ตอนที่ 171 หางจิ้งจอก
การสรรค์สร้างวิชาร้อยรัดแห่งคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตนั้นมีเงื่อนไขประการเดียว คือต้องหลอมรวมร้อยรัดทุกเวทมนตร์ ทักษะ เทวะ เพลงกระบี่ และวิชาบู๊ทั้งหมดทั้งมวลในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต อันรวมไปถึงเจ็ดนิพนธ์เสกสรรด้วย
เมื่อใครทําเช่นนี้ได้ ก็นับได้ว่าเขาสามารถสรรค์สร้างวิชาร้อยรัดสําเร็จ
เมื่อจ้าวลัทธิคนก่อนๆ ได้รับคําสอนจากคนตัดไม้บนก้อนหิน พวกเขาล้วนแต่ต้องตรึกตรองทําความเข้าใจเพื่อสรรค์สร้างวิชาร้อยรัดของตนเอง ทําเช่นนี้ได้ตําแหน่งจ้าวลัทธิของเขาจึงจะมั่นคงไม่หลุดลอย
มิเช่นนั้นสําหรับสํานักเช่นลัทธิมารฟ้าที่ไม่สนใจว่าจ้าวลัทธิจะตายหรือไม่ การเปลี่ยนตัวจ้าวลัทธินั้นง่ายยังกับปอกกล้วย
ผู้ซึ่งสามารถขึ้นครองลัทธิมารฟ้าได้นั้น ล้วนแต่เป็นตัวตนที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ความสามารถ แต่ละคนนั้นนับว่าเป็นยอดอัจฉริยะของยุคสมัย แม้แต่จ้าวลัทธิหลี่ผู้ซึ่งถูกประนามว่าลุ่มหลงเสียสติกับความงามของสตรี ก็ยังนับเป็นหนึ่งในยอดอัจฉริยะ มิเช่นนั้นเขาคงมิอาจปลูกฝังมารจิตลงไปในจิตเต๋าของท่านยายซีได้ อันแม้แต่ยอดคนผู้เยี่ยมยุทธ์อย่างผู้ใหญ่บ้านและเฒ่าใบ้ก็งัดไม่ออกแงะไม่ได้
แต่ทว่า สิ่งที่ทําให้เทวราชทั้ง 3 แตกตื่นอย่างถึงที่สุดนั้นก็คือความรวดเร็วของฉินมู่ในการตรึกตรองทําความเข้าใจวิชาร้อยรัด อันเร็วมหัศจรรย์เกินมนุษย์มนา นี่เพิ่งจะ 10 กว่าวันและฉินมู่ก็ย่างเท้าเข้าสู่พรมแดนของวิชาร้อยรัดแล้ว เริ่มผสมผสานมันให้สอดคล้องกลมกลืนและหลอมรวมเข้าด้วยกัน
ที่พวกเขาไม่รู้นั้นก็คือว่ากายาจ้าวแดนดินของฉินมู่ไม่มีคุณสมบัติธาตุปราณชีวิตและสามารถแปรเปลี่ยนเป็นปราณชีวิตคุณสมบัติธาตุใดๆ ก็ได้ แถมวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะก็ไม่มีคุณสมบัติธาตุเช่นกันและสามารถแปรเปลี่ยนเป็นคุณสมบัติธาตุได้ทุกธาตุ
ฉินมู่ใช้วิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะเป็นรากฐาน จากนั้นต่อเติมและดึงส่วนเกินบนรากฐานนั้น กวาดตาผ่านคําสอนลัทธิ และปรัชญาในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต จากนั้นหลอมรวมเข้ากับแง่มหัศจรรย์ของคําสอนสาธยายบนก้อนหินแง้มประตูย่างก้าวเข้าสู่การสรรสร้างวิชาร้อยรัด
กระทําอย่างตรงไปตรงมา ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ฉินมู่ทําให้แนวคิดในประโยคนี้เปล่งประกายออกมาอย่างงดงาม
