ตอนที่ 118 จักรพรรดิ
แป่ก แป่ก
ข้างๆ ขาของฉินมู่ กล่องกระบี่ว่างเปล่า 2 กล่องร่วงลงมาที่พื้นและกลิ้งกระดอนไปอีก 2 ตลบ
ข้างหลังเขาคือเหล่านักเรียนที่ตกตะลึงอ้าปากหวอมองตาค้าง แม้กระทั่งเด็กชายที่รับใช้นักพรตหลิงอวิ๋นเองก็เหลียวมองตามจนคอแทบจะบิดเป็นนกฮูก พวกเขาล้วนแต่มีปากที่อ้ากว้างพอที่จะยัดส้มใหญ่ใส่เข้าไปได้หนึ่งลูก และล้วนแต่มองไปยังโถงข้างในเป็นสายตาเดียวกัน
ข้างหลังโถงหยางพิสุทธิ์ คือโถงบรมสิกขาแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ โถงบรมสิกขานั้นใหญ่กว่าโถงหยางพิสุทธิ์หลายต่อหลายเท่า ข้างหน้าโถงนี้มีบันไดยาวเหยียดซึ่งมีขั้นทั้งหมด 999 ขั้นบันได บนปลายสุดบันไดและหน้าโถงนั้นมีอาสนะศักดิ์สิทธิ์ อันเฉพาะก็แต่อธิการบดีแห่งจักรวรรดิจะสามารถนั่งได้ เท่านั้น
แต่ว่าในตอนนี้ ผู้ที่นั่งอยู่บนอาสนะศักดิ์สิทธิ์มิใช่ปรมาจารย์เยาว์และลัทธิซึ่งกินตําแหน่งอธิการบดีแห่งจักรวรรดิ แต่กลับเป็นชายกลางคนที่สวมอาภรณ์แพรเหลืองและมีมงกุฎอยู่บนศีรษะ ปรมาจารย์เยาว์แห่งลัทธิมารฟ้านั้นนั่งอยู่ตํ่าจากเขาหนึ่งระดับ และที่ตํ่ากว่าปรมาจารย์เยาว์คือเหล่าขุนนางที่ปรึกษาทั้งบู๊และบุ๋นซึ่งยืนเรียงรายกันตามขั้นบันได เช่นเดียวกับครูผู้สอนทั้งหลาย
ลานข้างล่างบันไดคือเหล่านักเรียนจากทั่วทุกมุมโลกที่กําลังต่อสู้ประลองกันอยู่
นักเรียนที่อยู่ ณ ที่นี้ล้วนแต่เป็นผู้ฝึกวิชาเทวะ และเนื้อหาการสอบของพวกเขาแตกต่างจากนักเรียนกลุ่มฉินมู่ นักเรียนที่มาถึงลานหน้าโถงบรมสิกขาได้ ล้วนแต่ผ่านด่านทดสอบอันยากเย็นแสนสาหัสมาก่อนแล้ว
เมื่อนักเรียนเหล่านี้ฝ่าอุปสรรคขวากหนามทั้งหลายมาถึงที่นี่ได้ บางคนก็เป็นลมไปและถูกปรับตกเมื่อพวกเขาเห็นชายในชุดเหลืองที่นั่งบนอาสนะศักดิ์สิทธิ์
บุคคลบนอาสนะศักดิ์สิทธิ์ก็คือโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบันของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ จักรพรรดิเอี้ยนเฝิง
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเสด็จมาด้วยตนเองยังมหาวิทยาลัยจักรวรรดินั้นก็มิใช่เรื่องเหนือคาดหมาย จักรพรรดิได้มายังที่นี่หลายครั้งหลายคราเพื่อสอดส่องดูนักเรียนจากทั่วทุกมุมโลกที่มาแสวงหาความรู้และกลายเป็นนักเรียนของโอรสสวรรค์
มหาวิทยาลัยจักรพรรดิ วิทยาลัยและโรงเรียนประถมฐานล้วนแต่เป็นอาวุธของจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเพื่อใช้เผชิญหน้ากับสํานักต่างๆ อันมีรากเหง้าเก่าแก่ โดยมหาวิทยาลัยจักรวรรดินับได้ว่าเป็น
จุดยุทธศาสตร์สำคัญที่สุดในแผนนี้ ดังนั้นจึงไม่มีทางที่เขาจะละเลยมัน
ข้างล่างบันได มีนักเรียนจํานวนมากแข่งขันประชันกันในการต่อสู้อันดุเดือด และทันใดนั้นเสียงตูมก็ดังขึ้นมาสนั่นหวั่นไหว ประตูหลังของโถงหยางพิสุทธิ์ซึ่งอยู่ทางทิศเบื้องหน้าของโถงบรมสิกขาพลันระเบิดเปิดเปิง และมีเงาร่างหนึ่งกระเด็นถอยหลังออกมาจากประตูนั้นทะลวงเข้าไปในสนามต่อสู้!
