บทที่ 91 ปิ่นหยก
ฝนเม็ดใหญ่กระทบลงบนงอบไม้ไผ่บนศีรษะของคนทั้งสอง ส่งเสียงดังเปาะแปะ
เฉินผิงอันถามเสียงหนัก “ปิ่นชิ้นนี้ธรรมดามาก เป็นเพียงแค่เนื้อหยกธรรมดา”
อาเหลียงจ้องมองเด็กหนุ่มผู้มีท่าทางจริงจัง เหมือนได้ยินเรื่องขำขันที่ตลกที่สุดในใต้หล้า แสยะปากกว้าง กว่าจะเก็บกลั้นเสียงหัวเราะไว้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย “ที่เจ้าพูดมานั้นไม่นับ”
หน้าผากเฉินผิงอันมีเหงื่อซึม แต่ไม่นานก็ถูกน้ำฝนที่สาดลงมาโดนใบหน้าชะล้างออกจนหมด เขามองชายผู้นั้นพลางถามว่า “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”
อาเหลียงถามยิ้มๆ “เจ้ารู้สึกว่าตัวเองใกล้จะตายแล้วใช่หรือไม่?”
บัดนี้เฉินผิงอันพลันรู้สึกสิ้นหวังอย่างมาก
เพราะช่างหร่วนมา แล้วก็จากไปอีกครั้งแล้ว
ทว่าชายที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ยังคงยืนอยู่ตรงหน้าตน
อาเหลียงยังคงเป็นอาเหลียงที่ยิ้มตาหยี สะพายดาบไม้ไผ่สีเขียวเล่มนั้นเอียงๆ
ชายผู้นี้มองเด็กหนุ่มยิ้มๆ เรือนกายไม่สูง สวมอาภรณ์เนื้อบาง รองเท้าแตะแน่นหนา แน่นอนว่ายังมีปิ่นหยกที่แต้มนัยน์ตามังกรชิ้นนั้นเพิ่มขึ้นมาอีก
หากจำไม่ผิด บนหยกยังสลักตัวอักษรเล็กๆ สวยงามไว้อีกแปดตัว
ริมฝีปากของเฉินผิงอันซีดเขียว ถามเสียงสั่น “เจ้าปล่อยพวกเขาไปได้หรือไม่?”
อาเหลียงไม่ตอบ
คืนที่จุดตะเกียงโต้รุ่งก่อนจะเดินทางหนึ่งวัน เฉินผิงอันเคยพยายามจินตนาการถึงทุกอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้น ใช่ว่าเขาจะไม่เคยคิดว่าการเดินทางไปขอเล่าเรียนที่สำนักศึกษาซานหยาในครั้งนี้จะต้องพบเจออุปสรรคใหญ่น้อยมากมายบนเส้นทาง เพราะลำพังเพียงแค่ศัตรูคู่อาฆาตที่เปิดเผยของเขาก็มีเขาเมฆาเรือง นครมังกรเฒ่าและเขาตะวันเที่ยงถึงสามฝ่ายแล้ว พวกเขาล้วนเป็นเทพเซียนที่อยู่บนภูเขาโดยไม่มีข้อยกเว้น แต่กลับมีแค้นยิ่งใหญ่กับตน ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเป็นกังวลว่าตัวเองจะเป็นสาเหตุที่ทำให้แม่นางน้อยชุดแดงซึ่งเดินทางไปขอศึกษาต่อเดือดร้อนไปด้วย
