16. สาวน้อยในวัดร้าง
สองตาสุกใสจ้องมองจี้หยก แม้ว่าอายุอานามเขาจะเพียงสิบเอ็ดสิบสองแต่เขาก็รู้เดียงสาในหลายๆ เรื่อง
มีครั้งหนึ่งที่ฉินมู่ตามท่านยายซีไปช่วยทำคลอดเด็ก คราวนี้แทนที่จะเป็นโศกนาฏกรรม การทำคลอดกลับเป็นไปโดยราบรื่น ภาพของพ่อแม่ลูกอันอบอุ่นช่วยอุ้มชูหัวใจของฉินมู่
สิ่งที่เห็นทำให้เขาเอ่ยปากถามเป็นครั้งแรกว่าเขาเกิดมาได้อย่างไร และพ่อแม่ของเขาอยู่ที่ไหน ท่านยายซีไม่อาจตอบคำถามของเขาได้ นางเพียงแต่บอกว่าเก็บเขาได้ที่ริมฝั่งน้ำ และจี้หยกนี้เป็นเพียงวัตถุชิ้นเดียวที่ติดตัวเขามาด้วย
จี้หยกนี้จึงกลายเป็นของรักของหวงของฉินมู่ ด้วยหวังใจว่าสักวันหนึ่งเขาจะใช้มันตามหาพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดและไต่ถามว่าทำไมถึงทิ้งเขาไป
หลังจากพักหนึ่ง ฉินมู่ถึงเก็บจี้หยกกลับไว้ที่อก สีหน้าของเขากลับมาสงบนิ่งเก็บงำประสบการณ์ประหลาดในค่ำคืนนี้ และความลึกลับของจี้หยกเอาไว้ในใจ ท่านยายซีซึ่งเฝ้าดูอยู่ไกลๆ ก็หันกายกลับเข้าบ้านไปก่อนที่ฉินมู่จะรู้ว่านางตามมา
วันต่อมา เฒ่าหม่า เฒ่าบอด เฒ่าเป๋ และเฒ่าใบ้ ออกล่าสัตว์ร้ายต่อเพื่อมากลั่นโลหิตวิญญาณทั้งสี่ให้ฉินมู่ มนุษย์อันตรายทั้งสี่กวาดล้างสัตว์ร้ายบริเวณ ‘ใกล้ๆ หมู่บ้าน’ จนเรียบเชียบ หรือให้แม่นกว่านั้นคือในรัศมีหลายร้อยลี้รอบหมู่บ้าน ดังนั้นพวกเขาเลยต้องเดินทางไกลออกไปกว่าเดิมเพื่อจับสัตว์วิญญาณมา
ผู้ใหญ่บ้านเดินเหินไปไหนเองไม่ได้ นักปรุงยาก็มักจะออกไปเก็บสมุนไพร คนแล่เนื้อก็จะบ้าคลั่งเสียสติเป็นพักๆ ส่วนเฒ่าหนวกก็เอาแต่สนใจศิลป์พู่กันและภาพวาด
ดังนั้นจึงมีแต่ท่านยายซีที่คอยอยู่ข้างๆ ฉินมู่ยามเขาฝึกปรือพลังยุทธ
แต่กระนั้น ท่านยายซีก็ไม่ได้อยู่ที่หมู่บ้านตลอดเวลา ช่างตัดเย็บเสื้อผ้าและหมอตำแยอย่างนาง ถูกชาวบ้านหมู่บ้านอื่นเรียกไปตัดเย็บเสื้อผ้าและช่วยทำคลอดอยู่เรื่อยๆ
และเช้าตรู่วันนี้ ท่านยายซีออกไปจากหมู่บ้าน นักปรุงยาก็ออกไปหาสมุนไพร คนแล่เนื้อและเฒ่าหนวกแบกผู้ใหญ่บนแคร่ไปวางไว้ที่ปากทางหมู่บ้านทิ้งเขาไว้ตรงนั้น แล้วแยกย้ายไปทำธุระส่วนตัว คนนึงก็ลับมีด อีกคนก็ไปวาดภาพ
เบื่อคร้านจนเต็มที ฉินมู่จึงไปเดินเล่นที่ริมฝั่งแม่น้ำ ตั้งแต่ที่แม่วัวของเขากลายร่างเป็นสตรีแล้วถูกเฒ่าเป๋แทงตาย เขาก็แทบไม่มีงานอะไรทำ
ฉินมู่สูดลมหายใจลึกขณะที่ยืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ หน้าอกเขาพองขยายจากลมที่อัดเข้าไป เขาเริ่มโคจรปราณชีวิต หน้าอกเขาก็กลับสู่ขนาดปกติ
เขามิได้ปล่อยลมหายใจออก แล้วชักนำปราณชีวิตไปหล่อเลี้ยงปอด เสริมความแข็งแกร่งให้กับผนังของมัน จากนั้นบีบอัดอากาศที่หายใจเข้าไปเข้าไว้ในปอด ให้มันอัดแน่นไปกว่าสิบเท่า
ฉินมู่สูดลมเข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่าหน้าอกเขาไม่ขยายพองขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย และในจังหวะที่เขาบีบอัดลมถึงขีดจำกัดนั่นเอง เขาก็สะกิดเท้าพุ่งตัวไปข้างหน้า เร็วแรงราวธนูพุ่งจากแล่ง!
