Skip to content

Tales of Herding Gods 141

ตอนที่ 141 สลบทั้งโถงบรมเยียวยา

“สตรอว์เบอร์รีป่า 2 เบี้ย ไผ่ศักดิ์สิทธิ์ 1 ตําลึง 6 เบี้ย ยี่โถ 6 เบี้ย…”

ฉินมู่พาฮู่หลิงเอ๋อไปที่คลังทรัพย์สินส่วนมหาวิทยาลัยเพื่อยื่นรายการตํารับยาซื้อสมุนไพรที่เขาต้องการ จากนั้นจึงบอกแก่ฮู่หลิงเอ๋อ “คราวนี้ข้าจะปรุงยาชื่อว่า ‘หอมสาบสูญ’ เป็นยาสลบชนิดหนึ่ง ครั้งหนึ่งท่านปู่นักปรุงยาเคยใช้วางยาสลบมังกรไร้เขา เจ้าวัวนั่นอาจจะแข็งแกร่ง แต่นี่ต้องทําให้มันสลบได้แน่นอน! แต่ว่าจะปรุงยาชนิดนี้ต้องใช้เตาหลอมยาพิเศษ และไม่อาจเผลอเรอได้เลยแม้แต่น้อย”

ฮู่หลิงเอ๋อถามด้วยความสงสัย “ทําไมอย่างนั้นล่ะ”

“กลิ่นหอมที่ยาชนิดนี้ปลดปล่อยออกมา แม้แต่มังกรไร้เขาดมเข้าไปยังสลบไสล อย่าว่าแต่นักปรุงยาที่ปรุงยานี้อยู่?”

ฉินมู่แย้มยิ้ม “หากว่าหม้อปรุงยามิได้ผนึกเอาไว้ให้สนิท กลิ่นหอมของมันจะระเหยออกมาหลังจากที่ปรุงยาเสร็จ ข้าเกรงว่าแม้แต่ยอดยุทธ์วิชาเทวะขั้นชาวสวรรค์ก็คงสลบหัวทิ่มหัวตําหากว่าไปยืนอยู่ในทางที่กลิ่นนั้นโชยผ่าน ข้าไม่มีหม้อหลอมยาที่ผนึกได้เสียด้วย สงสัยจะต้องยืมสักใบจากโถงบรมเยียวยา”

ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย “หมอเทวดาน้อย ท่านกําลังจะไปไหนรึ”

ฉินมู่หันไปทางที่มาของเสียง และยิ้มให้ “ที่แท้ก็เป็นหมอหลวงฉู จริงสิ ท่านเป็นครูผู้สอนนี่นา ข้าต้องเรียกว่าอาจารย์ฉู”

หมอหลวงฉูรีบกล่าว “อย่าเรียกข้าอย่างนั้น ข้าละอายเกินกว่าจะรับไหว! หมอเทวดาน้อย บ่ายนี้ข้ามีสอนบรรยายและจะพูดถึงความรู้ทางวิชาแพทย์กับเหล่าบัณฑิต ในเมื่อท่านเป็นหมอเทวดา ทําไมไม่มาสอนแทนข้าสักรอบนึงล่ะ”

ฉินมู่ระเบิดหัวเราะแล้วกล่าว “ข้าเป็นแค่นักเรียน จะออกไปสอนบรรยายได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นบ่ายนี้ข้ามีธุระต้องทํา และคงไม่อาจเข้าฟังการบรรยายช่วงบ่ายได้ ข้ากะว่าจะหลอมปรุงยาหนึ่งหม้อซึ่งจะเร่งใช้ในบ่ายนี้”

หมอหลวงรู้สึกผิดหวังนิดๆ แต่ทันใดนั้นตาเขาก็เป็นประกาย “ท่านกําลังจะหลอมปรุงยาเซียนหรือ”

ฉินมู่ยิ้มกล่าว “มันไม่ถึงกับเป็นยาเซียนแค่ยาทั่วไปน่ะ”

ประกายตาของหมอหลวงฉูวับวามยิ่งขึ้น “หมอเทวดาน้อย ข้าดูตอนท่านหลอมปรุงได้ไหม”

ฉินมู่ลังเลครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า “ข้ากะว่าจะไปขอยืมหม้อหลอมยาจากโถงบรมเยียวยาพอดี และหากว่าท่านอยากดูด้วย ก็มาด้วยกันเลยสิ”

หมอหลวงฉูดีใจสุดๆ และแย้มยิ้ม “หมอเทวดาน้อย ท่านไปโถงบรมเยียวยาล่วงหน้าก่อนเลย ส่วนข้าจะรีบตามไป!”

