Skip to content

Tales of Herding Gods 205

ตอนที่ 205 ต้นสาลี่เหลือง

ฉินมู่จัดเก็บสมุนไพรเหล่านั้นให้เรียบร้อยและเรียงมันให้เป็นชุด เขาบํารุงแขนของเฒ่าหม่าและขาของเฒ่าเป๋ด้วยยาชุดนั้น ก่อนที่จะไปซื้อหาผงแมลงพิษบางชนิดจากแดนใต้ที่คลังทรัพย์สิน

ผงแมลงนี้ถูกผลิตขึ้นมาจากแมลงอันเล็กจิ๋วอย่างสุด ที่เรียกว่าแมลงพิษชาดสะคราญ หากว่าวางแมลงตัวนี้ 1 ตัวไว้ตรงหน้าผู้คน ผู้นั้นก็มิอาจเห็นแมลงนี้ด้วยตาเปล่าได้ มีแต่ต้องใช้ตาที่ 3 เท่านั้น

หลังจากที่แมลงเหล่านี้ถูกตากแห้งและป่นให้เป็นผง มันก็จะฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ใหม่เมื่อสัมผัสกับโลหิต

ฉินมู่ขอเลือดสดใหม่จํานวนหนึ่งจากเฒ่าหม่าและเฒ่าเป๋ และใช้ละลายผงแมลง เมื่อแมลงพิษชาดสะคราญได้รับการหล่อเลี้ยงจากเลือดสดๆ พวกมันก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมาและทําให้ดูเหมือนว่าโลหิตใหม่ 2 ถ้วยนี้เหมือนกับมีชีวิต

เฒ่าหม่าและเฒ่าเป๋มองไปที่ถ้วยทั้ง 2 สายตาของพวกเขา คมกล้าเหนือธรรมดา และย่อมมองเห็นเหล่าแมลงที่แหวกว่ายอยู่ในโลหิต พวกมันมีมากกว่าหมื่นตัวแออัดแน่นไปทั้งถ้วย ภาพที่เห็นชวนขนหัวลุกเป็นอย่างยิ่ง

เฒ่าเป๋แย้มยิ้ม “มู่เอ๋อ นี่เจ้าคิดจะใช้แมลงพวกนี้เยียวยาแขนขาของพวกเราอย่างงั้นรึ แมลงพวกนี้คืออะไรกัน พวกมันอันตรายหรือเปล่า”

ท่ามกลางเหล่าผู้เฒ่าในหมู่บ้าน ถ้าจัดอันดับผู้คนดุร้ายใจทมิฬแล้วล่ะก็ คนแล่เนื้อผู้เพียงเสนอหน้าก็ทําให้สาวน้อยหวาดกลัวจนร้องไห้โฮ ก็เป็นได้เพียงแค่ที่ 2 และอันดับหนึ่งนั้นตกเป็นของนักปรุงยาซึ่งชมชอบการปลูกดอกไม้และเลี้ยงแมลง

ใบหน้าของนักปรุงยานั้นน่าหวาดผวา แต่แมลงของเขาน่ากลัวกว่ามาก เฒ่าเป๋เสพติดการลักเล็กขโมยน้อยและห้องของทุกคนในหมู่บ้านก็โดนเขาย่องเบามาหมดแล้ว แม้แต่พุทราเชื่อมเคลือบนํ้าตาลของฉินมู่ก็ถูกเขาต้มตุ๋นเอาไปได้ตั้งหลายครั้ง ทว่ามีห้องหนึ่งที่เขาไม่เคยย่างกรายแตะต้อง นั่นคือห้องของนักปรุงยา

ฉินมู่ติดตามนักปรุงยาเพื่อเรียนรู้ศาสตร์แห่งการเยียวยา ดังนั้นเขาจึงรอบรู้ในเรื่องแมลงด้วย เมื่อมองดูฝูงแมลงที่พลุกพล่านอยู่ในถ้วย เฒ่าเป๋ก็ขนหัวลุกชูชันอย่างช่วยไม่ได้ เขารู้สึกเหมือนกับว่ามีคนชั่วร้ายจ้องจะเล่นงานเขา