ที่ตามมาติดๆ คือกระบี่ไม้จํานวนมากที่แทงเข้ามาอย่างรวดเร็ว รุนแรงเสียยิ่งกว่า ใส่ผู้คนที่กระเด็นมาผู้นั้น
เสียงลมกระบี่หวีดหวิวและเสียงปะทะกระแทกดังรัวเป็นตับๆ เสียงดังกล่าวดังมาถี่ยิบ 71 ครั้ง กระบี่เหล่านั้นปักใส่ร่างคนที่กระเด็นมายังขั้นบันไดหน้าโถงอาคาร ทําให้เขาขดงอหลังด้วยความเจ็บปวด
ข้างล่างโถงใหญ่บรมสิกขา ทุกผู้คนตกอยู่ในความเงียบ เหล่านักเรียนที่กําลังแข่งขันต่อสู้กันอยู่ต่างยืนทื่อจ้องมองดูคนผู้นั้นที่ตะเกียกตะกายอยู่บนบันได
และหน้าโถงบรมสิกขาเองก็เงียบจนได้ยินแม้เข็มตก ขุนนางสภาที่ปรึกษาทั้งบู๊บุ๋นหลายร้อยที่อยู่บนขั้นบันไดเองก็ตะลึงพรึงเพริด
หลังจากนั้นสักพัก จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงก็แย้มยิ้มแล้วกล่าวอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “อธิการบดี ดูเหมือนว่าการแข่งขันของนักเรียนโรงเรียนประถมฐานดูจะตื่นเต้นน่าสนุกกว่าของนักเรียนวิทยาลัยนะ ขนาดครูผู้สอนยังถูกซัดกระเด็นมา ตอนนี้ข้าชักสนใจเสียแล้วสิว่าการแข่งขันของนักเรียนโรงเรียนประถมฐานนั้นเป็นอย่างไร”
ปรมาจารย์เยาว์ยิ้มตอบ “หากฝ่าบาทใคร่ที่จะชมดู พวกกระหม่อมก็จะเรียกนักเรียนเหล่านั้นเข้ามาและให้แข่งขันทดสอบต่อที่นี่ หลิงอวิ๋น เจ้ายังไม่ลุกขึ้นอีกหรือ ยังอับอายขายหน้าไม่พอหรืออย่างไร”
นักพรตหลิงอวิ๋นอับอายจนหน้าแดงฉาน เขารีบลุกขึ้นแล้วคํานับขอพระราชทานอภัยโทษจากจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง
ที่อกเขายังคงมีกระบี่ไม้ปักอยู่ กระบี่เล่มนี้เป็นเล่มที่ 72 ด้วยกระบี่ 72 เล่มที่แทงเข้าใส่อกเขายํ้าๆ บนตําแหน่งเดิม กระบี่ไม้นี้ได้แทงเข้าไปในกล้ามเนื้อของเขาแล้ว และเกือบจะแทงเข้าไปถึงหัวใจ
โชคยังดีที่เขาคลายผนึกสมบัติเทวะอื่นๆ ระหว่างกระเด็นมาในอากาศจากแรงกระแทกได้ทัน ด้วยพลังวัตรของเขาที่ฟื้นฟูมา จึงรอดชีวิตจากการจู่โจมของฉินมู่ได้
อย่างไรก็ตาม เขาเสียหน้าใหญ่หลวงต่อหน้าผู้คนในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิทั้งหมด และแม้กระทั่งเบื้องหน้าองค์จักรพรรดิ ต่อสภาขุนนางที่ปรึกษา และต่อทูตานุทูตจากต่างประเทศ
