Skip to content

Tales of Herding Gods 126

ตอนที่ 126 มารยาท

ตกเย็นยํ่า ฉินมู่ถึงตื่นขึ้นมา เด็กหนุ่มลุกขึ้นหมายจะไปตักนํ้ามาจากลานบ้านเพื่อล้างเนื้อล้างตัว เมื่อเขาเดินออกจากห้อง เขาก็เห็นกล่องกระบี่สิบกว่ากล่องวางอยู่ในลานหน้าเรือน นอกจากกล่องกระบี่แล้วก็ยังมีข้าวของอย่างพวกจี้หยก ปิ่นปักผม เครื่องประดับต่างๆ นานา วางกองสุมอยู่ด้วย

ฉินมู่งงงวยและได้ยินเสียงดังมาจากนอกรั้วประตู “นี่ใช่พี่สาวเซียนจิ้งจอกหรือไม่ ข้ามาเพื่อจ่ายค่าไถ่ทรัพย์สินของนายน้อยหญิงของข้า ท่านดูสิ…”

เสียงของฮู่หลิงเอ๋อดังออกมา “เงินที่เจ้านํามาไถ่มันน้อยไปนะ ทั้งกล่องกระบี่ ปิ่นปักผม และกําไลหยกของนายน้อยหญิงของเจ้าล้วนแต่เป็นวัตถุที่ไม่ธรรมดา เหรียญสมบูรณ์พูนสุขแค่นี้ไม่พอหรอก”

“หลิงเอ๋อทําอะไรอยู่”

ฉินมู่งงงัน เขายังคงมีดวงตาง่วงงุนและยังไม่ได้ล้างหน้า จึงไม่เหมาะที่จะออกไปในตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงตักนํ้าขึ้นมาล้างหน้าตา ในขณะนั้นเจ้าของเสียงอีกเสียงข้างนอกก็ยิ้มฝืดอย่างขอโทษขอโพย “นายน้อยหญิงของข้าให้ถุงเหรียญมาเท่านี้เอง และข้าก็ไม่มีเงินอื่นอีก พี่สาวเซียนจิ้งจอกกรุณาช่วยผ่อนปรนให้ข้าหน่อยได้ไหม กล่องกระบี่นี้มาจากมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ และปิ่นปักผมกับกําไลหยกก็เป็นของที่ผู้เฒ่าในครอบครัวของนายน้อยหญิงมอบให้นาง…”

“ก็ได้ๆ เช่นนั้นรอสักครู่”

ประตูเปิดออก ฉินมู่เห็นฮู่หลิงเอ๋อวิ่งเข้ามาราวหมอกควัน พร้อมกับถุงเหรียญในมือนาง จิ้งจอกขาวนี้ร่ายเวทมนตร์เพื่อสร้างลมหมุน กวาดยกเอากล่องกระบี่และเครื่องประดับสองสามชิ้นขึ้นมา แล้วจึงวกกลับออกไปด้วยความตื่นเต้น มอบของเหล่านั้นให้แก่คนที่รออยู่ข้างนอก

คนผู้นั้นรู้สึกซาบซึ้งและกล่าวขอบคุณก่อนที่จะจากไป ฉินมู่ล้างหน้าแล้วแปรงฟันด้วยแปรงสีฟันไม้ จิ้งจอกน้อยเพิ่งสังเกตเห็นเขาเมื่อนางกลับเข้ามาอีกรอบ “คุณชายตื่นแล้วหรือ คุณชาย พวกเรามีเงินแล้ว!”

ขณะที่กล่าวนางก็รี่ไปเปิดประตูห้องทางตะวันตก และฉินมู่มองเห็นถุงเหรียญมากกว่า 20 ถุงกองอยู่ใน ห้องนั้น

ฮู่หลิงเอ๋อเปิดถุงเหรียญ และเหรียญสมบูรณ์พูนสุขก็ร่วงกราวลงกับพื้น

ฉินมู่อ้าปากค้างและพูดอะไรไม่ออก ฮู่หลิงเอ๋อยืดอกด้วยความภูมิใจ “นายน้อยอัดบัณฑิตพวกนั้น

ซะน่วม พวกเขาเลยหน้าบางไม่กล้ามาไถ่ถอนทรัพย์สินด้วยตนเอง จึงได้แต่ส่งบ่าวทาสมาไถ่ของคืน ดังนั้นเราจึงทําเงินได้มากมาย!”