“ท่านปู่เป๋ ไม่ต้องห่วงหรอก วิธีการใช้แมลงพิษชาดสะคราญเป็นหนึ่งในวิชาแมลงพิษจากห้าแคว้นเหมี่ยวแห่งแดนใต้ ไม่มีอันตรายใดๆ ต่อร่างกาย”

ฉินมู่ฉีดโลหิตแมลงเข้าไปเส้นเลือดแขนของเฒ่าหม่าและขาของเฒ่าเป๋ แมลงพิษชาดสะคราญตอนนี้ถูกส่งเข้าไปในแขนขาเหล่านั้นแล้ว จากนั้นเขาก็กล่าว “สาเหตุที่แมลงเหล่านี้ถูกเรียกว่าแมลงพิษชาดสะคราญก็เพราะว่ามีสตรีหลายคนจากสํานักในแดนใต้ใช้พวกมันในการแช่แข็งความงามของตนและรักษาความเยาว์มิให้เสื่อมถอย แม้ว่าพวกนางจะตายไปแล้ว ซากร่างของนางก็ยังคงดูเหมือนมีชีวิต”

“ตายแล้วยังดูเหมือนมีชีวิต…” เฒ่าเป๋ตัวสั่นและก็ยังรู้สึกว่าแมลงพิษนี่ไม่ใช่ของดีอันใดอยู่ดี

ฉินมู่วางแขนของเฒ่าหม่าและขาของเฒ่าเป๋ลงไปในหม้อเคี่ยวยา อันภายในนั้นมีชุดยาต้มเคี่ยวในนั้นอยู่แล้ว และเขาก็กล่าว “แมลงพิษชนิดนี้สามารถกัดกินเลือดเสีย ผิวหนังตาย และเยื่อพังผืดที่เกิดขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อได้รับความเสียหาย กระดูกแตกหัก ไขกระดูกตายซาก นั่นจึงเป็นเหตุให้ผู้ที่ใช้แมลงพิษชาด สะคราญยังดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอตราบจนตายไปด้วยความชรา ท่านปู่นักปรุงยากล่าวว่าเขามีเพื่อนหญิงผู้รู้ใจหลายคนที่เลี้ยงแมลงพิษชนิดนี้ไว้ในร่าง แม้เวลาจะผ่านไปเป็นสิบๆ ปี พวกนางก็ยังคงมีหน้าตาเหมือนตอนอายุสิบหกสิบเจ็ด แถมยังเนื้อแน่น ท่านปู่นักปรุงยาบอกว่าเขาชมชอบเด็กสาวที่แน่นๆ เป็นพิเศษ…”

เด็กหนุ่มเผยสีหน้าใคร่ครวญ “เด็กสาวที่แน่นๆ นั้นแปลว่าอะไรกันนะ”

เฒ่าเป๋กล่าว “เจ้ายังเด็กอยู่ อย่าไปคิดเรื่องไร้สาระพวกนี้ แล้วข้าใช้พวกมันได้ไหม”

ฉินมู่แยกเมล็ดหนึ่งออกมาจากสมุนไพรวิญญาณที่นํามาจากวังหลวงและแงะกระเบื้องแผ่นหนึ่งในห้องหลักขึ้นเผยให้เห็นเนื้อดินอันงามละเอียดประดุจหยก “แน่นอนแต่ว่าการใช้แมลงพิษชนิดนี้ก็มีข้อเสียอยู่ หากว่าพวกมันหิวโหย มันก็จะเริ่มกัดกินเลือดเนื้อที่ยังดีๆ ดังนั้นผู้คนที่เลี้ยงแมลงพิษนี้ต้องคอยหาเลือดสดๆ มาหล่อเลี้ยงพวกมัน เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า แมลงพิษชาดสะคราญก็จะขยายพันธุ์เพิ่มจํานวนมากขึ้นทุกที ดังนั้นเลือดสดที่พวกมันต้องบริโภคก็ต้องให้มากขึ้นเป็นเงาตามตัว”