เมื่อพฤกษาหยกถูกประดับประดา วิชาก็สําเร็จเป็นรูปร่าง และที่เหลือก็มีแต่ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ฉินมู่ก็ ‘ฟันฝ่า’ บุกทะลวงมาจนถึงต้นสนไซเปรส เทวราชทั้ง 3 เห็นดังนั้นก็กระวนกระวายใจเป็นอย่างยิ่ง กลัวว่าฉินมู่จะโค่นฟันต้นไม้โบราณอันเป็นสัญลักษณ์ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ทิ้งเมื่อพวกเขาเผลอไผลเพียงแวบ
แต่ไม่นึกว่าฉินมู่จะหยุดยั้งการฟาดฟันกระบวนท่าใส่ต้นสนไซเปรส แต่กลับนั่งลงบนหินนักบุญ และขัดสมาธิบนอาสนะศักดิ์สิทธิ์ สงบกายและใจลง
ปราณชีวิตหมุนวนรอบๆ ร่างกายเขา ทารกวิญญาณที่เคลื่อนไหวไปพร้อมๆ กับดาวทั้ง 5 สั่นไหวสะท้าน ธาตุทั้ง 5 ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยตัวมันเอง และลอยเข้าไปรวมกับดาวธาตุทั้ง 5
ดวงตาเขาหลุบตํ่ามองไปที่จมูกตนและจมูกก็ชี้ไปยังหัวใจ ลมหายใจเขาเหมือนกับแสงสีขาว ขณะที่ดวงตาก็มีประกายแสงทองวูบวาบ และนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น
เทวราชหลู่กําลังจะเอ่ยวาจา แต่เทวราชฉื่อรีบทําเสียงชู่ และเดินออกไปห่างจากจุดนั้นด้วยปลายเท้าอันแผ่วเบา เทวราชหลู่และเทวราชอวี้จึงย่องออกไปด้วยอย่างเงียบเชียบ
“จ้าวลัทธิรุ่นนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ” เทวราชฉื่อเดินห่างออกไปและหันหน้าไปมองทางฉินมู่พลาง
ถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน “ปรมาจารย์มีวิจารณญาณอันคมกล้าจริงๆ อนาคตของลัทธิเราคงจะต้องพึ่งพิงเขาแล้ว พรสวรรค์ และปฏิภาณความเข้าใจระดับนี้นับว่าหายากในแดนดิน”
“เขาก็ยังเทียบไม่ได้กับยอดปราชญ์ในรอบ 500 ปีอยู่ดี” ราชาสวรรค์อวี้ถอนหายใจ “ตัวตนเยี่ยงราชครูสันตินิรันดร์นี้จะพบพานได้เพียงหนึ่งคนในทุกรอบระยะเวลา 500 ปีเท่านั้น…”
ราชาสวรรค์มองไปยังความย่อยยับระเกะระกะอันเกลื่อนกล่นไปทั้งภูเขา พวกมันคือต้นไม้ที่ถูกโค่นฟันและถอนรากออกเมื่อฉินมู่วิ่งตะบึงไปและเข้าภวังค์สมาธิตรึกตรองไป ต้นไม้บางต้นที่ล้มอยู่ยังส่งเสียงเปรี๊ยะปร๊ะจากเปลงเพลิงที่ลุกไหม้กัดกินมัน
“ ‘หายากในแดนดิน’ ก็ยังไม่อาจทัดเทียมกับ ‘ในรอบ 500 ปี’ จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรานี้ดีไปหมดทุกอย่าง เสียอย่างเดียว สร้างเรื่องป่วนเก่งไปหน่อย”
เทวราชแห่งลัทธิ 3 คนนี้ถอนหายใจอย่างอเนจอนาถ “ภูเขานักบุญเยือนของลัทธิเราเคยถูกทําลายราบขนาดนี้ก็เมื่อตอนที่สํานักเต๋ากับวัดใหญ่ฟ้าคํารามบุกมาใช่ไหมล่ะ”
“เลิกพูดนี่นั่นเถอะ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นจ้าวลัทธิที่ปรมาจารย์เลือกเฟ้นมากับมือ พวกเราต้องอดทนเข้าไว้ รีบไปดับไฟกันดีกว่า!”