ฉินมู่บ้วนปากล้างยาสีฟัน จากนั้นระบายลมหายใจที่กลั้นไว้ พลางส่ายหน้าไปมา “หลิงเอ๋อ นี่จะใจร้ายไปไหม ข้าทุบตีพวกเขาไปตั้งสองรอบ และตอนนี้เจ้าก็รูดทรัพย์พวกเขา มันเหมือนจะเกินไปหน่อย บัดนี้พวกเขาก็มาจ่ายค่าไถ่ทรัพย์สินแก่ข้า แล้วอย่างนี้ข้าจะมีหน้าไปทุบตีพวกเขาอีกได้อย่างไร”

ฮู่หลิงเอ๋อแลบลิ้นของนางอย่างไม่ได้ดั่งใจ “ท่านทุบตีพวกเขารอบนึงก่อนหน้านี้แล้วหรือ ทําไมท่านไม่รูดทรัพย์พวกเขาล่ะตอนที่อัดพวกเขาจนน่วมแล้ว นี่มันไม่ขาดทุนขนาดหนักหรอกหรือ คุณชายก็รู้กฎกติกาของแดนโบราณวินาศดียิ่งกว่าใครๆ! ท่านเคยกล่าวว่าการแย่งชิงทรัพย์สินมาด้วยกําลังของตนเอง ไม่นับเป็นการขโมย”

ฉินมู่ส่ายหน้า “เจ้าแย่งชิงของพวกเขามาแล้วเรียกเก็บเงินค่าไถ่ ข้าเกรงว่าถ้าข้ารับเงินพวกเขา มือไม้ก็จะอ่อนไม่อยากทุบตี ก็ได้ ในเมื่อเงินที่พวกเรามีอยู่ร่อยหรอไปมากแล้ว เงินเหล่านี้ก็คงพอเลี้ยงชีพพวกเราไปได้อีกสักหน่อย คราวหน้าเจ้าอย่าไปรูดทรัพย์พวกเขา ไว้เงินพวกเราหมดเมื่อไหร่ค่อยปลดทรัพย์อีกที ด้วยวิธีนี้เราจะได้มั่งคั่งอย่างยั่งยืน”

ฮู่หลิงเอ๋อผงกหัวประหลกๆ แล้วกล่าว “ตอนนี้เมื่อคุณชายตื่นแล้ว ข้าจะไปจัดเตรียมอาหาร”

“ทําไมเจ้าต้องเตรียมอาหาร ตอนนี้เรามีเงินทอง เราสามารถไปหาของอร่อยกินกันในเมือง เจ้าอยากกินอะไรก็กินได้หมด”

พวกเขาออกจากเรือนไปด้วยความคึกคักกระฉับกระเฉง บัณฑิตทั้งหลายที่อยู่ในบัณฑิตนิเวศน์ปิดประตูหน้าต่างดังปังๆ เมื่อพวกเขาเห็นฉินมู่และจิ้งจอกเดินผ่าน เนื่องจากพวกเขาไม่กล้าสู้หน้า

ฉินมู่งงงัน บัณฑิตเหล่านี้บอกว่าทั้งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิรู้เรื่องที่เขาอัดพวกเขาจนน่วม แต่เขาไม่ได้ปริปากบอกใครสักคน เช่นนั้นใครเป็นคนปากโป้งล่ะ

ข้างๆ บัณฑิตนิเวศน์มีอุทยานราชวงศ์ ซึ่งผู้คนที่อาศัยในนั้นล้วนแต่เป็นองค์หญิง องค์ชายของจักรวรรดิ เช่นเดียวกับทายาทอ๋องต่างๆ ราชครูสันตินิรันดร์ตรากฎไว้ว่าผู้เยาว์จากราชวงศ์ไม่จําเป็นต้องผ่านการสอบเข้า และสามารถเข้ามหาวิทยาลัยจักรวรรดิได้เมื่ออายุครบ 15 ปี แต่ทว่าสมาชิกราชวงศ์เหล่านี้มี ศักดิ์ฐานะอันสูงส่ง ไม่อาจอยู่ร่วมกับบัณฑิตทั่วไปได้ ดังนั้นมหาวิทยาลัยจึงจัดสร้างย่านที่พักอีกแห่งให้

ในตอนนั้นเว่ยหยงกําลังหัวเราะร่วนอยู่ท่ามกลางสมาชิกราชวงศ์จํานวนหนึ่ง “พวกเจ้าไม่รู้หรอกว่าบัณฑิตนิเวศน์ของเราคึกคักไม่หยอก ฉินมู่ผู้นั้นอัดบัณฑิตเหล่านั้นจนน่วมอีกรอบ และตอนนี้พวกเขาก็น่าเวทนาสุดๆ อย่าไปบอกใครล่ะว่าข้าเป็นคนเล่า…”

