ตอนที่ 193 เผยร่างจริง
เฉินหว่านอวิ๋นและคนอื่นๆ พลันเสียความมั่นใจอย่างสุดๆ ซีอวิ๋นเซี่ยงก็ไม่ยอมรับคํากล่าวนี้
ฉินมู่กลับคิดว่าไม่ใช่เพราะพวกเขาโง่ทึบเกินไป แต่เพราะราชครูสันตินิรันดร์ฉ์ลาดเกินไปต่างหาก
ยอดอัจฉริยะที่กําเนิดขึ้นมาทุกๆ 500 ปี เขาสามารถเข้าใจทุกหลักเหตุผลด้วยคําอธิบายและคําใบ้เดียว เขาไม่จําเป็นต้องให้ใครมาชี้แนะนําทางก็สามารถเข้าใจหลักเหตุผลได้ร้อยพัน
แต่ทว่าผู้อื่นไม่มีปฏิภาณความเข้าใจที่สูงเยี่ยมทะยานฟ้าเช่นนี้
ในบรรดาเหล่าผู้มีพรสวรรค์ ก็มีช่องว่างระหว่างกันแม้ว่าเฉินหว่านอวิ๋นและคนอื่นๆ จะเป็นผู้มีพรสวรรค์หนึ่งในหมื่น ผู้เปี่ยมด้วยความสามารถหรือปฏิภาณความเข้าใจอันเฉียบแหลม แต่พวกเขาก็ยังล้าหลังมากเมื่อเทียบกับยอดอัจฉริยะปานปีศาจที่ถือกําเนิดขึ้นมาทุกรอบ 500 ปี ซึ่งมีความสามารถและปฏิภาณความเข้าใจเป็นอันดับหนึ่งในโลกหล้า
ความแตกต่างด้านพรสวรรค์ระหว่างราชครูสันตินิรันดร์กับพวกเขา ก็ไม่ต่างอะไรกับฟ้าและเหว!
“ยกตัวอย่างปราณชีวิตมังกรเขียว เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าปราณชีวิตมังกรเขียวเป็นธาตุไม้?”
ราชครูสันตินิรันดร์ชี้แนะพวกเขาต่ออย่างอดทน “เจ้าเห็นมังกรตัวจริงไหม ข้าเคยเห็นและมังกรเขียวที่ข้าเห็นสามารถควบคุมลมและสายฟ้า ไฟและนํ้า ไม่เพียงแค่คุณสมบัติไม้ และนอกจากนั้น อะไรคือคุณสมบัติไม้ หากว่าเจ้ากอดแผ่นกระดานแล้วแทะมัน 2 ที นั่นคือคุณสมบัติไม้หรือ อย่าเพิ่งนึกคิดไปเองว่าปราณชีวิตมังกรเขียวเป็นธาตุไม้เพียงเพราะว่ามีคําว่า ‘เขียว’ อยู่ในนั้น หากว่าเจ้านึกคิดเช่นนี้ นี่แหละสมองเจ้าจึงจะทําจากไม้ของจริง”
ทุกคนโดนทําลายความมั่นใจอีกครั้ง แม้แต่ฉินมู่เองก็รู้สึกทดท้อ
แม้ว่าเขาซึ่งเป็นผู้ ‘รอบรู้’ ก็คิดไปว่าปราณชีวิตมังกรเขียวเป็นคุณสมบัติไม้ แต่เมื่อคิดดูดีๆ แล้ว เมื่อเฒ่าหม่าโคจรปราณชีวิตมังกรเขียวกลับไม่มีร่องรอยของคุณสมบัติไม้ปรากฏในปราณชีวิตของเขา แต่ในทางกลับกันมีพายุและอสุนีบาตพัวพันประสานในนั้น
ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาเคยรู้มาก่อนจะคลาดเคลื่อน หากว่าราชครูมิได้ชี้ให้เขาเห็น เขาคงจะมีความเข้าใจผิดต่อไปเป็นแน่
“จริงๆ แล้วมีวิชาฝึกปรือมากมายสําหรับสมบัติเทวะห้าธาตุที่พวกเจ้าสามารถเรียนได้ บางวิชาก็เน้นเฉพาะในด้านสําแดงพลังต่อสู้ในสมบัติเทวะห้าธาตุ”
