Skip to content

Tales of Herding Gods 2

2. โลหิตของสี่วิญญาณศักดิ์สิทธิ์

ยายเฒ่าซีฉีกยิ้มระหว่างที่นางดึงฉินมู่เข้าไปในหมู่บ้านอย่างตื่นเต้น “เลิกมองโน่นนี่ได้แล้ว รีบมาทางนี้เร็วเข้า! วันนี้วันสำคัญของเจ้า! ผู้ใหญ่บ้าน ตาแก่หม่า ไสก้นมาไวๆ!”

แสงจากกองไฟกลางหมู่บ้านให้ความสว่างแก่บริเวณรอบๆ ผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่เช่นเคย กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเคร่ง “เจอวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่หรือยัง”

“ได้มาครบแล้ว”

เฒ่าหม่าแขนเดียวโยนงูยักษ์สีเขียวหยกเป็นๆ ยาวหลายฟุตลงกับพื้น ส่งกลิ่นฉุนเฉียวของอสรพิษกระจายไปทั่ว ท่านปู่หม่าใช้แขนเดียวกดคอเจ็ดนิ้วของงูยักษ์ไว้จนมันมิอาจขยับได้

ช่างตีเหล็กใบ้ชูนกตัวใหญ่ยักษ์ขึ้นมา นกนั้นมีกายใหญ่เสียยิ่งกว่าเฒ่าใบ้ แต่ปีกและเท้าของมันถูกมัดไว้อย่างแน่นหนา และเมื่อใดที่ปักษานี้ดิ้นกระเสือกกระสน ก็มีเปลวเศษเพลิงกระเซ็นมาจากขนปีกฟังเสียงฉี่ๆ น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง

ด้านเฒ่าบอดก็อุ้มเต่าบกตัวยักษ์ที่มหึมายิ่งกว่าโต๊ะใหญ่ๆ ไม่มีใครรู้ว่าเต่ายักษ์ตัวนี้มีชีวิตมานานแค่ไหน กระดองของมันถึงแปรเปลี่ยนเป็นสีทองอร่ามแบบนี้ ขาทั้งสี่ของเต่ายักษ์หดอยู่ในกระดอง แต่บางครั้งบางทีมันก็โผล่เล็บออกมาบ้าง ฉินมู่สังเกตเห็นว่าเมื่อเล็บของมันแพลมออกมานอกกระดอง ก็มีไอละอองน้ำพวยพุ่งมาจากเบื้องใต้ คลื่นไอน้ำนั้นดูทรงพลังราวกับว่าจะสามารถยกร่างมหึมาของเต่ายักษ์ขึ้นไปและพามันเหินหนีไปได้

แต่ที่มันหนีไปไม่สำเร็จก็เพราะว่าเฒ่าบอดใช้ตะขอเกี่ยวจมูกของมันเอาไว้

“มังกรเขียว พยัคฆ์ขาว หงส์แดง และเต่าดำ แม้ว่าพวกเราจะไม่สามารถแสวงหาโลหิตของวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ แต่ก็น่าจะกลั่นออกมาพอใช้ได้ล่ะจากงูมังกรเขียว เสือกระดูกเหล็ก นกสายฟ้า และเต่าทองคำ”

ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้าให้สัญญาณแก่คนแล่เนื้อประจำหมู่บ้าน นักแล่เนื้อฉีกยิ้มแล้วใช้มือและแขนของตนถัดร่างให้ขยับไปข้างหน้า เขาหลงเหลือเพียงร่างกายท่อนบน ทุกๆ องคาพยพตั้งแต่ใต้เอวลงไปถูกตัดเฉือนออกจนเหี้ยนเตียน

อ่างสี่ใบถูกตั้งไว้เบื้องหน้างูมังกรเขียว เสือกระดูกเหล็ก นกสายฟ้า และเต่าทองคำ ด้วยคมมีดเดียวที่กรีดไปยังสัตว์แต่ละตัว เลือดของสัตว์ร้ายทั้งสี่ก็ไหลหลั่งลงไปในอ่าง และไม่นานนักโลหิตของพวกมันก็แห้งเหือดจนหมดสิ้น

