ตอนที่ 168 เหล่าชายชรา
แดนโบราณวินาศ หมู่บ้านพิการชรา
ผู้ใหญ่บ้านยังคงนั่งอยู่บนแคร่จิบชาอยู่กับนักปรุงยาเหมือนเช่นเคย ทันใดนั้นนักปรุงยาก็หันกายมาถาม “ผู้ใหญ่บ้าน เจ้านั่งอยู่แบบนี้มาตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ ดูเหมือนเจ้าจะเป็นง่อยอยู่ที่นี่ ตลอด 2 วันมานี้และไม่กระดิกไปไหนแม้ช่วงเวลาที่ความมืดรุกราน เจ้าไม่กลับห้องไปนอนบ้างหรือ เมื่อข้าตื่นมาเมื่อเช้า ก็เห็นเจ้านอนอยู่ตรงนี้แล้ว”
ผู้ใหญ่บ้านหยีตาอย่างเกียจคร้านแล้วกล่าว “นักปรุงยา จิตใจเจ้าปั่นป่วนสับสน หลังจากมู่เอ๋อจากไป จิตใจเจ้าก็ปั่นป่วนสับสน”
นักปรุงยาแค่นหัวเราะเหอะเหอะ “จิตใจข้าปั่นป่วนสับสน? จิตใจของเจ้าชัดๆ ที่ปั่นป่วนสับสน! ดูข้าสิอาบนํ้าแต่งตัวดูแลตนเองอยู่ทุกวี่วัน ไม่เหมือนสารรูปโสโครกของเจ้าเหมือนศพที่เขาไปโยนทิ้งป่า ต่างก็แต่ว่าเจ้ายังไม่ขาดใจตายอยู่บนแคร่ของตัวเองก็เท่านั้น”
ผู้ใหญ่บ้านกล่าว “เป็นเจ้าชัดๆ ที่ยกข้ามาวางทิ้งไว้ที่นี่ตั้งแต่เช้าเมื่อวานนี้ และลืมยกข้ากลับเข้าไปตอนกลางคืน ไม่ใช่เพราะจิตใจปั่นป่วนสับสนหรือแบบนี้ ถึงกับลืมสิ่งที่เจ้าทําอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน?”
นักปรุงยาแย้มยิ้มด้วยความเดือดดาล “หากว่าข้าลืมยกเจ้ากลับเข้าไป แล้วเจ้าเดินกลับเข้าไปเองไม่ได้หรืออย่างไร เจ้าไม่รู้จักบินกลับเข้าไป? วรยุทธ์สูงส่งไร้เทียมทานของเจ้ามีไว้หาพระแสงอะไร”
ผู้ใหญ่บ้านนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวด้วยความสลดใจ “เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่มีแขน ไม่มีขา…”
นักปรุงยาคั่งแค้นจนแทบตาย ชราชราที่น่าตายผู้นี้ไม่ยักกะตายจากคําสาปและภูตมารในความมืดหลังจากที่ถูกวางทิ้งไว้เมื่อวานแต่กลับมีหน้ามาบอกว่าตนเองไม่มีแขนขา
เขากําลังจะถลกแขนเสื้อโต้เถียงยกใหญ่ให้รู้ดํารู้แดง แต่ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้น ผู้ใหญ่บ้านเองก็เงยหน้าแล้วแย้มยิ้มอย่างกระปรี้กระเปร่า “มีสหายมาจากแดนไกล มิน่ายินดีหรอกหรือ สหายเต๋า เจ้าพ้นภาระแล้ว”
ชายชราและชายหนุ่มขึ้นมาจากแม่นํ้าหย่งทางปลายนํ้าและกําลังเดินตรงมายังหมู่บ้าน
ผู้ใหญ่บ้านมองไปที่นักปรุงยาแล้วกล่าวทันที “หวีเจ้าอยู่ไหน อย่ามาทําเป็นซ่อน ข้ารู้ว่าเจ้าพกติดตัวตลอด นั่นอยู่ในอกเจ้าไง! เอาออกมาเร็วเข้า ข้าไม่ได้อาบนํ้าหวีผมมาตั้ง 2 วัน จะเจอหน้าอาคันตุกะทั้งอย่างนี้ได้อย่างไร”
นักปรุงยาเหยียดยิ้มหยันและไม่ขยับ
ผู้ใหญ่บ้านหัวเราะ “ก็ได้ๆ ข้านี่แหละเป็นฝ่ายผิด ข้าขี้เกียจเกินไปจนไม่ยอมกระดิกตัวไป 2 วัน”
