Skip to content

Tales of Herding Gods 194

ตอนที่ 194 เมื่อคําพูดเปรี้ยวฝาด

“นี่ไม่ใช่ปีศาจ แต่เป็นเทวาจําแลงแบบหนึ่ง คือการจําแลงเป็นรูปลักษณ์ของเทพยดา” ราชครูสันตินิรันดร์เคยเห็นเรื่องแบบนี้เขาจึงอธิบายแก่ฮู่หลิงเอ๋อ

เขาย่อมสามารถเห็นว่านี่ไม่ใช่การคืนร่างที่แท้จริงของฉินมู่ แต่เป็นวิชาอันแปลกประหลาด มันดูเหมือนว่าจะเป็นผลลัพธ์อันเกิดจากการหลอมรวมวิชาจํานวนหนึ่งของลัทธิมารฟ้าเข้าด้วยกัน

“มันดูเหมือนจะเป็นการรวมกันของวิชาวิญญาณเสกสรรกับวิชาดาวอังคารของขั้นห้าธาตุ…”

เขามีความรู้เกี่ยวกับคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตไม่มาก จึงไม่ค่อยแน่ใจนัก

การแปลงรูปกายของฉินมู่นั้นนับว่าเป็นเทวาจําแลงรูปแบบหนึ่ง และบางทักษะวิชาก็ทําเช่นนี้ได้เหมือนกัน มันมิใช่วิชาลับหาดูยากอะไร และนับว่าเป็นทักษะเทวะร่างกายแบบหนึ่ง

วิชาของบางสํานักพึ่งพิงเทวาจําแลงและอสุราจําแลงเพื่อเสริมพลังร่างกายของตนเอง

แต่ว่า เทวาจําแลงของฉินมู่ทําให้ราชครูสันตินิรันดร์รู้สึกพิศวง เพราะนี่ดูเหมือนไม่ใช่เพียงแต่ทักษะเทวะร่างกายธรรมดา

ทักษะเทวะร่างกายย่อมใช้สําหรับเสริมสร้างกายเนื้อผู้ฝึก และอาศัยกายเนื้ออันแข็งแกร่งนี้มาเพิ่มพูนพลังการต่อสู้อีกที

ขณะที่เทวาจําแลงของฉินมู่ ดูเหมือนกับจําแลงเป็นเทพยดาจริงๆ

ในสายตาของราชครู ฉินมู่ใช้วิชาฝึกปรือนี้แปรเปลี่ยนเขาให้มีรูปลักษณ์แบบเทพครองดาวอังคาร เมื่อกายเนื้อของเขาแปรเปลี่ยน ปราณชีวิตของเขาก็แปรเปลี่่ยนไปเช่นกัน แม้แต่รัศมีที่เขาแผ่ออกมาก็เปลี่ยนไป!

นี่แปลว่าเขาได้รับทั้งกายาและทักษะเทวะภายใต้สภาวะเทวาจําแลงนี้

ซึ่งนั่นแหละที่น่าแปลก การเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของฉินมู่นั้นยังไม่สิ้นสุด เมื่อเมฆอัคคีพลันลอยเลื่อนขึ้นมาจากใต้เท้าของเขา และก่อรูปกลายเป็นมังกรเพลิง 2 ตัว มังกรเพลิงทั้ง 2 ขยายใหญ่ขึ้นทุกทีและยกร่างเขาให้ลอยขึ้นจากพื้น

ฉินมู่เหยียบบนมังกรเพลิงทั้ง 2 ด้วยกีบเท้าอัคคีที่งอกเงยทะลุรองเท้าเดิมของเขา

เขาในตอนนี้ดูเหมือนเทพครองดาวอังคารผู้ซึ่งเหยียบบนมังกรเพลิงคู่อย่างไม่ผิดเพี้ยน!

