ตอนที่ 217 ไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
เจ้านครเว่ยกลอกตาใส่เจ้าอ้วนน้อยนี้ เด็กเปรตนี่ไม่รู้สึกรู้สาสักนิดว่านี่เป็นเรื่องยุ่งยาก แต่กลับสนุกไปกับความครึกครื้น หลังจากผลักบิดาเฒ่าของตนลงหลุมไฟ เขาก็ยังอยากจะกระโดดตามไปด้วยอีก เจ้านี่เยียวยาไม่ได้แล้วล่ะ
“เทวราชอวี้ เทวราชฉื่อ รบกวนพวกเจ้าอธิบายเกี่ยวกับลัทธิเราโดยสังเขปให้เทวราชเว่ยหน่อย” ฉินมู่มองไปรอบๆ จากนั้นกล่าว “สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลาย รื้อสถานที่นี้เสีย อย่าหลงเหลือร่องรอยทิ้งไว้”
เจ้านครเว่ยและเว่ยหยงรีบลุกขึ้นและเห็นเงาร่างต่างๆ พุ่งวูบวาบ ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ทั้งหมู่บ้านนี้ก็ถูกรื้อถอนออกจนหมด ฝากระดานและเสาต่างก็ถูกกองเอาไว้ข้างๆ แม้แต่กระทะเหล็กนํ้ามันและเวทีก็ถูกนําออกไป
หัวหน้าโถงหลายคนคลี่ธงใหญ่ของพวกเขา คลุมลงไปบนฝากระดานและเสาอย่างแผ่วเบา เมื่อธงใหญ่นั้นดูม้วนกลับ แผ่นไม้และเสาก็หายวับไปโดยไร้ร่องรอย
หัวหน้าโถงอีก 2 คนคลี่ธงคลุมซากร่างของบรรดาหลวงจีนวัดหนันถัว และเมื่อผืนธงถูกชักกลับ ร่างเหล่านั้นก็หายไปเช่นกัน
หัวหน้าโถงคนอื่นๆ อีกสามสี่คน ใช้พลั่วตักพื้นดินอันกว้างประมาณ 2 ไร่แล้วโยนลงไปในแม่นํ้าโคลน ให้มันถูกชะไปกับกระแสนํ้า
งานหลายอย่างเสร็จสิ้นพร้อมๆ กันในเวลาไม่กี่อึดใจ และไม่นาน พื้นที่นี้ก็ว่างเปล่าจนไม่มีใครระบุได้ว่าที่นี่เคยเป็นตลาดคํ่าคืนอันคึกคักมาก่อน
ฉินมู่กล่าว “แยกย้าย”
หัวหน้าโถงสองสามร้อยคนและผู้พิทักษ์โค้งคํานับเขา บางคนก็ใช้ธงใหญ่และหายวับไปด้วยโบกธงเดียว และบางคนก็ใช้เสื้อผ้าตวัดคลุมตัวเองจากไป บางคนจางหายไปกับความมืด บางคนเคาะกลองดอกไม้เพื่อจากไป และอีกสามสี่คนไสรถเข็นล้อเดียวของตนไป ไม่นานนัก สถานที่นี้ก็ไม่มีผู้คนคับคั่งเหมือนที่เกิดขึ้นก่อนหน้า มันจมหายไปกับความมืดสนิทของราตรี มีแต่ฉินมู่ เจ้านครเว่ย เว่ยหยง และเทวราชอีก 2 คนที่ยังรั้งรออยู่
ไกลๆ ออกไปนั้นมีแสงสว่าง นั่นคือแสงจากตลาดคํ่าคืนจริงๆ ที่ตั้งอยู่นอกเมืองหลวง
ฉินมู่ลุกขึ้นเพื่อจากไป ทิ้ง 4 คนที่เหลือไว้เบื้องหลัง เจ้านครเว่ยเพิ่งเข้าร่วมลัทธิดังนั้นเทวราชอวี้และเทวราชฉื่อจึงต้องบอกกล่าวเขาเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ต่างๆ ของลัทธิมารฟ้า เพื่อมิให้เกิดความผิดพลาด