วันนั้นที่พูดเรื่องความยากลำบากเมื่อครั้งขึ้นเขาตอนยังเด็กให้หลี่เป่าผิงฟัง ใช่ว่าเด็กหนุ่มคิดจะระบายความทุกข์ คิดจะวางมาดของอาจารย์อาน้อย แต่เฉินผิงอันอยากจะบอกเรื่องหนึ่งกับแม่นางน้อย นั่นก็คือสำนักศึกษาที่พวกเขากำลังจะเดินทางไปซึ่งย้ายไปยังต้าสุยแล้วนั้น ระยะทางต้องยาวไกลยิ่งกว่าในอดีตที่เขาขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรมาก หากมีวันหนึ่งที่เขาไม่อยู่แล้ว ไม่อาจอยู่ข้างกายนางได้อีก และหลี่เป่าผิงยังคาดหวังที่จะได้ไปเรียนต่อที่นั่น เพียงแต่ว่านางไม่มีความมั่นใจในตัวเองเท่านั้น ดังนั้นเฉินผิงอันจึงหวังว่านางจะสามารถเป็นเหมือนตนที่ขึ้นเขาในปีนั้น เดินได้มากกี่ก้าวก็กี่ก้าว เดินไปเดินมา ไม่แน่ว่าอาจเดินไปถึงก็ได้
เพียงแต่ว่าตอนนั้นคำพูดนี้มารออยู่ตรงริมฝีปากแล้ว แต่เฉินผิงอันพลันรู้สึกว่าคนทั้งสองเพิ่งจะเริ่มออกเดินทาง เอ่ยประโยคทำนองนี้ไม่เป็นมงคลเกินไป จึงพูดเพียงแค่ครึ่งเดียว ส่วนอีกครึ่งที่เหลือกลืนกลับลงท้องไป เปลี่ยนมาเป็นว่าหวังว่านางจะกลายเป็นจอมปราชญ์น้อย กลายเป็นอาจารย์หญิง ทั้งหวังให้เป็นมงคล แล้วก็เป็นความคาดหวังที่เฉินผิงอันมีต่อแม่นางน้อยจริงๆ
อาเหลียงเอ่ยยิ้มๆ “ถอยไปพูดหนึ่งหมื่นก้าว ปิ่นชิ้นนั้นเป็นเครื่องประดับของชาวบุ๋นทั่วไป ซึ่งไม่ใช่ของเจ้า ถอยไปพูดหนึ่งร้อยก้าว ข้าไม่เชื่อว่าปิ่นที่ฉีจิ้งชุนเก็บรักษาอย่างระมัดระวังมาตลอดหลายปีจะไม่ซุกซ่อนความลี้ลับเอาไว้เลย ยกตัวอย่างเช่นแท้จริงแล้วมันคือถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กที่ไม่มีใครรู้แห่งหนึ่ง หรือไม่ก็เป็นพื้นที่วิเศษซึ่งฮวงจุ้ยมีคุณสมบัติให้กลายเป็นพื้นที่มงคล หากถอยไปพูดแค่ก้าวเดียว ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งร้ายกาจเข้าไปใหญ่ มีความเป็นไปได้ว่ามันอาจจะเป็นวัตถุแทนตัวในการสืบทอดควันธูปของสายบุ๋น ก็เหมือนกับวัตถุแทนตัวเจ้าลัทธิของสายหลักในสามลัทธิเต๋าใหญ่ หนึ่งคือยันต์ไม้ท้อ หนึ่งคืออาภรณ์ขนนกและอีกหนึ่งคือกวานเต๋า หากเป็นจริง ปิ่นคือวัตถุแทนตัวของอาจารย์ฉีจิ้งชุนจริงๆ เฉินผิงอัน เจ้าคิดว่าตัวเองปักมันไว้บนศีรษะ เหมาะสมแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันตอบไม่ตรงคำถาม “อาเหลียง เจ้าปล่อยพวกหลี่เป่าผิง หลี่ไหวไปได้หรือไม่?”
อาเหลียงถามยิ้มๆ “เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าเมื่อข้ารับปากเจ้าแล้ว หลังจบเรื่องจะไม่กลับคำพูด?”
