Skip to content

Tales of Herding Gods 15

15. ข้ามแม่น้ำเหยียบคลื่น

ฉินมู่วิ่งเหมือนลม ปราณชีวิตของเขาเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ว่าเขาจะวิ่งแล่นไปไกลกี่ลี้ สมาชิกหมู่บ้านพิการชราก็ยังเพิ่มความเร็วทัดเทียมฉินมู่ได้สบาย แม้แต่เฒ่าบอดก็ตามมาติดๆ ยังกับว่าเขาเดินเล่นอยู่บนพื้นราบอย่างไรอย่างนั้น

และในตอนที่ฉินมู่วิ่งผ่านป่าคุ้นหน้าคุ้นตาแห่งหนึ่ง ร่างดำทมิฬก็โผล่ขึ้นมาแล้วร้องคำราม “ตาย…เจ้าเด็กกระจ้อยร่อย..!”

ลิงยักษ์อสูรนั่นเอง! มันโก่งคอร้องด้วยความโกรธเกรี้ยวเมื่อเห็นว่า ‘เจ้าเด็กกระจ้อยร่อย’ ตัวเมื่อกี้ บุกรุกดินแดนของมันอีกแล้ว

เฒ่าหม่าแขนเดียวปรายตามองลิงยักษ์อสูร

สายตานั้นเฉยชาไร้อารมณ์ ทว่าทำเอาลิงยักษ์อสูรผวาจนขนหัวลุก คล้ายกับว่าชีวิตมันอาจจะปลิดปลิวได้เลยทันที ดังนั้นแล้วมันจึงเลิกผยองพองขนขู่ฉินมู่ แล้วมุดหนีในดงไม้ จรลีจากเขตแดนของมันเองไปอย่างเร็วที่สุด

ฉินมู่วิ่งอย่างต่อเนื่องไม่หยุดพักตลอดทางกลับหมู่บ้าน ปราณชีวิตของเขาสูบฉีดไหลเวียนคึกคักกระฉับกระเฉงเมื่อขากลับนั้นเป็นไปโดยไร้เรื่องราว ตอนใกล้จะถึงหมู่บ้านพิการชราเท่านั้นแหละที่เขาเพิ่งจะตื่นจากภวังค์ และพบว่าเนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยสิ่งปฏิกูล พวกมันเป็นคราบชั้นหนาเกิดจากเลือดเสียสีดำและไขมันสกปรกที่มาพอกทั้งร่างเขาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

“มู่เอ๋อ ไปล้างตัวที่แม่น้ำสิลูก” ท่านยายซีกล่าว “เฒ่าบอด เจ้าก็ไปกะเขาด้วยสิ เดี๋ยวพวกสัตว์ร้ายในน้ำก็มาคว้ามู่เอ๋อไปหรอก”

เฒ่าบอดยันร่างกับไม้เท้าไผ่ของเขา และติดตามฉินมู่ไปที่แม่น้ำ ฉินมู่ไม่รอช้าถอดเสื้อผ้าออกจนเป็นชีเปลือย แล้วกระโจนลงน้ำ ชำระล้างคราบปฏิกูล

เฒ่าบอดใช้ไม้เท้าของตนเคาะผิวน้ำเบาๆ ทำเอาปลายักษ์สีเขียวที่กำลังว่ายเร่เข้ามาหาฉินมู่ตกใจจนกระโดดตัวลอยจากผิวน้ำ แล้วกระโจนหนีไกลกว่าสิบห้าวา ปลานั้นตัวยาวหกเมตร หนวดแปดเส้นเหมือนปลาหมึกของมันก็ยาวกว่าสามเมตร

หลังจากอาบน้ำสะอาดสะอ้าน ฉินมู่ก็แลดูริ้วคลื่นในแม่น้ำ ความฮึกเหิมพลันพลุ่งพล่านขึ้นมาในอก ราวกับสันดาปเป็นเพลิงไฟโหมไหม้

ปราณชีวิตของเขาเดือดปุดๆ ขึ้นมาทันที กระแสปราณพุ่งเร็วจี๋รวมเป็นก้อนที่คอ แล้วผลักให้ฉินมู่กู่ร้องสุดเสียงหงส์ ราวกับว่าเขาปลุกเปิดคลังสมบัติเทวะดนตรีสวรรค์!

