19. ปลุกพลังกายาจ้าวแดนดิน
“เกาะกลางน้ำร้อยสิบลี้จากที่นี่?”
ฉินมู่กลับถึงหมู่บ้านก่อนราตรีจะมาเยือน เขาวางตะกร้าไม้ไผ่อันเต็มไปด้วยศาสตราวุธในหมู่บ้าน พวกผู้เฒ่าแตกตื่นกับสิ่งที่เห็นจึงรีบมารุมล้อมซักถามความเป็นไปของอาวุธพวกนี้
ฉินมู่บอกเล่าประสบการณ์ของเขา ทำเอาเฒ่าบอดเปลี่ยนสีหน้าและครางฮือ “อ้า…วัดบนเกาะกลางน้ำกักขังสัตว์พิสดารระดับครองดินแดนไว้ มันเป็นปีศาจทรงอำนาจที่เชี่ยวชาญการแปลงกาย ชื่อนางเรียกว่าแม่นางอู๋ เจ้าเข้าไปในวัดนางแล้วขโมยสมบัตินางมาได้เชียวน่ะรึ”
ท่านยายซีก็อุทานเช่นกัน “แม่นางอู๋นั่นน่ะหรือ ข้าผ่านวัดร้างหนนึงเห็นนางกินผู้คนเข้าไปมากเลยสั่งสอนนางนิดหน่อย สุดท้ายนางก็เข้าไปแอบซ่อนหลังพุทธรูป พุทธรูปนั่นแปลกพิลึกแถมมีทีท่าว่าจะสยบข้า ข้าเลยไม่เอานางจนถึงตาย พุทธรูปนั่นไม่ชอบมาพากลเลย…”
“ข้าก็เคยพบนางเหมือนกัน นางเป็นปีศาจมากอิทธิฤทธิ์ที่ฝีมือทัดเทียมกับผู้ฝึกยุทธระดับเจ็ดดารา” เฒ่าเป๋กล่าวแล้วถามต่อ “มู่เอ๋อ เจ้าขโมยของนางแล้วหลบหนีพ้นเงื้อมมือแม่นางอู๋มาได้อย่างไร”
ฉินมู่ถึงตระหนักว่าไม่อาจปิดบังความลับได้อีกต่อไป เขาจึงบอกเล่าทุกคนเกี่ยวกับคาถามารที่เขาลอกเลียนจากปรากฏการณ์ในหุบเขา จากนั้นเขาจึงอธิบายต่อว่าเขาใช้เสียง เทพ มาร และพุทธ สยบแม่นางอู๋โดยสิ้นเชิงได้อย่างไร
พวกชาวบ้านฟังเรื่องของฉินมู่แล้วก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก ผ่านไปครู่ใหญ่ เฒ่าหม่าจึงระบายลมหายใจออกมาแล้วเอ่ยปาก “เด็กฉลาดอนาคตไกล…เด็กฉลาดอนาคตไกล”
เฒ่าเป๋ เฒ่าหนวกและคนอื่นๆ ผงกหัวเห็นด้วย ต่างยกหัวแม่โป้งให้ด้วยความชื่นชม
แม่นางอู๋…จอมปีศาจที่มีพลังยุทธเทียบขั้นเจ็ดดารา ถูกรีดเค้นปล้นชิงโดยฉินมู่ ไม่เรียกฉลาดอนาคตไกลจะเรียกอะไร! ทำให้พวกเขาปลื้มปริ่มที่ฉินมู่รู้จักใช้สิ่งที่พวกเขาสั่งสอน!
