Skip to content

Tales of Herding Gods 203

ตอนที่ 203 คนขาขาดที่ควรแก่การเชื่อถือ

เมื่อฉินมู่ได้ยินข่าว เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและมองไปทางราชครูสันตินิรันดร์

ราชครูเผยสีหน้าโศกสลดและกล่าว “ข้าจะไปแสดงความเสียใจที่คฤหาสน์อ๋องพิทักษ์อุดร”

ฉินมู่ถามด้วยเสียงเบา “ราชครู ทําไมอ๋องพิทักษ์อุดรถึงก่อกบฏ”

“เขามิได้ก่อกบฏต่อจักรพรรดิ เขาก่อกบฏต่อต้านข้า เพื่อประโยชน์ของจักรวรรดิและตระกูลหลิงของเขา” ราชครูสันตินิรันดรก์ล่าวด้วยเสียงแผ่ว “อิทธิพลอํานาจของข้ายิ่งใหญ่เกินไปทําให้เขากระสับกระส่าย เขาคิดว่าข้าจะพลิกอํานาจนําของตระกูลหลิง เจ้าพูดถูก ตอนนี้ได้เวลาอันเหมาะที่ข้าจะเริ่มสร้างครอบครัว แม้หัวใจข้าจะมีกฎสวรรค์ แต่ก็ความปรารถนาอื่นก็ยังจําเป็น”

ฉินมู่มีสีหน้าแปลกพิกล คนอย่างราชครูสันตินิรันดร์น่ะหรือที่จะเริ่มสร้างครอบครัว? นี่มันเหลือเชื่อเกินไปหน่อยไหม แต่กลับเกิดขึ้นมาตรงหน้าเขาแล้ว

“ข้าจะกลับไปที่เคหาสน์และเปลี่ยนชุดเป็นสีไว้ทุกข์ อ๋องพิทักษ์อุดรหลิงอิ๋นเฝิงได้อุทิศกายและใจแก่จักรวรรดิ แม้ว่าเขาจะขัดแย้งกับข้าในเรื่องวิธีการ แต่เขาก็ยังถือว่าเป็นผู้ที่ควรแก่การเคารพนับถือ ข้าจึงต้องไปแสดงความเคารพแก่เขา”

ราชครูสันตินิรันดร์จึงกล่าวลาฉินมู่ “บัดนี้เมื่อพวกเรามาถึงเมืองหลวง ข้าก็คงไม่รบกวนเจ้าเรื่องอาการบาดเจ็บอีกต่อไป”

ฉินมู่พยักหน้า ในเมื่อบาดแผลของราชครูจากการถูกซุ่มโจมตีก่อนหน้านั้นได้หายสนิทแล้ว เขาก็ไม่ต้องการหมอเทวดาให้อยู่ชิดติดกายอีกต่อไป และฉินมู่ก็ไม่จําเป็นต้องรักษาเขาต่อ

เมื่อราชครูสันตินิรันดร์กลับมาที่เคหาสน์ เขาก็มีท่าทีระวังไว เขามิได้เดินเข้าทางประตูใหญ่ แต่กระโดดข้ามกําแพงเคหาสน์ไปตรงๆ มองไปรอบๆ ทั่วทิศทาง เขาพบว่าผนึกทั้งหลายที่เขาจัดวางเอาไว้ยังคงอยู่ดี

แต่กระนั้น เขาก็ไม่ละวางความระแวดระวัง และร้องเรียกด้วยเสียงขรึม “เฒ่าฟู่? หยวนชิง?”

ไม่มีเสียงตอบรับ เคหาสน์ราชครูเงียบสงัดผิดปกติ เขาเดินเข้าไป และเมื่อเขาเข้ามาถึงห้องโถง เขาก็เห็นบ่าวรับใช้และองครักษ์ทั้งหลายของเขาถูกมัดกองเอาไว้ด้วยกัน

ราชครูสันตินิรันดร์ข์มวดคิ้ว และพลันเห็นฝูหยวนชิง ราชาพิษน้อยฝูหยวนชิงถูกลอกเสื้อผ้าออกจนเปลือยเปล่า และมัดห้อยไว้กับเพดานโถง ลิ้นของเขาแลบออกมาจากปาก มีเชือกทองมัดรอบลิ้นและอีกปลายเชือกห้อยไว้ด้วยแท่งนํ้าหนักเหล็กอันหนักเป็นพิเศษ