นักปรุงยาส่งหวีให้เขา และผู้ใหญ่บ้านก็ใช้ปราณชีวิตของตนควบคุมหวีบินมาหวีผมตนเองและแต่งตัวให้เรียบร้อย
ปรมาจารย์เยาว์และผู้อาวุโสคุมกฎเดินเข้ามาและหยุดยืนคารวะทักทาย
ผู้ใหญ่บ้านแย้มยิ้ม “คนพิการไร้แขนขาไม่อาจคารวะตอบท่าน โปรดอภัยให้ด้วย ขอเชิญนั่งก่อน นักปรุงยา เตรียมชาด้วย”
ปรมาจารย์เยาว์นั่งลงและส่งยิ้มไปให้ เขาหันไปมองผู้อาวุโสคุมกฎที่ยืนอยู่ข้างหลัง “ข้ามิใช่ปรมาจารย์แห่งลัทธิศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป ไม่มีความจําเป็นต้องมีกฎเกณฑ์มากมาย นั่งด้วยกันสิ”
ผู้อาวุโสคุมกฎจึงนั่งลงข้างๆ ด้วย และวางหมวกไม้ไผ่สานไว้ข้างๆ
นักปรุงยานําชุดชงชาออกมา และต้มนํ้ากาใหม่ ใส่ใบชาลงไป เขาปล่อยให้ใบชาแช่อยู่ในนํ้าร้อนพักหนึ่ง ก่อนจะรินชาให้แก่ทั้ง 2 คน
“นักปรุงยามีวิธีดื่มชาแบบแดนใต้” ปรมาจารย์เยาว์แย้มยิ้ม
นักปรุงยายิ้มกล่าว “ข้ากําเนิดในแดนใต้ ดังนั้นข้าจึงคุ้นเคยกับวิธีดื่มชาแบบแดนใต้ ชาแดนเหนือนั้นมักจะเห็นใบชาลอยขึ้นลงในถ้วย ขณะที่ชาแดนใต้เรียบนิ่งสะท้อนจิตใจของผู้ดื่มด้วยนํ้าชาอันใสถึงก้นบึ้ง ทั้ง 2 วัฒนธรรมต่างก็มีจุดเด่นของมัน”
ปรมาจารย์เยาว์ยิ้ม “มิน่าล่ะ พวกท่านทั้ง 2 ถึงนั่งอยู่ที่นี่บ่อยๆ ผู้ใหญ่บ้าน ข้าจะขอมาพักที่นี่สักสามสี่วัน จะได้หรือไม่”
ไม่ทันที่ผู้ใหญ่บ้านจะอ้าปากตอบ นักปรุงยาก็ปรบมือแล้วยิ้มร่า “เยี่ยมมาก ดีสุดๆ! หลังจากมู่เอ๋อจากไป ตาแก่นี่ก็ทําให้ข้าเบื่อจนแทบตาย นั่งเบื้อเหมือนเป็นอัมพาตทั้งวันทั้งคืน ไม่ขยับไม่พูดคุย”
ผู้ใหญ่บ้านถลึงตาจ้องเขาทีนึงแล้วกล่าวกับปรมาจารย์เยาว์ “ในเมื่อตอนนี้ท่านก็พ้นภาระหน้าที่แล้ว มาพักที่นี่สักหลายวันเพื่อชําระล้างจิตใจก็เป็นเรื่องน่ายินดี”
ปรมาจารย์เยาว์กล่าว “ข้านับถือสหายเต๋าเป็นอย่างยิ่ง จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ถูกอบรมสั่งสอนมาโดยพวกท่านจนโดดเด่นเหนือธรรมดา ดังนั้นข้าจึงมาเพื่อขอคําชี้แนะปรึกษา จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์นั้นครอบครองกายาจ้าวแดนดินแต่กําเนิดและฝึกฝนวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ ทําให้ร่างกายของเขามีกําลังฝีมือเลิศลํ้าเกินธรรมดา ความรู้ของข้ายังจํากัดและไม่รู้ว่ามีสิ่งที่เรียกว่ากายาจ้าวแดนดินอยู่ในโลกนี้ ระหว่างที่ข้าพักอยู่ที่นี่ก็พอดีจะได้ปรึกษาขอคําชี้แนะจากสหาย…”
“กายาจ้าวแดนดิน!” ผู้ใหญ่บ้านและนักปรุงยามองหน้ากันไปมา และพลันระเบิดหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ชายชราทั้ง 2 มิได้หนุ่มแน่นเยาว์วัย แต่เขาหัวเราะด้วยปากอ้ากว้างและนํ้าหูนํ้าตาไหลทั่วหน้าไปหมดจนแทบหายใจไม่ทัน
“กายาจ้าวแดนดิน…ฮ่าๆๆๆ!”
