Skip to content

Tales of Herding Gods 166

ตอนที่ 166 คนตัดไม้ถ่ายทอดวิชา

เมืองหลวง เคหาสน์ราชครู

นายทะเบียนราชสํานักรีบรุดมาแล้วกล่าวรายงาน “ท่านราชครู มีความเปลี่ยนแปลงอย่างผิดปกติเกิดขึ้นในเมืองมณฑลสมานฉันท์ ผู้มีตําแหน่งสูงทั้งหลายในลัทธิมารฟ้าต่างมารวมตัวกันในเมืองมณฑลสมานฉันท์ และยังมีโจรผู้ร้ายมากมายที่นั่นและจู่ๆ จวนเจ้าเมืองเมืองมณฑลสมานฉันท์ก็หายไปโดยไร้ร่องรอยเหลือแต่พื้นที่ว่างเปล่า”

ราชครูสันตินิรันดร์กำลังอ่านฎีกาที่จักรพรรดิส่งมาให้เขา จากนั้นตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้น “ทราบแล้ว”

นายทะเบียนราชสํานักลังเลแล้วกล่าว “ราชครู นี่คือลัทธิมารฟ้านะ สํานักอันดับหนึ่งของฝ่ายมาร ตอนนี้มีเหตุใหญ่ขนาดนี้เกิดขึ้นใต้จมูกเรา เราไม่อาจวางใจไม่ป้องกัน…”

ราชครูสันตินิรันดร์เงยหน้าขึ้นมาแล้วถาม “อวิ๋นหยาง เจ้ารู้หรือไม่ว่าปรมาจารย์ของลัทธิมารฟ้าคือใคร”

นายทะเบียนราชสํานักอวิ๋นหยางส่ายศีรษะ ราชครูสันตินิรันดร์บอกเขาด้วยนํ้าเสียงราบเรียบ “หากเจ้ารู้

ว่าเขาเป็นใคร เจ้าก็จะไม่แตกตื่นขนาดนี้ เขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากอธิการบดีแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเรา”

นายทะเบียนอวิ๋นหยางสะท้านใจอย่างรุนแรง และร้องออกมา “เป็นเขาหรือ ท่านราชครู ปรมาจารย์แห่งลัทธิมารฟ้าถึงกับแทรกซึมเข้ามาทําหน้าที่อธิการบดีแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิมาตั้งหลายปี นี่มันกบฏชัดๆ! หลายปีมานี้มีแม่ทัพกับขุนนางตั้งกี่คนที่เขาสั่งสอน อิทธิพลอํานาจของเขาต้องแทรกซึมแผ่ขยายเข้าไปในสภาราชสํานักและกองทัพแล้วเป็นแน่! ท่านราชครู เรื่องนี้ปล่อยผ่านไปไม่ได้ กองทัพของเราอาจจะถูกคนของพวกเขาแทรกซึมไปหมดแล้ว!”

ราชครูสันตินิรันดร์พูดไม่ออกและส่ายหัว “เจ้าคิดมากเกินไป เพียงแค่ปรมาจารย์ลัทธิมารสอนบัณฑิต บัณฑิตเหล่านั้นก็จะกลายเป็นคนของลัทธิมารฟ้าไปเลยหรือ หากว่าเป็นเช่นนั้น เจ้าจะจับข้าไปตัดหัวเช่นกันด้วยหรือเปล่า”

เขาลุกขึ้นยืนและก้าวไปอย่างแช่มช้าด้วยสายตาคมกล้า “เมื่อก่อนนั้น ข้าท่องเที่ยวไปทั่วโลกและเรียนรู้ทุกวิชาและทักษะ ข้าเห็นสํานักต่างๆ ในโลกหล้ากระทําการในวิถีทางของตนและให้คุณค่ากับเฉพาะของของตนเอง นี่เป็นการจํากัดวิวัฒนาการของทักษะเทวะ เต๋า และวิชา ดังนั้นข้าจึงตั้งใจไปเยี่ยมเยียนสํานักใหญ่ หมายที่จะทําลายกําแพงระหว่างพวกเขา บุคคลแรกที่ข้าได้พบคือปรมาจารย์ลัทธิมารฟ้า เขาเป็นคนแรกที่โยนอคติระหว่างสํานักทิ้งไปและสั่งสอนข้าอย่างเต็มจิตเต็มใจ เขายังเป็นผู้ที่ชี้หนทางเต๋าอันกระจ่างแจ้งให้แก่ข้าอีกด้วย”

ดวงตาเขาเผยแววเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่งและกล่าวต่อ “หลังจากนั้นเขาก็เขียนจดหมายแนะนําข้าด้วยตนเอง ให้ข้านําจดหมายนั้นไปพบเจ้าสํานักเต๋าแห่งสํานักเต๋า และเพราะจดหมายฉบับนี้ เจ้าสํานักเต๋าจึงให้ความสนใจในตัวข้าและให้อนุญาตข้าอ่าน 14 นิพนธ์กระบี่เต๋า และยังคงเป็นปรมาจารย์ลัทธิมารฟ้าที่ให้ข้าไปยังวัดใหญ่ฟ้าคํารามเพื่อพบยูไลและรับการสั่งสอนของยูไล แม้ว่าเขาจะไม่เคยเผยศักดิ์ฐานะที่แท้จริง แต่เขาก็มิอาจซ่อนมันจากข้า และเขายังมิได้พยายามซ่อนมันอีกด้วย”

นายทะเบียนราชสํานักอวิ๋นหยางตกตะลึงจนไม่รู้จะตะลึงอย่างไร

ราชครูสันตินิรันดร์กล่าว “ข้าได้เชื้อเชิญให้เขาลงจากภูเขา เพื่อช่วยข้าดูแลมหาวิทยาลัยจักรวรรดินั้นก็เพื่ออะไร ไม่ใช่เพราะเพื่อความสามารถสูงส่งของเขาหรือศักดิ์ฐานะของเขาในฐานะ

ปรมาจารย์ลัทธิมารฟ้า แต่เป็นเพราะว่าเขามีจิตใจอันเปิดกว้าง นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นผู้ที่มีจิตใจเปิดกว้างถึงเพียงนี้ ผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ดังนั้นเขาจึงเป็นบุคคลเดียวที่สามารถดูแลมหาวิทยาลัยจักรวรรดิได้! ตอนนี้เมื่อเขาจากไปแล้ว เขาคงกําลังวุ่นวายกับการแต่งตั้งจ้าวลัทธิคนใหม่แห่งลัทธิมารฟ้า”

“จ้าวลัทธิคนใหม่แห่งลัทธิมารฟ้า?” นายทะเบียนราชสํานักอวิ๋นหยางทวนคําแล้วกล่าว “นี่ก็ตั้ง 40 ปีมาแล้วนับตั้งแต่ตําแหน่งจ้าวลัทธิของลัทธิมารฟ้าว่างเว้นไป แต่พวกเขากลับเพิ่งจะมาแต่งตั้งใหม่เอาบัดนี้? ราชครูเรื่องนี้สําคัญอย่างยิ่งยวด พวกเราควรถวายรายงานแก่องค์จักรพรรดิหรือไม่”

ราชครูสันตินิรันดร์กล่าว “เขียนฎีกาและรายงานเรื่องนี้แก่จักรพรรดิ ส่วนภูมิหลังของปรมาจารย์ลัทธิมารฟ้านั้น เจ้าไม่จําเป็นต้องกล่าวถึง”

นายทะเบียนราชสํานักรับทราบแล้วรายงานอีกครั้ง “มีข่าวมาจากมหาวิทยาลัยจักรวรรดิว่าองค์จักรพรรดิมีราชโองการแต่งตั้งกู่หลี่หนวนให้สืบทอดตําแหน่งอธิการบดี”

“ทราบแล้ว”

ราชครูสันตินิรันดร์โบกมือแล้วกล่าว “อิทธิพลอํานาจของข้าแข็งแกร่งเกินไป ไม่แปลกที่จักรพรรดิจะกังวล ไม่เช่นนั้นข้าเองก็จะไม่รู้สึกสบายใจเท่าไรเหมือนกัน เพียงแต่ว่ากู่หลี่หนวนนั้นมี