ฉินมู่วิ่งตะบึงบนผิวน้ำราวกับพายุไต้ฝุ่น สร้างคลื่นน้ำแรงแหวกเป็นสองฝั่งตามรอยทางที่เขาวิ่งไป
และทันใดนั้น ประกายวาบของโลหะก็เฉือนกรีดเหนือแม่น้ำ ฉินมู่แบกมีดเชือดหมูของเขาออกมาระหว่างที่วิ่ง มันสะบัดพลิ้วในอากาศ ร่ายรำประดุจมังกรแหวกเมฆา
นี่คือวิชามีดเชือดหมูของคนแล่เนื้อ! มีดก็คล้ายกับเจ้าของวิชา ทั้งขมขื่นทั้งแฝงรังสีหยิ่งผยองที่มิยอมก้มศีรษะให้กับฟ้าและดิน มีดส่องประกายฉานเมื่อใบของมันพุ่งโผนไปมา พร้อมจะฟาดฟันบดขยี้ทุกสิ่งที่ขวางทางมัน
และในพริบตา เงามีดทั้งหมดก็หายวับ เมื่อฉินมู่เก็บงำมีดกลับไว้ในฝักที่เขาแขวนไว้กลางหลัง
เปลี่ยนแปรไปใช้วิชาหมัดของเฒ่าหม่า เขาขับเคลื่อนปราณชีวิตเข้าไปในแขนและมือ กำมือเป็นหมัด แล้วซัดหมัดทะลักทลายประดุจแม่น้ำแยงซีเกียงทะลวงผ่านพื้นทวีป พวยพุ่งสู่ท้องฟ้า แล้วโถมทุ่มลงทะเลด้วยกระแสอันมหาศาลไร้สิ้นสุด
ฟ้าคำรามแปดจู่โจม กระบวนท่าแรก! สายฟ้าวสันต์ในทะเลบูรพา!
เงาหมัดซัดซ้ำซัดอีก ภาพจินตนาการของแม่น้ำเกรี้ยวกราดโถมพุ่งฝ่าคลื่นสายฟ้าในทะเลกว้างพลันปรากฎในจิตของฉินมู่ ส่งกระแสพลังแบบเดียวกับภาพนั้นแฝงมาในวิชาหมัดของเขา
ทว่า ทันทีที่เขาทำเช่นนั้น หมัดของเขาก็คลายออกระหว่างครึ่งกระบวนท่า นิ้วและฝ่ามือของเขาสั่นสะเทือนอย่างควบคุมไม่ได้ แล้วระเบิดกระแสพลังออกไปรอบๆ กระแทกพื้นผิวแม่น้ำ และระเบิดให้มวลน้ำกระเซ็นซ่านออกจากรอบๆ ตัวเขา
ยังไม่สำเร็จ… ฉินมู่คิดขณะที่ยังคงวิ่งไป ข้ายังฝึกไม่ถึงขั้นเรียกสายฟ้าในฝ่ามือ
ความผิดหวังเกาะกุมใจฉินมู่ ความสำเร็จขั้นต่ำของวิชาฟ้าคำรามแปดจู่โจมของเฒ่าหม่า คือจะต้องเรียกสายฟ้าในฝ่ามือได้ ทุกหมัดที่ซัดไปต้องสร้างเสียงฟ้าคำรามอันทรงพลังหนักหน่วง กระชากขวัญวิญญาณผู้คน
สำเร็จขั้นนั้นจึงจะนับว่าเป็นทักษะเทวะอันสามารถฝึกฝนถึงขั้นควบคุมฟ้าแลบฟ้าร้องในมือได้ดังใจ อันเป็นระดับที่ฉินมู่ยังไม่เฉียดเข้าใกล้เลยแม้แต่น้อย
ระหว่างที่ฉินมู่ห้อตะบึงไป เขาก็ชักไม้ตะบองไผ่อันห้อยไว้ที่หลัง วาดมันทิ่มแทงไปรอบๆ เขาไม่ได้ใช้วิชาตะบองธรรมดา แต่เป็นวิชาที่ท่านปู่บอดบอกเขาว่าที่จริงแล้วมันคือวิชาหอก ตะบองไม้ไผ่เขาก็เสมือนหอกกร้าวอันทิ่มทะลวงแม่น้ำประดุจมังกรพิโรธ ทุกการควง ทิ่ม พลิก และแทง มาพร้อมกับการระเบิดของน้ำ