ฉินมู่นั่งบนหินนักบุญไปอีกครึ่งวันและฟื้นสติมาเมื่อเกิดหิวโหย เขาเรียกฮู่หลิงเอ๋อมาให้ไปล่ากวางชะมด พวกเขาย่างเนื้อกวางชะมด และอิ่มแน่นพุงเพียงแค่กินเนื้อกวางไปครึ่งตัว
“คุณชายเบื่อมันแล้วหรือ”
จิ้งจอกน้อยแคะฟันของนางด้วยท่าทางเบื่อหน่ายแล้วกล่าว “ข้าเห็นปลามังกรหลายตัวอยู่ในบ่อชมมัจฉา ดูอ้วนท้วนน่านํ้าลายไหล”
“ข้าก็เห็นมันเหมือนกัน พวกมันดูน่าอร่อยจริงๆ นั่นแหละ”
ฉินมู่ลังเลอยู่ครู่ก่อนกล่าวต่อ “แต่ข้าเกรงว่าข้าคงเอาชนะปลาพวกนั้นไม่ได้ หากแต่ว่าท่านปู่นักปรุงยาเคยบอกข้าไว้ ถ้าชนะไม่ได้ ก็วางยามันซะสิ”
ฮู่หลิงเอ๋อโห่ร้องดีใจ แต่ร้องได้แค่ครึ่งเสียง จิ้งจอกน้อยก็หุบปากของนางทันที เพราะว่านางเหลือบไปเห็นเทวราชทั้ง 3 ยืนอยู่ข้างหลังพวกเขาด้วยหน้ามืดดําดุจเมฆทะมึน
ฉินมู่ลุกขึ้นแล้วยิ้มแย้ม “เทวราชทั้งหลายมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ไม่นาน ไม่นาน”
เทวราชฉื่อปั้นหน้ายิ้มแย้มรื่นรมย์ “จ้าวลัทธิกรุณาทานต่อช้า ๆ ไม่ต้องรีบร้อน จริงสิ ปลามังกรหลายตัวในบ่อชมมัจฉาเนี่ย เป็นปลาที่ถูกเลี้ยงไว้โดยจ้าวลัทธิคนที่ 16 ซึ่งสั่งสอนลูกศิษย์ของเขาริมบ่ออันเลี้ยงปลาเอาไว้ จ้าวลัทธิคนที่ 16 แปลงปลาเหล่านั้นให้กลายเป็นมังกรเพื่อชี้แนะวิชาแก่ศานุศิษย์ กลายเป็น เรื่องเล่าขานอันเป็นตํานานแพร่กระจายไปกว้างขวาง ดังนั้นปลามังกรเหล่านี้จึงอาศัยอยู่ในบ่อตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หากจ้าวลัทธิศักดิ์มีเวลาว่าง ท่านสามารถไปที่บ่อเพื่อนับจํานวนปลาว่ามีตัวไหนขาดหายไปไหม เผื่อว่าจะมีปลาบางตัวหลุดหนีไป”
ฉินมู่หน้าแดงขึ้นเล็กน้อย ปลามังกรพวกนั้นจับมากินไม่ได้หรอกหรือ
“จ้าวลัทธิ กวางชะมดรสชาติเป็นอย่างไรบ้าง” เทวราชหลู่ถามพร้อมกับรอยยิ้ม
“เชิญพวกท่านนั่งและทานด้วยกันสิ” ฉินมู่เชื้อเชิญ
เทวราชลัทธิทั้ง 3 ไม่ถ่อมตนปฏิเสธ พวกเขาเลือกนั่งกันตามใจแล้วแบ่งเนื้อกวางชะมด
เทวราชอวี้เลียนํ้ามันเนื้อที่ติดมือ แล้วยิ้มแย้ม “รสชาติไม่เลวเลย! หากไม่ใช่เพราะข้ารู้ว่ากวางพวกนี้ถูกเลี้ยงไว้โดยธิดาเทพรุ่นก่อน ข้าคงจับพวกมันกินไปตั้งนานแล้ว!”
