บทที่ 96 ภูเขาแม่น้ำมีเทพเซียนและภูตผี
ไม่รู้ว่าเหตุใดภูตใหญ่ที่มีวิญญาณมั่นคงซึ่งกลายร่างเป็นมนุษย์อยู่บนผิวน้ำของแม่น้ำเถี่ยฝู่เหล่านั้นถึงได้รีบร้อนถอยหนี เสียงจากกระดิ่งทองแดงที่อยู่ในมือจูเหอจึงเงียบลงตามไปด้วย เพียงแต่จูเหอเป็นกังวลว่าภูตใหญ่ที่กล้าเดินอาดอยู่ในโลกมนุษย์ตอนกลางวันแสกๆ จะใช้คาถาอำพรางตาอะไร จึงบอกให้ผู้อาวุโสอาเหลียงอย่าเพิ่งรีบร้อนเลียบริมน้ำมุ่งหน้าลงใต้ เขาชูกระดิ่งทองแดงโบราณเรียบง่ายที่มีตัวอักษรจ้วนเรียงกันเป็นแถวชิ้นนั้นขึ้นสูง แล้วจึงเดินข้ามกลับไปกลับมาบนผิวน้ำทางตอนล่างของแม่น้ำเถี่ยฝู่ เพื่อป้องกันไม่ให้ภูตผีปีศาจที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดฉวยโอกาสทำร้ายคน
ดังนั้นพวกเฉินผิงอันที่เก็บสัมภาระของตัวเองเรียบร้อยแล้วจึงยืนรออยู่ที่เดิม มองเห็นจูเหอเดินสะเปะสะปะเหมือนแมลงวันไร้หัว หลี่ไหวก็ชอบใจสุดขีด หลินโส่วอีเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ ส่วนจูลู่กลับรู้สึกอับอายขายหน้า แทบอยากจะปราดไปกระชากพ่อของตนกลับมา หยุดทำตัวเลอะเทอะให้คนอื่นหัวเราะเยาะเสียที จะอย่างไรซะนางก็เป็นเด็กสาวหน้าบาง
เฉินผิงอันค้นพบโดยบังเอิญว่าสีหน้าอาเหลียงเรียบเฉย ไม่มีท่าทีหยอกล้อจูเหอเหมือนก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย พอเห็นว่าเฉินผิงอันมองมา อาเหลียงก็ปลดน้ำเต้าใส่เหล้า ถามยิ้มๆ “ไม่ดื่มจริงหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า อาเหลียงจึงหันไปมองหลินโส่วอี “เด็กน้อย ได้เห็นภูตปีศาจที่ได้เห็นไม่บ่อยนัก อีกทั้งยังไม่ใช่คนตนสองตน หาได้ยากยิ่ง อยากจะดื่มเหล้าระงับความตะลึงสักอึกไหมล่ะ?”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด อาจเพราะนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้เห็นภูตผีปีศาจในตำนาน ได้เปิดโลกกว้าง ในใจของเด็กหนุ่มหลินโส่วอีถึงได้เกิดความหวั่นไหว พยักหน้ารับอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน “ลองดื่มสักคำดูก็ได้”
อาเหลียงปรายตามองเฉินผิงอัน และในที่สุดก็กลับมามีท่าทางไม่แยแสสังคมเหมือนเดิม “ดูคนอื่นเขาสิ มีลาภปากแล้ว แต่เจ้าน่ะมันชะตาที่ไม่ได้นอนเสวยสุข”
หลินโส่วอีรับน้ำเต้าเล็กสีเงินมา เงยหน้าจิบเบาๆ หนึ่งคำ พริบตาเดียวทั้งใบหน้าก็แดงก่ำ เด็กหนุ่มที่ถูกเลี้ยงมาอย่างทะนุถนอมเดิมทีก็มีผิวพรรณขาวนวลอยู่แล้ว ยามนี้ใบหน้าจึงยิ่งแดงปลั่ง เด็กหนุ่มรีบยกฝ่ามือขึ้นอุดปาก เพื่อจะได้ไม่พ่นของเหลวออกมา ลำคอแสบร้อน พอไหลลงท้อง อวัยวะภายในก็เหมือนกำลังเผาไหม้ สั่นสะท้านไปทั้งร่าง ดื่มเหล้าครั้งแรกก็โดนเล่นงานทันที สารรูปของเด็กหนุ่มดูไม่ได้ พอเห็นว่าหลี่ไหวกุมท้องหัวเราะดังลั่น หลินโส่วอีที่หยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีของตัวเองก็กัดฟันกรอด หมายจะดื่มอีกหนึ่งอึก คิดไม่ถึงว่าอาเหลียงได้ยื่นมาดึงเอาน้ำเต้าลูกเล็กกลับไปแล้ว และใช้มือหนึ่งกดลงบนไหล่ของเด็กหนุ่มเบาๆ ยิ้มตาหยีพูดว่า “ดื่มเหล้าไม่ตะกละถึงจะเป็นความบันเทิง วันหน้าจะให้เจ้าดื่มวันละอึกทุกวัน รับรองว่าบนโลกใบนี้จะมีคนที่มีอิสระเสรีไร้กังวลเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง”
หลี่ไหวเด็กเจ้าเล่ห์แสนกลหัวเราะเปิดโปงอาเหลียง “เสียดายเหล้าไม่อยากให้หลินโส่วอีดื่มเพิ่มก็พูดมาตามตรง”
อาเหลียงหดมือกลับมาจากบนไหล่ของหลินโส่วอี ถอนหายใจหนึ่งที “จะไม่เสียดายได้หรือ ความเป็นมาของสุรานี้ยิ่งใหญ่มาก ราคาก็แพงสุดๆ ประเด็นสำคัญคือมีราคาแต่ไม่มีตลาดให้ขาย หลินโส่วอีได้กินก็ถือเป็นโชคครั้งใหญ่”
หลี่ไหวลองถามหยั่งเชิง “ขอข้าดื่มคำหนึ่งสิ?”