ราชครูสันตินิรันดร์กล่าว “พลังต่อสู้ในสมบัติเทวะห้าธาตุนั้นรุนแรงน่าแตกตื่น แต่ถ้าพวกเจ้าฝึกปรือมันไม่ได้ก็ไม่เป็นไร มันไม่ส่งผลกระทบต่อการทลายกําแพงสมบัติเทวะอื่นๆ ต่อไปเจ้าเพียงจะอ่อนแอลงเล็กน้อยในอนาคต แต่ความเหลื่อมลํ้าเล็กน้อยนี้จะถูกถ่างขยายเมื่อเจ้าฝึกวรยุทธ์รุดหน้าและเปิดสมบัติเทวะมากขึ้นทุกที ความเหลื่อมลํ้าของพลังฝีมือที่เกิดขึ้นก็จะยิ่งมากขึ้นเป็นเงาตามตัว”
เขาวาดรูปสามเหลี่ยม 2 รูปในอากาศ รูปหนึ่งมีมุมแหลมเล็กที่ยอดจั่ว และอีกรูปมีมุมใหญ่ป้านที่ยอดจั่ว จากนั้นเขาจึงวาดเส้นผ่ากึ่งกลางในรูปสามเหลี่ยมทั้ง 2 และกล่าว “2 รูปนี้แต่ละรูปมีเส้นตรง 7 เส้นและเป็นภาพแทนพลังในแต่ละขั้นวรยุทธ์ เส้นที่ 2 คือขั้นห้าธาตุ หากว่าพวกเจ้าไม่ฝึกปรือให้เหมาะสมเส้นที่ 2 นี้ก็จะสั้นกว่าเส้นอื่นๆ เล็กน้อย จากนั้นเส้นที่ 3 ก็จะสั้นลงอีก และเมื่อพวกเจ้าไปถึงฐานสามเหลี่ยมอันเป็นวรยุทธ์ขั้นสะพานเทวะ ในตอนนั้นสามเหลี่ยมของพวกเจ้าก็จะเตี้ยกว่าคนอื่นอย่างมาก และก็
จะมีพลังน้อยกว่าผู้อื่นครึ่งนึงจริงๆ หากว่าศัตรูคิดจะฆ่าพวกเจ้า เขาก็จะใช้หนึ่งหรือสองกระบวนท่าก็เพียงพอ”
ตัวอย่างของราชครูตรงไปตรงมา และทําให้ทุกคนสั่นสะท้าน 2 คนที่ราชครูสาธิตมิได้มีความแตกต่างมากมายในขั้นทารกวิญญาณและห้าธาตุ กลับมีช่องว่างห่างชั้นระหว่างกันที่ใหญ่กว้างเมื่อพวกเขาบรรลุขั้นสะพานเทวะ มีไม่กี่คนที่คิดไปถึงขั้นนี้ ส่วนใหญ่แล้วก็ใส่ใจต่อการเพิ่มพูนขั้นวรยุทธ์เท่านั้น
ซีอวิ๋นเซี่ยงถามทันที “แล้วเส้นของราชครูล่ะเป็นอย่างไร เมื่อเทียบกับจ้าวลัทธิระดับสะพานเทวะคนอื่นๆ มุมสามเหลี่ยมของท่านใหญ่แค่ไหน”
ราชครูสันตินิรันดร์วาดเส้นๆ เดียวบนท้องฟ้า และกล่าวอย่างราบเรียบ “ของข้าเป็นแบบนี้ ไม่ว่าพลังวัตรของผู้อื่นจะแข็งแกร่งแค่ไหน มุมของพวกเขาก็จะเล็กกว่าข้าเสมอ”
เขากล้าอวดอ้างเช่นนั้นเพราะความสามารถและปฏิภาณความเข้าใจของเขาเหนือลํ้าจนท้าทายสวรรค์
เขาไม่มีจุดอ่อนเลยจริงๆ
ผู้คนอื่นอาจจะมีเส้นขนานหลายเส้นแต่ของเขากลับเป็นเส้นตรง 7 เส้นที่ซ้อนทับกัน อันแข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆ มากมายนัก
“พวกเจ้าสามารถอ้างอิงจากวิชาฝึกปรือที่เกี่ยวข้องกับสมบัติเทวะห้าธาตุได้จากเรือนบันทึกสวรรค์ เช่น ความประณีตของการสยบดาว ที่เขียนโดยผู้อาวุโสหรูเสวียนชิง การดิ้นรนของ 5 ช่วง เขียนโดยหลวงจีนหยวนคง และยังมี 5 กฎแห่งดาวพฤหัสบดี เขียนโดยเจ้านครเว่ย 5 เส้นชีวิตของยุทธวิธี โดยแม่ทัพแผน สวรรค์ หลังจากที่เจ้าอ่านพวกนี้ทั้งหมด ก็จะสามารถปูพื้นฐานอันแน่นหนาให้แก่ขั้นห้าธาตุของตนได้”