ราชครูสันตินิรันดร์ขมวดคิ้วอย่างแรง และแสงกระบี่จากปลายนิ้วเขาก็พุ่งวาบ ตัดเชือกบางส่วนที่พันธนาการร่างของอีกฝ่ายออกไป ฝูหยวนชิงร่วงลงพื้นดังตึง และตอนนั้นราชครูถึงสังเกตพบว่าวรยุทธ์ทั้งหมดของฝูหยวนชิงถูกปิดผนึกเอาไว้ เช่นเดียวกับสมบัติเทวะทั้งหมด ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่สามารถปลดปล่อยพลังวัตรได้เลยสักนิด

ราชครูสันตินิรันดร์คลายผนึกบนร่างของเขา และช่วยปลดพันธนาการบ่าวไพร่และองครักษ์ทั้งหลาย เขาเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เกิดอะไรขึ้น”

“ข้าก็ไม่รู้” ฝูหยวนชิงส่ายศีรษะด้วยความอับอาย “ข้าไม่ทันเห็นอะไรทั้งสิ้น รู้สึกตัวอีกทีก็โดนแขวนห้อยไว้บนนั้นและแม้แต่ตอนที่ลิ้นของข้าถูกดึงออกมา ข้าก็มองไม่เห็นคนทํา คนผู้นั้นห้อยตุ้มเหล็กหนักไว้ที่ลิ้นของข้า ทําให้ข้าไม่อาจร้องขอความช่วยเหลือ!”

“นายผู้เฒ่า เคหาสน์ของเราถูกผีหลอกหรือเปล่า” บ่าวไพร่สามสี่คนดูหวาดผวา หนึ่งในนั้นกล่าว “ข้าก็ไม่เห็นอะไรหรือใครเลย และพลันพบว่าข้าถูกมัดกองรวมไว้กับคนอื่นๆ จนขยับไม่ได้!”

“ผีหลอก?”

ราชครูสันตินิรันดร์กล่าว “นี่ไม่ใช่ภูตผี ความเร็วของคนผู้นั้นว่องไวเกินไป ไวจนพวกเจ้ามองเขาไม่เห็น ข้ารู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร เขาต้องฉวยโอกาสบุกเข้ามาในเคหาสน์ของข้าตอนที่ข้าไม่อยู่ เพื่อเอาขาของเขากลับคืน หากว่าข้าเดาไม่ผิด คลังสมบัติของข้าตอนนี้ก็คงว่างเปล่า”

เขาเดินนําทุกคนไปที่คลังสมบัติ และพบว่าผนึกบนประตูยังอยู่ดี ไม่ถูกแตะต้อง

ฝูหยวนชิงปล่อยลมหายใจโล่งอกและแย้มยิ้ม “ราชครู ท่านเดาผิดแล้ว ผนึกยังอยู่ที่นี่ ข้าคะเนว่าเจ้าโจรนั่นคงไม่อาจทลายผนึกของท่านได้ เขาจึงมิได้แตะต้องข้าวของข้างใน”

ราชครูสันตินิรันดร์ถอนหายใจ “ตัวเงาอันไร้รูป เขาสามารถขโมยสวรรค์และสลับดวงตะวัน ทําไมเขาถึงต้องทําลายผนึกด้วยเล่า เขาสามารถทะลุผ่านผนึกได้โดยตรง โดยมิต้องแตะมันเลยสักนิด คลังสมบัตินี้โดนยกเค้าจนเกลี้ยงแล้วอย่างแน่นอน”

ไม่มีใครเชื่อเขา

เขาจึงคลายผนึกและผลักประตูเปิด เผยให้เห็นคลังสมบัติอันโล่งว่าง ไม่เหลือหลอแม้กระทั่งไม้จิ้มฟันสักแท่ง

บนผนังห้องฝั่งตรงข้าม ณ จุดที่เคยมีรูปวาดห้อยอยู่ รูปนั้นเป็นภาพวาดเงาหลังของกระบี่เทวะอันวาดขึ้นมาด้วยฝีพู่กันของรัชทายาทประเทศภาพสวรรค์ แต่บัดนี้มันหายสาบสูญไปโดยไร้ร่องรอย