หลังจากที่เขากล่าวจบ เขาก็วิ่งปร๋อไปดุจสายลม

ฉินมู่เดินไปยังโถงบรมเยียวยา และไม่ทันที่เขาจะไปถึงหน้าโถง หมอหลวงฉูก็มารอเขาอยู่หน้าโถงแล้ว นอกจากเขาก็ยังมีหมอหลวงหยู หมอหลวงอวี้ และสมาชิกกระทรวงหมอหลวงคนอื่นๆ พวกเขาล้วนแต่มีสีหน้าตื่นเต้น

ฉินมู่งงงวย เขาแค่จะหลอมปรุงยาสลบธรรมดาๆ ทําไมหมอหลวงถึงโผล่กันมาสลอนเต็มไปหมดแบบนี้

“หมอเทวดาน้อย เร็วเข้า!”

หมอหลวงเหล่านั้นเร่งเร้าเขา ขณะที่ก็พูดไปต่างๆ นานา “ท่านจะให้จุดไฟเตาใหญ่เพลิงใต้พิภพไหม” “พวกเราเป็นผู้ช่วยได้นะ!”

“ท่านใช้สมุนไพรอะไรบ้าง ลําดับการเรียงเป็นอย่างไร”

“ตอนไหนที่จะค่อยๆ ปรุง ตอนไหนที่ต้องดุเดือด เมื่อท่านใช้ทักษะมือ จะต้องโคจรปราณชีวิตอย่างไร”

ฉินมู่เดินเข้าไปในโถงบรมเยียวยาพร้อมกับพวกเขาและเห็นหม้อหลอมยาใหญ่ยักษ์ที่สามารถหลอมยาชนิดที่ว่าหม้อเดียวกินไปได้สองสามปี นี่น่าจะเป็นหม้อหลอมยาที่ใช้เพื่อการทหาร อันสําหรับหลอมยาวิญญาณชนิดวิเศษอัศจรรย์

นอกจากนั้น ยังมีหม้อหลอมยาอื่นๆ ทุกรูปแบบทุกขนาด ข้างใต้หม้อเหล่านี้มีอักขระจัดเรียงเป็นพยุหะอันเชื่อมต่อกับเพลิงใต้พิภพซึ่งอยู่ใต้ดินไปกว่าสองหมื่นวา เมื่อเพลิงใต้พิภพถูกเรียกขึ้นมา มันก็จะสามารถใช้ในการหลอมปรุงยาเซียนได้

“ที่นี่มีหม้อผนึกกลิ่นหรือไม่” ฉินมู่สอบถาม

“หมอเทวดาน้อย เชิญทางนี้”

หมอหลวงหยูรีบพาเขาไปยังหม้อหลอมหินหนึ่งในโถงบรมเยียวยา และเผยยิ้ม “หม้อหลอมยานี้เป็นหม้อผนึกกลิ่น เชิญหมอเทวดาน้อยตรวจดูว่าพอใช้ได้หรือไม่”

ฉินมู่ตาลุกวาวเมื่อเห็นหม้อหินอันถูกสลักออกมาจากหินและหยกทั้งก้อน ข้างบนและล่างนั้นโล่งว่าง ภายในมีผังยันต์แปดทิศ และห้าธาตุ หม้อนี้ไม่มีรูระบายอากาศ และสามารถปิดผนึกไม่ให้อากาศเข้าออกได้ด้วยการปิดฝาบนและล่างเข้าด้วยกันแล้วหมุนให้แน่นแม้ว่ายาเซียนที่หลอมจะระเบิดข้างใน ก็มิอาจระเบิดทําลายหม้อนี้ได้

“ใช้ได้!”

ฉินมู่เปิดหม้อดังกล่าวแล้วตรวจตราดูอย่างถี่ถ้วน ก่อนที่จะใส่สมุนไพรลงไปตามลําดับในกล่องสี่เหลี่ยมของผังยันต์แปดทิศและห้าธาตุ กล่องสี่เหลี่ยมที่วางอยู่บนผังยันต์แปดทิศและห้าธาตุเหล่านี้ล้วนแต่มีเลขลําดับของมันกํากับอยู่และมันจะเปิดออกเองในหม้อเมื่อถึงเวลาที่กําหนดไว้ ด้วยวิธีนี้สมุนไพรที่อยู่ในกล่องก็จะร่วงลงไปในหม้อ โดยที่ไม่จําเป็นต้องเปิดฝาหม้อเพื่อโยนสมุนไพรลงไปเอง