ผู้คนที่เขากล่าวถึงนั้นล้วนแต่เป็นขุนนางชั้นหนึ่งแห่งสภาราชสํานักในยุคนี้ ผู้อาวุโสเสวียนชิงเป็นสตรีที่ถือครองตําแหน่งบรมผู้สั่งสอนของรัชทายาท หลวงจีนหยวนคงถือครองตําแหน่งจอมทัพใหญ่ ไม่จําเป็นต้องกล่าวถึงเจ้านครเว่ย และแม่ทัพแผนสวรรค์ก็เป็นผู้นําตระกูลฉินอันเลื่องชื่อ
ผู้คนเหล่านี้ หากมิได้ถือกําเนิดจากตระกูลชนชั้นสูง ก็มีกิตติศัพท์ชื่อเสียง ล้วนแต่เป็นตัวตนระดับจ้าวลัทธิซึ่งบรรลุถึงขั้นสะพานเทวะทั้งนั้น
ทุกคนในที่นี้รีบจดจํารายนามของวิชาเหล่านั้นเอาไว้ เฉินหว่านอวิ๋นรู้สึกขัดแย้งในตนเองเล็กน้อย เขาวางแผนว่าจะทลายสู่ขั้นหกทิศโดยพลันหลังจากการแสวงประสบการณ์ครั้งนี้ แต่หลังจากที่ฟังคําพูดของราชครู เขาก็เปลี่ยนใจและสยบระงับขั้นวรยุทธ์ของตนเองต่อ เขาหมายจะทลายสู่ขั้นหกทิศหลังจากที่ได้กลับไปเสริมรากฐานที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิเรียบร้อยแล้วเท่านั้น
ฉินมู่นิ่งอึ้งไป เขาพลันนึกถึงบางวิชาฝึกปรือในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตที่ใช้สําหรับบ่มเพาะฝึกปรือสมบัติเทวะห้าธาตุโดยเฉพาะ
ในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตมีวิชามากมายหลายหลาก และวิชาส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ดูเพริศแพร้วอัศจรรย์และไม่อาจนับเป็นยอดวิชาชั้นเลิศ วิชาเหล่านี้มันถูกใช้ถ่ายทอดให้แก่เหล่าศิษย์
แทบจะทุกวิชาและทักษะเทวะในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตถูกถ่ายทอดออกไป และไม่ได้ถูกเก็บงําไว้จากความลํ้าค่าของมัน เพียงแต่ว่าบางวิชานั้นยากที่จะเข้าใจ และง่ายที่จะฝึกปรือผิดทาง ซึ่งเป็นผลให้พวกเขาต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่ว่าเป็นลัทธิมาร
เดิมทีฉินมู่มิได้ศึกษาเจาะลึกวิชาเหล่านี้ แต่หลังจากการชี้แนะของราชครูสันตินิรันดร์ เขาก็พลันกระจ่างแจ้งขึ้นมา ไม่ใช่ว่าวิชาฝึกปรืออันโดดเดี่ยวไร้ทักษะเทวะควบคู่ในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตเหล่านั้น จะเป็นเคล็ดลับการฝึกวิทยายุทธ์หรอกหรือ
เหล่าวิชาที่ดูกระจัดกระจายและมิได้ทรงพลังอะไร ไม่ได้มีแค่วิธีการบ่มเพาะขั้นห้าธาตุ แต่มันต้องมีวิชาสําหรับขั้นหกทิศ ขั้นเจ็ดดาว และแม้กระทั่งขั้นชาวสวรรค์ เป็นตาย และสะพานเทวะ!