อาเหลียงรีบเก็บน้ำเต้าบรรจุเหล้าไว้ตรงเอว “อายุน้อยเกินไป ช่องโพรงชี่ฝู่ยังก่อตัวไม่สำเร็จ ไม่ควรดื่มเหล้าร้อนแรง หาไม่แล้วจะทำลายฐานกระดูกของเจ้า”
หลี่ไหวอึ้งงัน จากนั้นก็กระทืบเท้าด่ากราด “อาเหลียง!…มารดาเจ้าเถอะ! มื้อค่ำคืนส่งท้ายปีเก่าของปีก่อนข้าก็ใช้ตะเกียบแอบจุ่มเหล้ามาดื่มแล้ว นั่นคือเหล้าต้มที่ร้ายกาจที่สุดของเมืองเล็กเราเชียวนะ ขนาดพ่อข้ายังบอกว่าข้าดื่มเหล้าเก่งเหมือนเขา ใครบ้างไม่รู้ว่าพ่อข้าคือชายที่ดื่มเหล้าได้ดุที่สุดในเมืองเล็ก อีกอย่างตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิปีก่อน ทุกเดือนข้าจะต้องถูกพ่อข้าโยนเข้าไปแช่ตัวในถังดองเหล้า แค่ก้มหน้าก็ดื่มเหล้าได้ ตอนนี้เจ้ายังจะมาพูดแบบนี้กับข้าหรือ?”
อาเหลียงร้องโอ๊ะโอหนึ่งคำ จากนั้นก็ปรายตามองเจ้าเด็กน้อยที่กำลังเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ ในใจคิดว่ามิน่าเล่า อายุน้อยๆ ก็สามารถติดตามฝีเท้าของกองกำลังใหญ่ ตุ่มน้ำใต้ฝ่าเท้าก็ยังไม่เคยเป็น เห็นได้ชัดว่าร่างกายแข็งแกร่งกว่าหลินโส่วอีไม่น้อย สาเหตุน่าจะเป็นเพราะเหล้าดองช่วยบำรุงร่างกายและจิตวิญยาณ
อาเหลียงมองประเมินหลี่ไหวอย่างละเอียดด้วยความสนใจ ไม่มองก็ไม่รู้ พอมองแลวถึงกับสะดุ้งโหยง ไม่นึกเลยว่าจะมีคนจงใจใช้วิชาอภินิหารของฝ่ายบู๊ที่ไม่ธรรมดาอำพรางปราณภายในร่างของเด็กคนนี้ ตอนนี้อาเหลียงคิดจะดี แน่นอนว่าย่อมไม่มีอุปสรรคเหล่านั้น ดังนั้นในการมองเห็นของชายฉกรรจ์สวมงอบจึงเผยเป็นรูปของภูเขาและธารน้ำที่มีความมหัศจรรย์ในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งหากมองข้ามเนื้อหนังของหลี่ไหว มองเพียงภาพช่องโพรงทั่วร่างและการไหลเวียนของเลือดลมก็พอจะมองเห็นไอสีม่วงจางๆ อวลกรุ่นขึ้นมาได้รำไร เทือกเขาแข็งแกร่งทั้งยังทนทาน กระแสน้ำก็พลุ่งพล่านมั่นคง สุดท้ายไปรวมตัวกันอยู่ในช่องโพรงแห่งหนึ่ง กลายเป็นบ่อน้ำขนาดใหญ่ที่มีไอหมอกระเหยปกคลุม ไม่อาจดูถูกได้
อาเหลียงจุ๊ปากชื่นชม “ไม่นึกเลยว่าพ่อตาที่ข้ารับเอามาอย่างส่งเดชข้างทางจะไม่ธรรมดาขนาดนี้ หลี่ไหว บิดาเจ้าชื่อแซ่อะไร ไม่แน่ว่าเพื่อนของข้าอาจจะรู้จัก”
หลี่ไหวพลันหุบปาก เดินจากไปไกลอย่างห่อเหี่ยว ไม่อยากจะสนใจอาเหลียง
หลินโส่วอีจึงอธิบายเสียงเบา “บิดาของหลี่ไหวชื่อหลี่เอ้อร์ เป็นผีขี้เหล้าที่มีชื่อเสียงของเมืองเล็ก ตลอดทั้งปีไม่เคยทำงานทำการจริงจัง ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในโรงเรียน หลี่ไหวถูกคนหัวเราะเยาะเพราะบิดาเขาอยู่หลายครั้ง ช่วงแรกเริ่มหลี่ไหวยังทะเลาะกับคนอื่น และดูเหมือนว่าจะตีกับคนอื่นอยู่หลายครั้ง ภายหลังคงรู้สึกว่าบิดาของเขาไม่เอาถ่านจริงๆ นานวันเข้าจึงไม่ให้ความสนใจอีก”
อาเหลียงอดเปิดปากวิจารณ์ไม่ได้ “เจ้าหมาน้อยอยู่กับท่ามกลางความโชคดี แต่กลับไม่รู้ตัวสักนิด”
คนพูดไม่ตั้งใจ คนฟังกลับมีใจ หลินโส่วอีแอบจดจำไว้เงียบๆ