“นักปรุงยา” ผู้ใหญ่บ้านร้องเรียก

นักปรุงยาของหมู่บ้านก้าวเข้าไปแทน เขาเป็นมนุษย์ไร้หน้า จมูก หนังใบหน้า และริมฝีปากครึ่งหนึ่งของเขาดูเหมือนจะถูกใครเฉือนออกไปจนหมด ในหมู่บ้านนี้ถือว่าเขารูปลักษณ์น่าเกลียดที่สุด และเป็นคนที่น่ากลัวที่สุดในหมู่บ้าน ทว่าฉินมู่กลับรู้สึกว่าท่านปู่นักปรุงยาเป็นคนใจดีที่สุดแล้ว

นักปรุงยาก้าวไปเบื้องหน้าและหยิบใบไม้ประหลาดสีแดงออกมาสี่ใบ แต่ละใบมีไข่แมลงสีขาวดุจหิมะ นักปรุงยาปล่อยใบไม้ลงไปในอ่าง อ่างละใบ เมื่อมองดูแล้วจะเห็นว่าตัวหนอนพลันฟักออกมาจากไข่และเริ่มดื่มกินโลหิตในอ่าง

ยิ่งหนอนเหล่านั้นดื่มกินโลหิตเข้าไปมาเท่าไหร่ กายของมันก็ยิ่งพองโตมากเท่านั้น เลือดในอ่างทั้งสี่เหือดแห้งไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้ก็แต่หนอนตัวอ้วนยักษ์สี่ตัว

นักปรุงยาโปรยผงผลึกสีขาวที่ดูคล้ายเกลือลงไปในทุกอ่าง และฉินมู่สามารถเห็นได้กับตาว่าหนอนเหล่านั้นหดตัวลงอย่างรวดเร็ว ภาพที่เห็นทำให้เขาเดาะปากด้วยความทึ่ง

ผ่านไปครู่หนึ่ง นักปรุงยาก็จับหนอนทั้งสี่ตัวขึ้นมา หนอนแต่ละตัวหดเหลือเพียงแค่ฝ่ามือ เขาหยิบถ้วยเซรามิคสี่ใบมาตระเตรียมแล้วจับหนอนตัวแรกมาบีบเค้นจนมันร้องเสียงแหลม ทันใดนั้นโลหิตสีอำพันใสก็ไหลหลั่งจากปากของมันมาเติมเต็มถ้วยนั้น

นักปรุงยาจัดการกับหนอนอีกสามตัวเช่นเดียวกัน บีบเค้นเลือดของพวกมันใส่ในถ้วยที่เหลือ จากนั้นยกถ้วยทั้งสี่มาวางไว้เบื้องหน้าฉินมู่พลางส่ายหน้ากล่าวว่า “ในเมื่อพวกมันไม่ใช่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ข้าก็กลั่นโลหิตวิญญาณออกมาได้เพียงเท่านี้”

“มู่เอ๋อ ในร่างกายมนุษย์มีคลังสมบัติเจ็ดประการ ทารกวิญญาณ, ห้าธาตุ, หกทิศ, เจ็ดดารา, ชาวสวรรค์, ชีพและมรณะ, สะพานเทวะ”

“ปกติแล้วสมบัติเทพทั้งเจ็ดจะถูกผนึกไว้และต้องอาศัยผู้ฝึกยุทธคลายผนึกพวกมันด้วยตนเอง” ผู้ใหญ่บ้านกล่าว แสงจากกองไฟฉาบไล้ใบหน้าของเขาส่งให้มีรัศมีน่าเกรงขาม “สิ่งที่กีดขวางผู้ฝึกยุทธจากการคลายผนึกสมบัติ เรียกว่า ‘กำแพง’ ได้แก่ กำแพงทารกวิญญาณ กำแพงห้าธาตุ กำแพงหกทิศ กำแพงเจ็ดดารา กำแพงชาวสวรรค์ กำแพงชีพและมรณะ และกำแพงสะพานเทวะ วิธีฝ่าอุปสรรคเหล่านี้จึงเรียกว่า ‘การทลายกำแพง’”