องค์ชายคนหนึ่งถามด้วยความฉงน “ชาวแดนโบราณผู้นี้แข็งแกร่งขนาดนั้นเชียวหรือ”

“เขาก็ใช้ได้นะ”

เว่ยหยงโอ้อวด “กําลังฝีมือเขาก็พอๆ กับข้านี่แหละ เพียงแต่กระบวนท่าทักษะของเขาประหลาดลํ้าแสนพิสดาร ข้าว่าประเด็นอยู่ที่คนในบัณฑิตนิเวศน์นี่ไม่ได้เรื่องสักคน”

สมาชิกราชวงศ์อีกคนหัวเราะ “พวกที่อยู่ในบัณฑิตนิเวศน์ชอบวางท่าเขื่องโขโอหัง พวกเขาถือตัวว่าฟันฝ่าเข้ามหาวิทยาลัยมาได้ด้วยความสามารถของตนและดูแคลนสมาชิกราชวงศ์อย่างพวกเรา และตอนนี้พวกเขาก็โดนดีเข้าซะแล้ว”

ฉินมู่เดินออกไปจากบัณฑิตนิเวศน์และเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินสวนมาข้างหน้า เด็กหนุ่มผู้นั้นดูโทรมจากการเดินทางไกล ที่หลังของเขาแบกสัมภาระใหญ่โตขนาดเท่าตัวคน กระเป๋าสัมภาระของเขามอมฝุ่นและเต็มไปด้วยริ้วรอยอาวุธฟันแทงเข้าไป แม้ว่าเขาจะซูบโทรมจากากรเดินทาง แต่ก็ดูผึ่งผายแข็งแกร่ง มีรังสีฆ่าฟันอยู่ในร่าง สร้างความรู้สึกเสียดแทงรุกราน

ทั้งคู่พบกันซึ่งหน้า และฉินมู่ถูกความรู้สึกเสียดแทงนั้นรุกรานเข้ามา ดังนั้นร่างกายของเขาจึงตั้งท่าป้องกันโดยอัตโนมัติ และภายใต้การล็อกเป้าของปราณ เด็กหนุ่มผู้นั้นจึงต้องหยุดยั้งเท้าอย่างไม่มีทางเลือก

แม้ว่าหนุ่มผู้นี้จะมีรังสีฆ่าฟันติดตัว แต่อากัปกิริยาของเขานั้นไม่มีอะไรผิดปกติ เขาโค้งเล็กน้อยทักทาย “ศิษย์น้องที่มาใหม่อย่างนั้นหรือ”

ฉินมู่โค้งน้อยๆ ตอบแล้วทักทายเช่นกัน “ข้าเพิ่งเข้าใหม่ ศิษย์พี่ก็เพิ่งกลับมาจากข้างนอกใช่หรือไม่”

“ข้าใช้โอกาสที่ปิดภาคเรียนไปสนามรบแนวหน้ามาน่ะ”

เด็กหนุ่มผู้นั้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ามีนามว่าเฉินหว่านอวิ๋น ในเมื่อศิษย์น้องเพิ่งเข้ามาใหม่ๆ เจ้าสามารถมาหาข้าได้หากต้องการความช่วยเหลือใดๆ”

ฉินมู่ก็บอกชื่อของตนไปเช่นกัน จากนั้นทั้งคู่ถึงแยกจากกัน จนกระทั่งปราณที่ล็อกเป้าของทั้งคู่สงบลง ทั้งคู่ถึงรู้สึกโล่งใจแล้ว เดินห่างจากกันไปคนละทิศด้วยก้าวยาวๆ

“ศิษย์น้องคนใหม่ผู้นี้แข็งแกร่งจริงๆ…” เฉินหว่านอวิ๋นเหลียวหลังกลับไปมองฉินมู่อีกรอบ พลางรําพึงในใจ

“พี่ใหญ่กลับมาแล้ว”

ทั้งบัณฑิตวิทยาลัยตื่นเต้นเฉลิมฉลอง บัณฑิตมากมายเดินออกมาจากเรือนพักของตนเองเพื่อต้อนรับเฉินหว่านอวิ๋น