ประมาณครึ่งชั่วยามต่อมา ในที่สุดจูเหอก็กลับมา เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ในรัศมีสิบลี้รอบด้าน กระดิ่งทองแดงไม่เกิดความผิดปกติ พวกเราเดินทางกันได้แล้ว”
หลี่เป่าผิงส่งกาน้ำไปให้เขาพลางเอ่ยยิ้มๆ “ท่านอาจูลำบากแล้ว”
จูเหอรับกาน้ำมา ตอบกลับอย่างไม่ยี่หระ “คุณหนู เดิมทีนี่เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว”
จูลู่เห็นอยู่ในสายตา แววตาของนางหม่นหมอง หันหน้ากลับไปมองน้ำตกใหญ่ของแม่น้ำเถี่ยฝู่แล้วกัดริมฝีปาก ไม่พูดไม่จา
ความคิดและอารมณ์ในใจของนางเหมือนสายลมกลางภูเขา เหมือนไอหมอก ไม่อาจคว้าจับไว้ได้
เฉินผิงอันมองกระดิ่งสยบมารที่อยู่ในมือของจูเหอตาไม่กะพริบ
นอกจากกระบี่ของแม่นางหนิงที่นางสามารถบังคับให้บินไปบินมาได้แล้ว กระดิ่งทองแดงในมือจูเหอก็คือสมบัติอาคมชิ้นที่สองที่เฉินผิงอันมองเห็นในระยะประชิด ดังนั้นจึงตั้งใจมองเป็นพิเศษ
จูเหอไม่ใช่คนขี้เหนียว จึงส่งกระดิ่งทองแดงชิ้นนั้นให้แก่เด็กหนุ่มอย่างใจกว้างแล้วเอ่ยอธิบายว่า “คือสมบัติที่ท่านบรรพบุรุษมอบให้ก่อนจะออกเดินทาง ท่านบรรพบุรุษบอกว่าในบรรดาสมบัติอาคมของตระกูลเซียน ระดับของวัตถุชิ้นนี้ไม่นับว่าสูง เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่มีภูตผีปีศาจซึ่งจำแลงร่างเป็นมนุษย์ขยับเข้ามาใกล้ กระดิ่งทองแดงนี้จะสั่นขึ้นเองโดยไม่ต้องมีลม ส่งเสียงกังวานเป็นระลอก ทำให้คนไม่ถูกล่อลวง แล้วก็มีประสิทธิผลในการบอกเตือน ท่านบรรพบุรุษยังบอกด้วยรอยยิ้มอีกว่า เสียงของกระดิ่งที่ดังขึ้นนั้นมีประสิทธิภาพในการทำให้จิตใจสงบนิ่ง หากเป็นพวกคนฝึกบำเพ็ญตนที่ใจกล้าสักหน่อย จะสามารถอยู่อาศัยใกล้เคียงกับปีศาจ อาศัยเสียงกระดิ่งนี้ทำให้จิตใจการบำเพ็ญตนสงบนิ่ง แต่ก่อนที่จะทำเช่นนี้ได้ ปีศาจที่อยู่ใกล้เคียงต้องไม่มีใจทำร้ายคนก่อน ขณะเดียวกันยังต้องสามารถทนรับการรบกวนจากเสียงกระดิ่งได้อย่างต่อเนื่องด้วย ปีศาจที่ตบะสูงและนิสัยดีอย่างนี้หาได้ไม่ง่าย คาดว่าท่านบรรพบุรุษคงยกมาพูดให้เป็นเรื่องตลกเท่านั้น”
เฉินผิงอันจับด้ามถือกระดิ่งไว้อย่างระมัดระวัง จูเหอเดินจูงม้าเดินเคียงไหล่ไปกับเขา “ขนาดใหญ่เรียกระฆัง ขนาดเล็กเรียกกระดิ่ง หากเป็นอาวุธของตระกูลเซียน ส่วนใหญ่แล้วล้วนมีประโยชน์ในการปัดเป่าเสนียดปกป้องบ้าน บ้านของชาวบ้านทั่วไปชอบแขวนกระดิ่งลมไว้ใต้ชายคา แน่นอนว่าส่วนใหญ่ล้วนใช้ประดับประดา หากไปนำมาจากที่วัดหรืออารามโดยเฉพาะจะผ่านการลงยันต์คุ้มครองจากนักพรตผู้มีญาณแก่กล้ามาก่อน น่าจะสามารถบดบังกลิ่นอายชั่วร้าย ทิ้งร่มเงาแห่งความโชคดีได้จริงๆ”
จูเหอเห็นว่าเด็กหนุ่มเขย่ากระดิ่งทองแดงเบาๆ ก็หัวเราะร่าเสียงดัง “หากไม่มีปีศาจเข้ามาใกล้ กระดิ่งสองลูกที่อยู่ด้านในไม่ง่ายที่จะเขย่าคลอน ดังนั้นจึงไม่มีเสียงกระดิ่งดังออกมา หาไม่แล้วคงทำให้เจ้าของเสียเวลาสงสัยผีสงสัยเทพทั้งวัน แบบนั้นจะไม่กลายเป็นว่าเจอทุกข์ใหญ่หรอกหรือ?”