ท่ามกลางสภาขุนนางที่ปรึกษาบู๊และบุ๋น มีบางคนที่เป็นทูตจากต่างประเทศ
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเผยยิ้ม “ครูผู้สอน เจ้านี่ช่างเก่งกาจเสียจริง ถึงกับโดนเด็กนักเรียนประถมฐานอัดปลิวมา ใครคือผู้ที่ทุบตีเจ้าล่ะ เรียกเขามาซิ! ข้าอยากรู้ว่าใครหน้าไหนที่บังอาจกล้าทุบตีขุนนางขั้นสูงชั้นสี่ของราชสํานักข้า”
นักพรตหลิงอวิ๋นยิ่งอับอายเข้าไปใหญ่ จนแทบจะอยากหารู เอาหัวมุดดิน
ปรมาจารย์เยาว์เรียกครูผู้สอนอีกคนมาเพื่อไปเรียกนักเรียนขั้นประถมฐานกับนักพรตหลิงอวิ๋น จากนั้นเขาจึงยิ้มแล้วกล่าว “ฝ่าบาท หลิงอวิ๋นคงจะประเมินคู่ต่อสู้ตํ่าไป และปล่อยให้นักเรียนขั้นประถมฐานชิงความได้เปรียบไปได้ อย่างไรก็ตาม นักเรียนประถมฐานผู้นี้ก็มีความสามารถโดดเด่นน่าจับตา ถึงกับสามารถอัดหลิงอวิ๋นจนยับเยินขนาดนี้ได้ แม้แต่ข้าเองก็เริ่มสงสัยใคร่รู้อยากจะดู ว่าใครกันที่มีความสามารถเช่นนี้”
ที่หน้าโถงหยางพิสุทธิ์ ฉินมู่ทําเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นและเหลียวกลับไปมอง เขาพบว่านักเรียนไม่กี่คนข้างหลังเขายังคงไม่หายตกตะลึง มีแต่เด็กสาวนามซีอวิ๋นเซี่ยงที่เบิ่งตาจ้องเขาด้วยดวงตากลมโต และเมื่อนางเห็นเขาหันหน้ากลับไป เด็กสาวผู้นี้ก็ถอนสายตาออกและก้มศีรษะลง พลางบิดชายเสื้อของตนเองไปมา
“ท่าทีเอียงอายแบบนี้ นางต้องไม่ใช่ท่านยายซีแน่ๆ!” ฉินมู่เปี่ยมด้วยความมั่นใจเมื่อเขาคิดอยู่ในใจ
และตอนนั้นเองนักพรตหลิงอวิ๋นก็เดินเข้ามาพร้อมกับครูผู้สอนอีกคน เด็กชายคนนั้นรีบเข้าไปต้อนรับนักพรตหลิงอวิ๋นกลับมาโดยร้องเรียก “ท่านอาจารย์…”
เพี๊ยะ
เด็กชายพลันเซถอยหลังจากแรงตบของนักพรตหลิงอวิ๋น ครูผู้สอนอีกคนข้างๆ เขาขมวดคิ้วทันที “ศิษย์พี่ ไฉนท่านถึงใจแคบและระบายอารมณ์กับเด็กเล็กเช่นนี้”
นักพรตหลิงอวิ๋นมีสีหน้าบูดบึ้งเมื่อเขามองไปยังฉินมู่ หัวใจเขาก็เต็มไปด้วยไฟโทสะอันไม่อาจดับลงได้ “เจ้า มากับข้า!”