ฉินมู่ชูมือขึ้นและอาณาบริเวณโดยรอบพลันแห้งผากยิ่งกว่าทะเลทราย และปรากฏลูกไฟหลายลูกที่ใหญ่เท่าไข่ห่านว่ายวนอยู่บนท้องฟ้า

ราชครูสันตินิรันดร์มีสีหน้าสนอกสนใจเมื่อเขาจ้องมองไปยังลูกไฟไม่ใหญ่ไม่เล็กเหล่านั้น ทันใดนั้นแสงกระบี่อันก่อรูปขึ้นมาจากเพลิงไฟละเอียดยิบก็แผ่พุ่งออกมาจากลูกไฟทุกๆ ลูก รังสีกระบี่แต่ละสายต่างก็ร่ายรําเพลงกระบี่อาทิตย์อัสดงอันแฝงพลังเวทมนตร์เพลิงไว้ในกระบวนท่ากระบี่ในเวลาเดียวกัน ดังนั้นพลานุภาพของแต่ละกระบี่นั้นมิได้อ่อนด้อยเลยสักนิด!

“เพลงกระบี่อาทิตย์อัสดงของจักรวรรดิอวี่เหยียน เที่ยงแท้จริงๆ อันแสดงแง่อัศจรรย์ของไจกระบี่ ผสานผสมกับพลังอํานาจเวทมนตร์ พละกําลังของเจ้าก็จะเทียบเท่ากับผู้ฝึกวิชายุทธ์”

ราชครูสันตินิรันดร์ทอดถอนใจ “หากเจ้าปะทะซึ่งๆ หน้ากับผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นหกทิศ เจ้าก็จะไม่ตาย และหากเจ้าสามารถปลดปล่อยทักษะเทวะร่างกายของเทวาจําแลงได้ เจ้าก็จะมีกําลังต่อสู้เท่าเทียมกับผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นหกทิศ”

เพลงกระบี่ของฉินมู่ถูกรั้งกลับย้อนคืนสู่ลูกไฟ ลูกไฟเหล่านั้นพุ่งชนกันรวมเป็นดวงตะวันสีแดงฉานอันใหญ่เท่ากับอ่างใบหนึ่ง จากนั้นเขาก็กลืนดวงตะวันดังกล่าวเข้าไปในปาก พ่นเปลวเพลิง 2 สายออกจากจมูก

เขาหยุดโคจรวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ เขาทั้ง 2 บนหัวเขาก็หดหายไปช้าๆ ร่างของเขาค่อยๆ แปรเปลี่ยนคืนสู่ปกติ ทั้งมังกรเพลิง 2 ตัวที่ใต้เท้าตนก็กระจัดกระจายไป

ฉินมู่คลําก้นต้นเองป้อยๆ และมีสีหน้าฉงนฉงาย ก้นเขาเจ็บแสบราวกับมีคนหวดแส้ใส่สองสามที

หรือเป็นเพราะว่าข้าชินกับการเลี้ยงวัวมาแต่เล็กแต่น้อย ข้าเลยชอบฟาดแส้ใส่ก้นวัว? เด็กเลี้ยงวัวแห่งหมู่บ้านพิการชราครุ่นคิดอย่างกังขา

ที่เบื้องหน้าพวกเขามีขุนเขาเยี่ยมเทียมฟ้าอันประดับไว้ด้วยนํ้าตกสูงลิ่วราวกับเททางช้างเผือกลงมาจากสรวงสวรรค์ สีขาวของละอองนํ้าตก สีดําของผนังผา สีเขียวชอุ่มของยอดเขาและดวงอาทิตย์อันลอยเลื่อนอยู่เหนือศีรษะประกอบกันราวกับภาพวาดพู่กันของขุนเขาและแม่นํ้า

เสียงของนํ้าดังโครมครามสนั่นหู และไอนํ้าหนาแน่นก็ลอยมาเป็นระยะ หมอกละเอียดเป็นยองใยปรากฏอยู่ทั่วไปในอากาศ ซึ่งเข้าจับสร้างความชื้นแก่ร่างของทุกคน ทําให้เสื้อผ้าของพวกเขาชื้นฉํ่าในเวลาไม่นาน

สถานที่นี้ทําให้ผู้คนปีติยินดีและผ่อนคลาย ราชครูสันตินิรันดร์นําพวกเขามุ่งหน้าไปยังแดนใต้โดยไม่ใช้

ถนนหลวงทางหลัก พวกเขาเพียงแต่กําหนดทิศทางแล้วมุ่งหน้าดุ่มเดินไป จนมาพบขุนเขาอันมีทิวทัศน์อัศจรรย์โดยไม่คาดฝัน