เฉินผิงอันเองก็เข้าใจความหมายนั้น จึงเตรียมจะคืนกระดิ่งสยบมารที่ล้ำค่าอย่างยิ่งคืนให้แก่จูเหอ แต่กลับพบว่าชายแขนเสื้อถูกกระตุก แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงมองมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง พอเห็นจูเหอพยักหน้ายิ้มจึงมอบให้ให้หลี่เป่าผิง นางจับกระดิ่งทองแดงไว้ทั้งสองมือ พลิกไปพลิกมา เริ่มศึกษาอย่างตั้งใจ บางครั้งยังออกแรงดึงลูกกระดิ่งที่อยู่ด้านในอย่างแรง ทำเอาเฉินผิงอันที่มองอยู่ใจหายใจคว่ำ คอยเตือนให้นางระวัง อย่าดึงจนพัง
เฉินผิงอันจ้องมองแม่นางน้อยพลางถามด้วยความแปลกใจไปด้วย “ท่านอาจู ปีศาจที่อยู่บนแม่น้ำเหล่านั้นไม่ทำร้ายคนหรือ? ต้าหลีของพวกเรามีตัวประหลาดแบบนี้มากไหม?”
จูเหอไม่ใช่พวกคุยโวโอ้อวด เพียงแค่เลือกคำพูดที่ตัวเองเคยได้ยินท่านบรรพบุรุษพูดออกจากปากมาพูดจ้อให้เฉินผิงอันฟังไม่หยุด “แผ่นดินของแจกันสมบัติทวีปบูรพาเรากว้างใหญ่ไพศาล ลำพังแค่ราชวงศ์ใหญ่ที่มีประชากรเกินสิบล้านคนก็มากหลายสิบราชวงศ์แล้ว ภูเขาสูงและแม่น้ำกว้างใหญ่ที่มีชื่อเสียงก็ยิ่งไม่อาจนับคำนวณ ภายใต้การพบเจอโดยโชคชะตาที่มหัศจรรย์จนไม่สามารถบรรยายได้ ภูตผีปีศาจเหล่านั้นแปลงกายได้ด้วยความบังเอิญ ผู้ที่เหยียบลงบนเส้นทางการฝึกบำเพ็ญตนได้นั้นมีไม่มากนัก แต่ก็ไม่ได้ถือว่าหายากอะไร”
“ท่านบรรพบุรุษของพวกเราเคยบอกว่า ฟ้าดินด้านนอกไม่เหมือนกับในเมืองเล็กของพวกเรา ขอแค่เป็นคนแจกันสมบัติทวีปบูรพาที่ไม่ได้อยู่ห่างไกลทุรกันดารเกินไป ล้วนเคยได้ยินเรื่องนี้ แม้จะไม่ใช่ทุกคนที่เคยได้เห็นมากับตาตัวเอง แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะได้ยินมามากจากพวกเกร็ดพงศาวดาร คดีประหลาดเทพเซียน เป็นเหตุให้ชาวบ้านหลายคนเชื่อในเรื่องนี้ ในวัดโบราณกลางภูเขาลึกที่ไม่มีร่องรอยของผู้คนมักจะมีปีศาจจิ้งจอกสาวที่งามเย้ายวนใจคน รอคอยบัณฑิตยากจนที่เดินทางเข้าไปสอบในเมืองหลวง หรือถ้าที่ไหนมีปีศาจก่อเรื่องทำร้ายคน เพียงแค่ส่งจดหมายไปให้ภูเขามังกรพยัคฆ์ก็ต้องมีเจินเหรินแห่งสำนักเทียนซือเหยียบเมฆขี่นกกระสาเดินทางไปถึง เพื่อช่วยชาวบ้านในพื้นที่สังหารมารปราบปีศาจ เป็นเหตุให้ที่ใดก็ตามที่มีบ่อน้ำจะต้องมีบทขับร้องของพวกเด็กๆ ว่า ที่ใดมีภูตผีปีศาจรังควาน ต้องมีเจินเหรินสำนักเทียนซือ”
“สรุปคือ การเดินทางของพวกเราในครั้งนี้ เห็นอะไรก็แค่ไม่ต้องตื่นตระหนกตกใจเป็นการใหญ่ แต่ว่าต้องระวังตัวให้มาก ท่านบรรพบุรุษบอกว่าหากปีศาจจำแลงร่างเป็นคน โดยที่ไม่ได้ใช้คาถาอำพรางตา ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่าเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญตนมาครึ่งตัวแล้ว ราชสำนักต้าหลียินดีที่จะให้เป็นเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ไม่กดขี่ผลักไส กลับยังยอมแหกกฎอนุญาตให้เปิดภูเขาตั้งสำนักบนดินแดนของพวกเขา โดยขอแค่ให้ยื่นเรื่องกับกรมพิธีการก็พอ แต่ว่าเนื่องด้วยอุปสรรคจากกฎเกณฑ์บางอย่างที่ได้รับการยอมรับเพราะปฏิบัติกันมาอย่างยาวนาน ราชสำนักต้าหลีจึงไม่อาจดึงดูดให้เหล่าภูตผีปีศาจก้าวเข้าไปอยู่รวมด้วยได้ กลับเป็นสมรภูมิรบแถวชายแดนเสียอีกที่เล่าลือกันว่าปีศาจที่ฝึกบำเพ็ญตนสร้างคุณความชอบให้แก่ต้าหลี เวลาปกติก็พักอาศัยอยู่กับหมู่คนและใช้ชีวิตตามวิถีพื้นบ้าน มองดูแล้วไม่มีอะไรแตกต่างจากคน”
คำพูดประโยคนี้ของจูเหอเข้าใจได้ง่าย และน่าสนใจอย่างยิ่งยวด
