บทที่ 89 หัวคนสองหัว
สตรีแต่งงานแล้วที่ร่างเล็กเตี้ย แต่กลับอิ่มเอิบควักกุญแจดอกใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างประณีตออกมาหนึ่งพวง เปิดประตูหน้าบ้าน ตอนที่ผลักประตูเดินเข้าไป นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “มีสถานที่ให้ใช้ฝีมือสักที”
สตรีแต่งงานแล้วปรายตามองกรงขังไก่ตรงมุมกำแพง ตรงจุดนั้นมีเสียงกระพือปีกพึ่บพั่บดังขึ้นมาเป็นระลอก นางถึงกับอึ้งงัน “ยังไม่หิวตายอีกรึ?”
“แต่ก็ต้องขอบคุณข้านะ อุตส่าห์ช่วยหาเพื่อนบ้านที่ดีขนาดนี้ให้เจ้า เพื่อนบ้านปรองดอง ใต้หล้าร่วมเปรมปรีดิ์” เพียงไม่นานนางก็เข้าใจต้นสายปลายเหตุ จึงหันหน้ามองไปทางกำแพง ค้นพบว่าสาเหตุเป็นเพราะตนตัวไม่สูง เลยมองไม่เห็นทัศนียภาพของทางฝั่งนั้น ได้แต่เดินเข้าปางกำแพงดินเหลือง เขย่งปลายเท้า พบว่าลานบ้านมีแต่ความว่างเปล่า ดูแล้วน่าเบื่อหน่าย เพียงไม่นานก็ถอนสายตากลับคืน เดินไปทางประตูใหญ่ของห้องหลัก แล้วจึงควักกุญแจออกมาเปิดประตูอีกครั้ง พอข้ามผ่านธรณีประตูไปแล้ว ก็ยื่นนิ้วออกไปลูบบนโต๊ะ ไม่มีฝุ่นแม้แต่เม็ดเดียว สตรีแต่งงานแล้วไม่ค่อยชอบใจนัก ราวกับว่ามีคนนอกบุกเข้ามาป้ายชาดแต่งหน้าลงบนใบหน้าของบุตรสาวตัวเองโดยพลการ สวยก็สวยดีอยู่หรอก แต่คนที่เป็นพ่อแม่ย่อมไม่พอใจ
ข้ารับใช้สามคนที่ติดตามสตรีแต่งงานแล้วมาถึงตรอกหนีผิง ชายร่างกำยำยืนอยู่กลางตรอกหนีผิงนอกลานบ้าน หลับตาทำสมาธิ
ผู้เฒ่าหน้าขาวไร้หนวดหรี่ตาเดินเข้ามาในลานบ้าน
มีเพียงหญิงสาวกุมกระบี่เท่านั้นที่เดินติดตามสตรีแต่งงานแล้วเข้ามาในห้องหลัก
สตรีแต่งงานแล้วเดินเข้าไปในห้องพักของซ่งจี๋ซิน กวาดตามองรอบด้าน โต๊ะ เตียงล้วนมีครบ บนโต๊ะยังมีของประดับราคาไม่ธรรมดาบางส่วนวางทิ้งไว้ น่าจะเป็นเพราะเจ้าของไม่ต้องการพกติดตัวไปด้วยจึงทิ้งเอาไว้ที่นี่เสียเลย สตรีแต่งงานแล้วเดินมาหยุดอยู่ข้างโต๊ะหนังสือ ค้นพบว่าตรงกลางโต๊ะยังวางตำราไว้สามเล่มจึงฉวยขึ้นมาเปิดดู ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ เป็นเพียงแค่ตำราเริ่มต้นของนักเรียนประถมทั่วไป ‘เสี่ยวเซวีย’ ‘หลี่เยว่’ และ ‘กวานจื่อ’ คือตำราประถมวัยที่ที่เชื้อพระวงศ์ ตระกูลสูงศักดิ์และชาวบ้านร้านตลาดใช้ร่วมกันทั่วไป สตรีแต่งงานแล้วค้นพบว่าหนังสือทั้งสามเล่มแม้จะเก่า แต่กลับไม่มีคราบสกปรกเลยแม้แต่นิดเดียว ในสมองจึงมีภาพของใครบางคนปรากฏขึ้นมาทันที สตรีแต่งงานแล้วส่ายหน้า เอ่ยถามขึ้นมาว่า “หยางฮวา หนังสือ ‘เสี่ยวเซวีย’ เล่มนี้ที่เมืองหลวงต้าหลีขายราคาเท่าไหร่?”