ครูบริหารอีกคนมองไปยังนักเรียนคนอื่นๆ แล้วกล่าว “พวกเจ้าที่เหลือก็ตามมาด้วยเช่นกัน การทดสอบที่โถงหยางพิสุทธิ์จะยุติลงชั่วคราว”
นักเรียนทุกคนถึงค่อยดึงสติกลับมา แล้วรีบตามไป ทุกคนมายังลานเบื้องล่างขั้นบันไดทั้ง 999 ขั้นที่
หน้าโถงบรมสิกขา และหัวใจพวกเขาก็เต้นตุบตับรุนแรงอย่างช่วยไม่ได้ พวกเขาไม่รู้เลยว่าที่นี่จะมีผู้คนมากมายขนาดนี้ และพวกเขาล้วนแต่เป็นผู้ทรงอํานาจและชื่อเสียงเกริกไกรในจักรวรรดิ แม้กระทั่งองค์จักรพรรดิก็อยู่ตรงนั้นด้วย!
ฉินมู่มองไปรอบๆ ก่อนข่มระงับความใคร่รู้ของตกหลุบตาลงตํ่า เว่ยหยงก็ยืนอยู่ที่ลานข้างล่างบันไดแต่เขาไม่ได้ร่วมการต่อสู้แข่งขัน เมื่อเขาเห็นฉินมู่ เขาก็อยากจะร้องเรียกทักทาย แต่ก็ข่มใจระงับไว้เช่นกัน หูเขากระดิกไปมาและเกาแก้มแกรกๆ ด้วยความยืนไม่ติด
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงแย้มยิ้ม “ใครคือนักเรียนโรงเรียนประถมฐานที่เป่าครูผู้สอนของข้ากระเด็นมาถึงนี่ ไหนออกมาให้ข้าดูหน้าหน่อย”
ฉินมู่ก้าวออกไปข้างหน้าและเงยขึ้นมองจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง พลางคิดในใจ นี่คือจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง จักรพรรดิองค์ปัจจุบันของจักรวรรดิสันตินิรันดร์อย่างนั้นหรอกหรือ
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงตัวจริงนั้นแตกต่างจากที่เขาจินตนาการไว้ ในจินตนาการของเขา จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงน่าจะดูทรงปัญญาและอํานาจประดุจปราชญ์เทพยดา มีรัศมีอันงามสง่าน่าเกรงขามราวเทพสวรรค์ แต่ว่าจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงตัวจริงกับดูโอบอ้อมใจดี เขาสวมชุดเหลืองลายมังกรบนร่างกาย และมีเข็มขัดแดงอันประดับด้วยทองและหยก ใบหน้าของเขาอ้วนกลมเล็กน้อย และช่วงหน้าผากของเขากว้าง เขามีสันจมูกสูงและมีทั้งหนวดและเครา หนวดของเขางอกเงยอยู่เหนือริมฝีปากบนขณะที่เคราของเขางอกเงยอยู่ใต้ริมฝีปากล่างอันตัดแต่งไว้สั้นกว่าหนวดข้างบน ทว่ามันไม่ได้ดูขัดตาแต่อย่างใด เขาคงมีคนที่คอยตัดแต่งเล็มหนวดเคราให้ตลอด มันจึงดูเป็นระเบียบไม่รกเรื้อและดูทันสมัยนิยม
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงมองไปที่เขาอย่างสนอกสนใจแล้วแย้มยิ้ม “ค่อนข้างอายุเยาว์เลยทีเดียว หายากนักที่จะผู้เปี่ยมพรสวรรค์เช่นนี้ เจ้ามาจากที่ใด?”
ฉินมู่โค้งคํานับ และกําลังจะตอบว่ามณฑลหลี่โจว แต่ทันใดนั้นเขาก็เปลี่ยนใจและตอบไปตามสัตย์ “ข้ามาจากแดนโบราณวินาศ”
เมื่อเขากล่าวอยู่นั่นเอง แม่ทัพน้อยคนหนึ่งก็ก้าวออกมาจาก แถวแล้วโค้งคํานับกราบทูล “ฝ่าบาท โปรดประทานคําสั่งให้กระหม่อมจับตัวคนผู้นี้! เขาเป็นผู้คนที่ถูกละทิ้งจากแดนโบราณวินาศ!”