เฒ่าใบ้หยิบอาวุธมาสองสามชิ้นลองกวัดแกว่งดู แล้วส่ายหน้า เขาทำภาษามือสองสามทีเพื่อบอกว่าอาวุธเหล่านี้ไม่ได้ดีเด่อะไร ไร้ค่าไม่มีประโยชน์
“เดี๋ยววันพรุ่งนี้ข้าจะไปเมืองเขตมังกร แล้วขายอาวุธวิญญาณพวกนี้ซะ จะได้ซื้อเครื่องเทศ ม้วนผ้า สุราดีด้วยเสียเลย”
ท่านยายซีแย้มยิ้ม กล่าวเสริม “ได้เวลาที่ข้าจะเอาวัวควายไปขายสักทีเหมือนกัน”
ฉินมู่ฟังแล้วก็รู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมา ไปเมืองเขตมังกรงั้นหรือ
ตั้งแต่เล็กจนโต เขาได้แต่อยู่ในหมู่บ้านพิการชรา และเพิ่งมีโอกาสไปที่อื่นไกลๆ ในช่วงนี้ เมืองเขตมังกรนั้นเขาเคยได้ยินแต่ชื่อแต่ไม่เคยได้ไปสักครา!
“พวกเราพาเจ้าไปไม่ได้หรอก เจ้ายังเล็กเกินไป” ท่านยายซีส่ายหน้า
ฉินมู่ผิดหวัง เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะรวบรวมความกล้าเอ่ยปากสารภาพ “ท่านยายซี ท่านปู่หม่า จริงๆ แล้วยังมีอีกเรื่อง…”
“ข้าปลุกพลังกายาจ้าวแดนดินสำเร็จแล้ว”
รอบข้างพลันตกในความเงียบ
เมื่อตั้งตัวได้ เฒ่าหม่า เฒ่าเป๋ และท่านยายซีก็ลุกขึ้นโห่ร้องดีใจ เฒ่าใบ้ทำเสียงแบะๆ ไม่หยุด มีแต่เฒ่าหนวกที่ไม่เห็นว่าฉินมู่พูดอะไรและงุนงงว่าไฉนผู้เฒ่าพวกนี้ถึงกระโดดโลดเต้นไปมา จนกระทั่งเขาเห็นฉินมู่พูดซ้ำอีกครั้ง ถึงรู้ว่าหมายถึงอะไร แล้วระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น!
เฒ่าบอดร้องเรียกโหวกเหวก “ผู้ใหญ่บ้าน นักปรุงยา! มานี่ไวๆ! กายาจ้าวแดนดินปลุกพลังแล้ว!”
คนแล่เนื้อเองก็ตื่นเต้นหนัก กู่เสียงก้องยาวขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วร้องเรียกเช่นกัน “ผู้ใหญ่บ้าน นักปรุงยา ในที่สุด…กายาจ้าวแดนดินก็ปลุกพลังแล้ว!”
ตอนที่ฉินมู่กลับมาถึงหมู่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านกำลังตั้งอยู่บนเก้าอี้หน้าบ้านของเขากับนักปรุงยาซึ่งกำลังชงชาและรินให้อยู่ข้างๆ แต่เนื่องจากผู้ใหญ่บ้านไม่มีแขนขาเลยสักข้าง งานป้อนชาถึงปากก็ตกเป็นของนักปรุงยาอีกนั่นแหละ
ทั้งคู่มักจะดื่มชาอย่างสงบเสงี่ยมเป็นผู้ดิบผู้ดี ชื่นชมชีวิตเรียบง่ายผ่านการดื่มชงน้ำชา
และตอนที่ผู้ใหญ่บ้านเพิ่งดื่มชาไปได้ครึ่งอึกเท่านั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงตะโกนของเฒ่าบอดและเฒ่าหม่า ทำเอาเขาสำลักชาพุ่งพรวดออกทั้งปากทั้งจมูก ขนาดที่หางตายังมีสายน้ำชาพุ่งฉีดเป็นสาย
เพล้ง!
ถ้วยชาในมือนักปรุงยาก็หล่นแตกลงบนพื้น สาดน้ำชาที่เหลือใส่หน้าผู้ใหญ่บ้าน ทั้งคู่เบิกตากว้างจ้องกันอย่างไม่เชื่อหู ปากก็อ้าค้างโดยไม่รู้ตัว
นักปรุงยาถึงเพิ่งฟื้นจากตะลึง แล้วระล่ำระลัก “กายา…กายาจ้าวแดนดิน…ปลุกพลังแล้ว?”