ผู้ใหญ่บ้านกลิ้งลงจากแคร่พลางหัวเราะจนตัวโยน ส่วนนักปรุงนอนพังพาบกับพื้น มือก็ทุบพื้นไปมา หัวเราะจนลุกไม่ขึ้น
ปรมาจารย์เยาว์และผู้อาวุโสคุมกฎตะลึงงันกับการหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตายของพวกเขา ผู้อาวุโสคุมกฎลอบคิดในใจ สองคนนี้ เขาใช้ชีวิตน่าเบื่อหน่ายขนาดไหนกันนะ นี่มันไม่มีอะไรน่าขำสักนิด แต่พวกเขากลับหัวเราะจนแทบลืมหายใจ ข้ากับปรมาจารย์จะเสียสติเหมือนพวกเขาหรือเปล่าหากว่าอยู่ที่นี่นานๆ?
ผู้ใหญ่บ้านหยุดหัวเราะครู่หนึ่ง และนอนแผ่กับพื้นหอบหายใจ นักปรุงยาชี้ไปยังปรมาจารย์เยาว์แล้วหัวเราะ “พวกเราถึงกับหลอกต้มปรมาจารย์ลัทธิมารจนเปื่อยได้! ฮ่าๆๆๆ!”
ผ่านไปสักพักหนึ่ง ผู้ใหญ่บ้านก็ลอยกลับขึ้นมาบนแคร่ของตนและใช้ปราณชีวิตจัดแต่งผมเผ้าที่หลุดลุ่ย นักปรุงเดินออกไปไกลหน่อย ตบฝุ่นดินออกจากร่างกายแล้วก็ล้างหน้าล้างตา เขาถึงกับนําหวีอีกด้ามออกมาจากอกเสื้อแล้วแต่งตัวให้เรียบเนี้ยบ จากนั้นเดินกลับมานั่งแล้วกล่าวขออภัย “สหายเต๋า ตอนนี้ใน หมู่บ้านเหลือพวกเราแค่ 2 คนและก็เบื่อเซ็งจนแทบตาย ขนาดแม่ไก่มังกรก็ยังออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกหาตัวผู้มาให้กําเนิดลูกไก่มังกรอีกเล้า ยากนักที่จะมีคนมาเล่าเรื่องตลกให้พวกเราฟัง ดังนั้นพวกเราจึงเสียกิริยาไปหน่อย”
ปรมาจารย์เยาว์มองเลยไปข้างหลังพวกเขาและเห็นแม่ไก่มังกรซึ่งตัวสูงเท่ากับมนุษย์พาลูกไก่มังกรฝูงหนึ่งเดินกะต๊อกๆ ไปรอบๆ หมู่บ้าน แม่ไก่มังกรตัวนั้นสร้างลมพายุหอบหนึ่งจากการกระพือปีกของมัน
“แล้วกายาจ้าวแดนดินนี่มันคืออะไรหรือ”
ปรมาจารย์เยาว์ปรึกษาเขาอย่างถ่อมตน “ไม่ทราบว่าข้าจะขอให้สหายเต๋าทั้ง 2 ท่านช่วยสั่งสอนให้ความกระจ่างได้หรือไม่ ความรอบรู้ของข้านั้นยังคับแคบเกินไป…”
“ไม่ต้องพูดแล้ว ” ผู้ใหญ่บ้านกลั้นหัวเราะจนหน้าดําแล้วกล่าว “ข้าจะบอกเจ้า”
สักพักหนึ่ง ทั้งปรมาจารย์เยาว์และผู้อาวุโสคุมกฎต่างก็อ้าปากค้างเมื่อพวกเขารู้ความจริง ราวกับว่าพวกเขาถูกอสุนีบาตจากสวรรค์ฟาดใส่หัวร้อยครั้งก่อนที่จะถูกฝูงกระทิงแล่นเหยียบอีกร้อยรอบ มึนงงจนนึกอะไรไม่ออกไปนาน
กายาจ้าวแดนดินอันแข็งแกร่งที่สุดในโลกหล้ากลับเป็นเพียงกายของคนธรรมดา และวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะอันแข็งแกร่งที่สุดก็เป็นเพียงวิชาเต้าหยินที่สามัญชนคนทั่วไปใช้ฝึกปรือเสริมสร้างร่างกาย!