ท่านปู่หม่าใช้มือที่เหลือข้างเดียวของเขาลูบหัวของฉินมู่อย่างอ่อนโยนพลางยิ้มละไม “หากทลายกำแพงไม่ได้ก็มิอาจฝึกยุทธ์ บางผู้คนเทพเสริมสวรรค์ส่ง กำแพงทารกวิญญาณถูกทลายมาแต่กำเนิด ทำให้เปิดมหาสมบัติทารกวิญญาณมาตั้งแต่ออกจากครรภ์มารดา ร่างของผู้คนประเภทนี้เรียกว่า กายาวิญญาณ เป็นร่างที่สวรรค์ประทานมาให้เหมาะพ้องสมบูรณ์ต่อการฝึกยุทธ์ ผู้ที่มีกายาวิญญาณจะมีพรสวรรค์ที่เหนือล้ำ เขาสามารถฝึกยุทธ์ได้ก้าวหน้ารวดเร็วเป็นสองเท่าของคนทั่วไป”

“สมบัติทารกวิญญาณมีสี่ประเภท ซึ่งหมายว่ามีกายาวิญญาณสี่ประเภทเช่นกันได้แก่ กายาวิญญาณมังกรเขียว กายาวิญญาณพยัคฆ์ขาว กายาวิญญาณหงส์แดง และกายาวิญญาณเต่าดำ เพื่อตรวจดูว่าใครครอบครองกายาวิญญาณชนิดใดจำต้องใช้โลหิตของวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่”

“หากว่าเจ้ามีกายาวิญญาณมังกรเขียว ปราณมังกรเขียวก็จะถูกปลุกเมื่อเจ้าดื่มโลหิตวิญญาณมังกรเขียว เหมือนกับเฒ่าหม่า” นักปรุงยากล่าว

เฒ่าหม่าแขนเดียวถอดเสื้อของเขาออกหันหลังให้กับฉินมู่ เค้นคอเปล่งเสียงคำราม

ทันใดฉินมู่ก็เห็นไอปราณสีเขียวระเหยออกมาจากร่างของเฒ่าหม่า จากกระดูกปลายสันหลังจนถึงศีรษะของเขา ปราณเขียวนั้นค่อยๆ รวมตัวควบแน่นเป็นรูปร่างมังกรเขียว เมื่อเกล็ด หนวด และแผงขนมังกรปรากฏ กรงเล็บมังกรก็ยืดยาวออกมาจากหมัดข้างที่เหลือของเฒ่าหม่า และอีกสองกรงเล็บก็ปรากฏพัวพันอยู่ที่โคนขาของเขา

“นี่คือกายาวิญญาณมังกรเขียว” เฒ่าหม่าแขนเดียวสวมเสื้อของตนกลับ “ยัยแก่ซีมีกายาวิญญาณพยัคฆ์ขาว”

ท่านยายซีเหลือกตาแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่ถอดเสื้อผ้าแล้วปล่อยให้สายตาสุนัขของพวกเจ้าโลมเลียหรอก ฉินมู่ดูยายก่อรูปปราณนะ”

ร่างของท่านยายซีสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนที่ร่างเลือนรางของพยัคฆ์เหี้ยมสีขาวค่อยๆ ปรากฏเบื้องหลังนาง เสียงคำรามจางๆ ของมันลั่นมาพร้อมกับรูปปราณนั้น

“ทุกๆ คนในหมู่บ้านนี้มีกายาวิญญาณ เมื่อก่อนนี้น่ะ พวกเราต่างรุ่งโรจน์ในยุทธจักร แต่ตอนนี้ เฮ้อ…ก็แค่ตาแก่ยายแก่ที่ทั้งชราและพิการ”

ท่านยายซีแย้มยิ้มแล้วกล่าวต่อ “พวกเราผู้เฒ่าเหลาเหย่ไม่มีสิ่งใดจะให้เจ้าได้ ก็มีแต่โลหิตวิญญาณสี่ถ้วยนี่แหละ ที่จะช่วยกระตุ้นกายาวิญญาณได้ หากว่าเจ้ามีกายาวิญญาณพยัคฆ์ขาว เมื่อดื่มโลหิตวิญญาณพยัคฆ์ก็จะกระตุ้นปราณทารกวิญญาณพยัคฆ์ หากว่ามีกายาวิญญาณหงส์แดง เมื่อดื่มโลหิตวิญญาณหงส์แดงก็จะกระตุ้นปราณหงส์แดง กายาวิญญาณเต่าดำก็เช่นเดียวกัน”

