ตอนที่ 121 กฎเกณฑ์มากมายในเมืองหลวง
ปรมาจารย์เยาว์ก็หยิบก้างปลาขึ้นมาเช่นกันและขีดเขียนแผนภาพโคจรปราณขั้นห้าธาตุที่เขาเคยเห็นในซากโบราณ แต่ว่าก็ไม่ได้ครบสมบูรณ์ “ข้าเห็นเพียงเท่านี้ และเพราะว่าแผนภาพนี้ มันขาดแหว่งมากเกินไป ข้าจึงไม่ได้สลักมันเอาไว้ในโถงหยางเขียวคราม”
ฉินมู่ใจไหววูบ เขาเขียนแผนภาพโคจรปราณขั้นห้าธาตุอันไม่สมบูรณ์ซึ่งเขาได้เห็นจากวังสะกดเภทภัย เมื่อเทียบกับภาพที่ปรมาจารย์เยาว์วาดขึ้นมา ส่วนที่ขาดหายไปของสองภาพนี้ แตกต่างกัน หากว่าเอาแผนภาพทั้งสองซ้อนทับกัน ก็จะปะติดปะต่อส่วนที่ขาดหายไปได้จํานวนหนึ่ง!
ดังนั้นฉินมู่จึงวาดภาพใหม่อีกภาพข้างๆ ตัว ส่วนที่หายไปในภาพใหม่นี้มีเพียงแค่บริเวณหัวไหล่ซ้าย!
ถึงแม้ว่าแผนภาพนี้ส่วนหัวไหล่ซ้ายจะขาดหายไป แต่ตอนนี้เขาสามารถโคจรวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะเพื่อใช้ในการฝึกปรือขั้นห้าธาตุได้แล้ว!
ปรมาจารย์เยาว์เพ่งพิศภาพใหม่อย่างระมัดระวัง และขบคิดอยู่ค่อนข้างนาน จากนั้นเขาจึงใช้ก้างปลาขีดเข้าไปอีกสองสามเส้นบนหัวไหล่ซ้ายของภาพ จากนั้นจึงกล่าว “ข้าใช้ความรู้ความเข้าใจของข้าในการเติมเต็มแผนภาพนี้ให้เจ้า แต่ทว่าการปะซ่อมของข้าอาจจะไม่ถูกต้องและแตกต่างจากวิชาดั้งเดิม เมื่อเจ้าต่อสู้กับผู้อื่นและโคจรปราณชีวิต มันก็จะมีช่องโหว่เกิดขึ้นเล็กน้อย หากว่าฝีมือของคู่ต่อสู้เจ้าก็งั้นๆ พวกเขาจะไม่พบช่องโหว่นี้ แต่หากว่าสายตาของคู่ต่อสู้ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง ข้าเกรงว่าหัวไหล่ซ้ายจะเป็นจุดอ่อนร้ายแรงของเจ้า”
ฉินมู่หวั่นใจและรีบถาม “ปรมาจารย์ สายตาคู่ต่อสู้ต้องดีสักแค่ไหนหรือ ถึงจะสามารถเห็นช่องโหว่ข้าได้”
ปรมาจารย์เยาว์ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วตอบ “ขั้นชาวสวรรค์ ไม่ก็ขั้นเป็นตาย”
ฉินมู่ค่อยคลายใจแล้วยิ้มแฉ่ง “ทําไมข้าถึงจะไปตอแยกับยอดยุทธ์ระดับนั้นด้วยล่ะ”
“แต่ยังมีผู้เยาว์บางคนที่มีสายตายอดเยี่ยมเหนือธรรมดา แม้ว่าขั้นวรยุทธ์เขาจะไม่สูงอยู่นะ”
ปรมาจารย์เยาว์กล่าวด้วยสีหน้านิ่ง “ยกตัวอย่างเช่น มีผู้ฝึกวิชาเทวะรุ่นเยาว์แบบนั้นอยู่ในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ อย่าเห่อเหิมลําพองไป นี่ไม่ใช่ยุคที่เจ้าจะสะท้านยุทธภพได้ด้วยวิชาก้นหีบสองสามท่าที่บรรพบุรุษเจ้าถ่ายทอดมาได้แล้ว หากว่าเต๋าและทักษะเทวะของเจ้าไม่พัฒนา และเอาแต่กินบุญเก่ากับท่าสองสามท่าของบรรพบุรุษ ฮี่ๆ ไม่ช้าไม่นานเจ้าก็จะถูกผู้อื่นกําจัดไป เจ้ารู้ไหมว่าทําไมข้าถึงอยากที่จะมาเป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ ข้ามาก็เพื่อจะได้อ่านตําราของวิชาทุกวิชาในโลกหล้าและเป็น ประจักษ์พยานต่อยุคสมัยใหม่ที่กําลังมาถึง”