“ท่านยายซีเลี้ยงพวกมันอย่างนั้นหรือ…” สีหน้าฉินมู่มืดคลํ้าทันใด มีอย่างอื่นกินแทนได้ไหมบนภูเขา
นักบุญเยือนนี้
เทวราชหลู่ดูเหมือนจะโพล่งออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ “ป่าไม้ที่จ้าวลัทธิทําลายไปถูกปลูกไว้ตั้งแต่สมัยจ้าวลัทธิก่อตั้ง ต้นปาล์มสาคูเติบโตอย่างเนิ่นช้า และกว่าที่เนื้อไม้จะหนาแกร่งขนาดนี้ก็ใช้เวลาเติบโตไปหลายพันปี”
ฉินมู่รู้สึกนั่งไม่ติด ป่านั้นถูกเขาทําลายราบ และเหลือต้นปาล์มสาคูไม่กี่ต้นที่ยังยืนต้นไหม้ไฟอยู่กรุบกริบ
“เอ ข้าไม่รู้เหมือนกันนะว่าใครไปเด็ดดอกไม้หทัยศักดิ์สิทธิ์จากแปลงดอกไม้ในโถงหทัยศักดิ์สิทธิ์” เทวราชอวี้ยิ้มแฉ่ง
ฉินมู่จ้องฮู่หลิงเอ๋อ ผู้ซึ่งก้มหน้ามองกระดูกกวางชะมด หางขนฟูของนางซึ่งปกติมักจะแกว่งไปมาตอนนี้กลับนิ่งสนิท
เทวราชฉื่อกล่าว “ยังมีตะเกียงเขียวในเรือนเสน่ห์ธรรมชาติซึ่งบรรจุนํ้ามันงาเอาไว้ ไม่รู้เหมือนกันว่าใครดื่มมันเข้าไปตั้งเยอะทีเดียว”
ฮู่หลิงเอ๋อรู้สึกถึงสายตาของฉินมู่ที่จับจ้องมองหางจิ้งจอกของนาง และรีบซุกหางของนางซ่อนไว้ใต้ก้น
ฉินมู่กระแอมไปแล้วกล่าว “หลิงเอ๋อ หางจิ้งจอกเจ้าโผล่แล้ว”
“ไหนอ่ะ”
จิ้งจอกน้อยรํ่าร้อง “ข้าซ่อนมันไว้แล้วชัดๆ!”
เทวราชหลู่กล่าวอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “ยังมีต้นสมุนไพรโบราณที่หน้าโถงราชาสมุนไพร และมีเห็ดหลินจือทองแดง 9 กลีบงอกเงยอยู่บนนั้น ทั้ง 9 กลีบถูกกัดแทะไปจนแทบไม่เหลือหรอ เห็ดหลินจือถูกเพาะหล่อเลี้ยงด้วยต้นสมุนไพรโบราณและมีฤทธิ์พลังยาอันแข็งแกร่งอยู่ในนั้น ในเห็ดมีสปอร์อยู่และสปอร์จะลอยไปทั่วทิศทาง สปอร์เหล่านั้นจะงอกขึ้นมาเป็นครั้งเป็นคราว และปรากฏเห็ดหลินจือน้อยโผล่ขึ้นมา”
บนศีรษะจิ้งจอกน้อย เห็ดหลินจือเล็กๆ พลันผุดโผล่ นางรีบเอื้อมอุ้งเท้าขึ้นไปทําทีเป็นเกาหัวตัวเอง จริงๆ แล้วแอบเด็ดหลินจือลงมาแล้วลอบป้อนเข้าในปากตน นางคิดว่าคงไม่มีใครจับได้ แต่ก็ประหลาดใจเมื่อเห็นฉินมู่และเทวราชทั้ง 2 จ้องมองนางเป็นสายตาเดียวกัน
เทวราชฉื่อกล่าว “ยังมีมุกเมฆาอีกหลายเม็ดที่ฝังไว้บนม่านกั้นในศาลาเมฆล่องลอย พวกมันคงจะร่วงออกมา…”
ฮู่หลิงเอ๋อรู้สึกกระสับกระส่าย และรีบเอาเป้หลังเล็กๆ ของนางมากอดไว้แน่น
ฉินมู่กระแอมไออีกสองที จากนั้นลุกขึ้นยืน “เทวราชทั้ง 3 ข้ามาที่ภูเขานักบุญเยือนก็นานโขแล้ว ข้าเพิ่งนึกได้ว่าข้ายังคงเป็นดุษฎีบัณฑิตของมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ และยังไม่ค่อยได้เข้าชั้นเรียนสักกี่ครั้งเลย ข้ากะว่าจะออกจากภูเขานักบุญเยือนในวันนี้ และกลับไปยังเมืองหลวง”
