Skip to content

Tales of Herding Gods 218

ตอนที่ 218 ฟ้าไร้ตะวัน

“องค์รัชทายาท ลัทธิมารฟ้านั้นเป็นหนึ่งในสามสุดยอดสํานัก แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีจ้าวลัทธิมาถึง 40 ปี ก็มิอาจดูแคลนพวกเขาได้”

ชายกลางคนผู้นั้นกล่าว “ในเมื่อสํานักของพวกเขาไม่แหลกสลายไปแม้ไม่มีจ้าวสํานักมาตลอด 40 ปี และยังคงทรงอํานาจขนาดนี้ นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเหนียวแน่นกันมากแค่ไหน หากว่าการณ์นี้เกิดขึ้นกับวัดใหญ่ฟ้าคํารามหรือสํานักเต๋า พวกเขาจะกล้าปล่อยให้ตําแห่งยูไลและเจ้าสํานักว่างเว้นถึง 40 ปีเชียวหรือ หากว่าท่านประเมินลัทธิมารฟ้าตํ่าไป ท่านก็มีแต่จะเสียเปรียบ”

รัชทายาทสันตินิรันดร์ส่ายหน้าแล้วกล่าว “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่มีทางดูเบาลัทธิมารฟ้า เมื่อมันสามารถกําจัดบรมราชครูซุ่นหนันถัว เหล่าหลวงจีนแห่งวังข้างหนันถัว และวัดหนันถัวโดยไม่มีข่าวรั่วไหลออกไปข้างนอกเลยแม้แต่น้อย ไม่อาจมองว่าพวกเขาอ่อนแอได้ ข้าจะประเมินลัทธิเช่นนี้ตํ่าไปได้อย่างไร”

ชายกลางคนมีสีหน้าฉงนและรัชทายาทสันตินิรันดร์กล่าว “ไม่มีความจําเป็นที่ข้าจะลงมือต่อลัทธิมารฟ้าด้วยตนเอง สํานักเต๋า และวัดใหญ่ฟ้าคําราม 2 แดนศักดิ์สิทธิ์นี้มีความบาดหมางกับพวกเขายาวนานกว่าจักรวรรดิสันตินิรันดร์เสียอีก 2 แดนศักดิ์สิทธิ์ปรารถนายิ่งกว่าสิ่งใดที่จะกําจัดผู้นําแห่งฝ่ายมาร พวกเขาเพียงแค่ไม่มีโอกาส และถ้าหากว่า…”

“ถ้าหากว่าจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ไม่ต่อต้านสํานักเหล่านี้อีกต่อไปล่ะ? ถ้าหากว่าจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ไม่สนับสนุนการปฏิวัติของราชครูอีกต่อไปล่ะ? ถ้าหากว่าจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ทำให้การดิ้นรนช่วงชิงระหว่างสํานักทั้งหลายและอาณาจักรหายวับไปราวหมอกควันล่ะ? เจ้าคิดว่าสํานักเต๋าและวัดใหญ่ฟ้าคํารามจะเต็มใจร่วมเป็นพันธมิตรกับจักพรรดิองค์นี้หรือไม่ สํานักเต๋าและวัดใหญ่ฟ้าคํารามจะเต็มใจสนับสนุนจักรพรรดิองค์นี้หรือไม่”

ร่างของชายกลางคนสั่นเทิ้มขึ้นมาและเขามองไปยังนายของตน

ด้วยสาตาอันลึกลํ้า รัชทายาทสันตินิรันดร์กล่าวอย่างไร้อารมณ์ “แม้ว่าบิดาข้าจะมีความสามารถและแผนการอันยิ่งใหญ่ แต่เขาเชื่อใจราชครูมากจนเกินไป ด้วยความเชื่อใจระดับนี้ มากกว่าครึ่งของสภาราชสํานักจึงตกเป็นของราชครู รากเหง้าของตระกูลหลิงเรากําลังจะสูญสลาย พระบิดาปล่อยให้อิทธิพลอํานาจของราชครูแผ่ขยาย และหากว่าราชครูหมายที่จะก่อกบฏ พระบิดาย่อมไม่อาจทําอะไรได้ทั้งสิ้น หากว่าราชครูยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ โลกหล้าก็จะเปลี่ยนแปลง และราชวงศ์ที่ปกครองแดนดินนี้ก็จะเปลี่ยนแซ่!”