เฉินหว่านอวิ๋นแย้มยิ้ม “สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลาย พวกเราไม่ได้เจอกันแค่เดือนเดียวเอง ทําไมต้องทําท่าคิดถึงข้าขนาดนี้ เอ๊ะ ทําไมพวกเจ้าทุกคนใบหน้าบวมชํ้า ศิษย์พี่หญิงฉู ท่านก็บาดเจ็บ เหมือนกันหรือ เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

บัณฑิตทุกคนในบัณฑิตนิเวศน์มีสีหน้าอับอาย ศิษย์พี่หญิงฉูนั้นมีชื่อเต็มว่า ฉูถิง นางกล่าวตอบด้วยความอัดอั้นอับอาย “พี่ใหญ่ท่านไม่รู้หรอกเร็วๆ นี้มีผู้คนที่ถูกละทิ้งจากแดนโบราณวินาศมาที่มหาวิทยาลัยของพวกเรา และเขามีพละกําลังกล้าแข็ง ระหว่างการสอบคัดเลือก นักพรตหลิงอวิ๋นถูกเขาทําให้บาดเจ็บด้วยกระบี่ไม้เท่านั้น สร้างความอับอายต่อหน้าพระพักตร์องค์จักพรรดิ องค์จักรพรรดิจึงอนุญาตให้เขาเข้าร่วมมหาวิทยาลัยจักรวรรดิของพวกเราได้ พวกเราไม่พอใจกับการตัดสินใจนั้นจึงหมายจะบีบเขาให้ออกจากมหาวิทยาลัยจักรวรรดิไป ทาสอย่างนั้นจะมาเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับพวกเราได้อย่างไร…”

เฉินหว่านอวิ๋นกล่าว “กําลังฝีมือของนักพรตหลิงอวิ๋นนั้นเหนือธรรมดา หากว่าเขาสามารถทําร้ายนักพรตหลิงอวิ๋นได้ ก็แปลว่าความสามารถของเขานั้นน่าตระหนก! แน่นอนว่าเมื่อพวกเจ้าไปหาเรื่องเขาก็จะต้องถูกอัดยับกลับมา ที่วรยุทธ์ขั้นเดียวกัน พวกเจ้าคนไหนล่ะที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของนักพรตหลิงอวิ๋นได้”

ฉูถิงโต้แย้ง “แต่พวกเรามีสถานะอย่างไรกันล่ะ ในสันตินิรันดร์ของพวกเรา ผู้คนที่ถูกละทิ้งเป็นเพียงแค่ทาสรับใช้ และพวกทาสก็ไม่ต่างอะไรกับวัวควาย มีวัวควายเป็นเพื่อนร่วมชั้น มิใช่ว่าพวกเรา

ก็จะดูเหมือนวัวควายในสายตาผู้อื่นหรอกหรือ ถึงอย่างไรบัณฑิตจักรวรรดิก็เป็นตําแหน่งขุนนางชั้นแปด ผู้คนที่ถูกละทิ้งนั้นควรค่ากับตําแหน่งนี้หรือ ยิ่งไปกว่านั้นนะ ศิษย์น้อง พวกเรายังถูกผู้คนที่

ถูกละทิ้งทุบตีมา ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่โดนถึง 2 หน!”

เฉินหว่านอวิ๋นฟังแล้วก็อ้าปากค้าง จากนั้นเขาก็กล่าว “ก็พวกเจ้าทั้งหมดไปต่อยตีเขา เขาก็ย่อมต่อยตีกลับมาเป็นธรรมดา โทษเขาไม่ได้หรอก แต่ว่าเมื่อพวกเจ้าแพ้แล้ว เขายังตามมาอัดเจ้าเป็นรอบที่สอง อันนี้เขาเป็นฝ่ายผิด”

บัณฑิตทุกคนมีสีหน้าอับอายยิ่งกว่าเดิม และไม่มีใครปริปากเฉินหว่านอวิ๋นสังเกตเห็นสีหน้าของพวกเขา จึงเอ่ยถามอย่างสงสัย “หรือจริงๆ แล้วเขาไม่ได้ตามรังแกพวกเจ้า แต่พวกเจ้าไปหาเรื่องเขาอีกครั้งเพราะรับไม่ได้ที่พ่ายแพ้ครั้งก่อน เลยลงเอยด้วยการถูกเขาสั่งสอนอีกที ใช่หรือไม่”

ฉูถิงรีบกล่าว “ตอนนี้มันไม่ใช่ความแค้นส่วนตัวแล้ว แต่เป็นเรื่องของเกียรติศักดิ์ศรีของบัณฑิตนิเวศน์! บัณฑิตแห่งสันตินิรันดร์จะพ่ายแพ้แก่คนป่าเถื่อนจากนอกแดนอารยธรรมได้อย่างไร เรื่องนี้แพร่ออกไปทั่วภูเขาแล้ว ทําให้พวกเราไม่อาจถอยไปได้อีก! กล้าแม้กระทั่งปล้นชิงปลดทรัพย์สินมีค่าของพวกเรา ทําให้พวกเราต้องบากหน้าไปไถ่ข้าวของกลับคืนมา หยามนํ้าหน้าพวกเราไปอีกทอด!”