เสียงกู่ร้องนั้นก้องสะท้อนไกลไปในเทือกเขาและทิวป่า สั่นสะเทือนผิวน้ำให้ระริกระลอกเป็นคลื่นๆ

ระหว่างที่เขาปลดปล่อยเสียงกู่ร้องสะเทือนแดนดินนั่นเอง ร่างของเขาก็ทะยานขึ้นมาจากผิวน้ำ แล้วพลันสะกิดเท้าพุ่งตัววิ่งเหยียบคลื่นด้วยความเร็วสูง!

ในแต่ละย่างก้าว ปราณชีวิตของเขาแฝงไปกับพลังเท้าสร้างแรงผลักทะยาน ฝ่าเท้าสัมผัสผิวน้ำเมื่อใด พลังนั้นก็ระเบิดน้ำกระเซ็นสายไปทุกทิศทาง!

น้ำที่ระเบิดกระเซ็นเหล่านั้นไม่ทันจะตกลงคืนแม่น้ำ ฉินมู่ก็พุ่งปราดไปไกลกว่าสิบวา เหินวารีวิ่งท้าคลื่น

ต๊ะ ต๊ะ ต๊ะ ต๊ะ!

เสียงฉาดฉานของฝีเท้าฉินมู่บนผิวน้ำ ดังก้องไปในอากาศ ไม่นานนัก เขาก็วิ่งบนผิวน้ำเตลิดไปไกลหลายลี้

ฉินมู่รู้สึกตัวเบาเหมือนนก เสียงกู่ร้องของเขายิ่งมายิ่งเริงใจ เขาได้วิ่งตามใจรัก ก้าวยาวและท่วงเท้าอันเสรีพาเขาแล่นไปตามแม่น้ำ เสียงฝีเท้าผสานกันราวกับเหล่าเซียนบรรเลงดนตรีสวรรค์ แถมมังกรกับนกฟีนิกส์เป็นคอรัส

ความเร็วของฉินมู่นั้นน่าแตกตื่น ในระยะเวลาอันสั้นเขาวิ่งจากฝั่งแม่น้ำหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่ง ลมอ่อนพัดวูบไล้ผิวน้ำ ขณะที่เขาเปลี่ยนทิศทางวิ่งกลับไปยังฝั่งเดิม

เฒ่าบอดยันตัวยืนด้วยไม้เท้ารับรู้กระแสลมที่พัดจากแม่น้ำ ให้เส้นผมขาวโพลนของเขาสะบัดไหวไปกับลม เงี่ยหูฟังเสียงกู่ร้องแสดงความตื่นเต้นของฉินมู่ ก็พยักหน้านิดนึงแล้วยิ้ม

“ลูกลิงร้องโหวกเหวกข้ามแม่น้ำไปมา ลมหนาวเป่าไข่มันจนแข็งโป๊ก!” เฒ่าบอดร่ายบทกวีที่ไม่คล้ายบทกวีด้วยเสียงอันดัง “มู่เอ๋อ เจ้าไม่รู้สึกหนาวมั่งหรือไร ที่วิ่งตูดเปลือยไปทั่วแม่น้ำเนี่ย”

ได้ยินเฒ่าบอดพูด ฉินมู่สะดุดคะมำตกแม่น้ำดังฉ่า เสียงอุทานของเขาดังก้องไปทั้งคุ้งน้ำ

ไม่นานนัก เด็กชายก็ว่ายเข้าหาฝั่ง ปีนขึ้นมาจากน้ำและความอาย รีบสะบัดตัวผึ่งไข่ให้แห้ง เพื่อจะได้ใส่เสื้อผ้าได้

ชั่ววินาทีแห่งการบรรลุของฉินมู่ทำให้เขาเผลอไผล จนลืมไปว่าทั้งเนื้อทั้้งตัวไม่มีเสื้อผ้าสักชิ้น ก็ยังวิ่งเร่ไปทั่วแม่น้ำ แต่กระนั้นถึงแม้ว่าจะน่าอายขนาดไหน แต่ประสบการณ์นี้ก็โคตรคูลและแปลกใหม่สำหรับเขา

“ดีจริงๆ ที่ท่านปู่ตาบอดเลยมองไม่เห็นความน่าอายของข้าเนี่ย…”

ฉินมู่แต่งเนื้อแต่งตัวและกำลังตบเสื้อผ้าให้เข้าที่ ก็เงยหน้าไปเห็นเฒ่าหม่า เฒ่าใบ้ และผู้เฒ่าร่วมหมู่บ้านคนอื่นๆ ยืนอยู่ในป่าริมฝั่งน้ำแลดูเขาอยู่ แม้กระทั่งท่านยายซี และผู้ใหญ่บ้านก็ถูกหามมาในแคร่เป็นประจักษ์พยานด้วย