ความสามารถและคุณธรรมไม่เพียงพอที่จะรับตําแหน่งอธิการบดีแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ เขาเป็นผู้พิทักษ์เยาว์ของรัชทายาทนั้นก็พอได้อยู่ แต่จะทํางานของอธิการบดีเหมือนจะไม่ค่อยไหว แต่ทว่าเรื่องนี้ข้าก็ออกความเห็นไปไม่ได้มาก”

นายทะเบียนราชสํานักครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าว “แล้วเราควรจะจัดการอย่างไรกับจ้าวลัทธิคนใหม่ที่ลัทธิมารฟ้าเลือกสรรขึ้น”

ราชครูสันตินิรันดร์กล่าวอย่างไม่ยี่หระ “ถ้าเขาโอนอ่อนก็ให้ เขารุ่งเรือง แต่ถ้าเขาต่อต้านก็ประทานความตาย ไม่มีความจําเป็นอะไรที่เจ้าจะต้องกังวลกับเรื่องนี้ ข้าจะไปพบกับจ้าวลัทธิคนใหม่นี้ด้วยตนเอง”

นายทะเบียนราชสํานักอวิ๋นหยางถอยออกไปจากห้อง

สํานักเต๋า เต๋าบรรพต

ตันหยางจื่อก้าวขึ้นภูเขาไปด้วยฝีเท้ารีบเร่ง มุ่งไปยังโถงเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ผู้เฒ่าผมขาวคิ้วขาวนั่งอยู่ที่นั่นบนพื้นและกําลังจ้องมองบ่อนํ้าอันมีนํ้าสีเขียวครามตรงหน้า

ตันหยางจื่อกล่าวทันที “เจ้าสํานักเต๋า เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างผิดปกติที่รังของลัทธิมารฟ้า ยอดฝีมือทั้งหมดของลัทธิมารฟ้าไปรวมตัวกันที่มณฑลสมานฉันท์และคลี่ธงใหญ่ของพวกเขาหายวับไปกันทั้งหมดรวมถึงจวนเจ้าเมืองด้วย”

ผู้เฒ่าผมขาวคิ้วขาวลืมตาขึ้นมาแล้วกล่าวอย่างแช่มช้า “ดูเหมือนว่าลัทธิมารฟ้าจะมีจ้าวลัทธิคนใหม่แล้ว ลัทธิมารฟ้าได้ปลอมแปลงประวัติศาสตร์ถ่ายทอดหนทางอันเทียมเท็จด้วยการปั้นแต่งนักบุญจอมปลอมขึ้นมาเพื่อนําภัยพิบัติแก่ปวงชน ความแตกร้ายภายในเกิดขึ้นในลัทธินี้ ธิดาเทพสังหารจ้าวลัทธิอย่างเลือดเย็น นี่คือการละเมิดหลักการใหญ่ และจ้าวลัทธิก็แต่งงานกับศิษย์ของตนเองนี่คือการละเมิดหลักการความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ลัทธินี้ยังฝึกปรือวิชามารชั่วช้า วิชาส่วนใหญ่ของพวกเขาใช้ชีวิตมนุษย์มาเป็นเชื้อเพลิงฝึกปรือ โดยไม่สนใจว่าจะเอาชีวิตใครมาจากไหน พวกเขาขาดไร้จ้าวลัทธิมา 40 ปีและบัดนี้ได้เลือกสรรคนใหม่ขึ้นมา ข้าเกรงว่าสําหรับปวงชนในโลกหล้าแล้วนี่คงเป็นเคราะห์ร้ายมากกว่าเคราะห์ดี”

ตันหยางจื่อถาม “เช่นนั้นสํานักเต๋าเราควรทําอย่างไร”

“สืบหาตัวตนที่แท้จริงของจ้าวลัทธิมาร และรอจังหวะโอกาสกําจัดเขาเสีย”

“น้อมรับบัญชา”

ตังหยางจื่อถามอีกครั้ง “ราชครูสันตินิรันดร์ได้ใช้คําสอนหลักของลัทธิมารฟ้าเป็นเป้าหมายการปฏิรูป ดังนั้นจักรวรรดิสันตินิรันดร์โดยเนื้อแท้แล้วก็ไม่ต่างอะไรกับลัทธิมารฟ้าที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมากว่าเดิม สั่งสอนผู้คนโดยไม่สนใจปูมหลังที่มา สํานักเต๋าเราควรทําอย่างไรกับเรื่องนี้”