นํ้าตกนั้นสร้างแอ่งนํ้าลึกอันใสกระจ่าง มีกวางตัวผู้อันเขาโง้งเป็นแขนงงามยืนอยู่ข้างบ่อ ส่ายหางสั้นๆ ของมันไปมาพลางเคี้ยวกินหญ้าหย่อมใกล้ๆ บนร่างของมันมีลายดาวสีขาวเป็นจุดๆ เหมือนดอกเหมย

เมื่อมันเห็นพวกเขาเดินเข้ามา กวางตัวผู้นี้ก็เงยหัวขึ้นและเหลือบแลพวกเขาพักหนึ่ง ก่อนก้าวไปข้างหน้า 2 ก้าว

ทุกคนอุทานชื่นชมความงามสง่าของกวางตนนี้ในใจ กวางตัวผู้นี้ใหญ่โตแทบจะเท่ากับกิเลนมังกร ดูโอ่อ่าน่าเกรงขาม

กวางตัวผู้พ่นลมหายใจฟืดจากรูจมูกและเดินมาที่ข้างสระนํ้าที่ซึ่งมีชายชราผู้หนึ่งในเสื้อคลุมกันฝนนั่งเฝ้าเบ็ดที่ปักไว้ข้างตัว และตกปลาในบ่อ

และยังมีเด็กผู้หนึ่งอยู่ข้างๆ ชายชรา ผู้ซึ่งอายุมากกว่าเกินจะเรียกว่าเด็กน้อยแต่ก็อายุน้อยเกินกว่าจะเรียกว่าวัยรุ่น เขาหยิบก้อนหินขึ้นมาด้วยความเบื่อหน่าย และขว้างมันไปยังจุดที่เบ็ดของชายชราจ่อมจมอยู่ เด็กผู้นี้มิได้เขวี้ยงหินแค่ก้อนสองก้อนแต่เขา เขวี้ยงมันไปซํ้าๆ อย่างต่อเนื่อง

นํ้าตกนี้ใหญ่โตโอฬาร กระแสนํ้าที่ถั่งโถมก็เชี่ยวกราก แม้ว่าที่นี่จะมีปลา มันก็คงไม่กินเหยื่อ รวมกับที่เด็กผู้นี้เขวี้ยงหินใส่ไปเรื่อยๆ ชายชราผู้นี้ไม่มีทางจับปลาได้แน่

เยว่ชิงหงส่ายหน้า “เด็กคนนี้คงเป็นลูกหลานของผู้เฒ่า ไม่อย่างนั้นเขาคงทุบตีให้ตายไปแล้ว ใครจะทนโดนก่อกวนแบบนี้ได้”

ฉินมู่เผยสีหน้าฉงนและมองไปรอบๆ ที่นี่ไม่ใช่แหล่งตกปลา แต่กลับมีชายชรานั่งตกปลาอยู่ แถมยังมีเด็กที่คอยเขวี้ยงก้อนหินใส่เบ็ด ไม่ว่าจะมองอีท่าไหน ชายชราผู้นี้ก็ดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจมาตกปลา

ในป่ารกร้างห่างไกลผู้คน พวกเขาถ้าไม่ได้ตกปลาก็คงมาขัดขวางทางเดิน!

ผนวกกับกวางลายดอกเหมยที่กําลังฝีมือไม่แพ้กิเลนมังกร ตัวตนของผู้อาวุโสนี้คงต้องเทียบเท่ากับปรมาจารย์เยาว์!

เฉินหว่านอวิ๋นและซีอวิ๋นเซี่ยงก็สังเกตเห็นความผิดปกติ และหันไปมองราชครูสันตินิรันดร์ หลวงจีนอวิ๋นฉื้อไม่ได้คิดอะไรมาก และก้าวเข้าไปไต่ถามพร้อมรอยยิ้ม “ผู้เฒ่า ที่นี่จะมีปลาได้อย่างไร ส่วนนี่คงเป็นหลานของท่านใช่ไหม หลานของท่านขว้างหินใส่เบ็ดตลอดแบบนี้ ต่อให้มีปลาอยู่ มันก็คงไม่กล้าเข้ามา”