เทวราชทั้ง 3 ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และเทวราชฉื่อก็กล่าว “อันที่จริงแล้ว พวกเราควรรั้งท่านไว้ที่นี่เพื่อตรึกตรองทําความเข้าใจวิชาร้อยรัดต่อ แต่ในเมื่อการศึกษาของจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์มีความสําคัญยิ่ง พวกเราจึงจะไม่รั้งท่านเอาไว้”
เทวราชอวี้กล่าวอย่างสุภาพมากมารยาท “จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ภูเขานักบุญเยือนก็คือบ้านของจ้าวลัทธิ ดังนั้นท่านควรกลับมาเยี่ยมเยือนที่นี่บ่อยๆ อย่าถือตนเองเป็นคนนอก”
“แน่นอน แน่นอน”
ฉินมู่ก็ตอบกลับไปอย่างมากมารยาทเช่นกัน “ในฐานะจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ข้าต้องกลับมาเยี่ยมเยือนบ่อยๆ อยู่แล้วล่ะ”
“ท่านจ้าวลัทธิต้องการให้พวกเราส่งลงจากภูเขาหรือไม่”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เทวราชทั้ง 3 ไม่จําเป็นต้องไปส่งข้าหรอก”
“คุณชาย ดูเหมือนท่านจะถูกเทวราชลัทธิชังนํ้าหน้าเข้าซะแล้ว” ฮู่หลิงเอ๋อกะพริบตาปริบๆ อย่างใสซื่อแล้วกล่าว
ฉินมู่จ้องนางเขม็ง และฮู่หลิงเอ๋อก็รีบซุกหางจิ้งจอกของนางอีกครั้ง ฉินมู่พูดไม่ออกและได้ส่ายหน้า “แม้ว่าเจ้าจะสร้างเรื่องป่วนไปทั่ว นั่นก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย เรื่องป่วนที่ข้าก่อก็มีไม่น้อยเช่นกัน ทั้งยังล้วนแต่ใหญ่หลวงกว่าเจ้า ดังนั้นข้าจึงไม่มีหน้าไปติเตียนเจ้า นี่อาจจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ลัทธินักบุญสวรรค์ที่จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ถูกลูกน้องชังนํ้าหน้า แต่ช่างเถอะ ในเมื่อข้าตรึกตรองทําความเข้าใจวิชาร้อยรัดไปได้ตั้งมากแล้ว พวกเราลงจากภูเขากันก็ดี”
ฮู่หลิงเอ๋อรีบพยักหน้า
ฉินมู่ทดลองอีกสองสามครั้ง และรู้สึกว่าเขาคล่องแคล่วในวิธีการใช้เสื้อผ้าเคลื่อนย้ายระยะไกล เขาจึงอุ้มฮู่หลิงเอ๋อมาไว้ที่อก จากนั้นกล่าว “ข้ายังไม่มั่นใจในการเคลื่อนย้ายระยะไกลนี้เท่าไร ที่กระเป๋าหลังข้ามียาเซียนจํานวนหนึ่ง และหากว่าปราณชีวิตของข้าขาดพร่องไม่เพียงพอ ข้าก็จะสามารถใช้ยาเซียนเหล่านั้นฟื้นฟูเติมใหม่ได้”
ฮู่หลิงเอ๋อเกาะที่อกเสื้อเขาไว้แน่นและไม่กล้าเผลอไผล ฉินมู่กระโดดลงจากภูเขานักบุญเยือนและเสียงลมอื้ออึงก็หวีดผ่านหูเขา
ด้วยเสื้อปักลายที่คลี่ทับแล้ววับออกเขาก็หายวิ้งไปในอากาศธาตุ
เทวราชทั้งสามพลันวิ่งไปยังตีนเขา และมองลงไปข้างล่าง แต่กลับไม่เห็นร่องรอยของฉินมู่
“เนตรโลหิตอสุรา ปลุกพลัง!”