เฉินผิงอันฟังอย่างเพลิดเพลิน หลี่ไหวกับหลินโส่วอีก็ยิ่งตั้งหูฟัง ไม่ยอมพลาดแม้แต่คำเดียว
มีเพียงอาเหลียงที่สวมงอบ จูงลา ใช้ฝ่ามือตีด้ามดาบเบาๆ ซึ่งเดินนำอยู่ด้านหน้าสุดเท่านั้นที่ฮัมเพลงต่างถิ่นผิดทำนองอยู่ในลำคอเบาๆ
เด็กสาวจูลู่ที่เดินรั้งท้ายสุดก็ยิ่งใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ราวกับว่ายิ่งห่างจากบ้านเกิดมากเท่าไหร่ ความคิดถึงที่มีต่อภูมิลำเนาก็ยิ่งเข้มข้นมากเท่านั้น
หลังจากคนทั้งกลุ่มเดินทางลงใต้ไปได้หนึ่งชั่วยาม ตรงน้ำตกซึ่งเป็นจุดตัดระหว่างธารน้ำหลงซวีกับแม่น้ำเถี่ยฝู่ก็มีสตรีลักษณะเหมือนหญิงแต่งงานแล้ววัยกลางคนผู้หนึ่งเผยกายบนหินผา นางนั่งลงริมขอบของก้อนหิน เส้นผมสีกาน้ำของนางยาวถึงห้าหกจั้ง ยาวจากศีรษะจรดปรายเท้า และยังแผ่ยาวไปถึงกลางธารน้ำ หญิงแต่งงานแล้วก้มหน้าลงจ้องเขม็งไปยังน้ำในแม่น้ำเถี่ยฝู่ที่ไหลเชี่ยวซัดซาดอยู่เบื้องใต้น้ำตก ประกายดวงตาของนางร้อนแรงเปี่ยมไปด้วยความกระหายอยาก ใบหน้าของสตรีแต่งงานแล้วพร่าเลือน เปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หยุดนิ่ง ราวกับว่ายังไม่คงรูปที่แท้จริง กำลังรอให้โอกาสบางอย่างเกิดขึ้นเสียก่อน
แม่ย่าลำธาร เทพแม่น้ำ ต่างกันแค่คำเดียว แต่ไม่ว่าจะเป็นฐานะหรือตบะล้วนแตกต่างราวกับก้อนเมฆกับดินโคลน
อย่างมากที่สุดนางก็ได้แต่ว่ายวนมาถึงที่นี่ หากยังขยับลงไปข้างล่างอีกก็ข้ามเขตแดนแล้ว เหมือนกับที่ขุนนางในอำเภอของโลกมนุษย์ไม่อาจทิ้งหน้าที่ในความรับผิดชอบได้โดยพลการ เทพภูเขาและแม่น้ำที่ช่วยราชวงศ์พิทักษ์ฮวงจุ้ยของสถานที่แห่งหนึ่งก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ หาไม่แล้วจะชักนำให้เกิดปรากฏการณ์ผิดปกติและหายนะสารพัดรูปแบบเช่นน้ำท่วม เป็นต้น ตอนนี้กำลังจะได้เป็นเทพ นางย่อมไม่คิดจะหาเรื่องใส่ตัวในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ นางเคยแอบว่ายขึ้นไปทางตอนบนของธารน้ำแล้วซ่อนตัวอยู่ในภูเขาลึก ผลกลับกลายเป็นว่าถูกท่านชิงอูของราชสำนักต้าหลีซึ่งกำลังมาตรวจสอบแม่น้ำและน้ำตกพบเข้า เพียงแค่อีกฝ่ายเหลือบตามามองอย่างเรียบง่าย นางก็รู้สึกเหมือนหนังหัวจะระเบิดแตก นับแต่นั้นเป็นต้นมานางก็ไม่กล้าดูถูกคนมีความสามารถนอกเมืองเล็กอีกเลย
ตลอดทางมานี้นางแอบตามมาจนถึงที่นี่ แต่ไม่ได้มีใจคิดร้ายอะไร เพียงแค่รับคำสั่งจากอริยะอาจารย์หร่วนให้คอยจับตามองชายสวมงอบที่ไม่รู้ว่ามีตื้นลึกหนาบางอย่างไรคนนั้นอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด หลายวันมานี้นางสังเกตการณ์ทั้งวันคืนด้วยความหวาดหวั่นกระวนกระวาย ไม่กล้าเพิกเฉยแม้แต่เสี้ยวนาที เพราะแม่นางน้อยที่สวมกำไลซึ่งจำแลงเป็นมังกรเพลิงได้ผู้นั้นทำให้สตรีแต่งงานแล้วตกใจกลัวไม่น้อย โดยเฉพาะหลังจากมหาเซียนหยางเหล่าโถวที่ช่วยให้ตนครอบครองตำแหน่งแม่ย่าได้โดยมิชอบผู้นั้นเปิดเผยความลับสวรรค์ให้นางได้รู้ นางก็ยิ่งกลัวว่าสักวันหนึ่งตัวเองจะกลายไปเป็นโอกาสในการบรรลุมรรคาของแม่นางน้อย ความกลัวนี้จึงซึมลึกลงไปถึงกระดูกของนาง