หญิงสาวที่มือทั้งสองกุมกระบี่ยืนหันหลังให้ประตูซึ่งมีน้ำเสียงใสเย็นมาตั้งแต่เกิดตอบอย่างนอบน้อม “บ่าวทูลเหนียงเหนียง (娘娘เหนียงเหนียงเป็นคำเรียกแทนราชินีหรือพระสนม) มากสุดหกสิบอีแปะ น้อยสุดสี่สิบอีแปะ”
สตรีแต่งงานแล้วร้องอ้อหนึ่งที แล้วจุ๊ปากพูด “ดูท่ายิ่งหลักการของพวกนักปราชญ์ลัทธิขงจื๊อยิ่งใหญ่เท่าไหร่ ก็ยิ่งไม่มีค่าเท่านั้น”
สตรีแต่งงานแล้ววางตำราประถมวัยสามเล่มทับซ้อนกันลงบนตำแหน่งเดิมอีกครั้ง ตบเบาๆ ลงบน ‘กวานจื่อ’ ที่วางไว้ด้านบนสุด ใบหน้าของนางเผยแววเย้ยหยันเสี้ยวหนึ่ง แค่นเสียงเย็น “หากไม่เป็นเพราะมีนักประพันธ์คอยช่วยผลักดันคลื่นลม เดินทางไปทั่วนครใหญ่ ทั่วตรอกซอกซอยอย่างเต็มความพยายามตลอดนับร้อยนับพันปี เพื่อเสริมเติมแต่งถ้อยคำที่สวยงามให้ แต่ตัวเองกลับยินยอมที่จะเป็นขุนนางต่ำต้อยบันทึกเกร็ดพงศาวดาร ลัทธิขงจื๊อก็นั่งอยู่ในใต้หล้านี้ไม่ได้ ตำแหน่งที่นั่งย่อมไม่มั่นคงแน่”
ผู้เฒ่าที่อยู่ในลานบ้านกระแอมเบาๆ หนึ่งที เอ่ยเสียงต่ำ “เหนียงเหนียงโปรดระวังคำพูดด้วย สถานที่แห่งนี้ไม่เหมาะให้พูดทุกอย่างตามใจคิด”
สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยยิ้มๆ “วางใจได้เลย หลังฉีจิ้งชุนตายไปก็ได้ข้อตกลงร่วมกับเบื้องบนแล้ว ดังนั้นที่นี่จึงไม่มีคนมาคอยจับตามองอีก เจ้านึกว่าไม่มีฉีจิ้งชุนแล้ว ถ้ำสวรรค์หลีจูที่เป็นบ่อน้ำนิ่งแห่งหนึ่ง สถานที่แห่งหนึ่งที่ไม่เคยมีรูรั่วใหญ่ตลอดเวลาหลายพันปี จะทานรับการให้ความสำคัญจากบุคคลยิ่งใหญ่พวกนั้นไหวหรือ?”
ผู้เฒ่ายังคงยืนกรานในความคิดตัวเอง “เหนียงเหนียงระวังตัวไว้เป็นการดี”
สตรีแต่งงานแล้วยิ้มหวาน เอ่ยเสียงอ่อนโยน “ก็ได้ๆ ข้าไม่พูดเรื่องพวกนี้ก็ได้ สวีหุนหรัน ข้อนี้เจ้าต้องเรียนรู้จากเหลียงซงบ้างจริงๆ นะ เขารู้จักสังเกตสีหน้าและน้ำเสียงมากกว่าเจ้าเยอะเลย ดังนั้นหากจะถามข้า ราชสำนักต้าหลีบอกว่าแม้เหลียงซงจะเป็นลูกศิษย์ของเจ้า แต่กลับเป็นน้ำเงินกำเนิดจากต้นคราม แต่สีเข้มกว่าคราม’ (อุปมาว่าลูกเก่งกว่าพ่อแม่หรือศิษย์เก่งกว่าครู) ไม่ผิดต่อเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว ส่วนเรื่องที่ท่านอาข้าจงใจใช้คำพูดไปยั่วยุเจ้า บอกว่าลูกศิษย์ไม่จำเป็นต้องสู้อาจารย์ไม่ได้อะไรนั่น สวีหุนหรัน เจ้าไม่ต้องใส่ใจ เขาเป็นคนอย่างนั้นเอง เพียงแค่ได้ยินคำพูดของบัณฑิตแค่ไม่กี่คำก็ชอบโอ้อวดตัวเองไปเรื่อย”
ผู้เฒ่าที่ชื่อสวีหุนหรันไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี มีเพียงเสียงถอนหายใจหนึ่งครั้ง ในใจคิดว่าไม่มีใครปลอบใจคนอย่างท่านเหนียงเหนียงสักหน่อย