ด้วยสายตาอันเข้มข้น เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “ผู้คนในรุ่นเก่าก่อนที่มีวิสัยทัศน์สูงส่งของตระกูลหลิงล้วนแต่เห็นสัญญาณนี้ นี่คือสาเหตุว่าทําไมพระเจ้าอาแปดถึงสนับสนุนข้า พระเจ้าอาแปดได้พยายามเกลี้ยกล่อมพระบิดามาก่อนแต่พระบิดายังคงดื้อดึงและเลือกที่จะวางใจในตัวราชครูต่อไป พระเจ้าอาแปดอับจนปัญญา และได้แต่หวังว่าข้าจะสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้”

เขาพลันฮึกเหิมและกล่าวด้วยโศกสลดเจือโทสะ “พระเจ้าอาแปดเป็นผู้อาวุโสในตระกูลหลิงผู้บุกเบิกแดนดินร่วมกับบรรพบุรุษ พระเจ้าอาแปดแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์เราไม่ขยาดที่จะแบกรับนามผู้ทรยศแผ่นดินและติดต่อสํานักทั้งหลายและขุนนางต่างๆ ทั่วทุกหัวระแหง ทุกอย่างนี้เพียงเพื่อกรุยทางให้กับข้า เพื่อดึงราชครูลงจากหลังม้า น่าเสียดายที่ทุกอย่างกลับไร้ผล! แม้เขาตายก็มิอาจมีซากร่างสมบูรณ์ ศีรษะของเขาถูกเจ้าคนหยาบช้าอย่างราชครูนั่นบั่นออกไป และยังมีคํารํ่าลือไปทั่วหัวระแหงอีกว่าเขาไม่ จงรักภักดี!”

รัชทายาทสันตินิรันดร์ปาดนํ้าตาแล้วทุบโต๊ะด้วยกําลังแรง 2 ตาเขาแดงกํ่า “ข้าไม่อาจทนดูอาณาจักรของตระกูลหลิงถูกทําลายใต้นํ้ามือของพระบิดา แม้ว่าข้าจะกลายเป็นคนอกตัญญู! ข้าไม่อาจจงรักภักดีและกตัญญูไปพร้อมๆ กันได้ ดังนั้นข้าเลือกจงรักภักดีต่อตระกูลหลิง! บางสิ่งถึงอย่างไรก็ต้องทํา ข้ามิอาจไม่ กระทํา!”

เขาเดินกลับไปมาด้วยความตื่นเต้น “น่าเยาะหยันอะไรอย่างนี้ น้องสาวและน้องชายของข้ายังคงใช้ชีวิตอย่างหลงละเมอ แต่ไม่รู้เลยสักนิดว่าเภทภัยจะกลํ้ากรายมาถึงตระกูลหลิงเราแล้ว! พระบิดานั้นถูกราชครูขี่ศีรษะอยู่ และหากว่าตระกูลหลิงถูกขับไล่ออกจากบัลลังก์ น้องๆ ของข้าก็จะพลอยถูกกําจัดไปด้วย! ข้าไม่อาจปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้น ข้าไม่อาจปล่อยให้มารชั่วอย่างราชครูเข้ายึดครองรังนอนของพวกเรา! ข้าจะต้องขึ้นเป็นจักรพรรดิและหยุดยั้งทุกอย่างนี้มิให้เกิดขึ้น!”