เจ้าสํานักเต๋าใช้สายตาลึกลํ้ามองลงไปยังบ่อนํ้าสีเขียวครามตรงหน้า จากนั้นกล่าวด้วยนํ้าเสียงอันไม่ช้าไม่เร็ว “ราชครูสันตินิรันดร์มีความทะเยอทะยานสูงยิ่ง ทว่าความสามารถของเขาไม่อาจรองรับความทะเยอทะยานนั้น ในประวัติศาสตร์เคยมีจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่กว่าจักรวรรดิสันตินิรันดร์ และมียอดคนผู้เปี่ยมความสามารถยิ่งกว่าราชครูสันตินิรันดร์ แต่พวกเขาก็ล้วนแหลกสลายเป็นฝุ่นธุลี กลายเป็นแดนโบราณวินาศ โลกใบนี้ซับซ้อนเกินกว่าที่เขาคิดฝัน เขาจะรู้เองเมื่อวิ่งเข้าชนกําแพงหินและบาดเจ็บย่อยยับจากการณ์นั้น”

ตังหยางจื่อไม่กล้ากล่าวอย่างอื่นต่อ และโค้งคํานับก่อนถอยออกไป

“รายงานยูไล สาวกลัทธิมารฟ้าและจวนเจ้าเมืองหายวับไปโดยไร้ร่องรอยในมณฑลสมานฉันท์”

วัดใหญ่ฟ้าคําราม หลวงจีนเฒ่าผู้หนึ่งเข้ามาในโถงบัลลังก์ เพื่อรายงานแก่ยูไล “ผู้ว่าการมณฑลสมานฉันท์เป็นคนของผู้อาวุโสอวี้หลินแห่งลัทธิมารฟ้าอันเป็นตัวตนอันน่าพรั่นพรึงอย่างยิ่ง มณฑลสมานฉันท์ได้กลายเป็นป้อมเหล็กกําแพงเพชรของลัทธิมารฟ้าไปแล้ว และยังมีผู้คนที่เห็นเด็กสาวซึ่งเอาชนะโฝจื่อปรากฏตัวในมณฑลสมานฉันท์ด้วย พวกเราคาดเดาว่านางน่าจะมาจากลัทธิมารฟ้าเช่นกัน”

ยูไลลืมตาขึ้นมาและเอ่ยถามด้วยความตกใจ “เด็กสาวผู้นั้นเป็นบัณฑิตมหาวิทยาลัยจักรวรรดิมิใช่หรือ นางมาจากลัทธิมารฟ้าได้อย่างไร”

หลวงจีนเฒ่ากล่าวตอบ “เด็กสาวนางนั้นมีนามว่าซีอวิ๋นเซี่ยง และเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยจักรวรรดิในปีนี้ ไม่มีทางที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิจะอบรมบ่มเพาะนางได้ทันแล้วนางมีกําลังฝีมือที่ไหนมาเอาชนะโฝจื่อ เด็กสาวนางนี้มาจากตระกูลซี ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับฮูหยินลัทธิคนก่อน ซีหยูหยู ตระกูลซียังเป็นตระกูลใหญ่รุ่งเรืองตระกูลหนึ่งในจักรวรรดิสันตินิรันดร์”

ยูไลถาม “ถ้าอย่างนั้น จ้าวลัทธิคนใหม่ของลัทธิมารฟ้านี้จะมาจากตระกูลซีหรือไม่”

“ยังไม่ทราบแน่ชัด ยังไม่มีข่าวคราวเรื่องนี้”

ยูไลพยักหน้าแล้วกล่าว “มหาวิทยาลัยจักรวรรดิช่วงใช้ธิดาเทพแห่งลัทธิมารฟ้ามากําราบบุตรศักดิ์สิทธิ์ของวัดใหญ่ฟ้าคํารามเรา เราไม่อาจนิ่งดูดายเรื่องนี้ได้ เจ้าลงไปได้แล้ว ไปสั่งให้ทุกวัดสาขาของเราสืบเสาะข้อมูลออกมาเพิ่มเติมให้ได้”