เขาวางสมุนไพรเหล่านั้นลงไป จากนั้นปรบมือหนึ่งครา เรียกเอาเพลิงใต้พิภพจากอักขระพยุหะบนพื้น ให้ความร้อนแก่หม้อหิน

ฮู่หลิงเอ๋อนั้นไม่สนใจการหลอมปรุงยา นางจึงเหลียวมองโน่นมองนี่ไปรอบๆ แต่ในขณะเดียวกัน เหล่าหมอหลวงเฒ่าผมขาวทั้งหลายต่างก็มารุมล้อมยืนดูเพื่อสังเกตสังกาด้วยความสนใจเป็นอย่างยิ่ง จนแทบจะละสายตาไปไม่ได้ หมอหลวงอวี้เห็นทักษะมือของฉินมู่ก็ตาเป็นประกาย พลางเอ่ยปากชื่นชมไม่หยุดหย่อน “ทักษะมือนี้สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ทั้งมหัศจรรย์เหนือจินตนาการ! หมอเทวดาน้อย ทําไมทักษะมือของเจ้าถึงต้องแตะ 13 ตําแหน่งอย่างต่อเนื่องด้วยล่ะ”

ฉินมู่ตอบ “หินไจม่วงเป็นหินแร่ลํ้าค่าและมีคุณสมบัติยาแฝงอยู่ในหินแร่ชนิดนี้ แต่ยากนักที่จะรีดเร้นฤทธิ์ยาของมันออกมาได้ ดังนั้นข้าจึงต้องแตะแต้ม 13 จุดดังกล่าวเพื่อให้สามารถรีดเร้นฤทธิ์ยาของมันออกมา วรยุทธ์ของข้านั้นค่อนข้างตํ่า แต่วรยุทธ์ของอาจารย์ทั้งหลายสูงยิ่ง อาจารย์ทั้งหลายจึงไม่จําเป็นต้องจิ้ม 13 จุดอย่างข้า ตราบเท่าที่สามารถรีดเร้นฤทธิ์ยาออกมาได้ก็เพียงพอแล้ว”

หมอหลวงเหล่านั้นผงกหัวหงึกๆ และรีบจดบันทึกทันที ขณะที่ฉินมู่ปรุงยาเขาก็สนทนากับพวกเขาไปด้วย เพียงแต่ว่าหมอหลวงเหล่านี้มีคําถามมากมายไปหมด เขาจึงไม่ได้ถามอะไรมาก และใช้เวลาส่วนใหญ่ในการอธิบายคุณสมบัติตัวยาและเทคนิควิธีหลอมปรุงยาแก่หมอหลวงเฒ่าเหล่านั้น

“นี่คือวิชามือมังกรเสริมพยัคฆ์ส่งใช่หรือไม่” สีหน้าของหมอหลวงฉูพลันแปรเปลี่ยนและร้องออกมาทันที

“วิชามือที่หายสาบสูญไปนาน!”

หมอหลวงที่เหลือก็เผยสีหน้าตระหนกตกใจ เมื่อพวกเขาจ้องจนตาแทบลุกเป็นไฟกับท่วงท่าการเคลื่อนไหวฝ่ามือของฉินมู่ พยายามจดจําวิธีการใช้วิชามือของเขา

หมอหลวงอวี้เจ้าของผมขาวโพลนพึมพํา “วิชามือมังกรเสริมพยัคฆ์ส่งได้หายสาบสูญไปกว่า 200 ปีแล้ว ไม่คิดเลยว่าข้าจะมีโอกาสได้เห็นวิชามือปรุงยาในตํานานจากหมอเทวดาน้อย นี่ข้าฝันไปหรือเปล่า”

“หากว่าพวกท่านทุกคนอยากเรียนรู้มัน ข้าสามารถสอนให้ได้ตอนที่ว่าง แต่ช่วงนี้ข้าไม่ค่อยมีเวลาเท่าไร”

บัดนี้ฉินมู่มาถึงหัวเลี้ยวหัวต่อสําคัญในการหลอมปรุงยา และมิอาจเสียสมาธิ วิชามือมังกรเสริมพยัคฆ์ส่งเป็นเพียงหนึ่งในหลายร้อยวิชามือที่นักปรุงยาสอนเขา และก็ไม่ได้วิเศษวิโสอะไร เขาจึงรู้สึกว่าถ่ายทอดออกไปก็ไม่มีปัญหา