เพียงแต่ว่าพอนึกถึงตอนที่เดินทางสวนกันกับอ๋องเจ้าแคว้นระหว่างทางมุ่งหน้าลงใต้ อารมณ์ของผู้เฒ่าก็พลันเคร่งเครียดขึ้นมาอีก ตอนนั้นแม้ว่าซ่งจ่างจิ้งจะดูเหนื่อยล้า คล้ายผ่านการต่อสู้ตัดสินเป็นตายครั้งใหญ่มา อาการบาดเจ็บสาหัสจึงยังไม่หายดี แต่ในเมื่อเขากล้าเปิดฝ่ายเลิกผ้าม่านรถม้าต่อหน้าตน ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ซ่งจ่างจิ้งอาจจะขยับขึ้นไปสู่ปลายทางแห่งวิถีการต่อสู้อีกก้าวหนึ่ง แม้ความเป็นไปได้ที่จะเลื่อนสู่ขอบเขตที่สิบเอ็ดจะน้อยแสนน้อย แต่พอถึงจุดสูงสุดของขอบเขตที่ก้าว ทุกครั้งที่ซ่งจ่างจิ้งขยับเดินไปข้างหน้า ต่อให้จะเป็นแค่ครึ่งก้าว แต่สำหรับปรมาจารย์วิถีการต่อสู้ที่อยู่ในขอบเขตเจ็ดและแปดแล้ว ความแตกต่างระหว่างครึ่งก้าวที่มองดูเล็กน้อย ก็อาจจจะเท่ากับความต่างของหนึ่งขอบเขตเลยทีเดียว
ผู้เฒ่าหน้าขาวไร้หนวดท่านนี้ได้รับลาภยศชื่อเสียงจากราชสำนักต้าหลี ถูกขนานนามให้เป็นอาจารย์กระบี่อันดับหนึ่งของต้าหลี คำว่าอาจารย์ที่เพิ่มเสริมขึ้นมาอีกมีความสำคัญมากพอๆ กับคำว่า “นัก” (ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ชำนาญการ เช่นนักสู้ นักกวี ฯลฯ) ที่ใส่นำหน้าแซ่สกุลของคนบางคน เหลียงซงผู้ฝึกกระบี่มีพรสวรรค์ที่ตายด้วยน้ำมือของซ่งจ่างจิ้งก็คือลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดของสวีหุนหรัน ผู้เฒ่ามองเขาเป็นเหมือนลูกชายแท้ๆ ของตัวเอง ความแค้นครั้งนี้จะไม่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร
สวีหุนหรันชอบเลี้ยงกระบี่ไว้ในชายแขนเสื้อ นามของกระบี่คือป๋ายแชว่ (นกกระจอกขาว) ยาวประมาณชุ่นกว่าๆ แต่พลังสังหารกลับรุนแรงอย่างถึงที่สุด เล่าลือกันว่าเวลาเพียงชั่วพริบตาก็สามารถบินไปกลับได้ร้อยกว่าลี้ กระบี่กลับเข้ามาในชายแขนเสื้อแล้ว แต่คนยังไม่ตาย วิธีการเฉียบคม ผีหรือเทพก็ยากจะคาดเดา
สตรีแต่งงานแล้วนั่งลงบนเตียงตัวนั้น ยกมือตบพื้นเตียง “ไม่ถือว่ามีชีวิตที่ร่ำรวยสูงศักดิ์ แต่กลับอิสระเสรีไม่น้อย”
หญิงสาวที่อุ้มกระบี่ยาวไว้ในหน้าอกเอ่ยเบาๆ “เหนียงเหนียงลำบากลำบนทำเพื่อองค์ชาย ทุกข์ใจตนเองอย่างแสนสาหัส เหนื่อยล้าจนถึงเอ็นกระดูก”
สตรีแต่งงานแล้วลุกขึ้นยืน เอ่ยยิ้มๆ “คำพูดประโยคนี้ปลอมไปหน่อย คนที่ลำบากอย่างแท้จริงคือเด็กกำพร้าข้างบ้านต่างหาก มู่เอ๋อร์ของข้าไม่เรียกว่าลำบากอะไรเลย”
นางเดินไปหยุดอยู่หน้ากำแพง ครุ่นคิดแล้วพึมพำเบาๆ “เวทอภินิหารที่บันทึกไว้บนตำราโบราณหลายหน้าซึ่งสกุลหลูบนถนนฝูลวี่มอบให้กับพวกเรา มีประวัติศาสตร์ยาวนานจนไม่อาจสืบหาต้นกำเนิดได้แล้ว แตกต่างจากของพรรคมหายันต์ในทุกวันนี้อย่างมาก ข้าจำได้ว่าหน้าหนึ่งในนั้นบันทึกเวทคาถาเล็กๆ ที่น่าสนใจไว้บทหนึ่ง คำสาปคืออะไรแล้วนะ? อ้อ จำได้แล้ว ไหนลองดูสิ”
สตรีแต่งงานแล้วหันหลังให้เด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตู เอ่ยยิ้มๆ “เจ้าไปรอข้าเปิดประตูที่ลานบ้านข้างๆ”
“ฟ้าดินเชื่อมโยง หน้าผาภูเขาเชื่อมติด อ่อนนุ่มดุจดอกซิ่ง บางดุจหน้ากระดาษ รวบนิ้วเป็นกระบี่ เปิดประตูรวดเร็ว ขอปฏิบัติตามคำสั่งของท่านซานซานจิ่วโหว!”