“เอาล่ะ ดื่มซะ”

ผู้ใหญ่บ้าน ท่านยายซี และทุกๆ คนจ้องมองฉินมู่เป็นสายตาเดียวกัน ด้วยอารมณ์ตื่นเต้นกระตือรือร้น

ฉินมู่ใจเต้นตุ้มต่อม แม้ว่าเขาจะเคยดื่มยาประหลาดพิสดารจำนวนนับไม่ถ้วนระหว่างที่เรียนรู้วิชาปรุงยาจากนักปรุงยา เขาก็ไม่เคยรู้สึกพิลึกพิลั่นเช่นนี้

ฉินมู่ยกถ้วยเซรามิคหนึ่งในนั้นขึ้นมาจรดปาก ในเมื่อโลหิตในถ้วยเป็นโลหิตวิญญาณหงส์แดง มันจึงร้อนระอุในมือ เขาซดมันลงคอในรวดเดียวและรู้สึกถึงความร้อนเผาผลาญอันแผ่ขยายมาจากช่องคอไปยังแขนขาและกระดูกทั่วกาย เหมือนกับว่ามีเปลวเพลิงโหมกระพืออยู่ภายในร่าง อันร้อนรนคล้ายโลหิตเดือดพล่านไปหมด

เพียงชั่วครู่ ความร้อนผลาญเผานั้นก็จางหายไป

“เฒ่าใบ้ เขามีกายาวิญญาณหงส์แดงหรือไม่” ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยถาม

เฒ่าใบ้ช่างตีเหล็กส่ายหน้า

“ถ้วยต่อไป ฉินมู่” ผู้ใหญ่บ้านกล่าว

ฉินมู่ยกถ้วยที่สองอันเต็มเปี่ยมไปด้วยโลหิตวิญญาณพยัคฆ์ขาวขึ้นมาดื่ม มันรู้สึกเหมือนกับกลืนโลหะเหลวที่เต็มไปด้วยสะเก็ดระคายคอ รสเหมือนทองแดง และทิ่มแทงปากของเขา ความรู้สึกแหลมคมนี้แผ่กระจายไปทั่วร่าง ซึ่งก็จางหายไปในที่สุด

“เขาไม่มีกายาวิญญาณพยัคฆ์ขาว” ท่านยายซีส่ายหน้าด้วยความผิดหวังนิดๆ

“ฉินมู่ ถ้วยที่สาม” น้ำเสียงของผู้ใหญ่บ้านเคร่งขรึมกว่าเดิม

ฉินมู่ดื่มถ้วยที่สามซึ่งบรรจุโลหิตวิญญาณมังกรเขียวเอาไว้อันถูกกลั่นจากเลือดของงูยักษ์สีเขียว โลหิตวิญญาณถ้วยนี้ทำให้เขารู้สึกราวกับว่าเลือดในกล้ามเนื้อพองขยายจนเบียดอัดอวัยวะภายใน ทว่าความรู้สึกเป่งพองนี้ไม่นานก็หายไป

เฒ่าหม่าส่ายหน้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง “เขาไม่มีกายาวิญญาณมังกรเขียว”

“ถ้าอย่างงั้น เขาต้องมีกายาวิญญาณเต่าดำแน่ๆ” นักปรุงยาเผยรอยยิ้มที่หาดูได้ยาก ส่งให้ใบหน้าของเขาดูอัปลักษณ์ชั่วร้ายยิ่งขึ้น

ฉินมู่ดื่มถ้วยสุดท้ายอันเต็มไปด้วยโลหิตวิญญาณเต่าดำ เขารู้สึกร่างเบาหวิวราวขนนกทันทีที่ดื่มเข้าไป คล้ายกับว่าเขากำลังลอยล่องอยู่ในแม่น้ำ แต่ทว่า ไม่นานนักความรู้สึกนี้ก็หายไปเช่นกัน

“เขาไม่มีกายาวิญญาณเต่าดำ” นักปรุงยาส่ายหน้าอีกคน

สมาชิกหมู่บ้านรอบๆ กองไฟตกอยู่ในความเงียบงัน จนกระทั่งคนแล่เนื้อออกปากพูด “ถ้างั้น เขาก็เป็นแค่คนธรรมดา”