ปัจจัยที่สําคัญที่สุดในการหลอมปรุงยาคือความรู้ทางแพทย์ และสมุนไพร วิชามือและอื่นๆ เป็นเพียงแค่ส่วนเสริม

ถึงแม้กระนั้น สําหรับหมอหลวงเหล่านี้แล้ว วิชามือเป็นปัจจัยที่สําคัญเอามากๆ นอกจากวิชามือแล้วพวกเขายังต้องการตํารับยาอันหายสาบสูญไปจากวงการซึ่งเป็นประดุจสมบัติลํ้าค่าของทุกผู้คนที่ศึกษาวิชาแพทย์ หากพวกเขาได้ครอบครองตํารับยาแบบนั้น ก็จะนอนกอดมันไว้อย่างทะนุถนอมและไม่มีทางเผยแพร่แก่ผู้อื่นโดยง่าย

นี่ต่างจากที่นักปรุงยาสอนฉินมู่ นักปรุงยาไม่เชื่อในตํารับยาอันตายตัวและวิชามือไหนๆ สิ่งที่เขาสอนฉินมู่มากที่สุดคือความรู้ ความเข้าใจต่อวิชาแพทย์และสมุนไพร

ฉินมู่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าสิ่งที่นักปรุงยาสอนเขานั้นวิเศษและทรงพลังสักเพียงไหนและคิดว่ามันเป็นสิ่งธรรมดาสามัญมาตลอด ดังนั้นความแตกตื่นตกใจของเหล่าหมอหลวงจึงเป็นสิ่งที่เขาเข้าใจได้ยาก

ในจังหวะนี้เอง ฉินมู่ก็ได้ตระเตรียมที่จะเก็บเกี่ยวยาที่ปรุงแล้ว วิชามือของเขาเร่งเร้าเร็วขึ้นทุกที ละลานตาทุกๆ คนไปหมด ในชั่วระยะเวลาอันแสนสั้น หมอหลวงสามสี่คนนั้นเห็นวิชามือไม่ตํ่ากว่า 10 วิชาอันล้วนแต่หายากและหายสาบสูญจากวงการไปนานนม ทั้งยังซับซ้อนยิ่งกว่าวิชามือมังกรเสริมพยัคฆ์ส่งเสียอีก

เมื่อวิชามือต่างๆ วูบวาบสลับไปมา แต่ละวิชามือนํามาซึ่งการเปลี่ยนแปลงต่างๆ กันของเพลิงใต้พิภพที่รุมเร้าอยู่ใต้หม้อหลอม และไม่ทันที่หมอหลวงเหล่านั้นจะจดบันทึกการเปลี่ยนแปลงพวกนี้ทัน ฉินมู่ก็ชักมือกลับแล้วและรออย่างนิ่งสงบข้างๆ หม้อหิน

เมื่อหม้อหินเย็นตัวลง ปราณชีวิตของฉินมู่ก็พลันแปรเปลี่ยน เป็นปราณชีวิตเต่าดําและฝ่ามือเขาก็มีอุณหภูมิตํ่าลงทุกขณะจิต ทาบมือลงไปกับหม้อหินก็ปรากฏรอยชั้นนํ้าแข็งควบแน่นเกาะตัวที่ข้างผนังหม้อ

รอครู่หนึ่ง จากนั้นฉินมู่ก็ให้ฮู่หลิงเอ๋อและหมอหลวงที่ชมดูอยู่ถอยออกไป จากนั้นเขาก็กลั้นหายใจแล้วเปิดฝาหม้ออย่างระมัดระวัง ที่ก้นหม้อนั้นมีไอหมอกสีชมพูบางๆ ม้วนตัวอยู่

ฉินมู่ใช้มือข้างหนึ่งแผ่ปราณชีวิตเต่าดําเพื่อให้ความเย็นแก่มวลหมอกนี้ ขณะที่อีกมือหนึ่งก็หยิบขวดหยกขึ้นมา ปราณชีวิตของเขาแปรเปลี่ยนเป็นวิชาเคลื่อนนําในขวดหยก และดึงดูดเอาหมอกชมพูก้นหม้อเข้าไปในขวดนั้น

เขารีบปิดผาขวดอย่างแน่นสนิททันที และยังคงไม่คลายใจ เขาจึงใช้ปราณชีวิตเต่าดําแปรเปลี่ยนเป็นก้อนนํ้าแข็งดําปิดผนึกที่จุกขวด จากนั้นจึงระบายลมหายใจโล่งอก