เมื่อเขารำหอกจนสมใจ ก็เปลี่ยนตะบองไม้ไผ่เป็นค้อนเหล็กยักษ์ จากนั้นฟาดควงค้อนด้วยท่วงท่าที่เฒ่าใบ้ช่างตีเหล็กสอนสั่ง วิชาค้อนนี้ดูทื่อๆ และสามัญ ทว่าแฝงด้วยพลังทุบนับพันชั่ง แต่ละการฟาดทุบกร้าวแกร่งหนักหน่วง ผนวกกับฝีเท้ารวดเร็วของฉินมู่ ผสมผสานวิชายุทธสองขั้วตรงข้าม ทั้งเร็วและดุ!
หลังจากวิ่งตะลุยไปและฝึกวิชาไป ฉินมู่ก็พบว่าปราณชีวิตของเขาเริ่มลดน้อยถอยลง ร่างกายเริ่มอ่อนล้า พละกำลังใกล้หมดเกลี้ยง เมื่อมองไปรอบๆ ฉินมู่ก็พบว่าเขาวิ่งมาไกลจากหมู่บ้านพิการชรากว่าร้อยสิบลี้
ข้าวิ่งมาไกลขนาดนี้โดยไม่รู้ตัวหรือนี่ เขาครุ่นคิด
ฉินมู่เหลียวมองสำรวจรอบๆ จนกระทั่งเขาสังเกตเห็นเกาะแห่งหนึ่งอันตั้งอยู่กลางแม่น้ำ กระแสน้ำเชี่ยวกรากซัดอ้อมรอบเกาะนั้น ภาพที่เห็นดึงดูดใจเขา และทำให้ฉินมู่รุดเท้าเข้าไปใกล้ในทันที
ไม่นาน ฉินมู่ก็มาถึงพื้นแห้งของฝั่งเกาะ
เกาะนี้ไม่ใหญ่โต เมื่อตั้งอยู่กลางแม่น้ำก็เหมือนกับเขาลูกเล็กๆ อันเต็มไปด้วยพืชไม้เขียวชอุ่ม ความกว้างของเกาะราวร้อยวา และสูงกว่าร้อยห้าสิบวา
บนเกาะนั้นมีป่าทึบอันเงียบสงบ ได้ยินแต่เสียงคลื่นน้ำเบื้องล่าง และลึกเข้าไปในป่า ไม่ไกลจากจุดที่ฉินมู่ยืนอยู่ คือวัดโบราณอันรกร้างผุพัง
เดินลัดป่าไปสู่วัด ฉินมู่พบว่าวัดนั้นดูโกโรโกโสเต็มไปด้วยหยากไย่รกเรื้อ เห็นได้ชัดว่าไร้การดูแลบูรณะมาเนิ่นนาน แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังเหมาะเป็นจุดให้เขาได้นั่งพักเหนื่อย
ฉินมู่ยั้งเท้าอยู่ที่หน้าวัด ประตูทางเข้าทางหนึ่งหักพังอยู่กับพื้น เผยให้เห็นแสงขมุกขมัวภายใน เมื่อมองเข้าไปก็เห็นพระพุทธรูปปิดทองสูงเยี่ยมอันตั้งอยู่ใจกลางวัดและสะท้อนแสงสีทองลางๆ
แต่ในเมื่อไม่มีผู้ใดมาที่วัดแห่งนี้ช้านาน เปลวทองที่ปิดพุทธรูปก็ลอกออกเป็นด่างดวงเผยให้เห็นเนื้อสำริดภายใน อักขระกระยึกกระยือแปลกประหลาดจากรึกอยู่บนเนื้อสำริด ดูยังกับขีดเขียดลูกอ๊อดลงไปแทนอักษร
โซ่ใหญ่มหึมาล่ามรัดรอบๆ พุทธรูป พันธนาการมันไว้ตรงจุดนั้น เมื่อมองไล่ตามที่มาของโซ่ ฉินมู่พบว่าโซ่นั้นล่ามจากวัดเล็กๆ แห่งนี้ลากยาวตลอดทางถึงฝั่งเกาะจนถ่วงจมหายไปในน้ำ