สายตาของเขาพลันมีร่องรอยของความเศร้าใจ เขากล่าวต่อด้วยเสียงแผ่ว “น่าเสียดาย ที่ข้าคงไม่มีโอกาสได้เห็น…”
แม้ว่าเขาจะมองชีวิตและความตายเบาบางดุจขนนก และไม่ได้ตีอกชกหัวที่ชีวิตของเขากําลังจะสิ้นสุด เขาก็ยังคงเศร้ารันทดจากข้อที่ว่าเขาจะไม่มีโอกาสได้เป็นประจักษ์พยานต่อการย่างกรายเข้ามาของยุคสมัยใหม่ เพราะยุคสมัยใหม่ดังกล่าวเริ่มถูกผลักดันด้วยนํ้ามือของเขา
“ถึงข้าจะไม่ได้เห็น ก็ไม่เป็นไร” ปรมาจารย์ปลุกปลอบใจตนเองแล้วแย้มยิ้ม “แต่เจ้าจะได้เห็นมัน จ้าวลัทธิน้อย จงก้าวรุดหน้าอย่าหยุดนิ่ง เจ้าจะต้องเสริมวิสัยทัศน์และเพิ่มความกว้างของจิตใจเจ้า!”
ฉินมู่กล่าวลาปรมาจารย์เยาว์ ผู้เฒ่าผู้นี้ให้ภาพประทับแก่เขา แตกต่างจากผู้เฒ่าคนอื่นจากหมู่บ้าน
ภาพประทับของชาวบ้านในหมู่บ้านพิการชรา คือกลุ่มผู้เฒ่าแสนดี แม้ว่าพวกเขาจะดุร้ายทมิฬไปด้วย แต่เมื่อสัมผัสไปนานๆ ก็จะพบว่าพวกเขาล้วนแต่เป็นคนใจดีมีเมตตา พวกเขาสอนฉินมู่ในด้านความคิดจิตใจและวิธีการมีชีวิตรอดในโลก
สําหรับปรมาจารย์เยาว์มิได้สอนเขาในเรื่องพวกนี้ วิธีที่ปรมาจารย์เยาว์ใช้คือการชี้แนะนําทางอย่างอดทนเป็นระบบให้เขาสามารถอยู่บนจุดยืนสูงปานขุนเขาเพื่อทอดสายตามองทั้งโลกหล้า
ยิ่งยืนสูงเท่าไร ก็ยิ่งมองเห็นโลกในมุมที่ต่างออกไป
ไก่และนกกระจอกบินตํ่าเรี่ยดิน พวกมันจึงเห็นก็แต่รังไก่และกระท่อมหญ้า ดังนั้นพวกมันจึงทําได้แค่จับหนอนหรือจิกข้าวบนพื้น
นกอินทรีสยายปีก และสายตาของมันสามารถมองเห็นได้ไกลนับพันลี้ ดินแดนตลอดระยะพันลี้คืออาณาเขตของมันที่ใช้ล่าเหยื่อใดๆ ในนั้น
เพื่อที่จะเป็นจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธิมารฟ้า เขาจะต้องมีวิสัยทัศน์กว้างขวางพอที่จะเห็นโลกหล้ากว่าพันลี้
สําหรับฉินมู่ ประโยชน์เป็นตัวเป็นตนที่เขาได้ในคราวนี้ก็ยังคงเป็นแผนภาพฝึกปรือขั้นห้าธาตุของวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ ด้วยแผนภาพนี้ เขาสามารถฝึกปรือต่อ มิเช่นนั้นเขาคงติดแหง็กอยู่ที่ขั้นห้าธาตุ