เขาเปิดถุงเต๋าตี้และนํานํ้าจากวังมังกรหยกจํานวนหนึ่งมาประพรมมัน “ท่านปู่นักปรุงยากล่าวว่าในห้าแคว้นเหมี่ยวนั้น เรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ คือมีสาวงามสะสวยหลอกล่อชายหนุ่มฉกรรจ์แข็งแรงไปร่วมสนุกยามคํ่าคืนแต่พอรุ่งเช้าชายผู้นั้นก็จะเหลือแต่ผืนหนังว่างเปล่า ส่วนเจ้าตัวกลายเป็นผีที่สลายหายวับไป แก่นชีวิตและโลหิตถูกสูบออกจากร่างกายจนหมดเพื่อที่สาวสวยนางนั้นจะได้ใช้ป้อนแมลงพิษชาดสะคราญของนาง”

เฒ่าเป๋ตัวสั่นเทา

หลังจากที่ฉินมู่รดนํ้าลงไปในดิน มันก็ปูดโป่งขึ้นมา และพลันมีต้นกล้าอ่อนผุดขึ้น เติบโตสูงใหญ่อย่างรวดเร็วชนิดที่เห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า

เด็กหนุ่มขับเคลื่อนวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะขณะที่เดินวนไปรอบๆ ต้นกล้านั้น จากนั้นเขาก็ใช้วิชาดินอสงไขยและใช้มุทราหลายท่าผนึกจิ้มไปยังต้นกล้าอ่อนนั้น ในจังหวะที่ฝ่ามือและนิ้วทั้งห้าอันแปรรูปเปลี่ยนท่าผนึกอย่างไม่หยุดยั้งแตะต้องกับใบต้นกล้า มันก็จะถูกกระดอนเด้งออกมา

เมื่อกิ่งและใบของต้นกล้าแตะเข้ากับมุทรา มันก็ส่งเสียงติงตัง เหมือนเสียงดีดกู่ขิม ท่วงทํานองอันไพเราะก็ดังไปมาในห้องหลัก

ฉินมู่เดินวนไปหลายรอบ และด้วยวิชาดินอสงไขยของเขา ต้นไม้เล็กๆ ก็พลันเติบโตขึ้นสูงเท่าตัวคนและเริ่มผลิใบเผยกลีบเขียวสะพรั่ง

จากนั้น ดอกไม้ตูมก็ผุดโผล่ขึ้นมาและบานเบ่งเป็นดอกสาลี่สีขาวล้วน

“ชื่อเสียงของแมลงพิษชาดสะคราญไม่สู้จะดีนัก ดังนั้นเมื่อข้าไปซื้อหามันมาจากคลังทรัพย์สินเมื่อครู่ ครูผู้สอนที่นั่นก็ไต่สวนข้าว่าจะเอาไปใช้ทําอะไร ครูผู้สอนนั้นกล่าวว่าเนื่องจากมีหญิงสาวหลายต่อหลายคนในคฤหาสน์อ๋อง เจ้านคร และเสนาบดีชอบของจําพวกนี้ และยังมีสนมหลายคนในวังหลวงที่ชื่นชอบมัน ดังนั้นโถงบรมเยียวยาจึงได้ดัดแปลงแมลงพิษเหล่านี้มิให้มันขยายพันธุ์ได้”

ฝีเท้าฉินมู่ยังคงเคลื่อนคล้อย และมือก็ไม่หยุดเคลื่อนไหว มุทราในมือเขาเปลี่ยนแปลงไปมาราวกับกวนอิมพลิกนิ้วของนาง แต่ละพลิกแต่ละดีดสร้างเสียงตึมๆ ราวกับก้อนหินร่วงหล่นลงในทะเลสาบเรียบนิ่ง