ในมือของสตรีแต่งงานแล้วไม่ได้มียันต์ที่สำคัญที่สุดแผ่นนั้น เพียงแค่ท่องคำสาปแช่งปากเปล่า ยื่นนิ้วชี้ไปด้านหน้า จากนั้นก็เดินลอดผ่านกำแพงไปอย่างผ่อนคลาย ด้านหลังมีริ้วคลื่นกระเพื่อมเบาๆ ระลอกหนึ่ง
สตรีแต่งงานแล้วเดินเข้าไปในห้องเก่าโทรมที่บ้านมีแต่ผนังสี่ด้าน เอ่ยสะท้อนใจ “คนบางคนชะตาชีวิตดี ไม่ว่าทำตัวเรื่อยเปื่อยแค่ไหนก็ยังได้เสวยสุข คนบางคนชะตาชีวิตไม่ดี เกิดมาก็ต้องเผชิญความยากลำบาก เกิดในท้องคนผิด แล้วเจ้าจะทวงความเป็นธรรมจากใครได้? ต่อให้เจอตัวการจริงๆ แต่เจ้าจะกล้าเปิดปากงั้นหรือ? เจ้าหนู วันหน้าหากรู้ความจริง ก่อนหน้าจะไปแก้แค้นกับข้า อย่างน้อยเจ้าก็ต้องไปจัดการกับเขาเมฆาเรือง เขาตะวันเที่ยงและทะเลสาบซูเจี่ยนสามฝ่ายนี้เสียก่อน รอจนเจ้ามาพบข้า ก็คงเป็นปีมะโว้แล้ว และเจ้าก็ยังต้องมีชีวิตรอดออกไปจากแผ่นดินของต้าหลีให้ได้ก่อนด้วย”
นางหันกลับไปมองกำแพง “ท่านซานซานจิ่วโหวมีฐานะอย่างไรกันแน่? แจกันสมบัติทวีปบูรพาของพวกเราไม่มีบุคคลยิ่งใหญ่ระดับนี้ หรือว่าจะเป็นเทพบรรพกาลที่สูญเสียควันธูปและร่างทองคำไป? หากเป็นเช่นนี้ ทำไมคาถาเล็กบทนี้ถึงยังใช้ได้ผล?”
ตอนนี้นางยังคิดหาคำตอบไม่ได้ เลยกะว่ารอกลับไปถึงเมืองหลวงต้าหลีก่อนแล้วค่อยตรวจสอบดูอีกที หรือไปหาชุยฉานแล้วลองถามดูก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ จะอย่างไรซะนี่ก็คือผลประโยชน์จากความใกล้ชิด ไม่ถามก็เสียเปล่า นางเดินไปเปิดประตู ดึงสลักออกแล้ว แต่ก็ยังเปิดประตูไม่ได้ ถึงนึกขึ้นได้ว่านอกประตูต้องใส่กุญแจอยู่ด้วยแน่นอน จึงต้องออกแรงเพิ่มเล็กน้อยถึงจะกระชากให้แม่กุญแจสีทองแดงหักออกได้ พอเปิดประตูแล้วจึงเห็นว่าประตูหน้าบ้านเปิดกว้าง นางมองหญิงสาวที่กุมกระบี่และสวีหุนหรันอาจารย์กระบี่ ถามว่า “พวกเจ้าพังประตูเข้ามาทั้งอย่างนี้น่ะหรือ? มีเหตุผลกันบ้างหรือเปล่านี่? กลับไปแล้วต้องหาคนมาซ่อมให้ดีนะ อย่าลืมล่ะ”
นางเดินไปทางประตูหน้าบ้านแล้วเอ่ยเสริมหนึ่งประโยค “กุญแจประตูห้องก็เปลี่ยนให้เหมือนเดิมด้วย”
เห็นได้ชัดว่าอาจารย์กระบี่ผู้เฒ่าและหญิงสาวกุมกระบี่เคยชินมานานแล้ว
มีเพียงชายร่างกำยำยืนกลางตรอกหนีผิงเท่านั้นที่ขมวดคิ้ว
หลังจากสตรีแต่งงานแล้วเดินออกจากลานบ้านก็พลันหยุดเท้า “หยางฮวา เจ้าเดินไปทางขวามือหกสิบสามก้าวด้วยระยะการย่างเท้าเท่ากับตอนที่มู่เอ๋อร์ของข้าอายุเจ็ดขวบ”
หญิงสาวกุมกระบี่เดินขึ้นหน้าตามคำสั่ง พอครบหกสิบสามก้าวก็หยุดเดิน
สตรีแต่งงานแล้วด้านหลังนางผินตัวกลับมา เผชิญหน้ากับกำแพงสูง “น่าจะเป็นที่นี่แหละ”
สตรีแต่งงานแล้วมองกำแพงดินเหนียวที่ไร้ความมหัศจรรย์ใดๆ แล้วเอ่ยอย่างเคียดแค้น “เจ้าซ่งอวี้จางสมควรตาย”
ทว่าเพียงไม่นานสีหน้าของนางก็กลับมาเป็นสง่างามอบอุ่นดังเดิม ถามยิ้มๆ ว่า “ความลับเรื่องนี้ ปีนั้นเจ้าเคยได้ยินข้าเล่าให้ฟังแล้ว เจ้ารู้สึกว่าปมของปัญหาอยู่ตรงไหน ข้าสามารถทำอะไรให้มู่เอ๋อร์ได้บ้าง?”