ฉินมู่หน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก

“ทะ…ท่านยาย! พะ…พวกท่านปู่มาตั้งแต่เมื่อไหร่” เขาถามตะกุกตะกัก

ท่านยายซีระเบิดหัวเราะ “เฮ่อๆ มู่เอ๋อ พวกเราทุกคนเห็นตูดเปลือยๆ ของเจ้ามานับครั้งไม่ถ้วน จะอายไปทำไม พวกเราได้ยินเสียงเจ้าร้องโหวกเหวก เลยตามมาดูว่าสนุกอะไรอยู่”

“มานี่สิ มู่เอ๋อ” ผู้ใหญ่บ้านกล่าว แล้วกระแอมเบาๆ “ในเมื่อเจ้าถูกผู้ฝึกยุทธระดับทารกวิญญาณไล่ล่าถึงห้าคน เจ้าอาจจะหลงเหลืออาการบาดเจ็บภายในที่ซ่อนอยู่ มาให้นักปรุงยาตรวจร่างกายดูหน่อย”

ฉินมู่เข้าไปใกล้ๆ แล้วปล่อยให้นักปรุงยาตรวจตราร่างกายเขาอย่างถี่ถ้วน

เมื่อตรวจเสร็จสิ้น นักปรุงยาก็ส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “ไม่มีอาการบาดเจ็บอันตราย แผลของเขามีแต่ผิวเผิน”

ผู้ใหญ่บ้านตรวจร่างกายฉินมู่ซ้ำอีกครั้ง จากนั้นโบกมือเป็นสัญญาณให้ฉินมู่ไปได้ คนแล่เนื้อเห็นดังนั้นรีบลากตัวเด็กชายไปฝึกวิชามีดต่อทันที

การที่ฉินมู่ต้องใช้มากกว่าห้าพันมีดกว่าจะล้มศิษย์พี่ฉูลงได้ กวนใจคนแล่เนื้ออย่างยิ่ง เขาหมายเป็นมั่นเหมาะในใจว่าจะสอนให้ฉินมู่รู้ว่าคำว่า ‘ฝึกนรก’ สะกดอย่างไร

นักปรุงยาดูการฝึกมีดสุดโหดของฉินมู่อยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เดินไปหาแคร่ของผู้ใหญ่บ้าน

“เจ้าพบอะไรแปลกๆ ไหม” เขาถาม

“ความเร็วการฝึกปรือสั่งสมปราณชีวิตของเขา…เร็วเกินมนุษย์มนา!” ผู้ใหญ่บ้านอุทานบอกเล่าโดยไม่ปิดบัง “ฐานพลังยุทธของเขาของวันนี้เทียบกับเมื่อวานนี้แตกต่างกันลิบลับ แสดงว่าความก้าวหน้าของเขาเกินที่ข้าจะจินตนาการได้ เสียงกู่ร้องของเขาเมื่อครู่จะต้องเกิดจากการที่คอของเขาพ้องสะท้อนกับปราณชีวิต แถมเสียงกู่ร้องนั้นยังเจือกลิ่นอายเทพและมารอีกด้วย อย่าว่าแต่เขายังไม่ได้ทลายกำแพงทารกวิญญาณ แม้แต่ผู้ฝึกยุทธระดับทารกวิญญาณก็ใช่ว่าจะสามารถสร้างเสียงอันพ้องสะท้อนกับมารและเทพ! หากว่าพวกเราเป็นคนธรรมดาเหมือนกับเขา อย่างน้อยต้องใช้เวลายี่สิบปีที่จะฝึกปรือปราณชีวิตได้ถึงขั้นนั้น”

เสียงกู่ร้องที่ฉินมู่ปลดปล่อยโดยไม่รู้ตัวตอนที่เขาวิ่งข้ามแม่น้ำ เกิดจากการที่คอของเขาสั่นพ้องกับปราณชีวิต และในขณะเดียวกันเขาก็เจือกลิ่นอายของเสียงมารที่ได้ยินจากซากโบราณเข้าไปด้วย

ที่ประหลาดก็คือ เขาได้จดจำเสียงร่ายมนตร์ของเหล่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ในโบราณระหว่างที่เขาแยกแยะวิเคราะห์เสียงมาร ดังนั้นทุกจังหวะจะโคนของเสียงเทพก็ถูกบันทึกไว้โดยไม่ตกหล่นในหัวของเขาด้วย