แทนที่ภาพวาด มีรอยขีดเขียนข้อความอันชวนให้ทุกคนตระหนก

‘ราชครู ข้าเอาขาข้ากลับคืนขอบใจสําหรับสมบัติอื่นๆ ของเจ้า ข้าได้ดูแลบ่าวไพร่ของเจ้าเป็นอย่างดี ไม่ต้องห่วงอะไร โอ้! ข้า ยังหลับนอนบนเตียงของเจ้า และเมื่อข้าตื่นขึ้นมา ข้าก็ขี้ทิ้งไว้บนนั้น ในห้องหนังสือเจ้า ข้าจัดเตรียมนํ้าชาหอมหวนเอาไว้หนึ่งกา ความแค้นของเราจึงสะสาง และเจ้าไม่จําเป็นขอบคุณข้าเลยสักนิด ฮี่ๆ!’

ราชครูสันตินิรันดร์มีสีหน้ามืดคลํ้าทันใด เขารีบไปที่ห้องนอนของตนและยกผ้าห่มขึ้น ตอนนั้นกลิ่นเหม็นหึ่งก็โชยไปทั่วห้อง เขาปิดจมูกและโบกมือไล่ “เฒ่าฟู่ โยนมันทิ้ง โยนมันทิ้งไปเร็ว!”

เฒ่าฟู่รีบม้วนห่อผ้าห่มนั้นพร้อมกับผ้าปูเตียง แต่กลิ่นเหม็นก็ยังโชยออกมาจากเตียงด้วย เฒ่าฟู่ถาม “นายผู้เฒ่า จะให้บ่าวโยนเตียงนี้ทิ้งด้วยหรือไม่”

“โยนทิ้งไปเลย!”

ราชครูสันตินิรันดร์โบกมือแล้วเดินไปที่ห้องหนังสือด้วยฝีเท้าอันเร่งร้อน ทั้งห้องหนังสืออบอวลไปด้วยกลิ่นฉี่ และของเหลวสีเหลืองในกานํ้าชาก็แน่นอนว่าไม่ใช่นํ้าชา

ราชครูสันตินิรันดร์ใช้ชายแขนเสื้อปัดกานํ้าชาและถ้วยปลิวหวือออกไปนอกหน้าต่าง หน้าของเขาดําคลํ้า “หยาบคายไร้ มารยาท! ข้าไม่ถือสาที่เขามาเอาขากลับคืนแต่ถึงกับกินนอนและถ่ายหนักในเคหาสน์ของข้าเพื่อทําลายความสงบ! เฒ่าฟู่ เตรียมชุดนํ้าชาและเตียงใหม่”

เฒ่าฟู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าว “นายผู้เฒ่า เงินของเราเหลือไม่มากพอ…”

ราชครูสันตินิรันดร์ตะลึงไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็พึมพํากับตนเอง “กว่าบําเหน็จกํานัลจากจักรพรรดิจะมาถึงก็อีกหลายวันแต่ นี่เพิ่งจะขึ้นเดือนใหม่ แต่เงินเดือนข้าหายไปหมดแล้วหรือ”

“นายผู้เฒ่าออกไปข้างนอกคราวนี้ได้นําเงินเดือนติดตัวไปมากกว่าครึ่ง ที่เหลือก็ใช้ซื้อหาของกํานัลเล็กน้อยๆ ให้แก่อ๋อง เจ้านคร และเสนาบดีทั้งหลายในวันคล้ายวันเกิดของพวกเขา บ้านที่เพิ่งมีบุตรธิดาถือกําเนิดมาก็ต้องส่งของกํานัลไปแสดงความยินดี เมื่อหลายวันก่อนก็เป็นวันเฉลิมพระชนม์ของพระพันปีหลวง และของขวัญที่ข้าเตรียมไปก็ถูกดูแคลนว่าตํ่าต้อยด้อยค่า”

ราชครูสันตินิรันดร์เริ่มปวดหัว “อ๋องพิทักษ์อุดรเพิ่งสิ้นชีพิตักษัย ดังนั้นก็ต้องการของขวัญแสดงความเสียใจเช่นกัน พวกเราหมดเนื้อหมดตัวจริงๆ น่ะหรือ ไม่มีของอะไรที่เอาไปจํานําได้เลยหรือ”

“นี่…”