เขากลับไปยังบัณฑิตนิเวศน์และลองขับเคลื่อนโคจรวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะในขั้นห้าธาตุตามแผนภาพโคจรที่เขาปะติดปะต่อมาได้ เส้นทางโคจรปราณนี้สลับซับซ้อนกว่าที่เคย มันเป็นวิชาคนละอย่างกันอันเหนือกว่าพื้นฐานวิชาเต้าหยินและวิชาขั้นทารกวิญญาณ
ฉินมู่เปิดดูวิชาต่างๆ ในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตจนถ้วนทั่ว และแม้ว่าจะมีวิชามหัศจรรย์มากมายในคัมภีร์ แต่ว่ามีไม่กี่วิชาที่อาจจะเทียบได้กับเส้นทางโคจรของวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะขั้นห้าธาตุ
การขับเคลื่อนตามเส้นทางการโคจรขั้นห้าธาตุนี้คือการที่เขาต้องขับเคลื่อนวิชาสามวิชาไปพร้อมๆ กัน โดยจะต้องโคจรวิชาเต๋า หยิน อันกระตุ้นการโคจรวิชาขั้นทารกวิญญาณ และไปกระตุ้นการโคจรห้าธาตุ ซึ่งค่อนข้างซับซ้อน
ในตอนนี้ ปราณชีวิตเขาแผ่พุ่งอย่างมีชีวิตชีวาและโคจรไปตามแผนภาพโคจรปราณ ทันใดนั้นสํานึกรู้ของเขาก็แยกออกเป็นห้าเสี่ยง แล้วโถมพุ่งเข้าไปในสมบัติเทวะห้าธาตุพร้อมกับปราณชีวิตอันเชี่ยวกรากของตน
ดาวยักษ์ห้าดวงในสมบัติเทวะห้าธาตุพลันเปล่งแสงเจิดจ้าบาดตา!
แต่ครานี้ทั้งห้าธาตุไม่ทําลายล้างซึ่งกันและกัน ในทางกลับกัน
แสงดาวพลันสาดส่องลงมาจากดาวธาตุทองและผสานเข้ากับหนึ่ง ในสํานึกรู้ของเขาที่แยกเป็นเสี่ยง เปลี่ยนมันให้เป็นเทพยดาทองอร่าม เทพทองนั้นมีกรงเล็บเสือ ขนสีขาว และมีอสรพิษห้อยอยู่ที่หู
ข้างหนึ่ง เท้าเหยียบอยู่บนมังกรสองตัวและถือขวานสองคมทําจากสําริด
ฉินมู่โคจรปราณอย่างระมัดระวังให้เป็นวงจร เพื่อให้รูปเงาเทวะทองคําซึมซับธาตุทองในแสงดาวอย่างต่อเนื่อง
แสงดาวนั้นควบแน่นก่อรูปเป็นเทพทอง และแสงดาวนี้เรียกว่าพลังดวงดาว เป็นพลานุภาพแห่งดาวธาตุ
ในเวลาเดียวกันก็มีแสงดาวอีกเส้นสายสาดส่องมาจากดาวธาตุไม้ไปยังสํานึกรู้ของเขาอีกเสี่ยงหนึ่ง สํานึกรู้นี้เปลี่ยนแปลง
กลายเป็นเทพไม้ เทวะไม้นี้มีศีรษะมนุษย์ ร่างปักษา เท้าทั้งสองเป็นกรงเล็บนกอันเหยียบอยู่บนมังกรสองตัวและถือแส้กิ่งหลิว
แสงดาวพลันสาดส่องลงจากดาวธาตุนํ้า ผสานเข้ากับสํานึกรู้ เสี่ยงที่สามของเขา เปลี่ยนมันให้เป็นเงารูปของเทพนํ้าอันมีศีรษะมนุษย์ เรือนผมสีแดง ลําตัวงู และถือสามง่าม
แสงจากดาวธาตุนํ้าพุ่งออกมา ผสานกับสํานึกรู้เสี่ยงที่สี่ เปลี่ยนให้เป็นเทพไฟอันมีศีรษะมนุษย์และลําตัวของวัวกระทิง เทพไฟก็เหยียบอยู่บนมังกรสองตัวเช่นเดียวกันและถือขวดนํ้าเต้าเพลิง