ท่านยายซีเริ่มสะอึกร้องไห้ นางพยายามเค้นคำพูดทั้งน้ำตา “พวกเจ้าและข้าล้วนแต่พิกลพิการ ถ้าพวกเราตายไปหมด ฉินมู่จะอยู่อย่างไร สถานที่อันตรายร้ายกาจแบบนี้ เขาจะมีชีวิตอยู่ได้ข้ามวันหรือ…”

ฉินมู่เอื้อมมือไปจับแขนท่านยายซีแล้วกล่าวปลอบ “อย่าร้องไห้สิท่านยาย ท่านยายและท่านปู่ทุกๆ คนล้วนแต่เป็นคนดี ต้องไม่อายุสั้นแน่ๆ”

“คนดีรึ ฮี่ๆ” เฒ่าหม่าหัวเราะเย้ยตนเอง “เฒ่าพิการอย่างพวกเราถูกขับไล่ไสส่งมายังดินแดนโบราณวินาศ เพียงเพื่อกระเสือกกระสนมีชีวิตอยู่ไปวันๆ แดนโบราณวินาศนี้อันตรายเกินไป หากปราศจากพวกเราผู้เฒ่า มู่เอ๋อคงยากที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้ พวกเราควรส่งเขาออกจากแดนโบราณวินาศ ภายนอกนั้นปลอดภัยมากกว่าเยอะ”

คนแล่เนื้อสอดคำอย่างเย็นเยียบ “ส่งเขาออกไป พวกเราก็จะถูกค้นพบและสังหาร เขาเองก็จะพลอยพัวพันตายตกตามไปด้วย”

หมู่บ้านชราพิการตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง และทันใดนั้น ผู้ใหญ่บ้านก็เปล่งเสียง

“เยี่ยม!”

ท่านยายซีพิศวง “อะไรเยี่ยม”

ผู้ใหญ่บ้านเผยใบหน้าเกลื่อนยิ้ม “ข้าหมายถึงกายาของเขาน่ะสิ ว่าเยี่ยมยอด เป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นดี”

คนแล่เนื้อ นักปรุงยา และผู้อื่นๆ ต่างตื่นตระหนก ไม่รู้ว่าผู้ใหญ่บ้านพูดถึงอะไร ด้านผู้ใหญ่บ้านก็กล่าวต่อพร้อมรอยยิ้ม “ข้าคิดว่ามู่เอ๋อน่าจะมีกายาอีกแบบ อันหลอมรวมเอาพลานุภาพของกายาวิญญาณทั้งสี่ กายานี้เรียกว่า กายาจ้าวแดนดิน!”

“กายาจ้าวแดนดิน?” ท่านยายซีและคนอื่นๆ แสดงสีหน้าสงสัย พวกเขาล้วนแต่เป็นผู้ที่มีประสบการณ์กว้างขวาง แต่ก็มิเคยได้ยินคำร่ำลือเกี่ยวกับกายาจ้าวแดนดินมาก่อน

“ใช่แล้ว กายาจ้าวแดนดิน”

ผู้ใหญ่บ้านรักษารอยยิ้มบนหน้าและกล่าวต่อไป “โลหิตวิญญาณธรรมดาสามัญนั้นยากที่จะปลุกพลังของกายาจ้าวแดนดิน จำต้องใช้โลหิตทั้งร่างของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่จึงจะทำให้กายาจ้าวแดนดินสำแดงเดชออกมา ในแดนโบราณวินาศนี้ไม่มีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ แต่ทายาทของพวกมันมีอยู่เกลื่อนกลาด พวกเจ้าคอยจับพยัคฆ์ร้าย งูยักษ์มากลั่นเอาโลหิตวิญญาณเรื่อยๆ เพื่อป้อนให้เขาดื่ม แล้วในที่สุดก็จะกระตุ้นพลังกายาจ้าวแดนดินได้เอง”