เฒ่าฟู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตัดสินใจไม่ปริปาก

ราชครูสันตินิรันดร์มองไปรอบๆ แม้ว่าบ้านของเขาจะไม่เล็กไม่แคบ แต่ก็ไม่ค่อยมีเครื่องเรือน ไม่มีอะไรที่พอจะเอาไปจํานําได้เลย

เขารู้สึกว่าการหมกมุ่นกับข้าวของอันประณีตนั้นขัดขวางความรุดหน้าของวรยุทธ์ ดังนั้นสิ่งที่เขาอุปโภคบริโภคล้วนแต่เรียบง่ายไม่มีอะไรพิเศษ สิ่งที่เขาสะสมไว้มีแต่ของแปลกๆ เช่นขาของเฒ่าเป๋ ภาพวาดของรัชทายาทประเทศภาพสวรรค์ แต่กระนั้นของเหล่านี้ก็ถูกโจรเทวะขโมยไปหมดแล้ว

“พวกเราไปขอเบิกเงินเดือนล่วงหน้าได้ไหม”

เฒ่าฟู่ถาม “นายผู้เฒ่า ท่านยังต้องการหน้าอยู่หรือเปล่า”

ราชครูสันตินิรันดร์ลังเล “หรือพวกเราจะไปหาหยิบยืม”

เฒ่าฟู่ส่ายศีรษะ “ช่วงนี้จักรวรรดิอยู่ระหว่างศึกสงคราม และผู้คนที่นายผู้เฒ่าคบหาคุ้นเคยต่างก็ไม่มีใครอยู่บ้าน ใครจะให้ข้าหยิบยืมเงินในเมื่อเจ้าของบ้านไม่อยู่ เว้นแต่นายผู้เฒ่าจะบากหน้าไปด้วยตนเอง…”

ราชครูสันตินิรันดร์พึมพํา “ฝีมือวาดรูปของข้าก็ไม่เลวร้าย และน่าจะขายได้เงินทองบ้าง”

“นายผู้เฒ่าจะลงชื่อไว้ในนั้นไหม”

ราชครูสันตินิรันดร์ส่ายหน้า “หากข้าเขียนชื่อของข้าไว้ในภาพวาด ข้าไม่ลงชื่อ ผู้ที่ซื้อภาพของข้าก็ถือว่ากำลังติดสินบนให้ข้า”

เฒ่าฟู่ส่ายหน้าอีกที “ถ้าอย่างนั้น ภาพวาดของนายผู้เฒ่าคงขายไม่ออก”

ถ้อยคํานี้ทําราชครูสันตินิรันดร์เดือดปุดๆ “เจ้ารู้ได้อย่างไรหา ว่ามันจะขายไม่ออก ข้าครอบครองภาพวาดของรัชทายาทประเทศภาพสวรรค์มาตั้งนมนานและข้าได้คัดลอกภาพนั้นซํ้าๆ นับครั้งไม่ถ้วนแม้ว่าข้าไม่อาจอวดอ้างว่าฝีมือเทียบเคียงนักบุญศิลป์ แต่นั่นยังไม่นับว่าดีพอหรืออย่างไร”

“นายผู้เฒ่า เมืองหลวงนี่เป็นสถานที่อย่างไรท่านน่าจะรู้ ที่นี่มีบัณฑิตเลื่องชื่อมากมายราวกับฝูงปลาที่ว่ายข้ามแม่นํ้า แต่ว่าพวกเขาได้เงินจากการขายรูปวาดสักเท่าไรเชียว คนพวกนั้นมากกว่าครึ่งขัดสนไส้แห้งจนผ่ายผอมเหลือหนังหุ้มกระดูก เมื่อเทียบกับคนพวกนั้นแล้ว นายผู้เฒ่าคิดว่าฝีมือจิตรกรรมของตนเป็นอย่างไร”

เฒ่าฟู่กล่าว “หรืออีกทาง ศิษย์ของนายผู้เฒ่าอาจจะให้นายผู้เฒ่าหยิบยืมเงินได้”