แสงส่องลงมาจากดาวธาตุนํ้า ผสานเข้ากับสํานึกรู้เสี่ยงสุดท้ายของเขา เปลี่ยนให้เป็นเงารูปของเทพดินอันมีศีรษะมนุษย์และลําตัวงู ซึ่งมีประตูสองบานอยู่ข้างหลัง ที่ประตูมีอักขระจารึกอยู่ แต่ในเมื่อมันเป็นเพียงรูปเงา ตัวอักษรจึงลางเลือนและมิอาจมองเห็นชัดได้
ปราณชีวิตของเขาผสมผสานเข้ากับรูปเงาของห้าเทพ ปราณชีวิตและพลังดวงดาวแปรสภาพเป็นพลังอีกอย่างสลับกันอย่างช้าๆ สถานการณ์เช่นนี้น่าพิศวงนัก
ฉินมู่งงงัน เขาหยั่งสัมผัสการเปลี่ยนแปลงนั้นอย่างระมัดระวัง แต่ก็ไม่อาจพบความแตกต่างใดๆ เขารู้สึกแต่ว่าเมื่อปราณชีวิตของเขาแปรเปลี่ยนเป็นพลังดวงดาว เขาก็รู้สึกถึงพลังอันไม่อาจบรรยายได้สั่นสะเทือนอยู่บนฟ้าประดับดาว เขาไม่อาจค้นพบได้ว่าพลังดังกล่าวคืออะไรกันแน่
และเมื่อพลังดวงดาวแปรเปลี่ยนเป็นปราณชีวิต เขาก็พบว่าพลังวัตรของเขาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ไม่ใช่เรื่องแย่แฮะ
เขาถอนใจโล่งอก แม้ว่าแผนภาพโคจรปราณของกายาจ้าวแดนดินสามอมตะขั้นห้าธาตุจะมีช่องโหว่เล็กน้อย แต่ก็ยังดีว่าเขาสามารถฝึกปรือได้และไม่ประสบภาวะธาตุไฟแตกซ่านเอาง่ายๆ
ยงัพอมีเวลาอยู่กว่ามหาวิทยาลัยจักรวรรดิจะเปิดภาคเรียน ข้าน่าจะกลับไปหอฟังเสียงฝนและพาฮู่หลิงเอ๋อมาที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังสัญญาไว้ว่าจะรักษาคนไข้ที่ตรอกดอกไม้ต่ออีกด้วย
ฉินมู่เดินออกจากเรือนพักของเขาและเห็นบัณฑิตกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา
ย่านที่เขาพักอยู่นั้นแยกออกจากบัณฑิตนิเวศน์ของผู้ฝึกวิชาเทวะ มันคือสถานที่ที่บัณฑิตระดับทารกวิญญาณและห้าธาตุพักอาศัยอยู่ บัณฑิตทุกคนที่มีวรยุทธ์ตํ่ากว่าขั้นหกทิศจะมารวมอาศัยอยู่ในย่านนี้ และเมื่อมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเปิดการเรียนการสอนอีกครั้ง บัณฑิตหลายคนจากรุ่นปีก่อนหน้าก็พากันกลับมาจากข้างนอก พวกเขาเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยก่อนฉินมู่และมีพลังวัตรอันเข้มข้นแต่ตราบเท่าที่พวกเขายังไม่บรรลุวรยุทธ์ขั้นหกทิศ พวกเขาก็จะยังคงพักอาศัยอยู่ที่นี่
ทุกๆ ปีมหาวิทยาลัยจักรวรรดิจะเปิด 10 โควตาให้แก่นักเรียน จากโรงเรียนประถมฐานและเป็นการยากที่ผู้ฝึกยุทธจะทลายกําแพงหกทิศและบรรลุขั้นหกทิศภายในสามถึงห้าปี ดังนั้นจํานวนของบัณฑิตระดับประถมฐานในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิจึงมีจํานวนไม่ใช่น้อย