ฉินมู่ยั้งเท้าตอนขากลับเข้าเมือง เมื่อเขาชื่นชมตลาดคํ่าคืนและโคมบุปผา มีบัณฑิตและโฉมงามทั้งหลายที่ดื่มดํ่าอยู่ในบรรยากาศของถนนอันสว่างไสวจนลืมกลับเรือนพักห้องหอตนและยังมีนักกวีหลายคนที่แสดงความสามารถเชิงกวี มีผู้ฝึกยุทธ์ที่แสดงทักษะของตนและดรุณีสาวหัวเราะต่อกระซิกเป็นครั้งคราว
“เมืองหลวงนับว่ามีสิ่งต่างๆ มากมายหลายหลาก และเป็นสถานอันเบ่งบานขึ้นมาจากผู้คนที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถ”
ฉินมู่รู้สึกซึ้งใจ และทันใดนั้นขนห่านขาวก็ร่วงหมุนลงมาจากท้องฟ้าอย่างแช่มช้า พร้อมๆ กับการมาถึงของหิมะแรกละอองหิมะสีขาวเป็นประกายร่วงลงบนบ่าผู้คนที่หลงลืมเหย้าเรือนและหลายคนก็เงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้า พวกเขาหลายคนอุทาน “หิมะ สวยเหลือเกิน!”
หิมะนั้นสะท้อนแสงจากโคมไฟจํานวนมากในเมือง และยิ่งเปล่งประกายระยิบระยับ มีสาวน้อยมากมายที่ยืนอยู่ใต้ชายคาร้านรวง ยื่นมือของพวกนางออกไปเพื่อให้ละอองหิมะเย็นเฉียบร่วงลงในฝ่ามือ ผู้คนบนถนนมิได้ลดน้อยลงเพราะหิมะตก กลับมีผู้คนออกมาข้างนอกเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นทุกที
“หิมะเริ่มตกแล้ว และสิ้นปีก็ใกล้เข้ามา ข้าคิดว่ามหาวิทยาลัยจักรวรรดิคงอนุญาตให้บัณฑิตทั้งหลายกลับบ้านในเทศกาลปีใหม่ ข้าอยากรู้จังว่าท่านยายกับคนอื่นๆ กลับไปที่หมู่บ้านหรือยังนะ”
ไอนํ้าสีขาวพวยพุ่งออกมาจากหลายแผงร้านสองข้างถนน ส่งกลิ่นหอมชวนนํ้าลายไหลไปรอบๆ ฉินมู่นั่งลงที่หน้าแผงร้านหนึ่งและกล่าว “เถ้าแก่ บะหมี่หมูสับ 2 ถ้วย เพิ่มนํ้ามันพริกเยอะหน่อย”
“ได้เลย!”
ครู่หนึ่ง บะหมี่หมูสับ 2 ถ้วยก็ถูกยกมาวางพร้อมกับชั้นนํ้ามันพริกสีสันสดใสบนผิวนํ้าแกง หมูสามสี่ชิ้นลอยอยู่ข้างบน อันมีเนื้อ 7 ส่วนและมัน 3 ส่วน ยังมีต้นหอมอ่อนและใบของมันซอยใส่ลงไปด้วย สร้างกลิ่นหอมสุดๆ ให้แก่อาหาร
ฉินมู่ตักกินหนึ่งคําและรู้สึกมีเรี่ยวแรงขึ้นมาจากความเผ็ดร้อน วันนี้เขาเพิ่งทานอาหารแค่มื้อเดียวและรู้สึกหิวเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเขาจึงกินบะหมี่ในชามอย่างไม่รอช้าเสียงซู๊ดๆ
ในตอนนั้นเอง ก็มีคนหัวเราะ “พี่ฉิน ในที่สุดข้าก็หาตัวเจ้าเจอ ท่านสัญญาว่าจะสร้างเรือหุ้มเหล็กให้ข้า คราวนี้ท่านหนีข้าไม่ได้แล้วนะ! เถ้าแก่ ข้าเอาบะหมี่หมูสับ 4 ชาม เอาให้เผ็ดๆ ไปเลย เดี๋ยวคนผู้นี้จะจ่ายให้!”