“ข้าปรุงยาที่ต้องการสําเร็จล่ะ”

ฉินมู่กล่าวขอบคุณหมอหลวงสามสี่คนนั้นแล้วกล่าวด้วย รอยยิ้ม “อาจารย์ทั้งหลาย ข้ายังมีเรื่องที่ต้องทํา ดังนั้นข้าคงไม่รบกวนท่านอีกต่อไป ส่วนสําหรับการบรรยายในตอนบ่ายนั้น…”

หมอหลวงหยูแย้มยิ้ม “ตามสบายเลย จากนี้เป็นต้นไป ท่านไม่จําเป็นต้องมาเข้าชั้นเรียนหากว่ามีธุระไม่สะดวก และหากว่าท่านมีเวลาบ้างตอนไหน ช่วยแวะมาให้คําชี้แนะปรุงยาแสดงแก่พวกตาแก่อย่างเราทีนะ”

ฉินมู่กล่าวลาแล้วจึงจากไป

ทันทีที่เขาเดินลับตา หมอหลวงสามสี่คนนี้ก็รีบสุมหัวรวมตัวกันทันที หมอหลวงหยูแย้มยิ้มอย่างเปรมปรีดิ์แล้วเอ่ยถาม “ทุกๆ คนพวกเจ้าจดบันทึกสมุนไพรทั้งหมดที่เขาใช้ไว้ครบถ้วนไหม”

หมอหลวงอวี้กล่าวพลางตัวสั่นยักแย่ยักยัน “เขาปิดบังพวกเราไม่ได้หรอก แค่ข้าสูดจมูกฟุดฟิดสองสามทีก็รู้หมดแล้วว่ามีสมุนไพรตัวไหนบ้าง ทั้งว่ามันหนักกี่ตําลึงกี่เบี้ยก็หนีไม่พ้นจมูกมดของข้า!”

“แล้วรูปแบบการจัดเรียงยากับลําดับของผังแปดทิศและห้าธาตุล่ะ?”

หมอหลวงฉูยิ้ม “ไม่ต้องห่วง ข้าจดมันไว้แล้ว!”

“แล้ววิชามือ?”

ผู้เฒ่าสามสี่คนยิ้มหัวพร้อมๆ กัน “พวกเราแต่คนก็จํากันได้ บางส่วนแต่ถ้าเอาที่พวกเราจําได้มารวมกันก็สามารถย้อนวิธีการใช้วิชามือของเขาได้ทั้งหมด!”

หมอหลวงฉูลังเลนิดหนึ่งแล้วกล่าว “ทว่าตอนที่เขาเก็บยาขึ้นจากหม้อ เขาให้พวกเราถอยออกไปห่างๆ ทําให้ข้าไม่ทันสังเกตว่าเขาใช้วิธีอะไรเก็บยาขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นพวกเรายังไม่รู้ด้วยว่าเขากําลังปรุงยาประเภทไหน หากว่าเราหลอมปรุงมันขึ้นมาโดยไม่ระวัง…”

“เก็บยาขึ้นมาน่ะเรื่องกล้วยๆ มันจะยากตรงไหน ส่วนยาที่เขาปรุงเป็นยาอะไรนั้น เดี๋ยวพวกเราก็รู้เพียงแค่ดมกลิ่นนิดหน่อย หลังจากที่ปรุงเสร็จ! ยาที่หมอเทวดาน้อยปรุงขึ้นมาต้องวิเศษเหนือธรรมดาเป็นแน่!”

หมอหลวงสามสี่คนนั้นฟังแล้วก็คึกคักขึ้นมาทันที หมอหลวงอวี้รีบไปที่คลังทรัพย์สินเพื่อตระเตรียมสมุนไพรที่ต้องใช้มา ขณะที่ตาเฒ่าที่เหลือล้างหม้อหินรอหมอหลวงอวี้กลับ เมื่อเขากลับมา พวกเขาก็รีบวางสมุนไพรเหล่านั้นลงในกล่องสี่เหลี่ยมบนผังยันต์แปดทิศและห้าธาตุตามลําดับที่จดไว้

หมอหลวงสามสี่คนช่วยกับเรียกเพลิงใต้พิภพขึ้นมา แต่ละคนใช้วิชามือหนึ่งวิชา ขณะที่พวกเขายืนล้อมรอบหม้อหินเพื่อหลอมปรุงยา