ปลายเท้าเฉินผิงอันขยับเล็กน้อย
อาเหลียงยกมือสองข้างขึ้นกอดอก พูดยิ้มๆ “จอมยุทธ์น้อยอย่าวู่วามสิ พวกเราก็กำลังพูดคุยกันอย่างมีเหตุผลไม่ใช่หรือ รอให้เหตุผลไม่เข้าท่าเมื่อไหร่ ค่อยลงมือก็ยังไม่สาย”
เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไร สีหน้าของเขาซีดขาว
อาเหลียงมองประเมินเด็กหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่ง “เหมือนอยู่บ้างจริงๆ”
อาเหลียงเก็บรอยยิ้ม ยื่นมือออกมา “เอาปิ่นมา แล้วข้าจะไม่สังหารพวกเขา”
ปลายนิ้วของเฉินผิงอันสั่นระริก
อาเหลียงเอ่ยเนิบช้า “นี่คือมรดกจากอาจารย์ของฉีจิ้งชุน และนี่ก็ถือเป็นมรดกของฉีจิ้งชุนด้วย”
เฉินผิงอันยกมือขึ้น ยื่นไปทางศีรษะตัวเอง
อาเหลียงยิ้ม “หากเจ้าหักปิ่นชิ้นนี้ด้วยตัวเอง ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า ข้าไม่เคยโกหกใคร
เฉินผิงอันพลันหยุดมือ สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ถอยไปด้านหลังหนึ่งก้าว ตั้งท่าเหมือนพร้อมจู่โจม
อาเหลียงถาม “เจ้ารู้สึกว่าจะอย่างไรซะเมื่อตัวเองตายไปแล้ว ข้าก็จะปล่อยพวกหลี่เป่าผิงไปเอง ดังนั้นต่อให้ต้องตาย เจ้าก็ยังอยากจะทดลองดูว่าจะอาศัยความสามารถของตนปกป้องปิ่นชิ้นนี้ไว้ได้หรือไม่ ใช่ไหม?”
เฉินผิงอันไม่เอ่ยคำใด เหยียบสองก้าวลงบนพื้นหนักๆ แล้วพุ่งเข้าใส่อาเหลียงพร้อมเหวี่ยงหมัดออกไป
นาทีถัดมาเฉินผิงอันก็ค้นพบว่าเบื้องหน้าไม่มีเงาร่างของอาเหลียงอยู่แล้ว
เฉินผิงอันยืนตัวแข็ง หันหน้ากลับไป จริงดังคาด ชายที่สวมงอบผู้นั้นยืนอยู่ตรงนั้น เพียงแต่ว่าในมือมีปิ่นเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งชิ้น
อาเหลียงถอนหายใจ คล้ายกับว่าไม่รู้สึกสนใจปิ่นชิ้นนั้นสักเท่าไหร่ จึงยื่นส่งให้กับเด็กหนุ่ม “เอากลับไป”
เฉินผิงอันเดินขึ้นหน้าไปสองสามก้าวอย่างระมัดระวัง วินาทีที่เขารับปิ่นหยกชิ้นนั้นมา เด็กหนุ่มพลันรู้สึกว่าศีรษะหนักอึ้ง ที่แท้ชายสวมงอบเอามือข้างหนึ่งวางลงบนศีรษะของเขาเบาๆ คนทั้งสองยืนเคียงไหล่กัน เพียงแต่ว่าหันหน้าไปในทิศทางตรงข้ามกัน ชายที่เผยกายด้วยบุคลิกเอ้อระเหยไร้แก่นสารมาโดยตลอดถอนหายใจ “เฉินผิงอัน วันหน้าอย่าได้ทำเรื่องโง่อีก ใต้หล้านี้ไหนเลยจะมีสิ่งของที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของคน? ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ต่อให้ไม่อาจมีชีวิตที่ดีได้ แต่ก็ต้องเอาชีวิตให้รอด ใต้หล้านี้ไม่มีหลักการอะไรจะยิ่งใหญ่ไปกว่าหลักการนี้อีกแล้ว”