เมื่อคนผู้นั้นสั่งอาหารเสร็จ เขาก็นั่งลงตรงกันข้ามกับฉินมู่
ฉินมู่มองไปยังอีกฝ่ายและแย้มยิ้ม “พี่ฝานอวิ๋นเสี้ยว เหตุใดจึงมาที่เมืองหลวงล่ะ”
อีกฝ่ายนั้นเป็นโจรอัคคีฝานอวิ๋นเสี้ยวจริงๆ เขามีรอยแผลเป็นจากมีดกรีดพาดผ่านดวงตาซ้ายของเขา แต่ฉินมู่สงสัยว่าก็เป็นแค่แผลปลอม
“อย่าพูดถึงมันเลย ข้าซวยอะไรอย่างนี้ก็ไม่รู้” ฝานอวิ๋นเสี้ยวถอนหายใจ “แค่พูดถึงมันข้าก็เศร้า เรือของข้าแหลกเป็นชิ้นๆ กลางอากาศ ผู้คนบนเรือแทบตกลงมาตาย ข้าต้องใช้พลังทั้งหมดที่มีคว้าพวกเขาไว้กลางอากาศ แต่ข้าไม่อาจส่งพวกเขาไปเมืองหลวงได้ ข้าก็เลยต้องชดเชยพวกเขาไปหลายตังค์”
“เช้านี้ข้าไปตามหาท่านแต่ท่านกลับไม่อยู่ในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ ข้าจึงตัดสินใจเดินหารอบๆ เมืองหลวง และบังเอิญพบท่านเข้าที่นี่ ท่านต้องช่วยข้าสร้างเรือหุ้มเหล็กนะ! ตอนนี้โลกกลับมาสงบสุขอีกแล้ว ข้าจะต้องกลับไปทําธุรกิจ!”
ฉินมู่มีสีหน้าพิลึกเมื่อโลกกลับสู่ความสงบสุข ธุรกิจที่โจรสลัดผู้นี้กล่าวถึงก็ย่อมเป็นธุรกิจเดิม เขาตัดสินใจที่จะเลิกกลับตัวเป็นคนดี และไปเป็นโจรสลัดต่อ
“เจ้าเตรียมเหล็กดํา ทองแดงดํา และเงินทองมาพอหรือยังล่ะ” ฉินมู่ถาม “และยังมีพิมพ์เขียวของเรือเหาะอีก หากไม่มีพิมพ์เขียว จะสร้างขึ้นมาลํานึงคงไม่ง่ายนัก”
“ข้าเตรียมไว้หมดแล้ว ข้าติดสินบนนายทะเบียนท่าเรือเพื่อเอาพิมพ์เขียวเรือเหาะมาชุดหนึ่ง”
บะหมี่หมูสับถูกวางที่โต๊ะ ฝานอวิ๋นเสี้ยวตักกินคําใหญ่ก่อนจะอุทาน “เผ็ดจริงๆ หอมจริงๆ! ข้าซื้อหาเหล็กดําและทองแดงดำ พวกมันอยู่ในอยู่เรือข้างแม่นํ้าโคลนข้างนอกเมือง ตอนนี้ข้าถังแตกและก็ได้แต่หวังพึ่งเรือเหล็กนี้มาหาเงินเติมกระเป๋าใหม่”
ฉินมู่ยิ้ม “ได้เลยข้าจะช่วยเจ้าต่อเรือให้เสร็จก่อนที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิจะปิดช่วงเทศกาล เจ้ามาตามหาข้าได้วันพรุ่งนี้”
เมื่อเขาทานเสร็จเขาก็ล้วงเหรียญสมบูรณ์พูนสุขมา 1 เหรียญและยื่นให้แก่เจ้าของร้านบะหมี่
ชายผู้นั้นใช้ผ้าเช็ดมือตนเองก่อนยิ้มแย้มแก่ฉินมู่ “ลูกค้า ข้าไม่มีเงินทอนให้ ท่านไม่มีเศษหรอกหรือ บะหมี่ 6 ถ้วยนั้นต้องจ่ายแค่ 30 เหวินเอง”
“ไม่ต้องทอน” ฉินมู่กล่าวแล้วก็จากไป
ฝานอวิ๋นเสี้ยวมองตามเงาหลังและอุทาน “รวยอะไรอย่างนี้!”