ด้านผู้ใหญ่บ้านดูท่าจะยังไม่หายตะลึงง่ายๆ ในเมื่อเขาจ้องตาค้างอยู่อย่างงั้น
เฒ่าเป๋กะเผลกๆ เข้ามาใกล้แล้วผงกหัวรัวๆ พลางยิ้มกว้าง “ใช่แล้วๆ กายาจ้าวแดนดินปลุกพลังแล้ว! ข้าเพิ่งตรวจชีพจรดูเมื่อครู่และพบว่าปราณชีวิตของเขาตั้งหนาแน่นและบริสุทธิ์กว่าเมื่อเช้านี้ถึงสามเท่า! ไม่เพียงเท่านั้นที่ใจกลางระหว่างคิ้วของเขายังมีคลื่นพลังพิสดารจากการเริ่มฟื้นตื่นของทารกวิญญาณ แปลว่าเขาหลอมรวมจิตสำนึกเข้ากับทารกวิญญาณเรียบร้อยแล้วด้วย! และนี่เป็นสัญญาณว่าทารกวิญญาณเขาก็กำลังจะปลุกพลัง!”
ฉินมู่เดินมาใกล้และเห็นนักปรุงยาอ้าปากหวอหนักกว่าเดิม ขนาดที่ยัดไข่เป็ดเข้าไปได้สองฟอง ส่วนอีกด้านหนึ่งก็มีน้ำชาไหลรินออกจากหางตาของผู้ใหญ่บ้าน เขาคิดในใจ ท่านปู่ผู้ใหญ่บ้านกับท่านปู่นักปรุงยาตกใจอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย แต่นี่พวกเขาดูแตกตื่นมากไปหรือเปล่านะ
นักปรุงยาถึงค่อยหุบปากของเขาลง จากนั้นรีบถาม “มู่เอ๋อ กายาจ้าวแดนดินของเจ้าปลุกพลังแล้วจริง ๆ น่ะหรือ”
ฉินมู่ผงกหัวรับแล้วกล่าว “มันปลุกพลังขึ้นมาเองตอนที่ข้าไม่ทันสังเกตน่ะ”
นักปรุงยาฟังแล้วแทบสำลักอากาศตาย พลางพึมพำ “ปลุกพลังขึ้นเอง ตอนที่เขาไม่ทันสังเกต…”
ผู้ใหญ่บ้านฟื้นคืนสติในที่สุด เขาหัวเราะโฮ่ๆ แล้วกล่าว “มู่เอ๋อมีกายาจ้าวแดนดินแบบไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วว่าผู้รอบรู้อย่างข้าต้องคาดคะเนไม่ผิด ไม่แปลกอะไรสักนิดเลยที่เขาจะปลุกพลังกายาจ้าวแดนดินได้สำเร็จ…โฮ่ๆๆ!”
สีหน้าของนักปรุงยาพิลึกประหลาดจนบรรยายไม่ถูก เขารีบกระแอมกลบเกลื่อน “อะแฮ่มๆ ดีมากๆ ที่กายาจ้าวแดนดินปลุกพลังแล้ว! แต่ว่ามู่เอ๋อ เจ้าต้องไม่เหลิงลำพองเพียงเพราะปลุกพลังกายาจ้าวแดนดินได้ มรรคาแห่งการฝึกยุทธของเจ้าเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น เจ้าเข้าใจไหม”
ฉินมู่รีบผงกหัวรับคำสอน
ผู้ใหญ่บ้านยิ้มแช่มชื่นแล้วกล่าว “นักปรุงยากล่าวได้ดี กล่าวได้ถูกต้อง เส้นทางของกายาจ้าวแดนดินนั้นยากหนาสาหัส ดังนั้นเจ้าจะประมาทเกียจคร้านไม่ได้เป็นอันขาด นักปรุงยา…ข้าเริ่มรู้สึกเหนื่อยล่ะ เจ้าช่วยส่งข้ากลับหน่อย”
นักปรุงยาเข้าใจความนัย แล้วรีบแบกผู้ใหญ่บ้านส่งกลับเข้าเรือน
เมื่อเข้าไปในห้อง ผู้เฒ่าสองคนต่างก็สบตากันด้วยความวุ่นวายใจ นักปรุงยาหรี่เสียงตนเองให้เบาที่สุดแล้วเอ่ยปาก “ผู้ใหญ่บ้าน มู่เอ๋อมีกายาจ้าวแดนดินจริงๆ น่ะหรือ”