“ยืมเงินทองจากลูกศิษย์ลูกหา? ข้าไม่อาจลดตัวลงไปขนาดนั้น” ราชครูสันตินิรันดร์พ์ลันนึกถึงฉินมู่ขึ้นมาและยิ้มแย้ม “ข้ารู้ล่ะว่าใครมีเงินให้ข้ายืมได้ เขานั้นใจกว้างเรื่องเงินทอง เวลาซื้อสมุนไพรรักษาข้าทีไรเขาก็ควักเองตลอด ไม่อย่างนั้นด้วยเงินเดือนน้อยนิดของข้าคงหมดเกลี้ยงไปนานแล้ว และเขาก็ไม่ใช่คนในสภาราชสํานัก ดังนั้นข้าไม่อับอายมากที่จะหยิบยืมจากเขา ข้าจะเร่งไปยืมเงิน พวกเจ้ารอข้าอยู่ที่นี่”

เมื่อฉินมู่กลับมาที่บัณฑิตนิเวศน์ เขาก็ได้กลิ่นยาโชยมาแตะจมูก เมื่อเขาก้าวเข้าไป ดูเหมือนว่าจะลอยมาจากเรือนของเขา น่าฉงนฉงาย

แม้ว่าจะมีภารโรงหลายคนที่คอยทําความสะอาดบัณฑิตนิเวศน์ แต่พวกเขาทุกคนก็มักจะไปฟังบรรยายที่โถงต่างๆ อยู่เสมอ ดังนั้นวรยุทธ์ของพวกเขามิได้อ่อนแอเลย ภารโรงบางคนถึงกับวรยุทธ์แก่กล้ากว่าเหล่าบัณฑิต ในประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ ภารโรงหลายคนได้ฝึกปรือสั่งสมวรยุทธ์จนเหนือธรรมดาและทําให้พวกเขาสามารถกระโดดข้ามตําแหน่งบัณฑิตขึ้นไปเป็นขุนนางเลื่องชื่อได้ทันที

มีภารโรงเหล่านี้คอยคุ้มกันบัณฑิตนิเวศน์ แทบจะไม่มีใครที่ลอบเข้าไปข้างในได้

ฉินมู่นํากิเลนมังกรและฮู่หลิงเอ๋อเข้าไปในลานบ้านและเห็นสมุนไพรถุงใหญ่ๆ หลายต่อหลายถุงกองสุมกันในลานบ้าน มีกระทั่งเตาไฟหลอมยา หม้อเคี่ยวยา ฯลฯ

เตาไฟหลอมยาและหม้อเคี่ยวยานั้นก็วิเศษเหนือธรรมดา รอยสลักบนพื้นผิวพวกมันนั้นโดดเด่นเป็นพิเศษ ซึ่งแสดงชัดว่าพวกมันล้วนแต่เป็นสมบัติลํ้าค่า อันมิได้ด้อยไปกว่าสมบัติทั้งหลายที่ฉินมู่ยกเค้ามาจากวังทองโหรวหลัน!

ในหม้อเคี่ยวยามีขาข้างหนึ่ง และในเตาไฟหลอมยาก็มีแขนข้างหนึ่ง

เมื่อฉินมู่เห็นอวัยวะทั้งสอง เขาก็อึ้งไปเล็กน้อย เขาบอกแก่ฮู่หลิงเอ๋อและกิเลนมังกร “คอยเฝ้าที่นอกลานบ้านให้ดีๆ อย่าปล่อยให้ใครเข้ามา”

ฮู่หลิงเอ๋อและกิเลนมังกรลุกขึ้นและเดินออกไปจากลานบ้าน ฉินมู่เหลียวหลังกลับไปเห็นกิเลนมังกรเบียดตัวมุดผ่านกรอบประตูจนส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วส่ายหน้า “เจ้าตัวนี้อ้วนเอาอ้วนเอาขึ้นทุกวัน เดี๋ยวก็คงพังประตูข้าจนได้ และข้าก็ต้องหาบานใหม่มาติด”

เขาผลักประตูไปที่ห้องใหญ่ของเรือนและเห็นชายแก่ 2 คนที่ก็ยังไม่แก่เฒ่ามากมายนั่งอยู่ข้างใน เฒ่าเป๋แต่งเนื้อแต่งตัวเป็นอย่างดี เส้นผมเขาเป็นสีดําเงางาม และเคราใต้คางก็มัดถักไว้ด้วยด้ายทอง เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็มากรสนิยม