เทวราชอวี้ใช้นิ้วชี้แตะที่หว่างคิ้วของตนแสงสีแดงพลันแผ่พุ่งจากดวงตาทั้ง 2 ของเขา และเขาก็มองลงไปข้างล่างค้นหาอย่างถี่ถ้วน หลังจากนั้นพักหนึ่ง เขาก็พบร่องรอยของฉินมู่และถอนหายใจออกมา “จ้าวลัทธิยังอยู่ดี และเขาไปถึงขอบแดนสายฟ้าสวรรค์จํากัดเขตอันหมุนวนรอบๆ ภูเขานักบุญเยือนแล้ว หลังจากที่เขาผ่านพื้นที่สายฟ้าสวรรค์จํากัดเขตไปได้ เขาก็จะปลอดภัย”
เทวราชหลู่พลันใจสั่นสะท้านและเขารีบถาม “ศิษย์พี่ ท่านได้บอกจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวกับพื้นที่สายฟ้าสวรรค์จํากัดเขตรอบนอกภูเขานักบุญเยือนไหม”
เทวราชอวี้และเทวราชฉื่อมองหน้ากันและต่างก็ส่ายหน้า เทวราชฉื่อพึมพํา “ศิษย์น้องหลู่ก็ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์หรอกหรือ?”
เทวราชหลู่สายหน้า “ข้าก็คิดว่าพวกท่านบอกเขาแล้ว…แย่ล่ะ!”
สีหน้าของเทวราชทั้ง 3 พลันแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง และพวกเขารีบกระโดดลงไปทันที พื้นที่สายฟ้าสวรรค์จํากัดเขตนั้นถูกสร้างไว้โดยจ้าวลัทธิรุ่นก่อนๆ เพื่อปกป้องแดนศักดิ์สิทธิ์ เมื่อมองจากข้างนอกจะไม่เห็นความผิดปกติ แต่หากล่วงลํ้าเข้าไปแล้วล่ะก็
ผู้ล่วงลํ้าจะถูกสายฟ้าสวรรค์นภากระจ่างถล่มฟาดลงมาอย่างไร้ปรานี!
อย่าว่าแต่ฉินมู่เลย แม้แต่ยอดฝีมือผู้มีวรยุทธ์ขั้นชาวสวรรค์ พวกเขาก็คงตายไม่ก็พิการหากล่วงลํ้าเข้าไปในพื้นที่!
ด้วยขั้นวรยุทธ์ของฉินมู่ เขาจะต้องถูกเผาเป็นเถ้าถ่านในพริบตาเป็นแน่!
เทวราชทั้ง 3 เคลื่อนที่รวดเร็วอย่างยิ่ง และพวกเขาก็มาถึงพื้นที่สายฟ้าสวรรค์จํากัดเขต บุกเข้าไปในพื้นที่นั้นเพื่อหมายช่วยชีวิตฉินมู่และฮู่หลิงเอ๋อ ทว่าแม้พวกเขาจะมีวรยุทธ์สูงส่งเข้มแข็ง ก็ยังดําเป็นเถ้าถ่านจากฟ้าพิโรธ
“พื้นที่สายฟ้านั่นอันตรายเสียจริง”
ที่นอกพื้นที่สายฟ้าสวรรค์จํากัดเขต ฉินมู่มองขึ้นไปบนท้องฟ้าและยังคงรู้สึกหวาดผวาอยู่ในใจ “โชคดีที่ข้าใช้เนตรสวรรค์เขียวส่องเห็นพื้นที่สายฟ้าอันซุ่มซ่อนอยู่ และเคลื่อนย้ายระยะไกลออกมาจากพื้นที่นั้นโดยทันที เอ๊ะ แต่ดูเหมือนจะมีผู้คนอยู่ในพื้นที่สายฟ้า…”
เขาไม่มีเวลาหยุดดูให้ชัดถนัดตา เมื่อร่างของเขาร่วงลงจากกลางอากาศ ข้างใต้เขาเป็นภูเขาเขียวและนํ้าสีครามแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์อันคลี่คลุมไว้ด้วยหมู่เมฆขาวดารดาษดูตระการตาเป็นอย่างยิ่ง