ฉินมู่นั้นยังคงสับสนกับมูลค่าของ 1 เหรียญสมบูรณ์พูนสุข
เขาไม่รู้ว่ามันสามารถแลกเปลี่ยนของได้มากเท่าไร เมื่อเขาออกมาทานอาหาร แม้แต่ภัตตาคารที่แพงที่สุดก็คิดค่าอาหารโอชารสใช้วัตถุดิบชั้นยอดจัดเรียงรายเต็มโต๊ะเพียงแค่ 12 เหรียญสมบูรณ์พูนสุข สําหรับแผงร้านธรรมดาข้างทางแบบนี้ เจ้าของร้านจึงรู้สึกเป็นบุญคุณอย่างล้นพ้นที่ได้รับ 1 เหรียญสมบูรณ์พูนสุขโดยไม่ต้องทอน
วันถัดไป ฝานอวิ๋นเสี้ยวมาที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิ ฉินมู่นําฮู่หลิงเอ๋อ กิเลนมังกร และราชามารตู้เถียนไปยังอู่เรือ ที่นั่นมีผู้ฝึกยุทธ์หลายคนทีเดียวที่กําลังใช้ไฟแท้ในการหลอมเหล็กดํา และวารีแท้ในการทําให้มันเย็นตัวในอู่แห่งนั้น หลอมสร้างเตาหลอมยา สําหรับใช้ในเรือเหาะ และยังมีผู้ที่เชี่ยวชาญด้านพีชคณิตหลายคน กําลังวัดขนาดของชิ้นส่วนต่างๆ และใช้ปราณชีวิตประกอบพวกมันเข้าด้วยกันและยังมีคนจอมพลังกับยักษ์แกร่งตีเนื้อเหล็กให้เป็นเหล็กกล้า เช่นเดียวกับช่างไม้ที่ใช้ปราณกระบี่เกลาไม้ อู่เรือนี้คึกคักเป็นอย่างยิ่ง
ฝานอวิ๋นเซี่ยวนําพวกเขาไปยังอาคารโรงงานอาคารหนึ่ง ฉินมู่มองดูรอบๆ มีเครื่องมือหลายอย่างที่นี่ มีเตาหลอมใหญ่ที่ใช้ในการหลอม มีเหล็กและเพชรที่ใช้ในการตี มีเครื่องม้วนเหล็ก กําแพงปีกรางไสไม้ และเหล็กดํากับทองแดงดําจํานวนมากกองอยู่ที่มุมหนึ่ง
โรงงานนี้ใหญ่มหึมา กว้างขวางพอที่จะบรรจุเรือได้หกเจ็ดลําโดยไม่แออัด
ที่นั่นมีนายทะเบียนของทางการรออยู่ และเขาพึมพําอย่างไม่พอใจเมื่อเห็นฝานอวิ๋นเสี้ยว “ทําไมเจ้าเพิ่งมาเอาป่านนี้ ข้าจะให้เจ้าใช้อาคารว่างนี้อีกแค่ 10 วันเท่านั้น เมื่อครบเวลาข้าจะปิดโรงงาน”
ฝานอวิ๋นเสี้ยวยิ้มและกล่าว “10 วันก็เพียงพอ!”