แต่กระนั้น ฉินมู่ก็ยังอุตส่าห์ฝึกปรือวิชานี้และคิดไปว่าเขากําลังครอบครองกายาจ้าวแดนดิน
นี่ยังไม่ใช่ประเด็นที่สําคัญที่สุด ที่สําคัญกว่านั้นก็คือฉินมู่ผู้ซึ่งเชื่อเรื่องนี้อย่างฝังหัวกลับสามารถเอาชนะบรรดายอดอัจฉริยะทั้งหลาย ทําให้พวกเขากลัวจนเยี่ยวราด เป็นผลงานอันโดดเด่นยิ่งใหญ่ราวกับว่ามีกายาจ้าวแดนดินอยู่จริงๆ!
ผู้ใหญ่บ้านและนักปรุงยาปลาบปลื้มกับผลงานของตนเอง พวกเขาสบตากันและผู้ใหญ่บ้านก็กระซิบ “ดูสีหน้าพวกเขาสิ เหมือนอย่างที่ข้าคิดไว้ไม่มีผิด”
ปรมาจารย์เยาว์ระบายลมหายใจขุ่นมัวและมีสีหน้าพิลึกพิลั่น “ที่แท้ก็อย่างนี้ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…แต่ว่า วิชากายาจ้าวแดนดินมันมีประเด็นที่น่าสงสัยอยู่นะ มันเหนือลํ้าเกินธรรมดามากไป”
“วิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะโฉมหน้าจริงของมันอาจจะ เป็นวิชาเต้าหยินอันดาษดื่นแต่ว่ามันมีข้อน่ากังขาอยู่ แต่ถึงกระนั้นการที่มีคนสามารถฝึกวิชาดังกล่าวได้ถึงขั้นที่มู่เอ๋อทําได้ นั้นนับว่าหายากยิ่งกว่ายาก ข้ากล้าพนันได้เลยว่าอย่างมู่เอ๋อเนี่ยมีแค่คนเดียว”
ผู้ใหญ่บ้านกล่าวด้วยสีหน้าแน่วแน่ “อย่างน้อยข้าก็ไม่เคยพบเห็นคนเช่นนี้มาก่อน ข้าสงสัยว่าวิชานี้อาจจะสืบทอดมาก่อนยุคแดนโบราณวินาศ ซึ่งน่าจะดีเด่นไม่เลวเลย และมันถูกถ่ายทอดแพร่หลายกลายเป็นวิชาเต้าหยินอันเรียบง่ายสามัญที่สุด เรื่องนี้ข้าก็ไม่แน่ใจเท่าไรแต่มีความเป็นไปได้หลายส่วนแต่ใครจะคิดล่ะว่าวิชานี้สามารถฝึกปรือถึงขั้นลึกลํ้าได้ในวันหนึ่ง”
ปรมาจารย์เยาว์สายตาวูบไหว “หรือเราอาจจะกล่าวได้ว่ายุคก่อนที่แดนโบราณวินาศจะกลายเป็นแดนโบราณวินาศ คนธรรมดาทั่วไปก็สามารถฝึกปรือเปิดสมบัติเทวะ และวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะนี้ก็คือวิชาฝึกปรือที่คนสามัญเหล่านั้นช่วงใช้ หากแต่ว่าด้วยเหตุอันไม่อาจล่วงรู้ได้ ทําให้คนธรรมดามิอาจ
ฝึกปรือสมบัติเทวะได้อีกต่อไป กายาวิญญาณทั้งสี่ปรากฎขึ้นมาภายหลัง และกลายเป็นกระแสหลักในบัดนี้”