ในอู่เรือ โถงงานสวรรค์และโถงช่างฝีมือใช้เวลา 10 วันในการต่อเรือเหาะ 5 ลํา ทุกคนช่วยกันติดตั้งเตาหลอมยา 15 เตาที่ฉินมู่หลอมสร้างขึ้นมาลงในเรือและเชื่อมต่อกับสัตว์ทองแดง

ฉินมู่ปรับเปลี่ยนพิมพ์เขียวของเรือเหาะเล็กน้อยและดัดแปลงแผนผังบางอย่าง เรือทุกๆ ลําจะต้องมีเตาหลอมยา 3 เตาติดตั้งไว้

และมีสัตว์ทองแดง 3 ตัวอยู่บนเรือ 2 ตัวอยู่ที่ท้ายเรือ และอีกตัวอยู่ที่ใต้ท้องเรือ ศีรษะของสัตว์ทองแดงเหล่านั้นสามารถหักเหไปได้ทุกทาง

เปลี่ยนส่วนประกอบของเรือจากไม้เป็นเหล็กดําและทองแดงดํา ทําให้นํ้าหนักของมันเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ เตาหลอมยาเพียง 1 เตาย่อมไม่เพียงพอที่จะพามันบินขึ้นไปในอากาศได้ ดังนั้นฉินมู่จึงเพิ่มเตาหลอมยาเข้าไปอีก 2 นอกจากนั้นสัตว์ทองแดงอีกหนึ่งตัวก็ถูกติดตั้งไว้ในท้องเรือ เพื่อลดการสั่นสะเทือนเวลาที่เรือเหาะขึ้นและลงจากอากาศ

ใน 5 ลําเรือเหล็กนี้ มีเรือใหญ่ 3 ลํา และเรือเล็กอีก 2 แม้ว่า 2 ลํานี้จะเล็กกว่าแต่มันก็มีรายละเอียดครบสมบูรณ์ ห้องพักผู้โดยสารในเรือเล็กก็มีสิ่งอํานวยความสะดวกครบครัน

ฉินมู่ให้คนของเขาทาลายไม้บนเรือทั้ง 5 ลําทําให้มันดูเหมือนเรือไม้ธรรมดา เพื่อมิให้เป็นที่แตกตื่นแก่ผู้คน

ฝานอวิ๋นเสี้ยวตื่นเต้นเป็นพิเศษ และเดินไปมาระหว่างเรือทั้ง 5 ลํานี้ “จ้าวลัทธิ เรือลําไหนเป็นของข้าน่ะ”

ฉินมู่ชี้ไปที่เรือลําเล็กและฝานอวิ๋นเสี้ยวพลันมีสีหน้าบิดเบี้ยวทันที “ข้าเอาลําใหญ่กว่านี้ไม่ได้หรือ”

“เรือใหญ่ใช้ในการขนส่งไพร่พลและต่อสู้ในศึกสงคราม” ฉินมู่อธิบาย “หากว่าเจ้ายังคงอยากเป็นโจรอัคคีต่อ เลือกลําเล็กจะเหมาะที่สุด หากว่าเจ้าอยากได้ลําใหญ่ เจ้าก็จะสามารถใช้มันขนส่งผู้โดยสาร แต่ทว่าเรือใหญ่ก็จะเผาผลาญหินยามากขึ้นและเจ้าอาจจะเก็บค่าโดยสารได้ไม่มากพอต่อการใช้สอยในเวลาอันสงบสุขเช่นนี้”

ฝานอวิ๋นเสี้ยวลังเลอยู่พักหนึ่ง “ถ้าอย่างนั้น ข้าก็จะเลือกเรือลําเล็ก แล้วเรือเล็กอีกลําท่านจะใช้ทําอะไร”

แม้ว่าจะเรียกว่าเรือเล็ก แต่มันก็ไม่ได้เล็กเลย มันยาวถึง 17 วาและกว้าง 8 วา สามารถบรรทุกได้ถึง 20-30 คน

ฉินมู่ให้ศิษย์ลัทธิมารฟ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนที่จะขับเรือใหญ่ 3 ลําออกไป จากนั้นเขาจึงส่งเรือเล็กลําหนึ่งไปที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิระหว่างที่กล่าว “นี่ก็เกือบจะปีใหม่แล้ว เรือเล็กนี้จะเป็นยานพาหนะของข้า หัวหน้าธูปฝาน เจ้าได้เข้าร่วมโถงโจรแห่งลัทธิศักดิ์สิทธิ์เรา โถงโจรนี้เป็นส่วนหนึ่งของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นข้าจึงไม่กล่าวอะไรมากมาย มันเป็นหนึ่งในหนทางการดํารงชีวิตของศิษย์ลัทธิเรานั่นเอง เจ้าสามารถปล้นความรํ่ารวย แต่มิอาจพรากชีวิตหรือข่มขืนพวกเขา”