ชายชราเงยหน้าขึ้นและเผยใบหน้าอันเต็มไปด้วยรอยยับย่น พลางแย้มยิ้ม “จะไม่มีปลาได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าปลาก็เพิ่งมากินเหยื่อหรือ”

อวิ๋นฉื้อมองไปยังตะขอเบ็ดของเขาแต่กลับมองไม่เห็นปลาสัก ตัวเขาเห็นแต่เด็กดื้อที่เขวี้ยงหินใส่เบ็ด

ราชครูสันตินิรันดร์ก้าวไปข้างหน้าแล้วกล่าวกระทบกระเทียบ “แม้ว่าบ่อนี้จะไม่ใหญ่ แต่ปลาในบ่อก็ไม่ใช่ตัวเล็กๆ และน่าจะจับยาก ข้าเกรงว่าผู้เฒ่าคงไม่มีปัญญาจับมันกระมัง”

รอยย่นบนใบหน้าของผู้เฒ่ายิ่งลึกขึ้นเมื่อเขายิ้มกว้าง “เดิมทีโลกหล้าเป็นบ่ออันมีนํ้าใสกระจ่าง แต่มีปลาใหญ่ตัวหนึ่งเข้ามากวนนํ้าให้ขุ่น ปลาใหญ่ตัวนี้น่าจะรีบไปกระโจนผ่านประตูมังกร เพื่อกลายเป็นมังกรแท้ไปได้แล้ว แต่มันก็ยังรั้งรอกวนนํ้าให้ขุ่นโคลนและหมายจะจับปลาเล็กตัวอื่นๆ กินให้เหี้ยนเตียน ราชครู ท่านลองคิดดูว่าข้าควรจับปลาใหญ่นั้นขึ้นมาดีหรือไม่”

ราชครูสันตินิรันดร์ประกายตาวูบไหวและกล่าวอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “ผู้เฒ่าเปรียบเทียบสํานักทั้งหลายเป็นปลาตัวเล็กๆ จะเหมาะสมดีหรือ สํานักเหล่านั้นควรเป็นปลิงพยาธิ ปลิงพยาธิที่เกาะตามเนื้อตัวของเหล่าปลา แม้ว่านํ้าจะดูใส แต่ปลาในบ่อล้วนแต่ถูกปลิงเหล่านั้นกัดทึ้ง ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นเรายิ่งไม่ควรตกปลาขึ้นมา และควรแงะปลิงจากตัวปลาและกําจัดพวกมันให้สิ้นซาก!”

ชายชราไม่กล่าวต่อ ราชครูสันตินิรันดร์ก็ไม่เอ่ยวาจาเช่นกัน

เมื่อคําพูดกลายเป็นเปรี้ยวฝาด จะพูดอะไรต่อไปก็ไร้ผล พวกเขาได้กล่าวโต้ตอบกันสองสามประโยคและต่างรู้สึกว่าไม่อาจโน้มน้าวเปลี่ยนความคิดของอีกฝ่ายได้ ดังนั้นจะสนทนาต่อไปก็ไม่ได้มรรคผลอะไร

ในเมื่ออุดมการณ์ของแต่ละคนแตกต่าง และไม่มีใครยอมโน้มความคิดตามใคร ทางที่ดีกว่าคือการทําลายชีวิตฝ่ายตรงข้ามเสีย อันตรงไปตรงมาและสดชื่นยิ่งกว่าการเพียงทําลายอุดมการณ์ของศัตรู

ชายชราผู้นั้นลุกขึ้นและดึงก้านเบ็ดกับสายขึ้นมา พิงเบ็ดเอาไว้ข้างๆ ต้นไม้ใหญ่ เขาปลดหมวกฟางลงจากศีรษะรวมทั้งปลดเสื้อฝนที่สวมใส เขาโบกมือไล่เด็กดื้อข้างๆ เขาให้ถอยไป

“ไปที่ภูเขาฝั่งโน้น”

ราชครูสันตินิรันดร์ก็กล่าวกับฉินมู่และคนอื่นๆ “เดินข้ามภูเขา ไปและรอข้าที่ฝั่งตรงข้าม ผู้เฒ่า ท่านสืบทอดวิชาฝีมือต่อไปหรือยัง”

ชายชราพยักหน้า “ข้าส่งต่อพวกมันไปหมดแล้ว ราชครูล่ะ?”