หลวงจีนเฒ่ารับบัญชาแล้วกล่าว “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง หม่าหวังเฉินออกมาจากแดนโบราณวินาศแล้ว”

เมื่อเขากล่าวจบ เขาก็หันกายลงไปจากภูเขา

ยูไลเฒ่านิ่งอึ้ง

ภูเขานักบุญเยือน เสียงอันลึกลับพิสดารเหล่านั้นดังไปมาข้างหูฉินมู่ อันอัศจรรย์เหนือธรรมดาอย่างยิ่ง ทันใดนั้นดวงตาเขาก็เบลอและเขาพบว่าเขากลายเป็นคนผ่านทางที่เดินเข้าไปท่ามกลางเทือกเขาตามทิศทางที่เสียงของการตัดฟันต้นไม้ดังมา

เมื่อเดินไปตามทิศทางเสียง เขาก็เห็นคนตัดไม้กําลังฟันไม้ฟืนใต้ต้นสนไซเปรส ขวานที่คนตัดไม้ถือเผยลวดลายลึกลับมหัศจรรย์ เมื่อมันฟันลงไปยังต้นสนซํ้าแล้วซํ้าเล่า ดึงดูดใจเขาให้จมลงในภวังค์และรู้สึกราวกับว่ากําลังจะเข้าใจบางอย่างจากมัน

เขาเหม่อจ้องไปที่ขวานของคนตัดไม้ ขวานนั้นจะสร้างรอยบากลึกทุกครั้งที่ฟันเข้าไปในสนไซเปรส แต่เมื่อคมขวานถอนออกจากเนื้อไม้ รอยแผลบากของสนไซเปรสก็จะสมานกลับมาเป็นปกติ ไม่หลงเหลือร่องรอยใด

เมื่อคนตัดไม้ฟันต้นไม้ แต่ละขวานที่ฟันไปนั้นต่างก็ให้รอยประทับใจอันแตกต่างกันไป

“คนผ่านทาง หลังจากยืนดูอยู่เนิ่นนาน เจ้าเห็นอะไร”

คนตัดไม้นั้นดึงขวานเขากลับและเหลียวกลับไปมองเขา “ครอบครัวของเจ้าได้กลายเป็นกระดูกผุผังกลบฝังไว้ใต้พื้นดินแล้ว บุตรธิดาของเจ้าก็แก่เฒ่ายิ่งกว่าเจ้า หลานของเจ้าได้เริ่มต้นครอบครัวใหม่และมีทายาทเป็นของตน คนผ่านทาง เจ้าได้ยืนอยู่ที่นี่และมองดูเป็นเวลา 100 ปี”

“ท่านอาจารย์โปรดสอนสั่งข้าได้หรือไม่”

ฉินมู่เห็นคนตัดไม้นั่งอยู่บนก้อนหินใต้ต้นสนไซเปรส และเริ่มถ่ายทอดวิชาให้แก่เขา

เมื่อเขารับฟังด้วยความเมามายเคลิบเคลิ้ม ตรรกะเหตุผลนับพันอันพิสดารมหัศจรรย์ก็ลอยเข้ามาสู่เขา นั่งอยู่ข้างๆ ก้อนหินนั้น เขารับฟังการสั่งสอนอยู่หลายสิบปี และวิชาร้อยรัดของคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตก็ถูกถ่ายทอดมาให้เขาด้วยการสาธยายของคนตัดไม้นั้น

คนตัดไม้ยื่นมืออกไปและแตะกระหม่อมของเขา ฉินมู่ลืมตาขึ้นและเห็นท่านยายซีกําลังเคลื่อนถอยกลับ

เขายังคงอยู่ในภูเขานักบุญเยือน เขายังคงอยู่ในเวลาปัจจุบัน มิได้ท่องกลับไปในอดีต

นี่คือการสั่งสอนสาธยายอันจ้าวลัทธิคนก่อนแห่งลัทธิมารฟ้า ถ่ายทอดสิ่งที่จ้าวลัทธิก่อตั้งประสบในกาลครั้งนั้นมาให้ ถ่ายทอดไปจากรุ่นสู่รุ่น ประดุจคบเพลิงที่ไม่มีวันดับ