หญิงสาวส่ายหน้า “บ่าวไม่ทราบ แล้วก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามคาดเดา”
สตรีแต่งงานแล้วถอนหายใจด้วยความเศร้าใจเล็กน้อย “ปมในใจของมู่เอ๋อร์ข้ามีอยู่สองปม ปมแรก แน่นอนว่าคือเมื่อครั้งที่พายุฝนตกกระหน่ำ ถูกเด็กบ้านนอกยากจนคนหนึ่งไล่ฆ่าจากนอกตรอกมาจนถึงตรงนี้ บีบคอกักเขาไว้บนกำแพงจนไม่อาจขยับเขยื้อน ด้วยนิสัยของเขาต้องโมโหจนยากจะระงับอารมณ์แน่นอน ตอนนั้นมู่เอ๋อร์อายุยังน้อย นอกจากเสียหน้าแล้ว มู่เอ๋อร์ยังต้องตกใจไม่น้อยเพราะไอสังหารที่แผ่ออกมาจากคนวัยเดียวกัน”
สายตาของสตรีแต่งงานแล้วพลันเฉียบคม ยื่นฝ่ามือออกมา กลางฝ่ามือแนบลงไปบนผนังดินเหนียวที่หยาบกระด้างไม่ราบเรียบเบาๆ “ปมในใจปมที่สองนั้นน่าสนใจมาก น่าสนใจจนมู่เอ๋อร์ของข้าอาจจะได้ลิ้มรสความละอายใจและรู้สึกผิดเป็นครั้งแรกในชีวิต ดังนั้นหลังจากที่เขาเจอกับฝูหนันหัวแห่งนครมังกรเฒ่า จึงไม่อาจตัดสินใจกับข้อเสนอที่เพิ่มขึ้นมาจากการแลกเปลี่ยนครั้งนั้น ว่าจะเปลี่ยนคนที่ถูกฆ่าจากหลิวเสี้ยนหยางมาเป็นเด็กหนุ่มคนนั้น”
ในที่สุดเด็กสาวก็เริ่มเกิดความสงสัยใคร่รู้ แต่รับใช้ฮูหยินคนนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอยู่ใกล้กับกษัตริย์ก็เหมือนอยู่ใกล้เสีย แน่นอนว่านางย่อมไม่โง่ถึงขนาดเอ่ยปากถาม
สตรีแต่งงานแล้วเก็บฝ่ามือกลับมา แล้วเช็ดบนชายแขนเสื้อของหญิงสาวกุมกระบี่ ก่อนจะเริ่มหมุนตัวเดินไปทางหน้าปากซอย พลันเผยให้เห็นท่วงท่าน่ารักไร้เดียงสาส่วนหนึ่ง แม้จะเป็นสตรีแต่งงานแล้ว เป็นแม่คนแล้ว แต่นางกลับยังมีท่วงท่าอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง นางเอ่ยอย่างขุ่นเคืองว่า “มู่เอ๋อร์ก็แค่บอกว่าเจ้าเฉินผิงอันเกิดวันที่ห้าเดือนห้า หลังจากเป็นสาเหตุให้พ่อแม่ตัวเองต้องตาย เพราะยังอยู่อาศัยในบ้านบรรพบุรุษ จึงเดือดร้อนให้พ่อกับแม่ไม่สามารถไปเกิดใหม่ได้ ดังนั้นทางที่ดีที่สุดก็อย่าอาศัยอยู่ในบ้าน ต้องรีบย้ายออกไปซะ”
สตรีแต่งงานยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห “ก็แค่พูดเล่นไม่กี่คำ จะนับเป็นอะไรได้? เฉินผิงอันเชื่อว่าเป็นความจริง ก็เพราะความโง่ของเจ้าที่ทำลายคำสัญญาเฮงซวยว่าจะไม่ไปทำงานที่เตาเผามังกรของเจ้า แล้วจะมาโทษมู่เอ๋อร์ของข้าได้อย่างไร? แล้วนับประสาอะไรกับที่คำสาบานของเศษสวะน้อยอย่างเจ้า จะมีค่าสักกี่แดงกันเชียว? มู่เอ๋อร์ของข้าสูงส่งถึงขนาดนั้น หยกขาวมีตำหนิเพียงเล็กน้อย (เปรียบเปรยว่าบุคคลที่มีความดีพร้อม แต่มีจุดด่างพร้อยเพียงนิดเดียว) นี่คือคำพูดของมนุษย์ในโลก หากผู้ฝึกตนเชือคำพูดนี้ก็เท่ากับรนหาที่ตายเองชัดๆ ต่อให้จะเป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนที่สามารถมีอายุขัยเท่าเทียมกับแคว้น ใครเล่าที่ไม่พยายามแสวงหาร่างทองคำอมตะ เรือนกายไร้มลทินที่แท้จริงอย่างยากลำบากบ้าง? เจ้าเป็นแค่เด็กหนุ่มในตลาดคนหนึ่ง จะชดใช้อย่างไร? เจ้าชดใช้ได้ไหวหรือ?!”
สตรีแต่งงานแล้วเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เจ้าเศษสวะน้อย เจ้ามันก่อกรรมทำเข็ญจริงๆ!”
พู่กระบี่สีทองนอนนิ่งอยู่บนเนินอกของเด็กสาวกุมกระบี่ สีหน้าของนางเรียบเฉย
สวีหุนหรันอาจารย์กระบี่ก็ยิ่งแสร้งทำเป็นเหมือนไม่ได้ยิน ไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
มีเพียงชายร่างบึกบึนที่เดินอยู่หลังสุดเท่านั้นที่ขมวดคิ้วอีกครั้ง
ตอนที่สตรีแต่งงานแล้วกำลังจะเดินออกมาจากตรอกหนีผิง กลับพลันหันตัวขวับ
แทบจะเวลาเดียวกันนั้น เด็กสาวและอาจารย์กระบี่ต่างคนต่างขยับไปฝั่งซ้ายและฝั่งขวา เพื่อไม่ให้ขวางสายตาของสตรีแต่งงานแล้ว
เวลานี้ใบหน้าของสตรีแต่งงานแล้วเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทั้งงามหยาดเยิ้ม ทั้งบริสุทธิ์เดียงสา เป็นความล่อลวงที่ขัดแย้งกันเอง นางถามเสียงอ่อนโยน “ทำไม หวังอี้ฝู่ เจ้ารู้สึกว่าไม่ถูกงั้นหรือ?”