ไม่นานนัก บัณฑิตจํานวนมากก็มาถึงโถงบรมเยียวยาเพื่อฟังการบรรยายชั้นเรียนแต่ว่าการปรุงยาของหมอหลวงเหล่านั้นอยู่ในขั้นหัวเลี้ยวหัวต่อ พวกเขาจึงไม่มีเวลาใส่ใจเหล่าบัณฑิตในช่วงสามสี่วันมานี้ มหาวิทยาลัยจักรวรรดิถูกเต๋าจื่อแห่งสํานักเต๋าขวางประตู แล้วตามด้วยโฝจื่อจากวัดใหญ่ฟ้าคําราม ทําให้หลายต่อหลายคนได้รับบาดเจ็บ นี่จึงทําให้พวกเขาตระหนักถึงความสําคัญของโถงบรมเยียวยา และในเมื่อบ่ายนี้โถงบรมเยียวยาจะเปิดการบรรยาย พวกเขาย่อมต้องมาเข้าร่วมด้วยใจสมัคร

บัณฑิตทั้งหมดที่มาอุทานด้วยความทึ่งไม่หยุดปากเมื่อพวกเขาเห็นวิชามืออันเลอเลิศของเหล่าหมอหลวง ซึ่งเข้าขั้นสมบูรณ์แบบหมอหลวงอวี้และคนอื่นๆ ยืนล้อมรอบหม้อหินก้าวไปไม่หยุดยั้งเดินสับไปมาระหว่างเพื่อนร่วมปรุงยา พวกเขาเหมือนกับผีเสื้อเฒ่าสามสี่ตัวที่เริงระบําไปรอบๆ ไฟสุมหม้อหลอมยา มีท่วงท่าคล้ายเทพยดา และงามสง่าประดุจปราชญ์

ทันใดนั้นผู้เฒ่าเหล่านั้นก็ยั้งมือยั้งเท้า พวกเขาชักมือกลับ ปรับการหายใจให้เป็นปกติ ระหว่างที่รอให้หม้อหลอมยาเย็นตัวลง

เมื่อมาถึงขั้นนี้หมอหลวงเหล่านั้นก็ลังเลเล็กน้อย หมอหลวงฉูวางมือของเขาลงบนหม้อหินแล้วกล่าว “ดูเหมือนว่านี่จะเป็นวิชามือแบบหนึ่ง มือของเขาวางลงไปแบบนี้…”

หมอหลวงคนอื่นๆ แย้มยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอกถ้าครั้งนี้เรายังปรุงไม่สําเร็จ เราก็แค่หลอมปรุงมันใหม่อีกรอบ เปิดฝาหม้อเลยเถอะ!”

หมอหลวงหยูก้าวไปข้างหน้าและแง้มฝาหม้อขึ้น กลิ่นหอมข้างในระเหยมาถึงจมูกของเขา จนเขาเผยยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “หอม..อะ..อะ..ไ”

ตึง

หมอหลวงหยูล้มตึงลงกับพื้นด้วยใบหน้าค้างยิ้มอันแปลกประหลาด รอยยิ้มนั้นประดุจดังดอกไม้ที่บานได้ครึ่งหนึ่ง ในเมื่อเขามีเวลายิ้มได้เพียงครึ่งทาง

ตึง ตึง ตึง

หมอหลวงอวี้ และหมอหลวงคนอื่นๆ ก็ล้มตึงหงายหลังโดยยังคารอยยิ้มบนใบหน้าเช่นกัน ไม่ไกลกันนัก บัณฑิตที่ยืนล้อมดูต่างก็ร้องออกมาด้วยความแตกตื่น บางคนพุ่งเข้าไปหมายจะช่วยชีวิตหมอหลวงเหล่านั้นและบางคนก็หมายจะพุ่งตัวหนี แต่ทันใดนั้นบัณฑิตทั้งหมดก็พลันรู้สึกเหมือนกับว่าแขนขาของพวกเขาหายไป และพวกเขาก็ร่วงตึงลงกับพื้นกันเป็นแถวจนหมดเกลี้ยงโถง

ไม่เพียงแต่พวกเขารู้สึกเหมือนไร้แขนขา แม้แต่ดวงตา จมูก และใบหูก็ล้วนแต่ ‘หายวับไปโดยไร้ร่องรอย’!

ทารกวิญญาณของพวกเขาก็กลายเป็นอัมพาตไม่อยากขยับเขยื้อน ปราณชีวิตก็แข็งทื่อ!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!