ดอกสาลี่บนต้นไม้เริ่มแห้งเหี่ยวเผยให้เห็นลูกสาลี่สีเขียวงอกเงยขึ้นมาแทน ลูกสาลี่เหล่านั้นเล็กจิ๋วหลิวและบอบบางยิ่งนัก ใหญ่แค่หัวแม่มือ

แต่ด้วยการเปลี่ยนแปรมุทราของฉินมู่ ผลไม้ก็ค่อยขยายใหญ่เติบโต

“หมอหลวงโหย่วถึงกับคิดค้นยาเม็ดขจัดแมลงเพื่อที่ว่าเมื่อแมลงพิษชาดสะคราญเริ่มทําร้ายร่างกาย ผู้นั้นก็จะสามารถกลืนกินยานี้เข้าไปเพื่อสังหารแมลงพิษชาดสะคราญและขจัดพวกมันออกไปจากร่างกาย”

ฉินมู่ปรับแปรวิชาเสกสรรของเขา เร่งบ่มให้ผลไม้สุก ลูกสาลี่เขียวบนต้นไม้ก็ขยายใหญ่จนเท่ากําปั้น “ข้าให้ครูผู้สอนหยิบตัวอย่างยาเม็ดขจัดแมลงมาดู และพบว่าสมุนไพรที่ใช้หลอมปรุงยาเม็ดนั้นล้วนแต่เป็นสมุนไพรธรรมดาแต่กลับขายยาในราคาลิบลิ่ว แม้แต่เงินเดือนราชครูสันตินิรันดร์ทั้งเดือนก็ซื้อยานี้ไม่ได้สักเม็ด ครูผู้สอนกล่าวว่าหมอหลวงโหย่วอาศัยรายได้จากยานี้ ทําให้กลายเป็นเศรษฐีใหญ่ท่ามกลางหมอหลวงทั้งหลาย!”

เฒ่าเป๋ตาลุกวาบ “หมอหลวงโหย่ว? เศรษฐีใหญ่?”

ลูกสาลี่บนต้นไม้เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและส่งกลิ่นหอมของผลไม้

ฉินมู่เด็ดลูกสาลี่เหล่านั้นออกมาจํานวนหนึ่งและโยนให้แก่เฒ่าหม่าและเฒ่าเป๋

ผู้เฒ่า 2 คนกัดดังกร้วมและความหวานของลูกสาลี่ก็กําซาบไปทั่วปาก ทําให้พวกเขาอุทานชื่นชมมันไม่หยุดปาก

“เวทมนตร์อะไรกันที่หมอเทวดาน้อยใช้แปรเปลี่ยนลูกสาลี่เหล่านี้” เฒ่าหม่าถาม

ฉินมู่หน้าแดงขึ้นมาและกล่าว “ท่านปู่หม่า อย่าแหย่ข้าสิ นี่คือวิชาดินอสงไขยเสกสรรที่ท่านยายสอนข้า”

“วิชาดินอสงไขยเสกสรร?”

เฒ่าหม่าและเฒ่าเป๋มองหน้ากันอย่างอึ้ง ๆ และเฒ่าเป๋ก็พึมพํา “ข้าเคยเห็นยายเฒ่าใช้กระบวนท่านี้เคี่ยวแสงอาทิตย์มาก่อน ที่เวลาเที่ยงวัน ใจทั้งห้าหงายขึ้นเพื่อรวบรวมแก่นพลังดวงตะวัน สร้างเมฆอัคคีบนท้องฟ้าเกลื่อนกล่นไปทั่ว ภาพที่เห็นนั้นน่าขนหัวลุกและเห็นได้ชัดว่านี่คือยอดวิชาของฝ่ายมาร ยายเฒ่าซีใช้วิชานี้เผาผลาญผู้คนมากมายให้ตายไป ซึ่งวิธีใช้ของนางต่างจากที่เจ้าใช้เมื่อครู่…”