“ไม่มีเด็ดขาด!” ผู้ใหญ่บ้านตอบอย่างแน่ใจ
“งั้นเขาปลุกพลัง…”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไรล่ะ”
ผู้เฒ่าทั้งสองต่างก็ตกในความอึ้งกันอีกครา ด้วยไม่รู้ว่าจะอธิบายปรากฎการณ์ของฉินมู่ได้อย่างไร ผ่านไปสักพัก นักปรุงยาพยายามถามต่อ “หรือว่ากายธรรมดาก็สามารถทลายกำแพงทารกวิญญาณได้”
“กายธรรมดาทลายกำแพง? ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน สงสัยว่าฉินมู่คงนับได้ว่าเป็นคนแรก”
พลันผู้ใหญ่บ้านเผยยิ้ม “นักปรุงยา บางทีฉินมู่อาจจะกลายเป็นกายาจ้าวแดนดินจริงๆ ก็ได้ และบุกเบิกเส้นทางยุทธอันพิเศษพิสดาร นั่นไม่ใช่เป้าหมายของพวกเราแต่แรกหรือไง”
นักปรุงยาได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มเช่นกัน “กายธรรมดาสู่กายาจ้าวแดนดิน มู่เอ๋อเพิ่งปลุกพลังกายธรรมดาของเขา และเส้นทางสู่กายาจ้าวแดนดินเพิ่งจะเริ่มต้น แต่ทำไมนะ ข้านึกภาพออกแล้วเนี่ยว่าเขาจะต่อยมังกรหมัดเดียวตายได้อย่างไร!”
ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้ารับคำ “นั่นล่ะ พวกเราคงทำนายอะไรไม่ได้ แต่ด้วยจิตวิญญาณและความมุ่งมั่นของเขา เขาอาจจะบรรลุความสำเร็จที่สูงส่งล้ำหน้ากว่าพวกเราก็เป็นได้”
สองจิ้งจอกเฒ่าประสานเสียงหัวเราะ จากนั้นถึงออกมาจากห้องด้วยกัน
ผู้ใหญ่บ้านกระแอมไอ แล้วเรียกฉินมู่มาใกล้ๆ เพื่อไต่ถามว่าเขาปลุกพลังทารกวิญญาณได้อย่างไร ฉินมู่บอกเล่าว่าเขาฉวยจังหวะที่เสียงมาร เทพ และพุทธ ต่อสู้โรมรันกัน แล้วใช้ปราณชีวิตพุ่งทลายกำแพงทารกวิญญาณ
จ้องตาค้าง ผู้ใหญ่บ้านพึมพำ “มีวิธีนี้ด้วยหรือเนี่ย”
เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากถอนหายใจด้วยความเสียดาย วิธีการของฉินมู่นั้นมิอาจลอกเลียนซ้ำ ทั้งการช่วงใช้เสียงมาร เทพ และพุทธ และทั้งกึ๋นที่เขากล้าริเริ่มเรียนคาถามาร ใช้คาถามารต้านเสียงเทพ จนกระทั่งพบโอกาสเหมาะในที่สุด!
พฤติการณ์เหล่านี้ใจกล้าบ้าบิ่น ยังกับไม่รู้ว่า คำว่า ‘ตาย’ สะกดอย่างไร!
มาตรว่าบุคคลอื่นพบโอกาสประสบการณ์เดียวกัน พวกเขาอาจจะตายไปด้วยพลังในเสียงเทพ มาร และพุทธ เสียก่อนที่เขาจะทลายกำแพงทารกวิญญาณ
ใครอื่นอาจจะไม่รู้ว่าเรื่องนี้อันตรายเพียงไหน แต่ผู้ใหญ่บ้านกระจ่างใจแจ้ง พลังของเทพและมารเป็นสิ่งที่ปุถุชนคนธรรมดาแตะต้องได้หรือ สำหรับคนธรรมดาการยุ่มย่ามกับพลังเทพและมารนำไปสู่หนทางเดียวคือความตายเท่านั้น!