ราชครูสันตินิรันดร์กล่าวอย่างไม่ยี่หระ “สําหรับข้าไม่จําเป็น เมื่อยังเยาว์ข้านั้นหัวร้อนเกินไปและสังหารผู้คนมากมาย ทําลายล้างสํานักนับไม่ถ้วน นี่ทําให้วิชาเฉพาะเป็นเอกลักษณ์ของสํานักต่างๆ จํานวนมากตัดขาดสูญหาย นี่คือหนึ่งในสิ่งที่ข้ามักหวนนึกเสียใจหลังจากที่ก่อตั้งเรือนบันทึกสวรรค์ จากครั้งนั้นเป็นต้นมา ข้าก็เลยมีความเคยชินติดตัวที่มักจะไต่ถามเรื่องนี้ก่อนสังหารผู้คน”

แม้ว่าฉินมู่อยากจะรั้งอยู่เพื่อชมดูการต่อสู้อันยากจะพบพานแต่แรงระเบิดหางเลขจากการปะทะกันของตัวตนระดับราชครูสันตินิรันดร์นั้นอาจจะร้ายแรงยิ่งกว่าราชามารตู้เถียน หากว่าเขาเฝ้าดูการต่อสู้จากระยะใกล้ขนาดนี้ เขาก็คงต้องตายอย่างแน่นอน

“พวกเราข้ามภูเขา!” ฉินมู่กล่าวอย่างเฉียบขาด เขาพาทุกคนขึ้นมาบนภูเขาสูงและมองลงไป คน 2 คนที่

นํ้าตกนั้นถูกปิดบังจากม่านหมอกและไม่อาจเห็นได้ชัดถนัดตา

เด็กดื้อที่เขวี้ยงหินนั้นกําลังขี่กวางยักษ์อยู่ไม่ไกลจากพวกเขา เขากะพริบตาปริบๆ อย่างไร้เดียงสา “พวกเจ้ามาจากมหาวิทยาลัยจักรวรรดิหรือ”

เฉินหว่านอวิ๋นพยักหน้าแล้วถาม “ข้าจะเรียกหาพี่ท่านว่าอย่างไร”

“มู่หรัน หวางมู่หรัน!”

อายุของเขาใกล้เคียงกับฉินมู่ และมีความอยู่ไม่สุขที่แตกต่างจากฉินมู่ หวางมู่หรันผู้นี้ทําโน่นนี่ไม่หยุดนิ่ง เขาจะรู้สึกเบื่อทันทีที่ผู้คนเงียบเสียง เขายุกยิกตลอดเวลาแม้ตอนที่กําลังขี่กวางยักษ์ ตบตูดกวางให้มันวิ่งเข้ามาหา

ฉินมู่ถาม “แล้วพี่หวางมาจากสํานักใดล่ะ”

“นครหยกน้อย”

“นครหยกน้อย?”

เฉินหว่านอวิ๋น อวิ๋นฉื้อ และคนอื่นๆ ต่างนิ่งงงไปครู่หนึ่ง พวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อสํานักนี้มาก่อน ในจักรวรรดิสันตินิรันดร์มี 3 มหาแดนศักดิ์สิทธิ์ และมีสํานักใหญ่บางสํานักที่ไม่ด้อยไปกว่า 3 แดนศักดิ์สิทธิ์ แต่ทว่าในบรรดาสํานักเหล่านั้นไม่มีชื่อของนครหยกน้อย

ฉินมู่อึ้งไป คำ 3 คํา ‘นครหยก’ มิใช่คําที่ใครๆ ก็สามารถใช้ได้ นครหยกนั้นหมายถึงเมืองหลวงอันเป็นที่ประทับของจักรพรรดิสวรรค์ และจักรพรรดิสวรรค์นี้มิใช่เทพยดา แต่เป็นเซียนผู้อมตะ จักรพรรดิสวรรค์แห่งเหล่าผู้อมตะ

สํานักใดกันที่อาจหาญกล้าใช้นามนี้ นครหยกน้อย?