ฉินมู่ตะลึง “หรือว่าข้าฝึกปรือมันผิด”

เฒ่าหม่าไม่เห็นด้วย “เจ้าไม่ได้ฝึกปรือมันผิดหรอกเจ้า ฝึกปรือมันอย่างบริสุทธิ์ ขณะที่ข้าคิดว่าหญิงแซ่ซีต่างหากที่เบนเบี่ยงจากมรรคา ดวงตะวันหล่อเลี้ยงสรรพชีวิต ดังนั้นก็ถูกแล้วที่มันจะใช้เช่นนี้”

ฉินมู่เด็ดลูกสาลี่ออกมาอีก แล้วฝานครึ่งหย่อนใส่หม้อยา “ข้าใช้แมลงพิษชาดสะคราญเพื่อกําจัดส่วนที่ตายในแขนและขา และหลังจากที่มันกําจัดเนื้อตายหมดแล้ว ข้าก็จะใช้ยาเพื่อขับไล่แมลงพิษชาดสะคราญออกมา แมลงเหล่านั้นไม่ทําอันตรายแขนขาของพวกท่าน ลูกสาลี่เหลืองนี้ก็เป็นสมุนไพรที่กระตุ้นฤทธิ์พลังยาของสมุนไพรอื่นๆ มันยังคงมีรสเลิศโอชาอีกด้วย แต่มันก็มีฤทธิ์พลังยาแฝงอยู่เล็กน้อย”

ความรู้ในศาสตร์แห่งการเยียวยาของเขาเหนือลํ้ากว่าหมอหลวงโหย่ว หมอหลวงผู้นั้นใช้ยาเม็ดขจัดแมลงเพื่อวางยาพิษสังหารแมลงพิษชาดสะคราญ ดังนั้นหลังจากที่แมลงพวกนั้นตายไป ร่างของมันก็ยังตกค้างอยู่ในร่างกาย และจะค่อยๆ ถูกขับออกมาช้าๆ

แต่สําหรับฉินมู่ เขาใช้ตัวยาที่บีบให้แมลงพวกนั้นแหวกว่ายออกมาเองโดยไม่หลงเหลือเศษซากไว้ข้างหลัง

ยิ่งไปกว่านั้น ยาต้มที่เขาเคี่ยวขึ้นมายังสามารถเสริมส่งระบบไหลเวียนโลหิต กระตุ้นพลังชีวิตในแขนของเฒ่าหม่าและขาของเฒ่าเป๋ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเร็วในการฟื้นฟูจนอวัยวะเหล่านี้ แข็งแรงเหมือนตัดออกมาใหม่ๆ จากนั้นเขาจึงจะเชื่อมต่อมันกลับเข้าร่างเจ้าของ

ฉินมู่เด็ดลูกสาลี่อีกลูกและใส่ลงในตะกร้าที่เต็มไปด้วยลูกสาลี่ แล้วเขาก็ถอนต้นสาลี่ออกทั้งราก ย้ายมันไปปลูกที่ลานบ้าน

ฉินมู่เรียกฮู่หลิงเอ๋อและกิเลนมังกรมา ให้ลูกสาลี่กับพวกเขาเช่นกัน

ฮู่หลิงเอ๋อชิมรสสาลี่และอุทานด้วยความทึ่งไม่รู้หาย

มังกรกิเลนก็กินมันเข้าไปหลายลูกอยู่ ถึงแม้ว่ามันจะมิใช่ยาวิญญาณเพลิงชาด แต่มันก็เคี้ยวตุ้ยๆ อย่างเอร็ดอร่อย