หลังจากได้เป็นแม่ย่าลำธาร ได้สัมผัสกับวิชาอภินิหารหลากหลายชนิดที่มหัศจรรย์จนน่าเหลือเชื่อ ยกตัวอย่างเช่นรูปโฉมของนางที่ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงจากหญิงชราเป็นสาวงามในทุกๆ วัน ยกตัวอย่างเช่นยามที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำจะรู้สึกโปร่งโล่งสบายไปทั้งร่าง หรือยกตัวอย่างเช่นทุกครั้งที่ฝนตกหนัก นางก็จะสามารถมองเห็นภาพเหตุการณ์ในเมืองเล็กผ่านน้ำบนผืนดินหรือไม่ก็ม่านฝนบนท้องฟ้า ยิ่งไปกว่านั้นภายใต้การเก็บรวบรวมอย่างยากลำบากต่อเนื่องมาหลายวัน นางก็ได้เจอของดีๆ หลายชิ้นจากก้นแม่น้ำ ซึ่งทุกชิ้นล้วนถูกเก็บเขากระเป๋าของนาง หนึ่งในนั้นคือแหวนหยกวงหนึ่งที่นางเอามาสวมบนนิ้ว เวลาว่างหยิบมาชื่นชมคราใดก็อิ่มเอมใจเหมือนสตรีชาวบ้านแต่งงานแล้วที่ชอบสวมเครื่องประดับระยิบระยับ
ยิ่งอยู่สูงเหนือคนทั่วไป ส่วนลึกในจิตใจนางก็ยิ่งหวาดกลัวหยางเหล่าโถวและเด็กสาวแซ่หร่วนมากขึ้น เพราะดูเหมือนว่าสองคนนี้สามารถทำลายทุกสิ่งที่นางมีในเวลานี้ได้เพียงแค่พลิกฝ่ามือ
นางเก็บความคิดวุ่นวายทั้งหมดลง กวาดตามองรอบด้าน ตอนนี้ถ้ำสวรรค์หลีจูและแผ่นดินของต้าหลีเชื่อมติดกันแล้ว ปราณวิญญาณจึงเปี่ยมล้น กลายมาเป็นพื้นที่ที่เหมาะสำหรับการฝึกตนราวกับพื้นที่มงคลทั้งเจ็ดสิบสองแห่ง เป็นเหตุให้สัตว์ปีกและสัตว์บกจำนวนมากที่อยู่ด้านนอกเริ่มเข้ามาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ โดยเฉพาะภูตผีบางส่วนในป่าเขาที่มีสติปัญญาก็ยิ่งอาศัยสัญชาตญาณของตัวเอง หวังจะฉวยโอกาสครอบครองพื้นที่ฮวงจุ้ยยอดเยี่ยมแห่งนี้ไว้ก่อนผู้ใด เดิมทีการปกป้องฮวงจุ้ยของพื้นที่แห่งหนึ่งก็เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของเทพภูเขา เทพแม่น้ำอยู่แล้ว และนางในเวลานี้ก็ได้รวบรวมปลาจิ่นหลี (ปลาคาร์ฟ) หลายตัวที่มีหนวดมังกรงอกในธารน้ำหลงซวีมาเป็นลิ่วล้อตัวเองแล้ว ยามปกติเวลาออกเดินทางสิ่งมีชีวิตวิเศษเผ่าน้ำมากมายก็จะติดตามมาดั่งองค์รักษ์ที่ช่วยปกป้องนาง ทำให้นางพึงพอใจอย่างมาก
ดังนั้นถึงแม้ตอนนี้นางจะยังว่ายเข้าไปในแม่น้ำเถี่ยฝู่ไม่ได้ชั่วคราว แต่ก็จำเป็นต้องปกป้องหน้าด่านสำคัญอย่างน้ำตกสายนี้ให้ดี เพื่อช่วงชิงโอกาสในการเก็บค่าผ่านทางอย่างสมเหตุสมผลเอาไว้ให้ได้ สำหรับเรื่องนี้ หยางเหล่าโถวพยักหน้าอนุญาตแล้ว นางที่มีความมั่นใจมากเป็นพิเศษจึงมาโอ้อวดตนอยู่ตรงนี้อย่างเปิดเผย เพียงแต่ว่าส่วนลึกในใจของสตรีแต่งงานแล้วที่เกิดมาก็มีนิสัยระมัดระวังรอบคอบกลับยังคงไม่สบายใจนัก กลัวว่าเพียงแค่มังกรข้ามแม่น้ำ (ด้านนอกจามทีเดียวก็สามารถทำให้แม่ย่าลำธารหลงสวีตัวเล็กๆ อย่างนางจมน้ำตายได้แล้ว
และในที่สุดก็มาเสียที
สตรีแต่งงานแล้วผมยาวที่ไม่ได้มีรูปโฉมเป็นหญิงชราเหมือนตอนที่ตายอีกต่อไปหรี่ตามองไปยังคนห้าคนที่ทำท่าลับๆ ล่อๆ เหมือนโจรอยู่บนฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำเถี่ยฝู่
ก่อนหน้านี้นางหลบอยู่ท่ามกลางธารน้ำเหนือน้ำตก ทอดสายตามองไปไกล คนทั้งห้านั้นบุกมาด้วยท่าทางดุดัน วางอำนาจกันเต็มที่ แต่ละคนแข่งกันวางท่าเหมือนเทพเซียน เกือบทำให้นางเกิดความขลาดกลัวอยากจะถอยหนี เพียงแต่ว่าภายหลังไม่รู้ว่าทำไมทั้งห้าคนที่มีปราณปีศาจหนักเบาไม่เท่ากันถึงตกใจจนขี้หดตดหายรีบชักเท้าเผ่นหนี เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าทั้งห้าคนนั้นจะถอยด้วยสาเหตุใด แต่สรุปก็คือนางไม่มีอะไรให้ต้องหวาดกลัวอีกแล้ว กลับกันคือในใจหลงเหลือเพียงแค่ความเหยียดหยามและความลำพองใจ ตนในวันนี้ไม่เพียงแต่เป็นบุคคลที่ทำงานให้อาจารย์หร่วน ช่วยเพิ่มไอเย็นในน้ำที่เขานำมาใช้หลอมกระบี่ ยังเคยถูกมังกรเพลิงของแม่นางซิ่วซิ่วเหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้า แต่ยังรอดชีวิตมาได้!