ผลที่ออกมาจึงกลายเป็นว่า เสียงที่เขากู่ร้องก็มีกลิ่นอายของเทพแฝงฝังอยู่เช่นกัน

เมื่อพวกผู้เฒ่าได้ยินเสียงกู่ร้องของฉินมู่ พวกเขาคิดว่าไม่มีอะไรผิดแผกพิสดารด้วยไม่อาจหยั่งถึงความลึกลับซับซ้อนของมัน แต่ในเมื่อผู้ใหญ่บ้านได้ยินกลิ่นอายของเทพและมารในเสียงนั้นอย่างแจ้งหู เรื่องนี้ก็ดูท่าจะไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ล่ะ

“เทพมารสั่นพ้อง?!” นักปรุงยาแทบกระโดดโหยงด้วยความตกใจ “เขาบรรลุถึงขั้นนั้นได้อย่างไร นี่มันมหัศจรรย์พันลึกเกินไปแล้วที่เขาสามารถบรรลุเทพมารสั่นพ้องอันคนอื่นๆ ต้องฝึกถึงยี่สิบปีได้ภายในคืนเดียว…หรือว่าจะเป็นผลมาจากโลหิตวิญญาณทั้งสี่”

ผู้ใหญ่บ้านส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “แม้ว่าโลหิตวิญญาณทั้งสี่จะช่วยเพิ่มพูนปราณชีวิตเสริมสร้างร่างกาย แต่ให้เขาสั่งสมถึงขั้นนี้มันเป็นไปไม่ได้”

นักปรุงยาครุ่นคิดอยู่ครึ่งค่อนวัน แล้วจึงกล่าวตอบ “หรือว่ามู๋เอ๋อจะเป็นอัจริยะฟ้าประทาน หรือว่าตั้งแต่เกิดเขาจะเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นเลิศสำหรับการฝึกยุทธ”

“ถ้าอัจริยะฟ้าประทานจริง สวรรค์จะให้มาแค่กายมนุษย์ธรรมดาหรือ” ผู้ใหญ่บ้านขวมดคิ้วมุ่น “อัจฉริยะฟ้าประทานมีแต่กายาวิญญาณทั้งนั้น อีกอย่างนะ…การบรรลุเทพมารสั่นพ้องภายในคืนเดียว อัจริยะฟ้าประทานหน้าไหนมันทำได้บ้าง”

“งั้นเทพมารสั่นพ้องในเสียงกู่ร้องของเขาเป็นเรื่องดีหรือแย่ล่ะ” นักปรุงยาถาม

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” ผู้ใหญ่บ้านตอบ “ข้าได้ยินเสียงเทพและมารสั่นพ้องในเสียงของเขา เสียงเทพและเสียงมารกำลังโรมรันพันตูกันอยู่ ข้าเลยไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นโชคหรือเคราะห์”

สายตานักปรุงยาสั่นไหวขึ้นมา และถามอีกครา “ถ้างั้นแล้ว เสียงเทพและเสียงมารนี้มันมาจากที่ไหนล่ะ”

“ข้าก็ไม่รู้อีกนั่นแหละ!”

ทั้งสองคนคิดจนปวดหัวตึ้บๆ นานชาตินึงแล้วที่พวกเขาไม่เคยเจอเรื่องที่งงจนปวดหัวเช่นนี้ สิ่งพิสดารเกินเข้าใจนับวันมีแต่จะเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่รับเด็กทารกฉินมู่ที่ลอยมาตามแม่น้ำมาเลี้ยงไว้ในหมู่บ้าน

ไม่นานราตรีก็มาเยือน และหมู่บ้านพิการชราก็ตกอยู่ใต้ความขมุกขมัวของความมืดอีกครั้ง ที่บ้านไม้หลังหนึ่ง ท่านยายซีนอนหลับในห้องของตน ขณะที่ฉินมู่ก็นอนอยู่อีกห้องหนึ่ง

ในตอนเที่ยงคืนนั้นเอง เสียงงึมงำก็ดังอึงอลในจิตอันไร้สมประดีของฉินมู่ เสียงกังวานไพเราะพลันดังโต้กลับไป สองเสียงนี้คือเสียงมารและเสียงเทพจากซากโบราณ พวกมันต่อสู้ปะทะกันและกัน เสียงทั้งสองดังขึ้นอึงอลขึ้น

การสั่นพ้องของเสียงมารและเทพทวีความเข้มข้นขึ้นจนกลายเป็นการประจันบานระหว่างความมืดและแสงสว่าง ในห้วงจิตของเขา ฉินมู่กลายเป็นวิญญาณไร้รูปที่ลอยล่องในท้องฟ้าเบื้องบน เฝ้ามองดูการชิงชัยเบื้องล่างด้วยสายตาว่างเปล่า