บัณฑิตเหล่านั้นเดินผ่านฉินมู่ หนึ่งในนั้นมองฉินมู่ขึ้นๆ ลงๆ ก่อนจะถาม “ศิษย์น้องท่านนี้ ข้าได้ยินว่ามีผู้คนที่ถูกละทิ้งจากแดนโบราณวินาศเข้ามหาวิทยาลัยมา เจ้าเห็นไหมว่ามันพักอยู่ที่ใด”
ฉินมู่สะดุ้งเล็กน้อยและถาม “เหตุใดศิษย์พี่จึงถามหาเขาล่ะ”
บัณฑิตผู้นั้นตอบ “ผู้คนที่ถูกละทิ้งเป็นแค่กากเดนที่เหมาะใช้ เป็นทาสเท่านั้น ข้าไม่คาดคิดเลยว่าองค์จักพรรดิจะอนุญาตให้ผู้คนที่ถูกละทิ้งเข้ามาเป็นบัณฑิตในมหาวิทยาลัยจักวรรดิของพวกเรา นี่มันหยามนํ้าหน้าพวกเราชัดๆ ข้าได้ยินข่าวนี้ และเดือดแค้นใจเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นพวกเราจะมาสั่งสอนมัน ให้มันไสหัวออกไปจากมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ หากมันยังคงลอยหน้าลอยตาอยู่ที่นี่ พวกเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
แววตาฉินมู่วูบไหว “ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง ข้าเคยเห็นผู้คนที่ถูกละทิ้งผู้นั้นมาก่อนและเขาพักอาศัยอยู่ใกล้ๆ นี่แหละ ทําไมพวกท่านไม่ตามข้าไปพบเขาล่ะ”
บัณฑิตสิบกว่าคนนั้นฟังแล้วก็ดีใจ ทั้งหมดประสานมือข้างหน้าและโค้งเล็กน้อยแสดงการขอบคุณ “รบกวนด้วย ศิษย์น้อง!”
“ศิษย์พี่ทั้งหลายสุภาพไปแล้ว”
ฉินมู่กล่าวต่อ “ข้าเองก็มาจากตระกูลทรงอิทธิพล แต่กลับต้องมาเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกับผู้คนที่ถูกละทิ้ง ข้าอับอายเสียจนอยากจะขุดหลุมแล้วมุดหัวเข้าไปซุกในนั้น จริงสิ ข้ามีแซ่ว่าฉิน”
“แซ่ฉิน?”
บัณฑิตเหล่านั้นสะดุ้งขึ้นมา และหนึ่งในนั้นทักทายเขาอย่างสุภาพเคารพ “ที่แท้พี่ผู้นี้ก็มาจากตระกูลฉิน ตระกูลฉินแห่งเมืองหลวงนับว่าเป็นตระกูลทรงอิทธิพลจริงๆ นั่นแหละ และเป็นการดูหมิ่นดูแคลนจริงๆ ที่ต้องมาเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับผู้คนที่ถูกละทิ้ง ตระกูลฉินเต็มไปด้วยแม่ทัพเก่งกล้า ทั้งตระกูลเปี่ยมด้วยความจงรักภักดีและยึดถือความถูกต้อง ข้าอาจจะเข้ามาเรียนสองปีก่อนหน้าเจ้า แต่ข้ามิกล้าเรียกตนเองว่าศิษย์พี่ เราจะเรียกกันและกันอย่างสหายก็แล้วกัน”
บัณฑิตอีกคนหัวเราะขึ้นมา “พ่อของข้าเป็นเจ้าของเหมืองที่ภูเขาพยัคฆ์สัญจร และมักซื้อหาผู้คนที่ถูกละทิ้งจากชายแดนไปเป็นทาสเหมืองทีละสองร้อยสามร้อยคน ทาสเหมืองเป็นร้อยจะตกตายไปทุกปีๆ ดังนั้นพวกเราจึงไม่มีทางเลือกนอกจากซื้อเพิ่มตลอด ฮี่ๆ ไม่คิดเลยว่าข้าจะต้องมาศึกษาหาความรู้ในสถาบันเดียวกับผู้คนที่ถูกละทิ้งไปเสียนี่ หากเรื่องนี้ทราบถึงหูพ่อข้า เขาจะต้องเดือดดาลแน่ๆ และติเตียนว่าข้าคบหากับพวกทาส”