วิชาเหล่านี้หัวหน้าโถงทุกคนได้เรียนรู้ไว้ถ่ายทอดให้แก่สาวกในโถงของตนและก่อรูปขึ้นมาเป็นโถงทั้ง 360!
ฉินมู่มองว่าวิชาเหล่านี้อ่อนแอและไม่ได้หลอมรวมมันเข้าไปในวิชาร้อยรัด แต่ในตอนนี้คําพูดที่ไม่ได้ตั้งใจอะไรมากมายของราชครูสันตินิรันดร์ก์ลับชี้ทางสว่างให้แก่เขา
“วิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะมีวิชาฝึกปรือแต่ไม่มีทักษะ มันมีความขาดพร่องอยู่ แต่เมื่อผสานเข้ากับคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตมันก็กลายเป็นวิชาอันสมบูรณ์แบบ”
ฉินมู่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและรีบตรึกตรองทําความเข้าใจวิธีฝึกปรือขั้นห้าธาตุทันที วิธีทั้งห้านี้ได้แก่วิชาแท้จ้าวครองแดนพสุธาของเทพครองดาวเสาร์ วิชาแท้จ้าวครองแดนพฤกษาของเทพครองดาวพฤหัสบดี วิชาแท้จ้าวครองแดนวารีของเทพครองดาวพุธ วิชาแท้จ้าวครองแดนอัคคีของเทพครองดาวอังคาร และวิชาแท้จ้าวครองแดนสุวรรณของเทพครองดาวศุกร์
ไม่นานนักเขาก็ทดลองหลอมรวมห้าวิชาแท้นี้เข้าด้วยกันให้กลายเป็นวิชาฝึกปรือขั้นห้าธาตุของกายาจ้าวแดนดินสามอมตะ
เยว่ชิงหงและคนอื่นๆ ยังคงปรึกษาเพลงกระบี่จากราชครูอยู่ และราชครูสันตินิรันดร์ก็สนทนาชี้แนะไประหว่างที่เดินทาง บอกเล่าทุกอย่างที่เขารู้ แต่ทว่าไม่ทันที่พวกเขาจะได้มีเวลาตรึกตรองทําความเข้าใจ ราชครูก็ย้ายไปพูดถึงประเด็นอื่น ทําให้พวกเขาได้แต่แค้นใจในความหัวช้าของตน
คําอธิบายของราชครูสันตินิรันดร์นั้นไม่เพียงแต่นับว่าค่อนข้างเร็ว มันยังมีความยากที่ทําให้พวกเขามิอาจตรึกตรองจนปรุโปร่งได้เดี๋ยวนั้นและจะต้องใช้เวลาขบคิดใคร่ครวญ แต่ทว่าพวกเขาไม่กล้าออกปากขอเวลาเพราะเกรงว่าจะถูกกวาดไปกองรวมกับพวกทึ่มทื่องุ่มง่ามอีก
หลังจากที่เยว่ชิงหงปรึกษาเพลงกระบี่เสร็จ หลวงจีนอวิ๋นฉื้อก็ถามเขาเกี่ยวกับทักษะพุทธ ราชครูสันตินิรันดร์ก็มีความสําเร็จในทักษะพุทธและเคยเข้าวัดใหญ่ฟ้าคํารามเพื่อรับคําชี้แนะจากยูไลเฒ่า ถ้อยคําที่เขาชี้แนะจึงไหลลื่นพิสดารดุจบุปผาสวรรค์โปรยปราย
ถัดจากอวิ๋นฉื้อ เฉินหว่านอวิ๋นก็ถามเขาเกี่ยวกับการผสมผสานเพลงกระบี่เข้ากับวิชาบู๊ หลังจากที่เขาติดตามคณบดีป้าซานไปฝึกฝนฝึกปรืออยู่ช่วงหนึ่ง คณบดีป้าซานก็ได้ถ่ายทอดเจ็ดทางอธิปัตย์ให้เขาและยังชี้แนะเขาในด้านการฝึกปรือเพลงกระบี่ ดังนั้นเฉินหว่านอวิ๋นได้มุ่งไปมรรคาของการฝึกปรือทั้งดาบ และกระบี่
ซีอวิ๋นเซี่ยงก็ปรึกษาราชครูสันตินิรันดร์เกี่ยวกับปัญหาบางประการในการฝึกปรือ และราชครูสันตินิรันดร์ก็ใส่ใจนางเป็นพิเศษ และอธิบายข้อสงสัยเหล่านั้นด้วยรายละเอียดอันชัดแจ้งและมากกว่าคนอื่นๆ
เมื่อซีอวิ๋นเซี่ยงติดตามปรมาจารย์เยาว์ไปฝึกฝนตนเองในอดีตนางได้พบพานราชครูสองสามครั้งและก็เคยได้รับคําชี้แนะจากเขา
ทาสหมาป่าลังเลอยู่ครู่หนึ่งและรวบรวมความกล้าปรึกษาวิชามีดจากเขา
ราชครูสันตินิรันดร์มองเขาแวบนึงแล้วถาม “นักรบจากประเทศรังหมาป่า?”