ชายผู้นั้นเอ่ยเสียงหนัก “แม้จะไม่รู้เรื่องรายภายในไปมากกว่านี้ แต่ข้าก็มั่นใจว่าแบบนี้ไม่ถูกต้อง”
สตรีแต่งงานแล้วไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย กลับยังหัวเราะเสียงดังด้วยซ้ำ “ไม่เสียแรงที่เป็นหวังอี้ฝู่ขุนพลผู้กล้าอันดับหนึ่งแห่งราชวงศ์สกุลหลู!”
อาจารย์กระบี่ผู้เฒ่าที่ชื่นชอบหรี่ตามองคนและวัตถุหรี่ตาลงอีกจนแทบจะมองไม่เห็นดวงตา ปราณกระบี่ทั่วร่างอัดแน่นเต็มตรอกเล็กแคบ
เศษดินบนผนังร่วงกราวลงพื้นอย่างต่อเนื่อง
เด็กสาวกุมกระบี่เดินถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างเงียบเชียบ ราวกับว่าต้องการเว้นพื้นที่ที่มากกว่าเดิมให้แก่สวีหุนหรันปรมาจารย์วิถีกระบี่
นางมองไปยังชายร่างกำยำที่อยู่ห่างไปไม่ไกล มุมปากกระตุกยิ้มเหยียดหยาม
ก็คือสุนัขไร้บ้านตัวหนึ่งที่คานหลักหักลง ยังจะกล้าเห่าหอน?
ชายที่มีนามว่าหวังอี้ฝู่ผู้นี้เคยเป็นหนึ่งในแม่ทัพใหญ่ของราชวงศ์สกุลหลู มาจากตระกูลแม่ทัพขุนพล บรรพบุรุษล้วนเป็นแม่ทัพใหญ่ในสมรภูมิรบทั้งสิ้น ก่อนหน้าที่หวังอี้ฝู่จะยอมสวามิภักดิ์ ฐานะของเขาเท่าเทียมกับพลเอกของราชวงศ์ต้าหลี ในอดีตเมื่อนานมาแล้ว เทพสงครามแห่งต้าหลีอย่างซ่งจ่างจิ้งก็เคยประกาศว่าจะสู้กับหวังอี้ฝู่ให้สาแก่ใจสักครั้ง ความสามารถในการนำทัพต่อสู้ของคนผู้นี้อาจไม่ถือว่าโดดเด่นนัก ทว่าวรยุทธ์ของตัวเขาเองกลับสูงอย่างถึงที่สุด แม้จะเป็นผู้ฝึกลมปราณ แต่กลับมีเรือนกายและจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งของนักบู๊ขอบเขตที่แปด เชี่ยวชาญการใช้มีด สามารถควบคุมเทพหยินหินหยกแข็งแกร่งที่มีชื่อเสียงเลื่องลือให้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ ถือเป็นยอดฝีมือที่แท้จริงของราชวงศ์สกุลหลูที่มีน้อยจนนับนิ้วได้
สตรีแต่งงานแล้วยื่นฝ่ามือเล็กบางสีขาวนวลดุจหยกมันแพะออกมาโบก “สวีหุนหรัน ไม่ต้องตื่นเตน้ไป แม่ทัพหวังเป็นคนมีเหตุผล ก็แค่โผงผางไปหน่อยเท่านั้น ตอนนี้อยู่ในถิ่นของผู้อื่น ไม่ควรจะฆ่าฟันกันเพียงแค่เพราะพูดจาไม่เข้าหู ข้าไม่ชอบมากไ”
สวีหุนหรันเก็บปราณกระบี่ในชายแขนเสื้อข้างหนึ่งที่แผ่ไพศาลกลับคืนไปเงียบๆ
เพียงแต่ว่านาทีถัดมาสตรีแต่งงานแล้วกลับพูดขึ้นอีกว่า “ข้าแค่ไม่นำคนที่หวังอี้ฝู่ยอมสละชีวิตและศักดิ์ศรีเพื่อปกป้องส่งไปยังสถานที่ที่ก่อนหน้านี้ตกลงกันแล้ว แต่จะส่งเข้าวังหลวง หรือไม่ก็ฝ่ายเลี้ยงรับรอง[1]ดีล่ะ?”