ทุกคนไม่สงสัยคำพูดของผู้ใหญ่บ้านซึ่งทำตัวเป็นที่น่าเชื่อถือมาตลอด ชายชราหญิงแก่แขนด้วนขาขาดฟังแล้วก็ดีใจเริงรื่น ท่านยายซียิ้มร่าพลางกล่าว “พรุ่งนี้ข้าจะตามไอ้เป๋ที่น่าตายไปจับเสือ! มู่เอ๋อ รีบเข้านอนนะลูกนะ พรุ่งนี้จะได้ดื่มโลหิตวิญญาณให้เต็มที่”

เมื่อสมาชิกหมู่บ้านแยกย้ายกันไป เหลือเพียงแต่ผู้ใหญ่บ้าน นักปรุงยา และเฒ่าใบ้ช่างตีเหล็กในห้องข้างหลังเรือนผู้ใหญ่ เฒ่าใบ้จากจรไปก่อน แต่นักปรุงยากลับยืนรออยู่ แล้วกล่าวด้วยเสียงเบา “กายาจ้าวแดนดินไม่มีในโลกนี้”

ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้ารับ “ข้าพูดไปโดยกระทันหัน แต่หากว่าข้าไม่พูดเช่นนั้น คนในหมู่บ้านคงไม่มีกะจิตกะใจที่จะใช้ชีวิตต่อ”

นักปรุงยาฟังแล้วก็สะดุ้งขึ้นมา สมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่มีที่มาแตกต่างกันไป และถูกขับไล่ให้หนีตายมายังหมู่บ้านชราพิการในแดนโบราณวินาศ เพียงเพื่อต่อลมหายใจแผ่วไปวันต่อวันเท่านั้น แต่เดิมพวกเขาทั้งแค้นสวรรค์และชังผู้คน ความเคียดแค้นนั้นหหนักหนาสาหัส ที่ยังดำรงชีวิตอยู่ได้จนถึงป่านนี้ ฉินมู่ถือว่ามีบทบาทสำคัญ

การมาถึงของเด็กทารกที่ร่างกายสมบูรณ์ ได้ชำระล้างความเคียดแค้นที่ฝังลึกในใจพวกเขา ทุกคนร่วมกันถนอมกล่อมเลี้ยงฉินมู่จนรับเด็กคนนี้เป็นแก้วตาดวงใจ เรียกได้ว่าหัวใจที่อ่อนไหวเปราะบางของผู้เฒ่าในหมู่บ้านอยู่ในกำมือของฉินมู่

หากว่าชาวบ้านรู้ว่าฉินมู่มิได้มีกายาวิญญาณใดๆ และไม่อาจเอาตัวรอดในแดนโบราณวินาศได้ด้วยตนเอง พวกเขาอาจจะเกิดบ้าขึ้นมาและทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด

แต่อย่างไรนักปรุงยาก็ตอบไปด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ “ท่านไม่สามารถปกปิดความจริงไปได้ตลอดกาล สักวันพวกเราก็จะสิ้นอายุขัยและทิ้งให้ฉินมู่ต้องเผชิญโลกตามลำพัง”

“นั่นแหละ พวกเราจึงจะไม่บอกเขาว่ากายาจ้าวแดนดินไม่มีอยู่จริง เก็บความลับนี้ให้ฝังไปพร้อมกับพวกเรา ชั่วนิจนิรันดร์” ผู้ใหญ่บ้านกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ให้เขาเชื่อว่า เขามีกายาจ้าวแดนดินเพียงหนึ่งเดียวในโลกนี้!”

นักปรุงยาอึ้งไปเมื่อเพ่งมองใบหน้าของผู้ใหญ่บ้าน ภายใต้แสงมัวซัวจากตะเกียงน้ำมันสีหน้าของผู้ใหญ่บ้านดูละเมอเคลิบเคลิ้มเมื่อเขาเผยอยิ้ม “ข้าอยากรู้ว่าคนธรรมดาผู้มีศรัทธาไร้เทียมทันจะสามารถสำเร็จความฝันอันกายาวิญญาณวิญญาณอย่างพวกเราไม่สามารถบรรลุได้หรือไม่”

นักปรุงยาตะลึงจ้องด้วยสายตาว่างเปล่า พึมพำ “กายธรรมดา…สู่กายาจ้าวแดนดิน”

ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้าหนักแน่น “ตราบเท่าที่มีศรัทธา กายธรรมดาจะต้องกลายเป็นกายาจ้าวแดนดินในที่สุด!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!