ฉินมู่นั่งอยู่บนก้อนหินอย่างใจลอย นักบุญแตะศีรษะข้า มวยผมให้ข้าและถ่ายทอดอายุวัฒนะ วิชาร้อยรัดของคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตนั้นปราศจากถ้อยคําและรูปภาพ และมันสามารถถ่ายทอดจากจ้าวลัทธิคนหนึ่งไปยังรุ่นต่อไปเท่านั้น

ชิ้นส่วนข้อมูลอันสลับซับซ้อนปรากฏขึ้นมามากมายในหัว และยังคงมิอาจจัดเป็นระบบระเบียบได้

การถ่ายทอดนี้แม้ว่าจะมิได้เพิ่มพูนพลังวัตรให้แก่เขา แต่ว่ามันก็นําสิ่งมากมายมาให้ และเขาจะต้องใช้เวลาในการจัดระเบียบ และตรึกตรองทําความเข้าใจ

ตอนนี้เขารู้แล้วว่าทําไมจ้าวลัทธิก่อตั้งจึงกล่าวว่าวิชาร้อยรัดนี้ สามารถถ่ายทอดจากจ้าวลัทธิสู่จ้าวลัทธิเท่านั้น

นี่เพราะว่าในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตไม่มีวิชาร้อยรัด!

หรือกล่าวได้อีกอย่างว่า วิชาร้อยรัดดังกล่าวยังไม่ถูกสร้างขึ้นมา

วิชาร้อยรัดของคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตถูกซ่อนอยู่ในคําสอนสาธยายของคนตัดไม้บนก้อนหินแต่ทว่านี่จําต้องให้จ้าวลัทธิคนก่อนตรึกตรองทําความเข้าใจคําสอนสาธยายนั้นด้วยตนเอง พวกเขาจะตรึกตรองทําความเข้าใจได้มากเท่าไรและเข้าใจอะไรนั้น ขึ้นอยู่กับปฏิภาณความเข้าใจของจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์แต่ละคน พวกเขาจะเลือกแนวทางของตนเอง เลือกปัญญา และโชควาสนาของตน

สามารถกล่าวได้ว่าวิชาร้อยรัดที่จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์แต่ละคนตรึกตรองทําความเข้าใจออกมานั้นแตกต่างกันไป แม้ว่ามโนทัศน์บางอย่างจะคล้ายคลึงกันแต่วิชาร้อยรัดของพวกเขาไม่มีใครซํ้ากัน!

360 จ้าวลัทธิย่อมจะมี 360 วิชาฝึกปรือ และหมื่นจ้าวลัทธิก็ย่อมมีหมื่นวิชาฝึกปรือ!

ความคิดแรกของฉินมู่คือ นี่มันหลอกกันชัดๆ! หลอกลวงอะไรอย่างนี้ วิชาร้อยรัดในตํานานที่แท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่เขาต้องสร้างตรึกตรองขึ้นมาเอง

ความคิดถัดมาของเขาคือ ดังนี้แล้วนี่จึงเป็นการสั่งสอนอันเที่ยงแท้ นี่คือความหมายของการเป็นครูบาศักดิ์สิทธิ์

สิ่งที่เจ้าตรึกตรองเข้าใจขึ้นมาได้ย่อมเป็นของเจ้า และสิ่งที่เจ้าเรียนเขามาย่อมเป็นของผู้อื่น การถ่ายทอดวิชาของลัทธิมารฟ้านั้นเป็นสิ่งอันสํานักอื่นอันรวมไปถึงมหาวิทยาลัยจักรวรรดิมิอาจทัดเทียม

ปรมาจารย์เยาว์ถอนหายใจโล่งอกแล้วมองไปยังท่านยายซี เสียงของจ้าวลัทธิหลี่ดังออกมาจากปากท่านยายซี “อาจารย์ ตอนนี้ข้ามิใช่จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป นี่คือโอกาสที่ข้าจะทําลายมารในจิต อาจารย์โปรดอย่าขวางทางข้า!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!