ในวินาทีที่เขากล่าวจบ แทบทุกคนในสถานที่นั้นต่างก็โกลาหลอึงอล
เมื่อมองไปยังที่มาของเสียง ฉินมู่ก็รู้สึกกังวลใจเล็กน้อย เขาพบว่าแม่ทัพน้อยผู้นั้นคือฉินเฟยเยว่ แม่ทัพน้อยฉิน ฉินเฟยเยว่ ย่อมคุ้นเคยกับเขาดี พวกเขาไม่ได้พบกันแค่ครั้งสองครั้ง แต่ถึงกับมีบทสนทนาพูดคุยกันในโรงเตี๊ยมของเมืองเขตมังกร
ฉินเฟยเยว่รู้ที่มาบางส่วนของเขา
ในตอนนั้นเอง ขุนนางเฒ่าๆ ข้างๆ จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงก็กล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “ฝ่าบาท น้องชายน้อยผู้นี้คือหมอเทวะมือศักดิ์สิทธิ์แห่งตรอกดอกไม้ที่ข้าพบเจอ”
“หมอเทวะมือศักดิ์สิทธิ์แห่งตรอกดอกไม้ อายุเยาว์ขนาดนี้เชียว?”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงสะดุ้งใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงยิ้มกล่าว “ถอยไปก่อนแม่ทัพน้อยฉิน เขาก็บอกแล้วนี่ว่าเขามาจากแดนโบราณวินาศ เจ้าจะร้อนอกร้อนใจอะไรล่ะ”
ฉินเฟยเยว่ประท้วง “ฝ่าบาท คนผู้นี้มีที่มาน่าสงสัย และเกี่ยวพันกับลัทธิมารฟ้า ฝ่าบาทโปรดตรึกตรอง!”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงขมวดคิ้วแล้วกล่าว “ลัทธิมารฟ้าก็เป็นลัทธิสํานักภายใต้การปกครองของข้า และพวกเขาย่อมเป็นไพร่ฟ้าประชาชนของข้า เจ้ากําลังบอกให้ข้าลงโทษประชาชนของข้าเองอย่างนั้นหรือ แล้วอย่างนี้ข้าจะไปปกครองลัทธิมารฟ้าได้อย่างไร”
ฉินเฟยเยว่ยังคงอยากจะโต้แย้ง “แต่…”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงสีหน้าเครียดลง เขาโบกมือไล่ “ถอยไป ท่ามกลางสภาราชสํานักของข้ามียอดฝีมือจากทุกสํานักและทุกลัทธิ ถ้านับตามที่มาแล้ว พวกเขาครึ่งหนึ่งมาจากลัทธิมารและสํานักมาร แม่ทัพน้อยฉิน เจ้าสุดโต่งเกินไปแล้ว!”
ฉินเฟยเยว่จึงได้แต่ถอยกลับเข้าไปในแถว จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงมองไปที่ฉินมู่แล้วเผยยิ้ม “ภายใต้สรวง
สวรรค์นี้ ทุกสถานที่คือแผ่นดินของจักรพรรดิ จากขอบประเทศเขตแดน ทุกผู้คนคือพสกนิกรของจักรพรรดิ ดินแดนของข้ามิได้จํากัดอยู่แค่สันตินิรันดร์ แม้แต่ผู้คนจากแดนโบราณวินาศก็เป็นพสกนิกรของข้า เจ้าเป็นศิษย์ลัทธิมารฟ้าอย่างนั้นหรือ”
ฉินมู่โค้งแล้วกล่าวตอบ “ใช่แล้ว”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงแย้มสรวลด้วยเสียงอันดังเมื่อเขามองไปยัง สภาขุนนางบู๊และบุ๋นทั้งสองฝั่งซ้ายขวา “ลัทธิมารฟ้าไร้ร่องรอย หาตัวจับยากมาตลอด แต่บัดนี้แม้แต่ศิษย์ของพวกเขายังเข้ามาในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเพื่อแสวงหาความรู้ อธิการบดี เจ้าทําได้เยี่ยมมาก!”