แปลกจังแฮะ…ทำไมโซ่พวกนี้ถึงต้องมัดพันพุทธรูปยักษ์นี้ด้วย ฉินมู่ขบคิด ท่านปู่บอดเคยบอกว่าถ้าจะเข้าวัดต้องจุดธูปบูชาก่อน แต่ในเมื่อข้าไม่มีธูปติดตัวเลย คงได้แต่ยืนอยู่ข้างนอก
ฉินมู่กระแอมให้คอโล่ง จากนั้นโค้งคำนับแล้วกล่าวว่า
“ผู้เยาว์ผู้นี้มาจากหมู่บ้านพิการชราอันตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ ผู้เยาว์ผ่านมาพบวัดของท่าน และหมายพักขาอยู่เพียงครู่ หากว่าผู้เยาว์ทำการรบกวนล่วงเกินท่านเจ้าของวัด ก็ขออภัยด้วย”
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มร่ายบทสวดที่เฒ่าบอดสอน
“ตั้งแต่ยังเล็กผู้เยาว์ช่วงล่างอ่อนแอ พลังหยางบกพร่อง นกเขาไม่ขัน หากว่ามีพี่สาวเทพนารีอยู่ในวัด ได้โปรดอย่าทำร้ายข้า”
เฒ่าบอดทั้งสูงวัยและเปี่ยมประสบการณ์ ฉินมู่เชื่อที่เขาสอนโดยไม่สงสัย การท่องคาถานี้บูชาพุทธรูปในวัดน่าจะไม่มีปัญหา
หลังจากที่ท่องมนตราเสร็จ ฉินมู่ก็นั่งลงกับบันไดหินหน้าวัด เขาถอดรองเท้าเหล็กที่สวมไว้ พร้อมทั้งแผ่นเหล็กจากน่อง จากนั้นฟื้นฟูเรี่ยวแรงด้วยวิชาโคจรปราณของตน
เขาสวมใส่เท้าเท้าเหล็กและแผ่นเหล็กตลอดเวลาที่วิ่งบนผิวน้ำ เหล็กถ่วงชุดนี้เพิ่งถูกตีบวกโดยเฒ่าใบ้ช่างตีเหล็ก ให้หนักหน่วงกว่าชุดเดิม
ทันใดนั้น เสียงหัวร่อเบาๆ ก็ดังมาจากข้างหลังฉินมู่
“คิกๆ ที่เจ้าพูดนี่น่าสนใจจริงๆ” เสียงนั้นเป็นเสียงของสตรี “หืม…ถ้างั้นข้าไม่จับเจ้ากินแล้วก็ได้ ดีไหม!”
ฉินมู่หันขวับ มองหาเจ้าของเสียง
บนฝ่ามือของพุทธรูป เด็กผู้หญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขานั่งอยู่บนนั้นและหัวเราะคิกคักใส่เขา เท้าของนางเปลือยเปล่า และชุดที่นางสวมก็ดูเรียบง่ายธรรมดา เส้นผมของนางถักทอเป็นเปียสามเส้น สองเส้นเล็กยาวระบ่าลงมาที่หน้าอก เปียเส้นหนากว่าห้อยอยู่เบื้องหลังศีรษะนาง
เท้าของนางห้อยจากฝ่ามือพุทธรูปและแกว่งไปมา กำไลทองที่ข้อเท้านางเขย่าดังกรุ๊งกริ๊งทุกคราวที่นางขยับ เสริมผสานกับเสียงหัวเราะของนาง ให้ฟังดูไพเราะเหมือนแสงอุ่นแรกวสันต์
ฉินมู่รีบลุกขึ้นและเอ่ยปาก “ขอเรียนถามนามของพี่สาวเทพนารี…”
“พี่สาวเทพนารีอะไรกันล่ะ” เด็กผู้หญิงกระโดดตุ้บลงจากฝ่ามือพุทธรูป แล้วส่งยิ้มกว้างให้ เผยให้เห็นฟันเขี้ยวน่ารักเล็กๆ “ข้าชื่อเสียนชิงเอ๋อ และอาศัยอยู่แถวๆ นี้ ข้าไม่เคยเห็นพี่สาวเทพนารีที่ไหนสักคน ว่าแต่เจ้าชื่ออะไรหรือ”