เฒ่าหม่านั่งตรงข้ามเขาและใส่ชุดเขียวซึ่งมิได้วิบวับเท่ากับของเฒ่าเป๋ แขนเสื้อข้างหนึ่งของเขาโล่งว่างและตกห้อย ตัวเขาดูเหมือนตกระกําจากการเดินทางไกล เขาคงเพิ่งมาถึงได้ไม่นาน ทําให้จอนของเขาเกาะเป็นก้อนและทรงผมเขาก็ดูยุ่งเหยิง

เมื่อทั้ง 2 เห็นฉินมู่เดินเข้ามา เฒ่าเป๋ก็เผยยิ้มสัตย์ซื่อ ส่วนเฒ่าหม่าหน้าบานขึ้นมาทันตา

“ท่านปู่หม่า ท่านปู่เป๋…” ฉินมู่รู้สึกเต็มตื้นใจและสองตาเขาก็แดงขึ้นมา “พวกท่านทั้งสองมาเยี่ยมข้าหรือ”

“เปล่า” เฒ่าหม่าตอบ

ฉินมู่ปวดใจ

เฒ่าเป๋แย้มยิ้ม “เจ้าอยู่ดีกินดีกว่าพวกเราเสียอีก ทําไมพวกเราถึงจะต้องมาเยี่ยมเจ้าด้วยล่ะ เจ้ามันก็แค่เด็กที่พวกเราเก็บได้ข้างทาง ทําไมพวกเราถึงต้องเดินทางมานับหมื่นเพื่อมาพบหน้าเจ้า อย่าคิดเข้าข้างตัวเองไปหน่อยเลย”

ฉินมู่เถียงอย่างโมโห “พวกท่านมาเยี่ยมข้าชัดๆ!”

เฒ่าเป๋ส่ายหน้า “ข้ามาที่นี่แค่ให้เจ้าเชื่อมต่อขาให้ เจ้าดูให้หน่อยสิว่าขาข้ายังมีชีวิตอยู่ไหม”

“ไม่ดู”

เฒ่าเป๋โลดเต้นด้วยความเดือดดาล “เด็กดื้อ เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็ง? พวกเราไม่ได้มาเยี่ยมด้วยความคิดถึงเจ้าสักหน่อย!”

เฒ่าหม่ากระแอมไอแล้วกล่าวอย่างเรียบเรื่อย “หากว่าเจ้าไม่ได้ตั้งใจมาเยี่ยมเขา ทําไมเจ้าไม่เอาขาไปให้นักปรุงยาต่อให้แทนล่ะ เลิกแหย่เขาได้แล้ว ดูสิ เขาจะร้องไห้อยู่แล้วนั่น”

“ข้าไม่ได้ร้องไห้สักหน่อย” ฉินมู่กล่าว พลางเม้มปากกลั้นนํ้าตา

“ก็ได้ ก็ได้ เลิกร้องได้แล้ว ข้ามาที่นี่เพื่อเยี่ยมเจ้านั่นแหละ ข้าเพิ่งกลับมาจากเคหาสน์ของราชครู พักที่นั่นก็หลายวันอยู่ หยิบฉวยข้าวของที่นั่นมาบ้างนิดๆ หน่อยๆ เจ้าเห็นขาข้าในหม้อไหมล่ะ”

เฒ่าผู้นี้ดูภูมิอกภูมิใจในตนเองมาก “ขาของข้า! ข้าไปเอามันมาจากเคหาสน์ราชครู และราชครูก็ทําอะไรข้าไม่ได้สักนิด เขาได้แต่มองตาปริบๆ ตอนที่ข้าฉวยขากลับมา!”

ฉินมู่เงียบไปครู่ ก่อนที่จะเผยยิ้มอุ่น “ท่านปู่เป๋ ราชครูและข้าเพิ่งกลับมากันเมื่อครู่ ราชครูที่มองท่านปู่ตาปริบๆ ในเคหาสน์นั่นเป็นคนไหนกันหรือ”

เฒ่าเป๋จ้องเขา ฉินมู่ก็จ้องกลับไม่ลดละ รอยยิ้มบนใบหน้าของทั้งคู่ยิ่งมาก็ยิ่งอบอุ่น ให้ความรู้สึกไว้ใจได้และน่าเชื่อถือเป็นอย่างยิ่ง แม้เมื่อใครถูก 2 คนนี้เอามีดแทงท้อง เขาผู้นั้นก็คงยังรู้สึกว่าทั้งคู่น่าไว้วางใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!