อย่างไรก็ดี ฉินมู่กลับประสบความสำเร็จได้อย่างอัศจรรย์พันลึก ทิ้งความฉงนฉงายให้ผู้ใหญ่บ้านไม่มากก็น้อย
แต่สิ่งที่ผู้ใหญ่บ้านไม่รู้ก็คือฉินมู่เกือบตายไปรอบหนึ่งจากการปะทะกันของเสียงเทพและเสียงมาร แต่โชคเขาดีด้วยมีจี้หยกห้อยคอช่วยพิทักษ์รักษาชีวิตเอาไว้ จึงรอดมาได้
ผู้ใหญ่บ้านตรวจสอบความรุดหน้าของวรยุทธของฉินมู่อย่างถี่ถ้วนอีกรอบ ใบหน้าของเขาตื่นตระหนกก่อนจะกลบเกลื่อนมันแล้วกล่าวให้กำลังฉินมู่ “มู่เอ๋อ เจ้าต้องตั้งใจฝึกยุทธ อย่าให้พวกเราผิดหวังนะ และตอนนี้เมื่อเจ้าปลุกพลังกายาจ้าวแดนดินแล้ว เจ้าก็คือผู้ฝึกยุทธ มิใช่เด็กน้อยอีกต่อไป”
ฉินมู่พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
ในตอนนั้นเองที่ท้องฟ้ามืดดำสนิท กองไฟถูกจุดไว้กลางหมู่บ้าน เฒ่าหม่าและคนอื่นๆ เริ่มทำบาบีคิวสัตว์พิสดารที่พวกเขาจับมาฉลองให้ฉินมู่ ท่านยายซีกระโดดเหยงๆ มาพลางหิ้วฉินมู่มาด้วย “ผู้ใหญ่บ้าน นักปรุงยา มานี่เร็วเข้า ไปกินฉลองกันให้เปรมปรีดิ์!”
“พวกเจ้าไปก่อนเถอะ นักปรุงยากับข้าจะตามไปทีหลัง”
เมื่อท่านยายซีและฉินมู่พากันไปที่กองไฟแล้ว เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเบา “นักปรุงยา ปราณชีวิตของมู่เอ๋อเข้มข้นมหาศาล ในประดาผู้ฝึกยุทธขั้นทารกวิญญาณที่ข้าเคยพบเจอมา พลังยุทธของฉินมู่แกร่งกล้าที่สุดแล้ว”
นักปรุงยามองไปยังพวกผู้เฒ่าที่ฉลองเริงรื่นข้างกองไฟ ก่อนเอ่ยปากถามอย่างแผ่วเบา “เข้มข้นขนาดไหนหรือ”
“ขนาดว่าพลังยุทธของข้าตอนที่อยู่ขั้นทารกวิญญาณ เพียงแค่สูสีกับเขา หรืออาจจะด้อยกว่าด้วยซ้ำ” ผู้ใหญ่บ้านกล่าวเสียงเรียบราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่ “ข้าหมายถึงนับตอนที่ข้าอยู่สั่งสมปราณระดับสูงสุดของขั้นทารกวิญญาณน่ะนะ ส่วนมู่เอ๋อน่ะเพิ่งเริ่มแรกในขั้นนี้ วรยุทธเขายังเติบโตได้อีกมาก”
ร่างของนักปรุงยาสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ เขาหันขวับจ้องผู้ใหญ่บ้านอย่างไม่เชื่อหูแล้วร้อง “ทัดเทียมกับเจ้าตอนที่เจ้าอยู่ระดับสูงสุดขั้นทารกวิญญาณ? เทียบกับยอดคนในตำนานเยี่ยงเจ้าด้วยเนี่ยนะ? เขาทำได้อย่างไร…”
“แต่เขาทำสำเร็จไปแล้ว”