10. การรุกรานของความมืด
เหงื่อเย็นเยียบหลั่งซึมหน้าผากศิษย์พี่ฉู “มิน่าล่ะ ถึงไม่มีใครกล้าเอาเทพศาสตราพวกนี้ไปเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ศิษย์น้องชิง เทพศาสตราพวกนี้มีจิตวิญญาณ! ใครที่มิใช่เจ้าของก็ไม่อาจแตะต้องได้!”
ศิษย์หญิงชิงหนาวถึงกระดูกสันหลัง ผงกศีรษะประหลกๆ รับคำศิษย์พี่ฉู
“เทพศาสตราพวกนี้อยู่ที่นี่มาตลอด!” ฉินมู่ตะคอกด้วยสายตาเย็นชา “ไม่มีใครกล้าแตะต้องมัน ไม่แม้แต่เหล่าสัตว์พิสดาร เห็นได้ชัดๆ ว่ามันเป็นสิ่งอันตราย! เจ้ารู้แต่แรกอยู่แล้ว แต่ก็ยังใช้ศิษย์น้องของตนเป็นหนูลองยา จิตใจอำมหิตเยี่ยงเจ้า นี่แหละมารปีศาจที่แท้จริง!”
“มารชั่วมันยุแยงตะแคงรั่วพวกเราอีกแล้ว!” ศิษย์พี่ฉูส่ายหน้าช้าๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าสลด “อย่างเจ้าจะรู้อะไรว่าข้ากับศิษย์น้องมีสายสัมพันธ์หนักแน่นแค่ไหน เด็กปีศาจถึงอย่างไรก็เป็นเด็กปีศาจวันยังค่ำ ถนัดแต่ใช้จิตใจปีศาจชั่วช้าของตนเองมาตัดสินข้า นั่นแหละเจ้าถึงหลงคิดไปว่าจิตใจของข้าจะชั่วช้าอำมหิตเยี่ยงเจ้า แต่พูดไปก็ไร้ประโยชน์ ไว้พรุ่งนี้ก่อนเถอะ ข้าค่อยส่งเจ้ากลับไปพบบรรพบุรุษ”
ฉินมู่ขมวดคิ้ว
ศิษย์พี่ฉูทั้งกลอกกลิ้งและชั่วร้าย หากว่าแม้แต่ชีวิตของศิษย์น้อง เขาก็ยังใช้เป็นเครื่องมือได้ เขาคงไม่ปล่อยให้ฉินมู่หลุดรอดไปจากซากโบราณนี้เป็นแน่
ที่แย่กว่านั้น ศิษย์พี่ฉูคนนี้ดันมีวรยุทธที่แข็งแกร่งสุดๆ ฉินมู่ไม่อาจเอาชัยเขาได้ ยังไม่นับศิษย์หญิงชิงที่แข็งแกร่งไม่แพ้กันข้างๆ นั่นด้วย
ทันใดนั้น พื้นแผ่นดินก็สั่นสะเทือน ส่งให้ทั้งซากโบราณสะท้านสะเทือนไปด้วยเช่นกัน เหล่าสัตว์พิสดารต่างพากันคำรามเห่าหอนขณะที่กระถดถอยร่างลึกเข้าไปในโบราณสถาน สายตาของพวกมันจับจ้องมองประตูทางเข้าด้วยความหวาดผวา
สัตว์พวกนี้กลัวอะไรกัน
ในวินาทีที่คำถามนี้ผุดขึ้นมาในหัว มวลมืดที่ข้นคลั่กก็โถมทะลักเข้ามาทางประตูราวกับน้ำท่วม!