เฉินหว่านอวิ๋นสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันที “เมื่อสามารถปล่อยได้ ก็ควรละเว้นผู้คน ที่เขาทํานั้นไม่ใช่จะเกินไปหน่อยหรอกหรือ ไม่ต้องห่วง ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง แต่อีกอย่างนะ พวกเจ้าทุกคนนี่ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ ถึงกับถูกอัดจนน่วมโดยเด็กใหม่แรกเข้า ไม่ได้เรื่อง!”

บัณฑิตทุกคนก้มหน้าลง ฉูถิงพึมพํา “หากว่าเขาไม่เล่นตุกติก วางแผนร้าย พวกเราคงไม่…”

เฉินหว่านอวิ๋นแค่นเสียงหยันแล้วกล่าว “ข้าเพิ่งพบศิษย์น้องคนหนึ่งข้างนอกเมื่อครู่ เขาชื่อว่าฉินมู่ คนผู้นี้โดดเด่นอย่างยิ่ง เมื่อข้ากลับมาจากสนามรบเนื้อตัวข้ายังมีรังสีฆ่าฟันติดมา และเขาถึงกับสามารถสัมผัสมันได้ก่อนที่ข้าจะเข้ามาใกล้เขาเสียอีก ปราณของเขาล็อกข้าเอาไว้ ทําให้ข้าต้องตั้งท่าป้องกันและต้องหยุดเพื่อกล่าวทักทายและแลกเปลี่ยนนามสลายความบาดหมาง นี่คือสภาวะที่บัณฑิตจักรวรรดิควรจะเป็น!”

เขากล่าวต่อด้วยเสียงลึกตํ่า “ครั้งหนึ่งที่ข้าเดินทางไปกับอาจารย์ของข้า ป้าซานและพบกับเจ้าสํานักธงสวรรค์ ในตอนนั้นท่านอาจารย์และเจ้าสํานักธงสวรรค์เดินเข้าใกล้กันทุกที ทุกที และสุดท้ายพวกเขาก็ยั้งเท้าเพื่อกล่าวทักทาย จากนั้นจึงแยกทางกัน ข้าไม่เข้าใจว่าทําไมทั้งคู่ถึงต้องทําเช่นนั้นแต่ในจังหวะที่ข้าพบพานศิษย์น้องฉินมู่ ตอนนั้นเองที่ข้าเข้าใจประสบการณ์ของอาจารย์ป้าซานตอนที่พบกับเจ้าสํานักธงสวรรค์”

“ในยุทธภพ เมื่อเจ้าพบมารยาท มันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าเห็นเพียงฉากหน้าและมีการต่อสู้ชิงชัยซ่อนอยู่เบื้องหลัง หากว่าพวกเจ้าไม่ออกไปแสวงประสบการณ์เสียบ้างและเอาแต่ซ่อนตัวอยู่ที่นี่ พวกเจ้าก็จะไม่เข้าใจความรู้สึกนี้ และเมื่อพวกเจ้ามองไม่เห็นการต่อสู้รูปแบบนี้ ก็จะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน!”

บัณฑิตทั้งหลายรู้สึกละอายมากขึ้นอีก ฉูถิงพึมพํา “ศิษย์น้องเฉิน ผู้คนที่ถูกละทิ้งที่ทุบตีพวกเราชื่อว่าฉินมู่…”

“ที่แท้ก็เป็นเขา!”

เฉินหว่านอวิ๋นอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะมีสีหน้าขบคิด “มิน่าล่ะ… พวกเจ้าทุกคนไม่ได้พ่ายแพ้แก่แผนร้าย สําหรับเขาถ้าจะเอาชนะพวกเจ้า เหตุใดจะต้องวางแผนลับด้วยล่ะ”

ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องดังมา “ศิษย์พี่ชิงหงกลับมาแล้ว!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!