นี่ยังไม่มากพอให้ภาคภูมิใจอีกหรือ?
พอคิดถึงเรื่องพวกนี้ ใจนางก็มั่นคงได้มากขึ้น พยายามทำสีหน้าให้สงบนิ่ง แสร้งทำเป็นนั่งอยู่บนหินผาก้อนใหญ่ ทอดสายตามองปีศาจทั้งห้าตนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยสายตาเย็นชา ในบรรดาปีศาจทั้งห้ามีชายชราเส้นผมขาวโพลนที่สวมชุดกันฝน มองดูคล้ายปัญญาชนสำนักขงจื๊อสูงวัยในโลกมนุษย์ที่ชอบเดินทางท่องเที่ยวไปทั่ว มีสตรีรูปร่างอวบอิ่มสะดุดตาสวมอาภรณ์งดงามหรูหรา ดวงตาดอกท้อของนางสามารถสะกิดดึงวิญญาณคนไปได้อย่างง่ายดาย มีเด็กชายที่ในมือถือไม้เท้าไม้ไผ่ม่วง คิ้วตาลุ่มลึก และยังมีเด็กหนุ่มเด็กสาวอีกคู่หนึ่งที่มีปราณปีศาจเข้มข้นมากที่สุด แววตาของพวกเขาขลาดกลัว หลบอยู่ด้านหลังผู้เฒ่าสวมเสื้อคลุมฝน ไม่กล้ามองสบตากับคนตรงๆ
ภูตผีปีศาจเจอคนหลบทาง เจอเทพคุกเข่ากราบไหว้
เล่าลือกันว่านี่เคยเป็นกฎระเบียบที่ไม่ได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษณซึ่งสืบทอดต่อกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ เพียงแต่ว่าเทพเซียนในทุกวันนี้ องค์เทพที่นอกจากรูปปั้นดินเหนียวร่างทองที่ถูกนำมาบูชากราบไหว้แล้ว แต่ละองค์ล้วนเต็มไปด้วยปราณแห่งความตาย ยากจะสำแดงร่างจริงมานานมากแล้ว กลับเป็นเด็กน้อยไม่รู้ความตามหมู่บ้านร้านตลาดเสียอีกที่รู้ว่าบนภูเขามีเซียนอาศัยอยู่เยอะ ถึงแม้เทพภูเขาและเทพแม่น้ำที่ราชสำนักแต่งตั้งผ่านอักษรทองคำหนังสือหยกจะไม่ใช่เทพห้าขุนเขาที่สูงส่งเหนือผู้ใด แต่ว่าในสายตาของภูตผีปีศาจที่ปะปนกันมั่วซั่วแล้ว เว้นเสียจากเป็นพวกที่ตบะหรือขอบเขตเหนือกว่าอีกฝ่ายมากแล้ว ต่อให้เป็นแค่แม่ย่าลำธารสายเล็ก ภูเขาลูกเล็กหรือแผ่นดินพื้นที่คับแคบเพียงใดก็ยังคงเป็นดั่ง “ผู้สูงศักดิ์ตระกูลขุนนาง” ที่สูงส่งไม่อาจปีนป่าย ไม่อาจล่วงเกินได้อยู่ดี
“เหล่าข้าน้อยคือผู้ฝึกตนอิสระในป่าเขาของชายแดนต้าหลี เดินทางผ่านมายังพื้นที่วิเศษแห่งนี้ ขอคารวะใต้เท้าเทพแม่น้ำ”
ผู้เฒ่าสวมชุดกันฝนยกมือกุมกันค้อมตัวคารวะอย่างนอบน้อม พอยืดตัวขึ้นก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “นับแต่อดีตกาลภูเขามีชื่อเสียงเป็นที่อยู่อาศัยของอริยะบุคคล ภูมิหลังของพวกเราไม่ถูกต้องชอบธรรม แน่นอนว่าไม่กล้าเรียกตนว่าอริยะ เพียงแต่มีใจเคารพเลื่อมใส ตอนนี้ถ้ำสวรรค์เปิดกว้าง พวกเราก็แค่คิดอยากจะตั้งใจฝึกตนอยู่ภายใต้ฝ่าเท้าของอริยะเท่านั้น วันหน้าเมื่อประสบความสำเร็จบนมหามรรคา ย่อมต้องกลับมาตอบแทนบุญคุณของฟ้าดินแห่งนี้ หวังว่าวันนี้ใต้เท้าเทพแม่น้ำจะยอมเปิดทางให้”