นักปรุงยาใจวูบไหวเล็กน้อยแล้วถาม “หากคนธรรมดาทั่วไปไม่อาจฝึกปรือวรยุทธ์สมบัติเทวะได้ แล้วทําไมมู่เอ๋อทําได้ มันไม่น่าเป็นแค่เพราะความพากเพียรของเขา ในโลกนี้ต้องมีผู้คนที่พากเพียรยิ่งกว่ามู่เอ๋อ และก็ไม่น่าจะเพราะว่าเราทุ่มเททรัพยากรการฝึกวรยุทธ์ให้แก่มู่เอ๋อเป็นร้อยเท่าของคนธรรมดา ในโลกนี้ก็อาจจะมีผู้คนที่เต็มใจทุ่มเททรัพยากรมหาศาลเพื่อปลุกกายธรรมดาของสามัญชน ถ้าอย่างนั้นแล้ว มู่เอ๋อต้องมีอะไรบางอย่างที่แตกต่างจากคนทั่วไป”
ผู้ใหญ่บ้านใจเต้นตึกแล้วกล่าว “บางทีเขาอาจจะเป็นคนธรรมดาในยุคก่อนที่แดนโบราณวินาศจะกลายเป็นแดนโบราณวินาศ”
ทั้ง 3 คนมองกันไปมา และทุกคนก็เห็นด้วยกับข้อสันนิษฐานนี้
ปรมาจารย์เยาว์ถาม “ถ้าอย่างนั้น คนธรรมดายุคก่อนแดนโบราณวินาศอย่างเขามาจากที่ไหน”
ผู้ใหญ่บ้านและนักปรุงยาตอบเป็นเสียงเดียว “หมู่บ้านไร้กังวล!”
เมื่อพวกเขากล่าวออกไป พวกเขาก็มองกันด้วยจิตใจเต้นตูมตาม
มีแต่ผู้อาวุโสคุมกฎที่สมองแล่นไม่ไวเท่าพวกเขา งงงันอยู่และมิอาจร่วมวงสนทนาได้
“ข้ารู้สึกความคิดตามพวกเขาไม่ทัน…” ผู้อาวุโสคุมกฎรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้งให้โดดเดี่ยว
“หมู่บ้านไร้กังวล?”
ปรมาจารย์เยาว์สนใจขึ้นมาและถาม “ไม่ทราบว่าหมู่บ้านไร้กังวลนี้อยู่ที่ใด”
ผู้ใหญ่บ้านเผยยิ้มแล้วกล่าว “ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด แต่หากสหายเต๋าสนใจล่ะก็ คืนนี้เราสามารถออกจากหมู่บ้านไปเสาะหาดูได้”
“ออกจากหมู่บ้าน?” ปรมาจารย์เหลียวกลับไปมองแดนโบราณวินาศอันกว้างใหญ่เบื้องหลัง เขาพลันรู้สึกใจเครียดเขม็งพร้อมกับเจือด้วยความคาดหวังตื่นเต้น เขามาถูกที่แล้ว เขาคิดในใจ
นานมากแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอย่างนี้ พวกเฒ่าวายร้ายแห่งหมู่บ้านพิการชราทําให้เขารู้สึกถึงความอยากผจญภัยและความวู่วามบ้าบิ่นอันเคยมีเมื่อยังหนุ่มฉกรรจ์
2 ชายชราผู้ซึ่งขาข้างหนึ่งแหย่เข้าไปในโลง กับชราชราที่เยาว์กว่าอีกหน่อย และชายที่กึ่งๆ จะชราแต่ก็ยังไม่เฒ่าอย่างนักปรุงยาจะออกไปสํารวจความลึกลับของแดนโบราณวินาศในคํ่าคืนนี้ แค่คิดเขาก็คันไม้คันมือไปหมด
…
ภูเขานักบุญเยือน ฉินมู่สั่งความ “หลิงเอ๋อ แม้ว่าที่แห่งนี้จะเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของลัทธินักบุญสวรรค์เรา แต่ข้าก็เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก จึงไม่รู้ว่าที่ไหนอันตรายหรือไม่อันตราย เจ้าอย่าวิ่งเพ่นพ่านไปทั่ว และรอข้าอยู่ใกล้ๆ ให้ข้าฝึกปรือวิธีการเคลื่อนย้ายระยะไกลบนผนังสําเร็จเสียก่อนแล้วข้าจะพาเจ้าออกไปเที่ยวเล่น”
