั้งคราวนี้ยังกลับมาพร้อมฐานะที่ร้ายกาจในบรรดาหลางจง (หลางจงคือตำแหน่งที่ตั้งขึ้นในยุคจั้นกั๋ว ทำหน้าที่เป็น องครักษ์ เป็นผู้ติดตาม เสนอแนะในเรื่องต่าง และเตรียมการรับมือ) ของกรมพิธีการ พาขุนนางผู้เฒ่ากลุ่มหนึ่งที่ท่าทางสุภาพงามสง่าเปี่ยมบารมีมาด้วย ซึ่งพวกเขาถูกใจตัวอักษรที่อยู่บนกรอบป้ายทั้งสี่ของซุ้มก้ามปู จะอย่างไรซะก็เป็นบัณฑิต พอจะเข้าใจได้ แต่ไม่รู้ว่าทำไม หลังจากที่ทางฝ่ายของจวนผู้ตรวจการทราบข่าว กลับรีบขึ้นเขาเอาข่าวไปแจ้งใต้เท้าเสี่ยวอู๋ที่เดิมทีคิดจะไปดูการตัดไม้บนยอดเขาหย่วนมู่อย่างเร่งร้อนราวถูกไฟลนก้น จากนั้นเทพเจ้าแห่งโชคลาภท่านนี้ก็พากุนซือฝ่ายซ้ายออกจากภูเขามาอย่างเร่งร้อนยิ่งกว่า เพื่อขัดขวางพวกกลุ่มของใต้เท้าซ่ง

เฉินผิงอันที่ว่างงานจึงเดินตามกลุ่มคนไปทางซุ้มประตูหิน แล้วมองเหตุการณ์อยู่นอกกลุ่มคนไกลๆ

มองเห็นว่าเบื้องใต้กรอบป้ายทั้งสี่พาดบันไดไว้แปดอัน มุมซ้ายและขวาของกรอบป้ายหนึ่งล้วนมีบันไดพาดอยู่ แต่ว่าตอนนี้มีแค่มุมซ้ายและขวาของกรอบป้าย “ตังเหรินปู้รั่ง” เท่านั้นที่มีปัญญาชนสำนักขงจื๊อสองคนซึ่งอายุต่างกันมากยืนอยู่ คนที่อายุมากกว่ากำลังก้มหน้า ทำหน้าตาถมึงทึงใส่ใครบางคนที่อยู่ด้านล่าง และกำลังตวาดด่าว่าอะไรบางอย่างด้วยภาษาทางการต้าหลี

มีคนตบไหล่เฉินผิงอัน พูดพร้อมเสียงหัวเราะ “เฉินผิงอัน บังเอิญจังเลย เจ้าเองก็มาดูเรื่องสนุกเหมือนกันหรือ?”

เฉินผิงอันหันหน้ากลับไปมอง คือเด็กหนุ่มพูดมากที่มีไฝเล็กสีชาดกลางหว่างคิ้ว เป็นเพราะกลัวว่าเขาจะพูดจ้อไม่หยุด จึงตอบไปว่า “แค่มาดูเฉยๆ เหมือนว่าจะฟังที่พวกเขาพูดไม่เข้าใจด้วย เลยจะกลับบ้านแล้ว”