ทาสหมาป่าผงกหัวรับด้วยความกระสับกระส่าย
ราชครูสันตินิรันดร์ไม่ถือสาอะไรและกล่าว “การศึกษานั้นมีเพื่อทุกผู้คนไม่เลือกชนชั้นและความเป็นมา ข้าไม่ใส่ใจหรอกว่าเจ้าจะมาจากเผ่าพันธุ์ใด”
หลังจากเขากล่าวเช่นนั้น เขาก็ชี้แนะวิชาดาบแก่ทาสหมาป่าโดยไม่ปิดบังเลยแม้แต่นิด และไม่ตัดทอน เนื้อหาจนกระทั่งให้คําแนะนําจนหมดสิ้น
ไม่นานนัก ทุกคนก็เงียบเสียงลง เพราะต่างก็กําลังตรึกตรองทําความเข้าใจข้อชี้แนะของเขา
แม้ว่าราชครูสันตินิรันดร์จะมิได้กล่าวอะไรมากมาย แต่ก็เพียงพอที่พวกเขาจะนําไปขบคิดได้นาน
“ราชครู ท่านเคยศึกษาการฝึกฝนบ่มเพาะของปีศาจเซียนมาก่อนไหม” ฮู่หลิงเอ๋อถามทําลายความเงียบมาจากบนหัวของกิเลนมังกร
ราชครูส่ายหน้า “ไม่เคยเลย”
ฮู่หลิงเอ๋อตาเป็นประกาย และกล่าวด้วยเสียงสดใส “ข้าสอนท่านได้นะ!”
นางดูจริงจังอย่างยิ่ง
ราชครูสันตินิรันดร์ก็ถามกลับไปด้วยความจริงจังดุจเดียวกัน “ช่วยชี้แนะข้าด้วยได้หรือไม่”
ฮู่หลิงเอ๋อบอกเขาเกี่ยวกับทุกสิ่งที่นางได้เรียนรู้ทั้งจากการฝึกปรือด้วยตนเองและจากหนังสือโบราณที่นางได้มาจากวังมังกรแม่นํ้าหย่ง นางยังบอกเขาถึงวิชาวิญญาณเสกสรรอันเป็นแบบฉบับที่ผสมปฏิภาณความเข้าใจของนางเข้าไปด้วย
ราชครูสันตินิรันดร์นิ่งฟังฮู่หลิงเอ๋อบอกเล่าจนจบ เขาจึงถาม “เผ่าปีศาจไม่มีสมบัติเทวะงั้นหรือ เมื่อได้ยินประสบการณ์การฝึกปรือที่เจ้าเล่า ไม่เห็นมีการฝึกปรือที่เกี่ยวข้องกับสมบัติเทวะเลย”
ฮู่หลิงเอ๋อส่ายศีรษะแล้วตอบ “พวกราไม่มีหรอก ดังนั้นพวกเราจึงพยายามอย่างหนักที่จะบรรลุถึงขั้นแปลงร่างเป็นมนุษย์ให้ได้ เมื่อเรามีร่างมนุษย์ก็จะกลายเป็นราชาปีศาจผู้ทรงพลัง!”