เมื่อเห็นรอยยิ้มของสาวน้อย ฉินมู่ก็รู้สึกว่าเด็กหญิงผู้นี้ไม่ได้มาร้าย จึงค่อยโล่งอก “ข้าชื่อฉินมู่ มู่ที่แปลว่าเด็กเลี้ยงวัว ส่วนฉินเป็นแซ่ข้า พวกผู้เฒ่าในหมู่บ้านมักให้ข้าพาวัวไปเลี้ยงอยู่เรื่อยๆ”
“โอ้?” เสียนชิงเอ๋อเดินไปที่ประตูฝั่งที่ยังดีอยู่ของวัด ผลักมันเปิดออกเพื่อให้มองเห็นเด็กชายได้ถนัดๆ เพ่งมองเลยเขาไปข้างหลังแล้วหัวเราะ “คิกๆ ไหนล่ะวัวของเจ้า”
ฉินมู่ลังเลอยู่ครู่ก่อนจะตอบไป “วัวข้าแปลงร่างเป็นผู้หญิง ข้าเลยไม่มีวัวแล้ว”
“โห มีเรื่องแบบนี้เป็นไปได้ด้วยหรือ” เสียนชิงเอ๋อเอ่ยปากอย่างตระหนก จากนั้นกลายเป็นตื่นเต้น “แล้วมันแปลงร่างอย่างไรน่ะ เจ้าแปลงร่างได้ไหม”
ฉินมู่ส่ายหน้า “ตอนนี้ข้ายังแปลงร่างไม่ได้ แต่ท่านยายข้าทำได้”
“ข้าคิดว่าเจ้ารู้วิธีซะอีก!” เสียนชิงเอ๋อผิดหวัง “แล้วเจ้าเห็นเรื่องอะไรน่าสนใจอีก เร็วเข้า! เข้ามาในวัดแล้วเล่าให้ข้าฟังเร็ว!”
ในจังหวะที่ฉินมู่ย่างเท้าจะเข้าวัดตามคำเชิญนั่นเอง เขาก็เหลือบไปเห็นข้างหลังเสียนชิงเอ๋อว่ามีกระดูกขาวโพลนโผล่แพลมจากเบื้องหลังพุทธรูป เขาสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาทันที เท้าที่จะย่างยั้งอยู่กลางอากาศจากนั้นกล่าวอย่างลังเล “ท่านปู่บอดสอนข้าว่าก่อนจะเข้าวัดต้องจุดธูปบูชาพุทธรูปทุกครั้ง ในเมื่อข้าไม่มีธูปอยู่กับตัว ข้าคิดว่าข้าอยู่ข้างนอกดีกว่า”
“ไม่เป็นไรหรอก เข้ามาเถอะน่า!” เสียนชิงเอ๋อยิ้มหวานเยิ้ม
“ข้าว่าข้าอยู่ข้างนอกดีกว่า” ฉินมู่กระพริบตาปริบๆ แล้วชักเท้ากลับ จากนั้นส่งยิ้มสัตย์ซื่อที่ดูจริงใจยิ่งกว่ารอยยิ้มของท่านปู่เป๋ไปให้ “ทำไมเจ้าไม่ออกมาข้างนอกแทนล่ะ ข้าจะได้เล่าเรื่องสนุกๆ น่าสนใจให้เจ้าฟังเยอะๆ ไง”
สายตาของเสียนชิงเอ๋อวูบไหวครู่หนึ่ง นางเม้มปากก่อนจะหัวเราะคิกคัก “ข้ารู้วิธีเล่นพ่อแม่ลูกที่เด็กผู้หญิงกับเด็กผู้ชายเล่นกัน เข้ามาสิจ๊ะ เดี๋ยวจะสอนให้เจ้ารู้”
เมื่อเทียบกับบุคลิกสดใสร่าเริงของนางเมื่อครู่ กลิ่นอายอันหวานเยิ้มและทรงเสน่ห์ของนางยิ่งดูเย้ายวนมากขึ้น
ใบหน้าของฉินมู่แดงฉ่าขึ้นมาทันที ลมหายใจเขาสะดุดเป็นห่วง
“ช่วงล่างของข้าอ่อนแอตั้งแต่ยังเล็ก…” เขายืนกราน
“เข้ามาข้างในเดี๋ยวนี้!” เสียงคำรามดุดันพลันดังกระหึ่มจากปากของสาวน้อย