เด็กหนุ่มที่หน้าตาสง่างามละมุนละไมพูดยิ้มๆ “อย่าเพิ่งสิ เจ้าฟังไม่เข้าใจ ข้าสามารถอธิบายให้เจ้าฟังได้ เรื่องนี้น่าสนใจนักล่ะ หากเจ้าพลาดไป วันหน้าต้องเสียใจทีหลังแน่! คราวนี้ใต้เท้าอู๋ยวนขุนนางดุจบิดาของเมืองเล็กพวกเจ้าเกิดความขัดแย้งกับพวกผู้อาวุโสในกรมพิธีการที่ระดับขั้นสูงกว่า คนที่ยืนอยู่บนบันไดนั่น คือซื่อหลางฝ่ายขวา[1] ถือว่าเป็นขุนนางคนสำคัญของต้าหลีอย่างแท้จริง ด้านหนึ่งคาดว่าเป็นเพราะใต้เท้าซ่งผู้ตรวจการคนก่อนหน้าคนก่อนที่มีวัยวุฒิมากกว่าคงเอาเรื่องของกรอบป้ายพวกนี้ไปขอความดีความชอบจากคนอื่น บอกรับรองว่าจะเก็บกรอบป้ายไว้ให้ท่านผู้อาวุโส ไม่กล้าพูดว่าจะส่งไปให้ที่บ้านเกิดท่าน แต่หากส่งมอบให้แก่กรมพิธีการย่อมไม่มีปัญหาแน่นอน เขาถึงได้ตำแหน่งหลางจงขั้นห้ามาครองอย่างไรล่ะ ดังนั้นพวกตาเฒ่าของกรมพิธีการจึงฉวยโอกาสการแต่งตั้งเทพภูเขาและเทพลำธารในครั้งนี้มาเก็บเอาของไปอย่างถูกต้องชอบธรรม อีกฝ่ายหนึ่งคือใต้เท้าเสี่ยวอู๋ที่มองทรัพย์สมบัติทั้งหมดในเมืองเล็กเป็นสิ่งของที่ตนหวงแหน พอได้ยินว่ามีคนจะมาเอาวัตถุเก่าแก่ล้ำค่าที่เหลืออยู่อีกไม่มากของเมืองเล็กไป เขาจะยอมได้อย่างไร? ถอยไปพูดกันอีกก้าว ต่อให้ยินดีกลั้นใจทนความคับแค้นใจครั้งนี้ แต่ต้องรู้ว่าสี่แซ่สิบตระกูลมีจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์มากมายที่รอดูเรื่องสนุกอยู่ข้างๆ หากในเวลานี้เขาแกล้งยอมเป็นหลาน[2] คาดว่าวันหน้าคงยากที่จะวางตัวเป็นปู่ของพวกตระกูลใหญ่ๆ เหล่านั้นได้อีก การเลือกสถานที่ตั้งศาลบุ๋นบู๊ซึ่งเดิมทีก็ไม่ราบรื่น คราวนี้คงยิ่งซวยเข้าไปอีก”

เฉินผิงอันตั้งใจฟังคำอธิบายจากเด็กหนุ่มที่หน้าบานเป็นกระด้งจนจบ แล้วจึงถามว่า “เจ้าเป็นใครกันแน่? ทำไมถึงรู้มากขนาดนี้?”

เด็กหนุ่มยื่นนิ้วออกมาหนึ่งนิ้ว แล้วชี้เข้าที่ตัวเอง “ข้า? ฮ่าๆ ข้าไม่ใช่ขุนนางของราชสำนักต้าหลี ข้าแซ่ชุย ชื่อฉาน ตัวอักษรฉาน (瀺) ค่อนข้างจะเขียนยากและไม่ค่อยใช้กัน ลำบากยิ่งนัก เจ้าไม่ต้องสนใจหรอก”

เฉินผิงอันมองดวงตาของเด็กหนุ่ม

สีหน้าของเด็กหนุ่มเป็นธรรมชาติ ทั้งยังหัวเราะรื่นเริง “ข้าอายุมากกว่าเจ้า ดังนั้นเจ้าเรียกข้าว่าอาจารย์อาชุยก็ได้”

เฉินผิงอันจึงคลี่ยิ้ม

เด็กหนุ่มยิ้มตามไปด้วย เขายกมือทั้งคู่ถูแก้มเบาๆ “ไม่เป็นไร ข้ายังมีฉายาอย่างหนึ่ง เรียกแล้วค่อนข้างคล่องปาก นั่นคือซิ่วหู่”

—-

[1] ซื่อหลางคือชื่อตำแหน่งขุนนาง ในยุคฮั่นตะวันตกมีตำแหน่งเป็นข้ารับใช้ใกล้ชิดในราชสำนัก ยุคฮั่นตะวันออก เมื่อดำรงตำแหน่งซ่างซูครบสามปีจะเรียกว่าซื่อหลาง ส่วนหลังจากยุคราชวงศ์ถังเป็นต้นมาตำแหน่งจะค่อยๆ สูงขึ้น ซึ่งมีตำแหน่งเป็นรองแค่ซ่างซูของแต่ละฝ่ายเท่านั้น

[2] ยอมเป็นหลานหมายถึงยอมอ่อนข้อให้ ตรงข้ามกับเป็นปู่ที่หมายถึงคนที่มีอำนาจมากกว่า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!