“ข้าเคยพบเจอราชาปีศาจมาบ้าง และพวกเขานับว่ามีกําลังฝีมือโดดเด่นเป็นพิเศษอยู่เหมือนกัน”
ราชครูสันตินิรันดร์ก์ล่าว “วิชาวิญญาณที่เจ้าพูดถึงก่อนหน้าว่าสามารถเปลี่ยนรูปแบบภายในของเจ้าได้นั้นน่าสนใจมาก วิชานี้ดูเหมือนจะมีความเปลี่ยนแปลงนับร้อยพัน”
เขาอธิบายวิชาวิญญาณเสกสรรอย่างละเอียด ทําให้ฮู่หลิงเอ๋อรับฟังจนดื่มดํ่าเข้าไปทุกที เมื่อราชครูสันตินิรันดร์ก์ล่าวจบ นางก็ฟื้นสติกลับมาและร้องด้วยความแตกตื่น “ข้าเพิ่งบอกไปว่าข้าจะสอนท่านแต่ทําไมมันกลายเป็นท่านสอนข้าแทนได้ล่ะ”
ราชครูสันตินิรันดร์ก์ล่าว “เราต่างก็สอนซึ่งกันและกัน”
“ใช่ๆ!” ฮู่หลิงเอ๋อผงกหัวนางประหลกๆ
กิเลนมังกรที่นางขี่อยู่แค่นเสียงในคอและกลอกตาใส่
ในตอนนั้นเอง พลังมีแสงปรากฏบนท้องฟ้าบินตรงมายังพวกเขา ราชครูสันตินิรันดร์หันไปมองและสายตาของเขาจับจ้องยังร่างของฉินมู่
แสงเหล่านั้นรวมเข้าด้วยกันและเข้าไปในร่างฉินมู่จากทางกระหม่อม แสงยิ่งมาก็ยิ่งมากขึ้นทุกทีปราก ฏขึ้นและแปรเปลี่ยนเป็นเส้นแสงอันบางเฉียบสีแดงเพลิง
ฮู่หลิงเอ๋อเอื้อมอุ้งเท้าเข้าไปแตะ และขนฟูที่อุ้งเท้าของนางก็โดนเผา นางรีบชักเท้าหน้ากลับ
ไม่นานนัก รัศมีของฉินมู่ก็เพิ่มพูนทบทวีและมีเพลิงไฟไหลท่วมออกมาจากร่างของเขา ห้อมล้อมกายาดุจเมฆอัคคี
ฮู่หลิงเอ๋อแตกตื่นเมื่อได้ยินเสียงปังๆ 2 ครั้งและได้เห็นเขาวัว 2 ข้างงอกเงยจากศีรษะฉินมู่ รูจมูกของเขายืดยาวและชี้ชันขึ้น พ่นควันขาว 2 เส้นอันเจือปนเปลวไฟในนั้น
ฮู่หลิงเอ๋อร้องออกมาอย่างตระหนกและได้ยินเสียงแครกๆ อีกเมื่อกระดูกในร่างฉินมู่มีการแปรเปลี่ยนอย่างประหลาดพิกล น่องของเขาพลันขยายหนาใหญ่ขึ้นและร่างกายเขาก็สูงไปอีก
กล้ามเนื้อเขาปูดพองออกไปข้างนอก และมีลายเปลวเพลิงปรากฏทั่วทั้งผิวกาย ตาวัวหนึ่งดวงผุดโผล่จากหน้าผากของเขาที่ใจกลางหว่างคิ้วพอดี
จากนั้นฮู่หลิงเอ๋อก็เห็นหางวัวห้อยลงมาจากบั้นท้ายของฉินมู่ อันขยายขนาดจนเหมือนก้นแน่นๆ ของวัวหนุ่ม หางของเขาปัดฟาดโดนสะโพกของตนเอง 2 ทีดังเปี๊ยะๆ ฮู่หลิงเอ๋อคะเนว่าคงต้องเจ็บมากแน่ๆ!
“ราชครู…”
ฮู่หลิงเอ๋ออึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหันไปบอกราชครู “คุณชายของข้ากําลังเผยร่างที่แท้จริง! ร่างที่แท้จริงของเขา! เขาไม่ใช่ปีศาจจิ้งจอก แต่เป็นปีศาจวัว!”