ไดเวลาที่เจ้าตัวนี้ต้องลดความอ้วนละ

ฉินมู่จ้องกิเลนมังกรตนนี้และครุ่นคิดในใจ หากว่าเขายังคงกินเก่งแบบนี้ สงสัยว่าไม่นานแม้แต่เมฆอัคคีก็คงยกเขาให้ลอยขึ้นไปบนฟ้าไม่ได้

เฒ่าเป๋นั่งไม่ติดที่ หลังจากที่อยู่เรือนฉินมู่มาครึ่งค่อนวัน เขาก็เริ่มพรํ่าบ่นว่าอยากออกไปเดินเล่น เฒ่าหม่ากังวลว่าเขาอาจจะไปเจอกับราชครูสันตินิรันดร์เข้า จึงตามออกไปด้วย

คนเดียวที่เฒ่าเป๋เชื่อฟังก็คือเฒ่าหม่า เขานั้นทั้งเคารพทั้งกลัวเฒ่าหม่า ดังนั้นจึงมิอาจปฏิเสธการติดตามไปคุมได้ แต่แม้ว่าทั้งคู่จะออกไปข้างนอกไกลๆ ฉินมู่ก็ไม่กังวลเรื่องความปลอดภัย

ราชครูสันตินิรันดร์ตอนนี้บาดเจ็บสาหัส และหากว่าเขาบังเอิญพบปะเฒ่าเป๋จริงๆ ก็ไม่แน่หรอกว่าเฒ่าเป๋จะตกเป็นรอง

ยิ่งไปกว่านั้น เฒ่าหม่ายังเป็นผู้ที่หนักแน่นมั่นคงที่สุดในหมู่บ้าน มีเฒ่าหม่าอยู่ด้วย เฒ่าเป๋คงเที่ยวเล่นสนุกจนเลยเถิดไม่ได้หรอก

เวลาผ่านไปหลายวันและบัณฑิตจักรวรรดิทั้งหลายที่เดินทางไปยังแนวหน้าสนามรบก็ทยอยกันกลับมา ในหลี่โจว แม่นํ้าหย่ง และชนบทมฤคา พวกเขาได้พบเจอกับการอัญเชิญปีศาจของสํานักมหาบรรพต การอัญเชิญวิญญาณของสํานักเก้าภูตผี และการควบคุมซากศพของสํานักผีดิบเซียน

และเมื่อพวกเขาปะทะเข้ากับการลอบโจมตีของแม่ทัพเสี้ยวอี่ บัณฑิต 30% ที่ออกไปก็ถูกสังหาร 30% ดังกล่าวนี้เป็นหัวกะทิในหมู่หัวกะทิ ดังนั้นกล่าวได้ว่าพวกเขาประสบความเสียหายย่อยยับ

บัณฑิตจักรวรรดิที่หลงหายเข้าไปในหมอกมืดก็ถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น โชคยังดีที่กองกําลังหลักของกองทัพจักรวรรดิสันตินิรันดร์ได้ปราบปรามกองกําลังกบฏในแม่นํ้าหย่งภายใต้คําบัญชาของราชครูสันตินิรันดร์ แม่ทัพอวี่เหยียนฉู่อวิ๋นก็รวบรวมกําลังล้อมสังหารมารเทวะตนนั้นได้สําเร็จ และบุกตะลุยไปจนถึงประตูทางเข้าแดนใต้พิภพ

ผู้ว่าการมณฑลหลี่โจว อวี่เหยียนฉู่อวี้นำกองทัพของนางข้ามแม่นํ้าไปขัดขวางแม่ทัพเสี้ยวอี่ และเมื่อกองกําลังทั้ง 2 ฝ่ายตะลุมบอนจนเลือดนองเหนือแม่นํ้า แสนยานุภาพของแม่ทัพเสี้ยวอี่ก็ถูกสยบ กระบี่ของอวี่เหยียนฉู่อวีและอวี่เหยียนฉู่อวิ๋นสอดคล้องประสานในวินาทีที่ดวงตะวันลับฟ้าในแม่นํ้าหย่ง ในตอนนั้นกระบี่ตะวันจมลงไปในใจกลางแม่นํ้าหย่งครึ่งหนึ่ง และแสงกระบี่จํานวนนับไม่ถ้วนก็ปะทุออกมาจากอาทิตย์อัสดง สังหารผู้คนไร้ประมาณจากกองทัพกบฏ เรือเหาะร่วงกราว และซากศพที่ร่วงหล่นราวกับห่าฝน