หวังอี้ฝู่ที่มองประสานสายตากับนางกำหมัดสองข้างแน่นจนเส้นเอ็นปูดโปน ดวงตามีเส้นเลือดฝอยปรากฏ
สตรีแต่งงานแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ก่อนหน้านี้แค่บอกว่ารักษาชีวิตไว้ก็พอ ดังนั้นเจ้าหวังอี้ฝู่อย่าคิดว่าใจเมตตาดุจพระโพธิสัตว์ของข้าจะเป็นเรื่องที่สมควรดีแล้ว”
หวังอี้ฝู่พลันยิ้ม “เหนียงเหนียงตรัสถูกแล้ว ข้าน้อยผิดเอง”
สตรีแต่งงานแล้วก็ยิ้มเช่นกัน “รู้ว่าผิดก็ดีแล้ว ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพอออกไปจากตรอกหนีผิงแห่งนี้ เจ้าไม่ต้องติดตามพวกเรามาแล้ว แต่จงไปเด็ดหัวของใต้เท้าผู้ตรวจการคนก่อนก่อนหน้านี้มา จากนั้นก็หากล่องไม้บรรจุไว้ให้ดี วันหน้าข้ายังต้องใช้”
หวังอี้ฝู่ตะลึงงัน “ซ่งอวี้จางคือขุนนางที่ฮ่องเต้เรียกตัวให้มาที่นี่ ก่อนหน้านี้เหนียงเหนียงเองก็เคยตรัสว่าคนผู้นี้มีที่พึ่งอยู่ในกรมพิธีการและสำนักโหราศาสตร์ ทำไมถึงจะฆ่าเขาล่ะ?”
สตรีแต่งงานแล้วถามย้อนยิ้มๆ “ฆ่าคนยังต้องมีเหตุผลด้วยรึ? แล้วข้าจะเป็นเหนียงเหนียงนี่ไปทำไม?”
หวังอี้ฝู่ถอนหายใจ กุมมือก้มหน้า “ข้าน้อยรับพระบัญชา”
หลังจากคนทั้งสี่ทยอยกันเดินออกจากตรอกหนีผิง หวังอี้ฝู่ก็แยกทางกับคนทั้งสาม
รอจนเงาร่างของชายร่างกำยำที่สวามิภักดิ์ต่อเหนียงเหนียงต้าหลีหายไปจากสายตา สวีหุนหรันก็อดพูดเย้ยหยันไม่ไหว “หวังอี้ฝู่ผู้แข็งแกร่งและซื่อตรง ฮ่าๆ ตอนนี้แม้แต่ความหยิ่งในศักดิ์ศรีก็ยังไม่เหลืออยู่แล้ว”
สตรีแต่งงานแล้วไม่ได้เดินไปทางถนนใหญ่ที่มีคนเดินพลุกพล่าน แต่เลือกเดินเข้าไปในตรอกเงียบสงัดแห่งหนึ่ง เอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่า “นึกจริงๆ หรือว่าการที่ข้าทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้น จะไม่อาจแยกแยะดีชั่วได้?”
อาจารย์กระบี่เฒ่าไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร จึงหุบปากไม่พูดไปเสียเลย
สตรีแต่งงานแล้วเงยหน้ามองท้องฟ้าสีครามสดใส แล้วจู่ๆ ก็ปลงอนิจจังอย่างไร้สาเหตุ “มีเพียงตกอยู่ในสภาพเดียวกันเท่านั้น ถึงจะค้นพบว่าบัณฑิตอย่างฉีจิ้งชุน ร้ายกาจมากจริงๆ”
“เป็นต้าหลีของพวกเราที่ผิดต่อเขา”
“บุรุษที่พันปียากจะพานพบผู้นี้ น่าเจ็บใจที่ไม่อาจให้ต้าหลีของเราใช้งานได้ มิน่าเล่าช่วงนี้ฝ่าบาทถึงได้ดูกลัดกลุ้ม มักจะถอนหายใจบ่อยๆ”
“เสียดายก็แต่ต่อให้ฉีจิ้งชุนจะร้ายกาจมากแค่ไหน สุดท้ายก็ตายไปแล้วอยู่ดี”
สตรีแต่งงานแล้วทอดถอนใจไปตลอดทาง ถึงขนาดพูดความในใจออกมาทั้งหมด
เมื่อสตรีแต่งงานแล้วเงียบเสียงลง ไม่พูดอะไรอีก สวีหุนหรันก็พลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงสะบัดชายแขนเสื้อ ปราณกระบี่แผ่ไปรอบด้าน จากนั้นจึงถามเสียงเบาว่า “เหนียงเหนียง ก็แค่ฆ่าเด็กหนุ่มตรอกยากจนที่จู่ๆ ก็ร่ำรวยขึ้นมาเท่านั้น พวกเราทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ไปหรือเปล่า?”