ชายสวมงอบตบศีรษะเฉินผิงอันเบาๆ เงยหน้ามองม่านฟ้ามืดมน เขาพลันยิ้ม “เจ้าต้องรู้ว่า ไม่ว่าปิ่นชิ้นนี้จะมีค่ามากแค่ไหน มีความหมายมากเท่าไหร่ แต่ในเมื่อฉีจิ้งชุนยอมมอบให้เจ้า ก็หมายความว่าเขาเชื่อใจเจ้า ดังนั้นหากเป็นช่วงเวลาที่ต้องเลือกระหว่างความเป็นความตาย เจ้าต้องเลือกเป็น ห้ามเลือกตายเด็ดขาด ตายอย่างกล้าหาญยิ่งใหญ่ ตายอย่างฮึกเหิมเดือดดาล ตายอย่างสง่างามองอาจ แต่ตายแล้วก็คือตายแล้ว”
ชายสวมงอบดึงมือกลับมา “ฉีจิ้งชุนผิดหวังกับโลกใบนี้อย่างมาก นั่นคือเรื่องของเขา เจ้าเฉินผิงอันก็คือเจ้า อย่าเลียนแบบเขา เจ้ายังไม่เคยได้เห็นความดีและความไม่ดีของโลกใบนี้อย่างแท้จริง คนอยู่ได้ไม่ถึงร้อยปี แต่กลับพบเรื่องกลัดกลุ้มเป็นพันเรื่อง นั่นก็เป็นเรื่องของบัณฑิตอย่างพวกเขา ข้าอาเหลียงไม่ใช่บัณฑิต ตอนนี้เจ้าเฉินผิงอันก็ยังไม่ใช่ ดังนั้น……”
สุดท้ายบุรุษไม่ได้พูดประโยคเดิมด้านหลังคำว่า “ดังนั้น” เพียงพูดเบาๆ ว่า “เฉินผิงอัน เชื่อสายตาของข้า อนาคตเจ้าสามารถเดินไปได้อีกไกล อาจไกลกว่าฉีจิ้งชุนด้วยซ้ำ”
เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเบา “ทำไมล่ะ?”
บุรุษใช้ฝ่ามือถูด้ามดาบไม้ไผ่เบาๆ เอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “เพราะข้าคืออาเหลียงไงล่ะ”
สุดท้ายคนทั้งสองเดินลงเขาไปเงียบๆ ด้วยกัน
เฉินผิงอันถาม “สองคนบนเนินเขา?”
อาเหลียงคิด “คนตายน่ะรึ?”
เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด ครุ่นคิดแล้วก็เลือกที่จะไม่สืบสาวราวเรื่องกับปัญหาข้อนี้ แต่เปลี่ยนไปถามหัวข้ออื่นแทน “ทำไมเจ้าถึงไม่เอาปิ่นไป?”
มุมปากอาเหลียงกระตุก ทอดถอนใจ “พอถือไว้ในมือถึงได้รู้ว่า มันไม่เข้าท่ายิ่งกว่าตั้งสมมติฐานเลวร้ายที่สุดหนึ่งหมื่นก้าวที่ข้าตั้งไว้ด้วยซ้ำ ต้องเรียกว่าหลายหมื่นก้าวเลยทีเดียว มันเป็นเพียงแค่ปิ่นเก่าๆ ชิ้นหนึ่งจริงๆ แล้วข้าจะเอามันไปทำอะไร?”
เด็กหนุ่มพูดไม่ออก
อาเหลียงส่ายหน้า “บัณฑิตที่แท้จริงล้วนจนกันทั้งนั้น วันหน้าเจ้าจะเข้าใจเอง อันที่จริงข้าควรจะคิดได้ตั้งนานแล้วว่า ด้วยนิสัยของตาแก่เต้าเต๋อหลินผู้นั้น และนิสัยของฉีจิ้งชุน สืบทอดปิ่นหยกธรรมดาแบบนี้ให้แก่กันมาถึงจะเป็นเรื่องปกติ”
อาเหลียงพลันหันหน้ากลับมา “รู้หรือไม่ว่า เจ้าเอาของชิ้นหนึ่งที่ข้าคิดว่าเป็นของในกระเป๋าตัวเอง เจ้ารู้หรือไม่ว่าด้วยเหตุนี้ข้าต้องเดินทางเสียเปล่ามาไกลเท่าไหร่?”