สนามรบนั้นดูไปก็คล้ายกับซากโบราณที่เขาเคยเห็นเมื่อคืนก่อน แต่ว่ากลับใหญ่โตอลังการกว่ามาก ความมืดบิดตัวเลื้อยพันเหมือนกับหนวดเถาวัลย์ที่ทิ่มแทงพัวพันมวลกลุ่มแสง ด้านแสงสว่างก็ระเบิดแสงจ้าเป็นระยะสาดกลืนความมืดที่รุกล้ำเข้ามา

ผ่านไปสักครู่ ฉินมู่ถึงเห็นถนัดชัดตาว่ามวลมืดและมวลแสงนั้นคืออะไร…ที่แท้แล้วมวลมืดคือคลื่นโหมของเหล่ามารปีศาจที่ทะยานพุ่งเข้าปะทะแสงสว่างเหมือนคลื่นซัดฝั่ง

เสียงมารนั้นหาใช่เสียงของปีศาจเพียงตนเดียว แต่คือเสียงของเหล่ามารนับพันล้านตน!

ด้านฝั่งแสงก็เช่นกัน ที่แท้แล้วคือมหาสมุทรอันกอปรจากทวยเทพจำนวนนับไม่ถ้วนในชุดเกราะทองอร่าม ร้องคำรามเข้ารบรันพันตูกับพวกมารปีศาจ!

ฉินมู่ซึ่ง ‘ยืน’ สูงลิ่วอยู่เหนือการรบรานี้ สูงจนเขาเห็นมารและเทพเป็นเพียงแค่จุดเล็ก ๆ ทำให้ตอนแรกเขาเข้าใจว่ามันเป็นเพียงภาพของแสงสว่างและความมืดปะทะกัน

แต่บัดนี้เขาเห็นสงครามอันโหดร้ายของเทพและมารชัดตา ความตระหนกและหวาดผวาก็เข้ามาเกาะกุมเขาทันที!

ฉินมู่ลืมตาขึ้นทันใด ทั้งร่างเขาโซมไปด้วยเหงื่อ และตระหนักเดี๋ยวนั้นว่าในห้วงจิตของเขาอึงอลไปด้วยเสียงเทพและเสียงมาร ทำเอาหัวเขารวดร้าวจนแทบจะแตกเป็นสองเสี่ยง

แต่ในบัดนั้น จี้หยกที่ห้อยคออยู่ก็ลอยขึ้นมากลางอากาศช้า ๆ มันหยุดลอยนิ่งอยู่ที่ใจกลางระหว่างคิ้วของเขา และเลื่อนเข้าไปแตะตรงนั้น ความรู้สึกปลอบประโลม นุ่มนวลพลันหลั่งไหลเข้ามาในศีรษะเขาจากแผ่นหยก และเสียงอันอึงอลในหัวก็เงียบหายไปในพริบตา

ฉินมู่ลุกผลุงขึ้นนั่งกับเตียง หายใจหอบลึกเมื่อความสับสนครอบงำใจ เขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

สักพัก ฉินมู่ก็เดินออกไปจากบ้าน ทะลุผ่านหมู่บ้านไปยังรูปสลักศิลา เปรียบเทียบจี้หยกกับรูปสลักที่เปล่งแสงเรืองหรี่เหล่านั้น

ความมืดกอบกุมทุกๆ อย่างที่อยู่นอกอาณาเขตหมู่บ้าน ความมืดนั้นทำให้จี้หยกส่องแสงเรืองหรี่คล้ายภูติผีไฟวิญญาณเช่นเดียวกับรูปสลักศิลา ฉินมู่ได้แต่ยืนมองจี้หยกของตน เหมือนกับตกในมนตร์สะกดไม่อาจละสายตาจากมันได้

โดยที่เขาไม่รู้ตัว ท่านยายซีซึ่งตามมาไม่ไกล ทันเห็นภาพอันดูหลอกหลอนนั้น

แม้ว่าพวกเราหมู่บ้านพิการชราจะกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูเขามา แต่เขาไม่ใช่ผู้ที่ถูกสาปให้ต้องอยู่ที่นี่ นางคิดไปหัวใจก็รวดร้าวไป สักวันเขาก็คงต้องจากไป…

และนั่นเอง ความมุ่นมั่นก็ฉายโชนในแววตาของนาง

โลกภายนอกนั้นอันตรายยิ่งกว่าแดนโบราณวินาศ! เขายังไม่แข็งแกร่งพอ! ยังไม่พอ!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!