ฉินมู่ผงะถอยหลังด้วยความตระหนก แต่ก็พบว่าเหมือนกับมีม่านพลังล่องหนที่กีดกั้นความมืดเอาไว้นอกประตู ความมืดนั้นโถมมวลกระแทกม่านพลังอย่างบ้าคลั่ง หมายจะรุกรานเข้ามาในเขตประตูเมือง
ม่านพลังปูดโปนบิดเบี้ยวตามแรงโถมกระแทก กระนั้นก็ยังไม่แตกทำลายไป มวลมืดที่พยายามกรีดแทงเข้ามาในม่านพลังมองเห็นมันบิดเบี้ยวเป็นกรงเล็บแหลมคมบ้าง เป็นเงาควันบ้าง และก็เป็นหนามแหลมนับไม่ถ้วนบ้าง แปรเปลี่ยนไปมาไม่หยุดนิ่ง
ความมืดผลักดันม่านพลังจนกระทั่งม่านพลังล่องหนนั้นนูนเป็นรูปใบหน้า ใบหน้านั้นใหญ่มหึมาขนาดว่าหน้าผากสูงจรุดฟ้าเหนือหุบเขา และคางของมันก็ปักลงมาถึงพื้น
เหล่าสัตว์พิสดารในซากโบราณต่างหมอบราบคุดคู้อยู่กับพื้น พวกมันไม่กล้าขยับตัวแม้แต่ปลายขน และไม่กล้าชำเลืองแลความมืดภายนอกนั่น
ใบหน้านั้นมีดวงตาลึกโหลสามดวง เมื่อจ้องมองมันฉินมู่ก็รู้สึกราวกับว่าวิญญาณของเขาจะถูกดูดออกไปเป็นเหยื่อของความมืด!
ทันใดนั้น ใบหน้าอันกอปรจากมวลมืดก็เริ่มเอ่ยถ้อยคำ
“ฉีเก่อตั้ว ซาโมเย บอเรบอเรซาโมเย ฉีเก่อตั้ว บอเรซาโมเย…”
มันร่ายคำเหล่านั้นด้วยภาษาที่ไม่มีใครรู้จักด้วยเสียงอันลึกเข้มสะท้านสะเทือน
เสียงนั้นสั่นสะเทือนคล้ายกับเสียงของคนนับร้อยเปล่งออกมาพร้อมๆ กัน พลังอันแปลกประหลาดผสมผสานมากับเสียงส่งให้พื้นดินในหุบเขาสั่นสะเทือนไปหมด รอยร้าวและความผุพังที่มีอยู่แล้วตามเสาหินและปราสาททั่วซากโบราณ ต่างก็ขยายให้ร้าวลึกและพังภินท์หนักขึ้น สิ่งก่อสร้างโบราณบางสิ่งถึงกับพังครืนลงมาจากแรงสั่นสะเทือนนั้น
ผงคลีเริ่มร่วงลงมาจากประตูทางเข้า มันดูท่าจะต้านทานไว้ได้อีกไม่นาน
แต่ในขณะนั้นเอง แสงเจิดจ้าก็ฉายโชนมาจากจัตุรัส มุกเรืองแสงที่เคยลอยนิ่งอยู่ในมือของหัวหน้าโครงกระดูกก็เริ่มปลดปล่อยมวลแสงอันจ้าขึ้นจ้าขึ้นทุกที
ฉินมู่สังเกตเห็นแสงที่ส่องมาจากข้างหลัง จึงหันกลับไปดูและเห็นมุกดวงนั้นลอยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ประกายรังสีที่เปล่งออกมาจากมันเต็มไปด้วยสีสันที่ทั้งละลานตาและเข้มข้น
แสงหลากสีนั้นสาดส่องลงมายังโครงกระดูกหลายร้อยที่นั่งอยู่ เมื่อแสงส่องไปถึงโครงกระดูกใดมันก็กลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาทันที
ฉินมู่อ้าปากค้างเมื่อเห็นภาพนั้น
ในสายตาของเขาโครงกระดูกที่ถูกอาบย้อมด้วยแสงมิอาจเรียกว่าโครงกระดูกอีกต่อไป
พวกมันกลับดูเหมือนเหล่าหญิงสาวพรหมจารีผู้มีกลีบปากสีกุหลาบและสวมใส่ชุดสวยสดสีแดงเพลิง!