น้ำฝนซึมเต็มศีรษะของชายสวบงอบ ส่วนเด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนไอน้ำอัดแน่นเต็มหัว (เปรียบเปรยว่างุนงง ไม่เข้าใจ)
อาเหลียงแค่นเยงอย่างขุนเคือง “ข้ายังถึงขั้นไปเยือนสถานที่แห่งหนึ่ง สลักตัวอักษรหนึ่งลงไป แต่พอถึงท้ายที่สุดแล้ว รอจนข้าวิ่งตุปัดตุเป๋มาถึง กลับกลายเป็นว่าต้องมาเจอสภาพการณ์ที่น่าเศร้าใจ ดังนั้นเจ้าควรต้องซาบซึ้งในบุญคุณที่ข้าไม่สังหารเจ้า”
อาเหลียงยังคงพูดอยู่กับตัวเองต่อไป “หากวันหน้าเจ้าไม่มีความสามารถที่จะสลักตัวอักษรสองสามคำลงไปที่นั่น คอยดูเถอะข้าจะแล่เนื้อเจ้าออกมา”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างอ่อนใจ “อาเหลียง เจ้าช่วยพูดอะไรที่ข้าฟังเข้าใจได้บ้างหรือไม่?”
“ได้สิ”
อาเหลียงหัวเราะฮ่าๆ “ข้าชื่ออาเหลียง เหลียงจากซ่านเหลียงที่แปลว่าจิตใจดีงาม”
เฉินผิงอันช่วยเขาต่อประโยคให้จบ “ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง”
บัดนี้มุมปากของอาเหลียงตวัดโค้งขึ้น ตบไหล่เด็กหนุ่ม “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้!”
เฉินผิงอันยิ่งงงงวยเข้าไปใหญ่ “หืม?”
อาเหลียงกลับเปลี่ยนเรื่องพูดแล้ว “ไม่ว่าจะไปส่งไกลแค่ไหน สุดท้ายย่อมต้องมีวันจากลา ข้าจะจากไปหลังจากส่งพวกเจ้าไปถึงชายแดนต้าหลีแล้ว เชื่อว่าเมื่อถึงเวลานั้น เด็กๆ กลุ่มนี้อย่างพวกเจ้าจะสามารถเดินทางไกลไปขอศึกษาต่อได้อย่างสบายๆ แล้ว คงยังไม่มีเรื่องสกปรกอะไรเกิดขึ้นอีกชั่วคราว ดังนั้นหลังจากตอนนั้นเป็นต้นไป เจ้าต้องภาวนาให้มากว่าจะสามารถพาพวกเขาไปส่งถึงสำนักศึกษาซานหยาในต้าสุยได้หรือไม่ และหลังจากนั้นจะรอดชีวิตกลับมาถึงอำเภอหลงเฉวียนต้าหลีหรือไม่ ก็ล้วนขึ้นอยู่ที่ความสามารถของตัวเจ้าเอง”
เฉินผิงอันพลันเอ่ย “ขอบคุณมาก”
นับตั้งแต่ที่พบกันครั้งแรกจนถึงตอนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มเริ่มเชื่อใจชายที่เรียกตัวเองว่าอาเหลียงอย่างแท้จริง
อาเหลียงส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ข้าก็แค่กำลังชดใช้สิ่งที่ตัวเองติดค้างไว้เท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรเจ้าสักเท่าไหร่”
เมื่อหลายปีก่อนเคยมีบัณฑิตแซ่ฉีคนหนึ่ง หลังจากเล่าเรียนจนเกิดความเบื่อหน่าย เลยพูดว่าจะไปท่องยุทธภพพร้อมกับเขา ครั้งนั้นมือกระบี่นามว่าอาเหลียงไม่ได้ตอบรับ
ชายหนุ่มรู้สึกว่าหากตอนนั้นตนมีความอดทนสักเล็กน้อย เด็กหนุ่มคนนั้นก็คงไม่ต้องเดินมาถึงก้าวนี้อย่างทุกวันนี้
สุดท้ายอาเหลียงพูดว่า “เฉินผิงอัน เจ้ารู้หรือไม่?”
เด็กหนุ่มถาม “อะไร?”
อาเหลียงกล่าวด้วยประโยคที่เต็มไปด้วยความหวังดี “วันหน้าต้องรู้จักเคารพนับถือยอดฝีมือล้ำโลกอย่างข้าจากใจจริงนะรู้ไหม”
เด็กหนุ่มถามอย่างใคร่รู้ “เจ้าเอาชนะจูเหอได้ไหม?”
อาเหลียงรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย
รู้สึกว่าไอ้หมอนี่น่ารำคาญยิ่งกว่าฉีจิ้งชุนในปีนั้นเสียอีก