ดูเหมือนสตรีแต่งงานแล้วคร้านจะตอบคำถามประเภทนี้ จึงตอบอย่างไม่ใส่ใจ “หยางฮวา เจ้าเป็นคนตอบ”
หญิงสาวกุมกระบี่เอ่ยเสียงเย็น “สิงโตจับกระต่าย ยังต้องโจมตีให้ตายในทีเดียว”
อาจารย์กระบี่เฒ่าพลันพูดไม่ออก
สตรีแต่งงานแล้วกระตุกมุมปาก “แม้ว่าท่านอาของข้าจะเป็นนักบู๊คนหนึ่งเหมือนกัน แต่ก็มีประโยคหนึ่งที่เขาพูดได้ยอดเยียมยิ่งนัก ไม่ว่าจะรับมือกับศัตรูคนใด ก็ห้ามยื่นศีรษะให้คนอื่นเด็ดขาด”
……
ไม่เหมือนกับเพื่อนร่วมงานกรมพิธีการคนอื่นๆ ที่ไปพักในตรอกเถาเย่ ซ่งอวี้จางมาพักอาศัยอยู่ในตรอกฉีหลงเพียงลำพัง คือบ้านหลังหนึ่งที่เจ้าของเพิ่งย้ายออกไป
ซ่งอวี้จางเปิดประตูห้อง นั่งอยู่ข้างโต๊ะ มีเหล้ากาหนึ่งวางไว้ ด้านข้างยังมีถั่วลิสงโรยเกลือวางไว้หนึ่งจานและเหล้าขาวอีกหนึ่งถ้วยใหญ่ ในอดีตใต้เท้าผู้ตรวจการท่านนี้ตั้งรกรากอยู่ในเมืองเล็กมาสิบห้าปีเต็ม ไม่ว่าจะดื่มจะกินอะไร พอเข้าปากก็ล้วนเป็นรสชาติที่คุ้นเคยไปหมด
เมื่อเขาเห็นว่าจู่ๆ กลางลานบ้านก็มีชายร่างกำยำคนหนึ่งเผยกาย ใต้เท้าซ่งที่เพิ่งจะยกถ้วยเหล้าขึ้นก็พลันคลี่ยิ้ม “มาสักทีนะ”
เขาชูถ้วยขาวขึ้นสูง เอ่ยถามว่า “รอให้ข้าดื่มเหล้าถ้วยนี้ให้หมดก่อนได้หรือไม่”
แขกที่ไม่ได้รับเชิญท่านนั้นลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับ
ซ่งอวี้จางเหมือนจะกลัวว่าแขกจะรอนานจึงดื่มเหล้าต้มรวดเดียวเกือบครึ่งถ้วย ใบหน้าพลันแดงปลั่ง ครั้นจึงเอ่ยถาม “ช่วยนำคำพูดของข้าประโยคหนึ่งไปบอกเด็กหนุ่มที่ชื่อว่าซ่งจี๋ซินผู้นั้นได้ไหม อืม วันหน้าเขาควรจะถูกเรียกว่าซ่งมู่แล้วสินะ”
สายตาของชายวัยกลางคนผู้นี้เผยแวววิงวอนออกมาเสี้ยวหนึ่ง “ช่วยบอกกับเขาได้หรือไม่ว่า ตลอดหลายปีมานี้ เจ้าคนที่ชื่อซ่งอวี้จางผู้นั้น ปรารถนาอยากจะขอให้เขาเขียนกลอนปีใหม่ให้มาโดยตลอด?”
คราวนี้ชายร่างกำยำส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด “ไม่ได้!”
ซ่งอวี้จางสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หลังจากหลับตาลงช้าๆ ใบหน้าเผยแววปลดปล่อย เอ่ยเสียงเบา “ตอนเป็นหนุ่มชอบอ่านบันทึกการเดินทง ได้เห็นนครมังกรเฒ่าที่อยู่ทางใต้สุดของแจกันสมบัติทวีปบูรพามีคลื่นลูกยักษ์กระทบฝั่งตลอดทั้งปี ช่างเป็นภาพที่งดงามและยิ่งใหญ่แห่งใต้หล้า ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าเหล้าต้าหลีถ้วยนี้คือน้ำของคลื่นยักษ์ทะเลใต้ก็แล้วกัน”
หวังอี้ฝู่เดินก้าวยาวๆ ขึ้นไปข้างหน้า ใช้มือข้างหนึ่งบิดคอของขุนนางกรมพิธีการต้าหลีผู้นี้ให้หัก
หลังจากฆ่าคนแล้ว ในใจของหวังอี้ฝู่กลับไม่มีความปิติยินดีใดๆ เขาปล่อยร่างของอีกฝ่ายให้ฟุบอยู่บนโต๊ะเบาๆ เหมือนคนเมาเหล้า
เป็นบุคคลสิ้นชาติ เป็นแม่ทัพผู้พ่ายแพ้ หวังอี้ฝู่รินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งถ้วยแล้วดื่มเงียบๆ สุดท้ายพูดกับคนตายที่อยู่ข้างกันว่า “ที่แท้บัณฑิตก็มีหัวที่ยอดเยี่ยมนี่เอง”
—-
[1] ฝ่ายเลี้ยงรับรอง เรียกอีกอย่างก็คือหอนางโลมของทางการ แต่จะแตกต่างจากหอนางโลมทั่วไป เพราะแคว้นเป็นผู้ก่อตั้ง เดิมทีฝ่ายเลี้ยงรับรองคือสถานที่ที่สอนดนตรีให้แก่นางกำนัล ทว่าภายหลังโดยเฉพาะยุคราชวงศ์ชิงที่เปลี่ยนมาเป็นหอนางโลมของทางการ และผู้ที่เข้ามาอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ส่วนใหญ่ล้วนไม่ใช่ชาวบ้านทั่วไป แต่เป็นหญิงสาวในตระกูลที่มีหน้ามีตา ในอดีตพวกนางมีชีวิตสูงส่งสุขสบาย แต่เมื่อมาอยู่ในสถานที่แห่งนี้กลับเหมือนอยู่ในนรก