แม่ทัพเสี้ยวอี่ได้แต่ถอยทัพ เมื่อกองกําลังของอวี่เหยียนฉู่อวี้และอวี่เหยียนฉู่อวิ๋นข้ามแม่นํ้าสําเร็จ ความวุ่นวายในหลี่โจมก็ถูกสยบจนราบคาบ

พวกเขาค้นหาและช่วยเหลือบัณฑิตจักรวรรดิหลังจากนั้น จึงเพิ่งพบว่าพวกเขาประสบความเสียหายย่อยยับ มีแม้แต่ครูผู้สอนที่ทิ้งชีวิตไว้ในการต่อสู้กับมารปีศาจเพื่อช่วยชีวิตบัณฑิต

หลังจากนั้นบัณฑิตที่เหลือจํานวนมากมายก็ติดตามครูผู้สอนที่เหลือทั้งหมดไปปราบปรามการกบฏ เมื่อราชครูกลับมายังราชสํานัก การแสวงประสบการณ์ของบัณฑิตทั้งหลายจึงสิ้นสุด และพวกเขาก็เดินทางกลับมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ จึงล่าช้ากว่าฉินมู่เล็กน้อย

คราวนี้มีบัณฑิตจักรวรรดิจํานวนมากที่ตกตาย กูลี่หนวนจึงมิอาจหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบได้ เขาไปร้องขอโทษทัณฑ์จากองค์จักรพรรดิ และจักรพรรดิก็ได้หักเงินเดือนเขาครึ่งปีทั้งยังลดตําแหน่งเขาไปเป็นขุนนางชั้นสี่ เขายังคงกํากับดูแลมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ แต่มิอาจหลีกเลี่ยงภาระหน้าที่ใด

กู่ลี่หนวนให้คนจัดทํารายนามผู้เสียชีวิต และหวังใจอย่างยิ่งว่าจะได้เห็นชื่อของฉินมู่อยู่ในนั้น ทว่าเขาต้องผิดหวัง

หลังจากที่จัดทํารายนามผู้เสียชีวิต เขาก็มุ่งไปยังวังหลวงเพื่อเข้าเฝ้าจักรพรรดิ ระหว่างทางเขาพบกับขันทีผู้อัญเชิญราชโองการซึ่งกําลังมุ่งหน้าไปยังมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ และกู่ลี่หนวนก็กล่าวทันที “กงกง ท่านกําลังจะไปถ่ายทอดราชโองการที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิหรือ”

ขันทีผู้นั้นแย้มยิ้ม “ยินดีด้วยใต้เท้า ดุษฎีบัณฑิตของท่านได้ทําความชอบใหญ่หลวงในการสยบปราบปรามกบฏในครั้งนี้ ช่วยชีวิตบัณฑิตจํานวนมากภายใต้บัญชาของท่าน ฝ่าบาทให้ข้านําราชโองการนี้ไปหาเขาเพื่อเลื่อนตําแหน่งขุนนาง!”

กู่ลี่หนวนสีหน้าแข็งทื่อ และเขากล่าวด้วยความโมโห “นี่มันก็หน้าที่ของเขาอยู่แล้ว ทําไมต้องให้รางวัลเขาด้วย”

“ฝ่าบาทกล่าวว่าคนบางคนไม่สามารถทําหน้าที่ตนเองที่ควรทําได้ด้วยซํ้า ดังนั้นเขาจึงใช้โอกาสนี้เพื่อเป็นการบอกเตือนคนอื่นๆ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!