เมื่อเขากล่าว จบเขาก็ยัดถุงเงินใส่มือของอีกฝ่าย
นายทะเบียนประเมินนํ้าหนักเหรียญในถุงเงินแล้วกล่าว “ข้าจะปิดตาข้างหนึ่งไปสัก 10 วันละกัน รีบๆ ต่อเรือเจ้าไวๆ เข้า ไม่เช่นนั้นข้าเองก็คงซวยไปด้วยเมื่อหัวหน้างานมาดู”
จากนั้นเขาก็ออกไปจากโรงงาน ฝานอวิ๋นเสี้ยวมองไปยังฉินมู่ แล้วถาม “พี่ใหญ่ฉิน ท่านทําเสร็จใน 10 วันได้ไหม”
ฉินมู่มองดูพิมพ์เขียวและแก้หลายจุดในนั้นก่อนที่จะกล่าว “คงยากอยู่ถ้าข้าทําเพียงคนเดียว ข้าต้องการผู้ช่วยสักหน่อย ข้าและผู้ช่วยจะสร้างเรือหุ้มเหล็กที่นี่กันสัก 10 วันและเจ้าจะต้องไม่เข้ามาในอาคารโรงงานภายในระยะเวลานั้น หากว่าเจ้าเข้ามาละก็ เจ้าจะต้องชดใช้”
ฝานอวิ๋นเสี้ยวไม่เข้าใจความหมายที่เขาพูด แต่ก็ผงกหัวรับอยู่ดี “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ใช่คนสอดรู้สอดเห็น”
ฉินมู่พยักหน้าและไล่เขาออกจากโรงงาน จากนั้นกล่าวแก่ฮู่หลิงเอ๋อ “ช่วยข้าเรียกคนมาที่นี่สักหลายคนหน่อย ให้พวกเขาเข้ามาด้วยธงเคลื่อนย้ายระยะไกล”
ฮู่หลิงเอ๋อรับคําแล้วออกไปโดยพลัน
หลังจากนั้นสักพัก ฮู่หลิงเอ๋อก็กลับมาแล้วกล่าว “คุณชาย หัวหน้าโถงงานสวรรค์และหัวหน้าโถงช่างฝีมือกล่าวว่าพวกเขาจะรีบมาที่นี่โดยเร็วที่สุด”
เมื่อนางกล่าวอยู่นั่นเอง ธงใหญ่ 2 ธงก็พลันปรากฏขึ้นมาจากอากาศธาตุ ใต้ธงแต่ละธงพลันปรากฏสาวกลัทธิมารฟ้า 100 คน หัวหน้าโถงงานสวรรค์และหัวหน้าโถงช่างฝีมือได้นําทุกคนมาที่นี่
ฉินมู่ยื่นพิมพ์เขียวให้หัวหน้าโถงทั้งสองแล้วถาม “พวกเจ้าสามารถสร้างสิ่งนี้ภายใน 10 วันหรือไม่”
หัวหน้าโถงทั้งสองมองดูแบบแปลนหลายรอบ และหัวหน้าโถงช่างฝีมือก็เอ่ยถาม “จ้าวลัทธิหมายจะสร้างเรือหุ้มเหล็กหรือ พลังไฟของเตาหลอมยาจะต้องแรงพอนะ!”
ฉินมู่เผยยิ้ม “ข้าพอมีทักษะในการตีเหล็กอยู่บ้าง และสามารถสร้างเตาหลอมยาที่มีไฟร้อนแรงเป็นพิเศษได้ แต่ทว่าอู่เรือนี้จะอนุญาตให้พวกเราอยู่ที่นี่เพียง 10 วัน ดังนั้นมันคงจะเร่งรีบนิดหน่อย พวกเราจําเป็นต้องต่อเรือให้เสร็จภายใน 10 วัน พวกเจ้ามั่นใจว่าจะทําได้ไหมล่ะ”
หัวหน้าโถงงานสวรรค์และหัวหน้าโถงช่างฝีมือหันไปสบตากันก่อนจะเอ่ยถาม “จ้าวลัทธิต้องการต่อเรือกี่ลําล่ะ ด้วยพวกเรา 2 โถงร่วมมือกัน พวกเราสามารถต่อเรือได้ 5 ลําภายใน 10 วัน ไม่อาจทําได้มากกว่านี้”
ฉินมู่ตะลึงเล็กน้อยและพึมพํากันตนเองครู่หนึ่ง “ที่นี่ไม่มีเหล็กดําและทองแดงดําเพียงพอที่จะต่อเรือเหาะ 5 ลํา…”
“พวกเรามีวัสดุมากเพียงพอในโถงงานสวรรค์และโถงช่างฝีมือ”
ฉินมู่ตาลุกวาว และแย้มยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นเราจะสร้าง 5 ลํา!”