ปรมาจารย์เยาว์โค้งแล้วกล่าว “นี่เป็นเพราะบารมีของฝ่าบาท”
ขุนนางเสนาบดีข้างๆ เขากล่าว “ฝ่าบาท คนผู้นี้อาจจะเป็นผู้คนที่ถูกละทิ้ง”
“ผู้คนที่ถูกละทิ้ง?”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงดูไม่ยี่หระ และตอบอย่างสบายๆ “สําหรับผู้คนที่ถูกเทพเจ้าละทิ้ง ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะละทิ้งพวกเขาไปด้วย เทพเจ้าสามารถละทิ้งสรรพชีวิตในโลกหล้าแต่ข้ามิอาจทําเช่นนั้น เมื่อพวกเขาเข้ามายังดินแดนของข้า ไม่ว่าจะมีที่มาที่ไปอย่างไร พวกเขาก็กลายเป็นไพร่ฟ้าของข้า ดังนั้นจึงไม่มีผู้คนที่ถูกละทิ้ง!”
ขุนนางเฒ่าอีกคนก้าวออกมาข้างหน้า โค้งคํานับแล้วกล่าว “แต่ฝ่าบาท ช่วงนี้มีหลายสํานักที่ก่อความปั่นป่วนวุ่นวาย และข้าเกรงว่าลัทธิมารฟ้าเองก็อาจจะผสมโรงด้วย หากว่าคนผู้นี้เป็นสายลับจากลัทธิมารฟ้า…”
“พวกสํานักจากยุทธภพชอบก่อความวุ่นวายจะข่มขวัญข้าอยู่เรื่อยนั่นแหละ”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงรู้สึกปวดหัวเล็กๆ จากนั้นยิ้มหยัน “บนฉากหน้าพวกเขากระด้างกระเดื่องต่อราชครูสันตินิรันดร์ แต่จริงๆ แล้วพวกเขากระด้างกระเดื่องต่อข้า! พวกเขาหมายให้ข้าย้ายตูดออกไปให้พวกเขาขึ้นมานั่งบนบัลลังก์มังกรแทน ฝันเฟื่องชัดๆ! ในอดีตนั้นประเทศแคว้นแอบอิงใต้อํานาจของเหล่าสํานัก และเหล่าสํานักเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะแต่งตั้งใครเป็นจักรพรรดิ สํานักเหล่านี้เกาะกินอยู่บนอาณาจักรประเทศและสูบเลือดสูบเนื้อสามัญชนคนทั่วไป สังหารจักรพรรดิคนไหนที่ไม่เข้าตาพวกเขา แต่ปัจจุบันนั้นแตกต่างจากอดีต สํานักเหล่านั้นมีแต่ต้องพึ่งพิงอาณาจักรประเทศในยุคนี้!”
เมื่อเขากล่าวดังนั้น ก็เกิดฮึกเหิมขึ้นมา จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงลุก ขึ้นจากอาสนะศักดิ์สิทธิ์อย่างตื่นเต้น “ราชครูและข้าได้ร่วมกันขับเคลื่อนการปฏิวัติเปลี่ยนแปลง ก็เพื่อล้มล้างสภาวะการณ์ที่สํานักต่างๆ ชี้เป็นชี้ตายชีวิตผู้คนในอาณาจักรได้ ข้าไม่เพียงแต่ต้องการการเปลี่ยนแปลง ข้ายังต้องการการปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนวิถีชีวิตของสํานักเหล่านั้น เพื่อเปลี่ยนวิถีชีวิตของข้า! หากว่าสํานักเหล่านี้ไม่ต้องการปรับตัวเปลี่ยนแปลง พวกเขาก็แค่รอให้ข้าเข้าไปจัดการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตให้! ทรัพยากรที่สํานักต่างๆ กุมไว้ในมือจะถือเป็นทรัพย์ของจักรวรรดิ และพวกเขาลืมไปได้เลยที่จะต่อต้านข้าด้วยความรุนแรง! ตอนนี้ไม่เพียงแต่เหล่าสํานักที่จะต้องปรับตัวเปลี่ยนแปลง ระบบสภาราชสํานักก็ต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเช่นกัน หากว่าสภาราชสํานักไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ช้าไม่เร็วพวกเราก็คงจบสิ้น! พวกเจ้ามักกล่าวหาว่าราชครูนั้นเป็นพวกสุดโต่ง แต่จริงๆ ความสุดโต่งของเขาไม่เท่าข้า พฤติการณ์ของราชครูเป็นไปตามเจตจํานงของข้า! กระด้างกระเดื่องต่อราชครูหมายถึงการกบฏต่อข้า!”