บัณฑิตหญิงอีกคนกล่าวเสริม “ข้าก็ได้ยินเรื่องคราวนี้เช่นกัน องค์จักรพรรดิช่วงใช้โอกาสนี้เพื่อปลุกสติความคิดแก่เหล่าข้าราช บริพาร นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ฝ่าบาทอนุญาตให้ผู้คนที่ถูกละทิ้งเข้าร่วมมหาวิทยาลัยจักรวรรดิได้ จักรพรรดิยังคงแสดงเจตนาอันแรงกล้าที่จะผนวกรวมแดนโบราณวินาศมาไว้ใต้ปกครอง เขารับผู้คนที่ถูกละทิ้งมาเป็นพสกนิกร อย่างนี้ก็แปลว่าเขาก็โอบรับแดนโบราณวินาศเข้ามาเป็นขอบขันธสีมาของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ด้วยมิใช่หรือ แต่องค์จักรพรรดิรับผู้คนที่ถูกละทิ้งเข้ามาในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิแบบนี้ ก็เหมือนไม่เห็นหัวพวกเรา ไม่คํานึงถึงความรู้สึกของเหล่าบัณฑิต”
ฉินมู่และบัณฑิตเหล่านั้นเดินมายังสุดทางบัณฑิตนิเวศน์ พลางคุยสัพเพเหระมาตลอดทาง ที่สุดทางนั้นมีเรือนพักโดดเดี่ยว แยกต่างหาก ฉินมู่แย้มยิ้ม “ศิษย์พี่ทั้งหลาย ที่นี่คือที่พักของผู้คนที่ถูกละทิ้ง กรุณารอสักครู่”
เขาเดินไปเคาะประตู และรออยู่สักพัก ประตูเข้าลานหน้าเรือนก็เปิดออก และมีใบหน้ากลมๆ โผล่ออกมาจากหลังประตู เมื่อเห็นฉินมู่ เขาก็สะดุ้งเล็กน้อย จากนั้นเผยอยิ้ม
“พี่ฉิน…”
ฉินมู่ผลักประตูแล้วเดินเข้าไปพร้อมๆ กับทุกคนที่มาด้วย ทําให้บัณฑิตอ้วนท้วนคนนั้นถูกผลักไปยังกลางลานบ้าน
ฉินมู่ปิดประตูของลานบ้านแล้วลั่นดาล สีหน้าเขานิ่งประดุจผืนนํ้า “จริงสิ ศิษย์พี่ทั้งหลาย ไม่ทราบว่ามหาวิทยาลัยจักรวรรดิอนุญาตให้ฆ่าคนไหม”
บัณฑิตทั้งหมดสะดุ้งไปครู่ หนึ่งในนั้นโพล่งหัวเราะออกมา “พี่ฉิน พวกเราแค่จะสั่งสอนผู้คนที่ถูกละทิ้งเพื่อให้มันไสหัวออกไปจากมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเท่านั้น มีความจําเป็นอะไรต้องฆ่าฟันกัน หากว่าเราสังหารเขาจริงๆ พวกเราทั้งหมดก็จะถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัย แค่อัดมันให้น่วมก็พอแล้ว!”
ฉินมู่ฟังแล้วก็ไม่ค่อยสบอารมณ์ บ่นพึมพํา “มีกฎเกณฑ์มากมายในเมืองหลวงแห่งนี้ ข้าจะฆ่าคนตามใจก็ไม่ได้ หากว่าเป็นที่แดนโบราณวินาศล่ะก็นะ คงไม่มีใครต่อว่าอะไรถ้าข้าจะฆ่าคนสักสิบกว่าคน…”