หัวหน้าโถงทั้ง 2 รีบจากไปตระเตรียมวัสดุ
5 วันถัดมา ฝานอวิ๋นเสี้ยวแวะมาหลายครั้ง แต่เขาไม่กล้าล่วงลํ้าเข้าไปในโรงงาน ข้างในนั้นมีเสียงเหมือนกับคนร้อยคนหลอมตีเหล็กพร้อมๆ กันและเขาก็อยากจะเข้าไปชมดูสถานการณ์ ทว่าเมื่อเขาระลึกถึงคําเตือนของฉินมู่ เขาก็ไม่กล้าทําเช่นนั้น
หิมะตกลงมาอย่างหนักตลอดสองสามวันที่ผ่านมา และสะสมเป็นจํานวนมากบนพื้น กรมปกครองน่านฟ้าได้นําผู้ฝึกวิชาเทวะกลุ่มหนึ่งขึ้นไปบนอากาศและละลายเมฆหิมะบนนั้นเพื่อสลายหิมะหนัก แต่ทว่าหิมะที่ตกอยู่นอกเมืองหลวงก็ยังหนักหนาอยู่ดี
ฝานอวิ๋นเสี้ยวอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นทุกที และหูเขาก็กระดิกไปมาและเกาแก้มตนแกรกๆ ด้วยความกระสับกระส่าย เวลาผ่านไปอีก 2 วันและฝานอวิ๋นเสี้ยวอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาคิดในใจ ข้าแอบดูแวบเดียวไม่น่าเป็นอะไรหรอกมั้ง?
เขาผลักประตูโรงงานให้แง้มออก และชะโงกหัวเข้าไปดู ทันในนั้น มารเทวะ 4 เศียร 8 กรก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และคว้าคอเขาเอาไว้ “ไอ้เด็กนี่ กล้าดีอย่างไรมาแอบดู!”
ฝานอวิ๋นเสี้ยวรีบรํ่าร้อง “พี่ใหญ่ฉิน นี่ข้าเอง นี่ข้าไง!”
ในโรงงาน สาวกลัทธิมารฟ้ากว่า 200 คนหันมามองตามทิศทางของเสียง สายตาของเขาจับจ้องคนก่อเรื่อง พวกเขาหันกลับไปมองฉินมู่ “จ้าวลัทธิ คนผู้นี้…”
ฝานอวิ๋นเสี้ยวสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจเมื่อเขาเห็นคนเหล่านั้น เขาเห็นเสื้อผ้าของทุกๆ คนและพลันสีหน้าแปรเปลี่ยนร้องออกมาทันที “ลัทธิมารฟ้า…ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น! ข้าเป็นคนตาบอด ที่นี่มันที่ไหนกัน ข้ามาที่นี่ได้อย่างไร…”
ฉินมู่กําลังหลอมสร้างเตาหลอมยาเมื่อเขาได้ยินเสียงเอะอะ เขาจึงสั่งหัวหน้าโถงทั้งสอง “ต่อเรือต่อไป ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง”
ฝานอวิ๋นเสี้ยวไม่กล้าดิ้นรนหลังจากที่ถูกมารเทวะ 4 เศียร 8 กรที่มีกิเลนมังกรอยู่ข้างๆ จับตัวเอาไว้ เขากล่าวอย่างยิ้มแย้ม “พี่ใหญ่ฉิน ข้าเผลอเดินเข้ามาที่นี่โดยไม่ทันได้ดู ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น…”
“พี่ฝาน ข้าบอกเจ้าแล้วว่าอย่าเข้ามาดูข้างในและตอนนี้เจ้าทําให้ข้าต้องตกที่นั่งลําบากนะรู้ไหม” ฉินมู่ชูนิ้วขึ้น 2 นิ้วและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “2 ตัวเลือกเจ้าครํ่าหวอดยุทธจักรพอตัว คงรู้สินะว่า 2 ตัวเลือกนี้คืออะไร”
“ข้าเข้าร่วมด้วย!” ฝานอวิ๋นเสี้ยวกล่าวทันที “จากวันนี้เป็นต้นไป ข้าคือสาวกลัทธิศักดิ์สิทธิ์!”