“ในแดนศักดิ์สิทธิ์ของนครหยกน้อยเรามีผู้คนอาศัยอยู่ไม่มาก พวกเขาล้วนแต่เป็นหญิงแก่ชายชรา ไม่ค่อยมีคนที่อายุใกล้เคียงข้า”

หวางมู่หรันกล่าว “แต่คราวนี้มีคนมาเยี่ยมเยือนและเข้าพบอาจารย์ของข้า เขาร้องขอให้อาจารย์ของข้ามาพบราชครูสันตินิรันดร์ กล่าวว่าราชครูนั้นดําเนินตามมรรคามาร และหมายที่จะกวาดล้างทุกสํานักในโลกหล้า อาจารย์ของข้าแต่เดิมก็มิได้อยากจะทํา แต่ไม่อาจหักใจปฏิเสธคําขอของสหายเก่าได้ สํานัก ต่างๆ ในโลกนี้แทบจะถูกทําลายล้างลงไปด้วยนํ้ามือของราชครู และการกระทําของเขาไม่ต่างอะไรกับมารอสูร”

ฮู่หลิงเอ๋องุนงง “พวกเราไม่ใช่ฝ่ายคนดีหรอกหรือ ข้ารู้สึกว่าการกระทําของราชครูออกจะเที่ยงธรรม!”

หวางมู่หรันส่ายหน้า “พวกเจ้าล้วนแต่เป็นเหยี่ยวและสุนัขของราชสํานักเป็นเขี้ยวเป็นเล็บของราชครู มีชื่อเสียงชั่วร้าย”

ฉินมู่ฉงน เขารู้สึกว่าการกระทําของราชครูนั้นไม่มีปัญหาและเที่ยงธรรม ยิ่งไปกว่านั้นราชครูยังมีบรรยากาศของความถูกต้องดีงาม และทุกสิ่งที่เขากระทําล้วนปกติธรรมดาและไม่ละเมิดคุณธรรม ในสายตาของฉินมู่

เหตุไฉนถึงกลายเป็นมรรคามารในสายตาของคนอื่น ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเหล่าบัณฑิตจักรวรรดิกลายเป็นเหยี่ยวและสุนัขรับใช้ราชสํานักไปได้อย่างไร กลายเป็นเขี้ยวเล็บของราชครูไปได้อย่างไร และมีชื่อเสียงอันชั่วร้ายไปได้อย่างไร

ความดีงามและชั่วช้า อาจจะเป็นแค่เรื่องของมุมมอง ฉินมู่คิดในใจ

ฮู่หลิงเอ๋อถาม “มู่หรัน หากอาจารย์ของเจ้าสิ้นชีวิต เจ้าจะทําอย่างไร”

หวางมู่หรันเปี่ยมด้วยความมั่นใจและส่ายศีรษะ “ไม่มีใครสังหารอาจารย์ของข้าได้ กําลังฝีมือของเขา…”

ในจังหวะนั้นเอง ราชครูสันตินิรันดร์ก็เดินเข้ามาและกล่าวแก่หวางมู่หรัน “ไปเก็บสังขารของอาจารย์เจ้า ก่อนที่เขาจะตายเขาบอกข้าว่าได้ถ่ายทอดวิชาฝีมือทั้งหมดให้กับเจ้าแล้ว นี่เยี่ยมยอดเป็นอย่างยิ่ง จงตั้งใจฝึกปรือให้ดี”

หวางมู่หรันนั่งตะลึง และพลันกระโดดลงจากหลังกวางวิ่งตะบึงไปยังนํ้าตก ครู่หนึ่งเสียงร้องไห้โหยหวนของเขาก็ลอยมา

“นครหยกน้อยโดดเด่นน่าจับตาจริงๆ ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับสํานักนี้ว่ามีความเชื่อมโยงกับสวรรค์เบื้องบน”

ราชครูสันตินิรันดร์กล่าว “เมืองหลี่อยู่ข้างหน้า ข้าได้รับบาดเจ็บดังนั้นเจ้าต้องไปหายาสมุนไพรมาเยียวยา”

ฉินมู่พยักหน้า “อาการบาดเจ็บของราชครูนั้นยากจะรักษา ตัวยาที่ข้าจะหลอมปรุงขึ้นมาคงจะต้องซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!