ฮู่หลิงเอ๋อรับคํา จากนั้นวิ่งออกไปจากโถงวังแห่งนี้
ฉินมู่นั่งลงตรงหน้ากําแพงและศึกษาวิธีการเคลื่อนย้ายระยะไกลจากบนนั้นอย่างใจจดใจจ่อ
วิธีการเคลื่อนย้ายระยะไกลที่จารึกไว้บนผนังเป็นวิถีแห่งการหลอมสร้างสมบัติและอักษรรูน พยุหะ ทักษะเทวะ ซึ่งมิอาจแยกใช้โดยลําพัง แต่ของเหล่านี้ต้องใช้ประสานร่วมกันในการหลอมสร้างสมบัติวิเศษ จึงจะทําให้สมบัตินั้นมีคุณสมบัติเคลื่อนย้ายระยะไกลได้
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทําไมยอดฝีมือส่วนใหญ่ในลัทธิจึงหลอมสร้างธงเคลื่อนย้ายระยะไกล และเสื้อผ้าเคลื่อนย้ายระยะไกล
เมื่อธงเคลื่อนย้ายระยะไกลถูกคลี่ออกมา ทุกๆ สิ่งที่ธงนั้นคลี่ทับก็จะถูกเคลื่อนย้ายระยะไกลไปในสถานที่ต้องการ สามารถนําพาผู้คนเคลื่อนย้ายไปได้ทีละมากๆ ขณะที่เสื้อผ้านั้นคลุมร่างคนคนเดียว และพาคนผู้นั้นเคลื่อนย้ายระยะไกลไปที่อื่นได้
ฉินมู่ตรึกตรองทําความเข้าใจแง่มหัศจรรย์ของวิธีเคลื่อนย้ายระยะไกลอย่างระมัดระวัง
ผ่านไป 1 วันเขาก็ตรึกตรองทําความเข้าใจวิธีการเคลื่อนย้ายระยะไกลบนผนังนั้นได้สําเร็จ และเริ่มลง มือครุ่นคิดคํานวณในใจ
วิธีเคลื่อนย้ายระยะไกลของลัทธิมารฟ้านั้นพึ่งพิงการช่วงใช้อักษรรูนให้ก่อรูปสร้างพยุหะ และให้พยุหะก่อตัวเป็นทักษะเทวะ เพราะว่ามันซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง จึงยากที่จะช่วงใช้ทักษะเทวะออกมาโดยตรง ดังนั้นพวกเขาจึงหลอมสร้างสมบัติที่ใช้เคลื่อนย้ายระยะไกลออกมาอีกทอด
หากว่าเขาสามารถขับเคลื่อนทักษะเทวะนี้ได้โดยตรง เขาก็จะสามารถเคลื่อนย้ายระยะไกลได้ทันที ซึ่งก็จะคล่องแคล่วฉับไวกว่าการใช้ธงหรือเสื้อผ้าเคลื่อนย้ายระยะไกล
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่ตรึกตรองมานาน ฉินมู่ก็พบว่าวิธีการเคลื่อนย้ายระยะไกลนี้ต้องการวิชาคํานวณอันเหนือชั้นกว่าที่มีต่อเมื่อความเชี่ยวชาญวิชาคํานวณบรรลุถึงขั้นสูงลํ้ากว่านี้เท่านั้น เขาถึงจะสามารถใช้ทักษะเทวะนี้ได้ หรืออาจจะเร็วยิ่งกว่านั้น
“ข้าต้องการตําราการคํานวณขั้นสูงกว่านี้!”