ฉินมู่หัวเราะฮาๆ และให้ราชามารตู้เถียนวางเขาลง “จากวันนี้เป็นต้นไป พวกเราเป็นพี่น้องกัน!”
…
ในวังข้างของรัชทายาท ชายกลางคนผู้ดูเหมือนบัณฑิต นักวิชาการรีบรุดมายังข้างกายรัชทายาทสันตินิรันดร์ “องค์รัชทายาท บรมราชครูสิ้นชีวิตแล้วจริงๆ ในวัดหนันถัวไม่หลงเหลือหลวงจีนเลยแม้แต่คนเดียว ดังนั้นข้าจึงคะเนว่าพวกเขาคงประสบกับการล้อมสังหารอย่างอํามหิต และเมื่อวานนี้ มณฑลสมบูรณ์ก็ได้ส่งข่าวมาว่าวัดหนันถัวที่นั่นก็ถูกทําลายล้าง องค์จักรพรรดิทรงกริ้วเป็นอย่างยิ่งและส่งผู้คนไปสืบสวน ทว่าไม่อาจค้นพบเบาะแสของคนร้าย ผู้คนเพียงแต่ลือกันว่าเป็นพฤติการณ์ของวังทอง โหรวหลัน ดังนั้นองค์จักรพรรดิจึงมีทีท่าว่าจะส่งกองทัพยาตราไปยังนอกกําแพงใหญ่หลังจากพ้นปีใหม่…”
รัชทายาทสันตินิรันดร์มีสีหน้าบูดบึ้งและลุกขึ้น “ไม่อาจค้นพบเบาะแสคนร้าย? ข้าเกรงว่านี่เป็นเพราะพระบิดาไม่อยากจะสืบสาวราวเรื่องเสียมากกว่าจริงไหม นี่เป็นพฤติการณ์ของลัทธิมารฟ้าชัดๆ! มีแต่ลัทธิมารฟ้า ผู้นําฝ่ายมาร ที่สามารถปฏิบัติการอย่างลี้ลับเช่นนี้ได้! พวกเขาสูญเสีย 2 เทวราช ย่อมต้องมาแก้แค้น! เจ้าจงไปที่วัดใหญ่ฟ้าคํารามและร้องขอเข้าพบยูไลเฒ่า ข้าอยากรู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นจ้าวลัทธิคนใหม่ของลัทธิมารฟ้า!”
เขายืนไพล่หลังและกล่าวเสริมอย่างเย็นเยียบ “วัดหนันถัวเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายพุทธ ดังนั้นยูไลเฒ่าย่อมไม่นิ่งเฉยดูดาย แม้ว่าบรมราชครูจะสิ้นชีวิตไปแล้ว เราก็มิอาจขาดการติดต่อกับวัดใหญ่ฟ้าคําราม ยูไลเฒ่านั้นไม่พอใจในตัวราชครูจักรวรรดิอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจะต้องยินดีช่วยเหลือเป็นแน่ ข้าจะต้องเชือดไก่ให้ลิงดู เพื่อให้ทุกค่ายสํานักในยุทธภพเห็นชัดแก่ตาว่าข้ามิใช่คนไม่เอาไหน ใครก็ตามที่บังอาจแตะต้องคนของข้าจะถูกต้องขจัดไปจนสิ้นซาก!”