ผู้ฝึกตนอิสระในป่าเขา ถือเป็นคำเรียกขานตัวเองที่พบเห็นได้บ่อยของเหล่าปีศาจ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะเป็นประโยคถ่อมตัวที่ใช้เมื่อเจอกับผู้ที่มีตบะสูงกว่าตน
แม่ย่าลำธารที่เป็นสตรีซึ่งแต่งงานแล้วกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “หนึ่งคนหนึ่งของขวัญพบหน้า หากเอาออกมาแล้วข้ารู้สึกว่าไม่แล้วก็จะพาพวกเจ้าไปที่ภูเขาใหญ่ทางฝั่งตะวันตกของเมืองเล็กด้วยตัวเอง”
ผู้เฒ่าสวมชุดกันฝนอึ้งงัน คล้ายคิดไม่ถึงว่าเทพแม่น้ำท่านนี้จะเปิดเผยกล้าได้กล้าเสียถึงเพียงนี้
เด็กที่ถือไม้เท้าเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “ตำแหน่งเทพของนางตอนนี้ก็เป็นแค่แม่ย่าลำธารระดับต่ำสุดเท่านั้น พวกเราเรียกนางเทพลำธารก็ถือว่าให้เกียรตินางมากแล้ว แต่นี่นางกลับยังกล้ารีดไถกันซึ่งๆ หน้า ไม่กลัวว่าหลังจบเรื่องราชสำนักจะออกคำสั่งให้นางกลับคืนสภาพเดิม แม้แต่ผีเร่ร่อนก็ยังเป็นไม่ได้หรอกหรือ?!”
สตรีแต่งงานแล้วคือยอดฝีมือฝีปากกล้าแห่งตรอกซิ่งฮวาของเมืองเล็ก บวกกับที่มหาเซียนหยางเหล่าโถวเคยให้ความมั่นใจแก่นางมาก่อน มีหรือจะกลัวคำขู่พวกนี้ กลับกันยังมองออกถึงท่าทางแข็งนอกอ่อนในของคนกลุ่มนั้น ความมั่นใจก็ยิ่งเปี่ยมล้น พลันยกมือขึ้นโบก เอ่ยเสียงหยัน “ถ้าอย่างนั้นก็รีบไสหัวกลับไปซะ หากกล้าเข้ามาในรัศมีร้อยลี้ของธารน้ำหลงซวี จะถือว่าพวกเจ้าละเมิดกฎของต้าหลี ถึงเวลานั้นก็มาดูกันว่าใครกันแน่ที่ต้องแบกรับผลร้ายที่ตามมา!”
เด็กชายเดือดดาลอย่างหนัก กำลังจะอ้าปากโต้เถียง กลับถูกผู้เฒ่าสวมชุดกันฝนหน้าตาใจดีหันกลับมาถลึงตาใส่อย่างดุดัน ภูตภูเขาที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กชายพลันเงียบกริบเป็นจั๊กจั่นในหน้าหนาว
หนึ่งก้านธูปผ่านไป “ผู้ฝึกตนอิสระในป่าเขา” ทั้งห้าท่านก็เดินเลียบธารน้ำไปทางอำเภอหลงเฉวียน
ส่วนบนร่างของสตรีแต่งงานแล้วที่เผยครึ่งร่างอยู่เหนือธารน้ำหลงซวีกลับมีของเพิ่มมาห้าชิ้น หนึ่งในนั้นก็คือไม้เท้าไม้ไผ่ม่วงขนาดเล็กใสแวววาว เปี่ยมล้นไปด้วยปราณวิญญาณที่เดิมทีอยู่ในมือของเด็กชาย
สตรีแต่งงานแล้วที่แหวกว่ายอยู่ในธารน้ำอย่างเปรมปรีดิ์พลันเสียใจขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
หากหลานของตนยังอยู่ในตรอกซิ่งฮวาก็คงดี นางจะได้นำของดีๆ เหล่านี้ไปมอบให้เขาทั้งหมด
เพียงแต่ไม่รู้ว่าวันไหนปีใดถึงจะได้พบหน้าหลานชายอีกครั้ง อีกทั้งยังเคยได้ยินมาว่าบนเส้นทางแห่งการฝึกตน หากไม่ระวังก็พลัดหลงเดินทางผิด ร่างดับมรรคามลาย คนโชคดีที่เติบโตได้อย่างแท้จริงหาได้ยากยิ่งกว่าขนหงส์เขากิเลน
พอคิดถึงเรื่องนี้ ความดีใจของแม่ย่าลำธารก็ลดฮวบลง ร่างพุ่งวูบดำดิ่งสู่ใต้ธารน้ำ จากนั้นท่ามกลางสายน้ำก็มีเสียงร่ำไห้ดังขึ้นแผ่วเบา