พวกนางนั่งอยู่ในจัตุรัสแทนที่ตำแหน่งโครงกระดูกที่เคยมีทั้งหมด ผู้นำของพวกนางซึ่งเป็นสตรีเช่นเดียวกันมือชูไข่มุกแสงที่ค่อยๆ ลอยเลื่อนขึ้นสู่ท้องฟ้า
เช่นเดียวกับใบหน้าแห่งความมืด เหล่าหญิงสาวเริ่มร่ายท่องภาษาอันแปลกประหลาด
“ยี่โป ซุ่ยโป ซาหนานจุนเหอซี่ กวนหมิงต้วนจิ่ง อู๋ซี่เจี่ยงหยู…” เสียงของพวกนางเปล่งออกมาพร้อมกันอย่างนุ่มนวล
เสียงแห่งความมืดไม่ยอมแพ้ มันเพิ่มความดังขึ้น เร่งให้ความสั่นสะเทือนในหุบเขาทวีความรุนแรง ความมืดพยายามบุกทะลวงเข้ามาจากทุกทิศทาง เสียงของเหล่าสตรีก็ยิ่งดังกังวานและเปี่ยมพลังอำนาจ มุกแสงอันลอยเลื่อนอยู่กลางอากาศก็ปลดปล่อยคลื่นรัศมี คลื่นแล้วคลื่นเล่า ไปต่อกรกับมวลมืด แผดเผาพวกมันให้กระจุยเหมือนกับหมอกควัน
เสียงแห่งความมืดและเสียงของเหล่าสาวพรหมจรรย์ปะทะกันราวกับเทพมารโต้วาที ต่างก็ผลัดกันได้เปรียบชิงชัย บางทีก็เพลี่ยงพล้ำ พร้อมๆ กันนั้น มวลแสงและมวลมืดก็ซัดกันอย่างดุดัน!
การต่อสู้เหนือจินตนาการนี้ทำเอาฉินมู่ตะลึงแล แม้ว่าเขาจะเกิดในดินแดนลึกลับอย่างแดนโบราณวินาศ แต่ก็เพิ่งเคยเห็นภาพมหัศจรรย์เช่นนี้
“เสียงนี้…” เขาพึมพำ และระลึกได้ในทันใด
เสียงผสานของเหล่าสตรีเตือนให้เขานึกถึงสรรพสำเนียงของเทพที่เขาได้ยินตอนที่พยายามทลายกำแพงทารกวิญญาณ ทั้งสองเสียงมีความสูงส่งแฝงอยู่เช่นเดียวกัน แม้ว่าถ้อยคำที่ประกอบอยู่ในนั้นจะแตกต่างกัน แต่โดยรวมแล้วพวกมันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นภาษาเดียวกัน
เมื่อใดก็ตามที่เขาพยายามทลายกำแพงทารกวิญญาณด้วยพลังปราณชีวิต ฉินมู่ก็จะได้ยินเสียงแว่วของเทพเจ้าร่ายมาด้วยสำเนียงอันเข้มขรึมจากสวรรค์ชั้นเก้า ทุกๆ ครั้งที่ได้ยินเสียงนั้น ปราณชีวิตของเขาก็จะถูกผลักให้ถอยจากกำแพงทารกวิญญาณอย่างมิอาจควบคุมได้ จึงทลายไม่สำเร็จ
ในตอนนี้ ทั้งเสียงความมืดและเสียงของเหล่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ต่างก็ปะทะกันถึงจุดเดือด ทั้งคู่มีข้อได้เปรียบต่างกันไป ไม่มีเสียงใดที่กำความได้เปรียบไว้ได้นาน
เสียงมารอันก้องสะท้อนจากความมืดทั้งแข็งแกร่งและน่าหวาดกลัว ขณะที่เสียงของเหล่าหญิงพรหมจรรย์ก็ฟังดูสูงส่ง ไพเราะ และเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น ทุกๆ คราที่เสียงมารคล้ายว่าจะเอาชัยโดยราบคาบ เหล่าสตรีก็พลิกสถานการณ์ด้วยคำร่ายอันมิอาจเข้าใจได้ของพวกนาง
แต่ในขณะเดียวกัน หลังจากเพลี่ยงพล้ำเสียงมารก็ย้อนกลับมาผยองอยู่เสมอ เหมือนคลื่นยักษ์ที่ถอยกลับไปรวมพลังแล้วโถมซัดเข้ามาใหม่
ทั้งสองเสียงต่างก็มีความพิสดารของมัน
ฉินมู่ยิ่งฟังก็ยิ่งเคลิบเคลิ้มหลงใหลในการดิ้นรนชิงชัยของทั้งคู่ และทันใดไอเดียก็ผุดขึ้นมาในหัว
เสียงมารสามารถต่อกรกับเสียงเทพได้ เสียงเทพนี้ฟังคล้ายกับเสียงที่ขัดขวางการทลายกำแพงของข้า บางทีข้าอาจจะใช้เสียงมารไปปะทะต่อต้านกับเสียงนั้นได้!
ยิ่งคิดฉินมู่ก็ยิ่งรู้สึกว่าไอเดียนี้เจ๋ง ยิ่งตื่นเต้นคันไม้คันมือ!
ตราบเท่าที่เขาเรียนรู้คำร่ายที่เสียงมารเปล่งออกมา เขาก็สามารถร่ายมันในชั่วจังหวะที่เสียงเทพก้องสะท้อนในหัว เช่นนั้นน่าจะต่อต้านสุรเสียงจากสวรรค์เก้า ละเปิดโอกาสให้เขาทลายกำแพงทารกวิญญาณได้สำเร็จ!
หากว่าเขาทลายกำแพงทารกวิญญาณ…ด้วยกายาจ้าวแดนดิน และวิชากายาเจ้าแดนดินสามอมตะ เขาก็ไม่ต้องกริ่งเกรงศิษย์พี่ฉูและศิษย์หญิงชิง!
ความคิดของเขาเตลิดไปไกล และทันใดก็ตัวแข็งชาราวกับถูกน้ำเย็นจัดราดศีรษะ
หากว่าเสียงที่ก้องในหัวเขาเป็นเสียงเทวาจากสวรรค์เก้า และเขาต้องใช้คำร่ายจากเสียงมารมาต่อต้านมัน เช่นนี้ไม่หมายความว่าเขาเป็นชนเหล่าเผ่าปีศาจที่ถูกผนึกไว้โดยเทพยดาหรอกหรือ
หรือว่าศิษย์พี่ฉูและคนอื่นๆ พูดถูกมาตลอด ว่าเขาคือเด็กปีศาจ
มะ ไม่นะ! ฉินมู่สะบัดหน้า หากว่าเขาเป็นมารปีศาจ กายาจ้าวแดนดินของเขาก็เป็นร่างปีศาจเช่นเดียวกัน?
หากเป็นเช่นนั้น เหตุไฉนผู้เฒ่าทุกคนในหมู่บ้านจึงเรียกว่ากายาจ้าวแดนดิน แทนที่จะเรียกว่า กายาปีศาจ
มันจะหนักหัวใครวะถ้าข้าจะมีกายาจ้าวแดนดินหรือกายาปีศาจ! ทลายกำแพงทารกวิญญาณก่อนเถอะ ค่อยว่ากันอีกที!
เมื่อตกลงปลงใจมั่น ฉินมู่ก็ดำเนินตามที่คิดโดยไม่รอช้า เขาเริ่มจดจำทุกการเปล่งเสียงของถ้อยคำที่เสียงมารในความมืดกล่าวร่าย เช่นเดียวกับโทนเสียงและท่าทีในการร่ายกล่าวมัน
เมื่อเขาแน่ใจว่าจดจำทุกๆ อย่างได้อย่างสมบูรณ์แบบ ฉินมู่ก็โคจรปราณชีวิตด้วยวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะทันที และเมื่อปราณชีวิตของเขาเวียนไปถึงจุดกลางหน้าผาก ฉินมู่ก็ร่ายคาถาแปลกประหลาดของเสียงมารในทันใด!