“ข้ามาจากสํานักเต๋าและแม้ว่าข้าจะถูกเจ้าสํานักเฒ่าขับออกจากสํานัก แต่พวกเราโจรอัคคีไม่เคยพรากชีวิตผู้คนและไม่เคยข่มขืนพวกเขา ไม่ต้องห่วง อาชีพทั้งหลายมี 360 และ ทุกอาชีพต่างมีจรรยาบรรณของมัน ข้าจะต้องทําให้ดีที่สุดและไม่ทําลายความไว้ใจของท่านจ้าวลัทธิ!”

ฉินมู่อ้าปากค้าง สักพักหนึ่งเขาจึงได้แต่โบกมือระหว่างที่มองฝานอวิ๋นเสี้ยวขึ้นเรือเล็กไปด้วยความตื่นเต้น โจรอัคคี 10 กว่าคน ช่วยกันผลักเรือนี้ออกจากโรงงานโดยใช้รางไม้ ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่พวกเขามี

หิมะข้างนอกนั้นหยุดตกแล้ว แต่ด้วยอากาศอันเย็นยะเยือก จึงมีผู้คนอยู่ในอู่ต่อเรือแค่ไม่กี่คน

ฝานอวิ๋นเสี้ยวตะโกน “เริ่มจุดไฟเตาหลอม พวกเราจะออกเดินทางกันแล้ว! เรือนี้จะเป็นเรือโจรสลัดกวดเมฆลําใหม่ของพวกเรา! พวกเราจะไม่กลับตัวเป็นคนดีอีกต่อไป ชักธงโจรอัคคีของพวกเราขึ้นเสา! ข้างนอกนั้นคือฟ้ากว้างและความมั่งคั่งไร้คณา!”

เรือหุ้มเหล็กค่อยๆ ลอยขึ้น ความเร็วของมันค่อยๆ เพิ่มขึ้นและทันใดเรือนี้ก็พุ่งทะลวงอากาศ ฉินมู่สามารถได้ยินเสียงพวกโจรอัคคีร้องมา “หนาวชะมัด หนาวสุดๆ! หัวหน้าฝาน อย่ามัวแต่ยืนที่ดาดฟ้า เข้ามาอุ่นร่างกายข้างในเร็วเข้า!”

ฉินมู่ใช้สายตาส่งพวกเขาไป ก่อนที่จะเดินกลับมา เขาจึงพากิเลนมังกร ฮู่หลิงเอ๋อ และราชามารตู้เถียนกลับไปยังเมืองหลวง

หิมะมากมายได้โปรยปรายมาเมื่อ 2 วันก่อน ดังนั้นแม้ว่า ตอนนี้มันจะหยุดตกไปแล้ว ท้องฟ้าก็ยังเต็มไปด้วยเมฆดําทะมึน ไม่มีแสงตะวันสาดส่องท่ามกลางลมหนาวที่หวีดหวือ แช่แข็งทุกๆ สิ่งที่มันพัดผ่าน

“นี่ก็ตั้ง 10 วันแล้วที่เรามองไม่เห็นดวงอาทิตย์” ฮู่หลิงเอ๋อกล่าว พลางมองขึ้นไปบนท้องฟ้า

นางไม่อาจทนนั่งจับเจ่าในโรงงานตลอดได้ จึงมักจะออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกอยู่เสมอ

ฉินมู่ตะลึงไปเล็กน้อย ไม่มีดวงตะวันมาตั้ง 10 วัน? นี่ดูเหมือนหิมะคราวนี้จะค่อนข้างหนักหนา แต่ทําไมหิมะหยุดตกแล้วก็ยังไม่เห็นดวงตะวันอีกล่ะ

เขาไม่ได้คิดอะไรมากมายในเรื่องนี้ ตอนนี้ก็ใกล้ปีใหม่เข้าไปทุกที เริ่มมีสีสันปรากฏในเมืองหลวงเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างถูกประดับด้วยโคมและธงสีฉูดฉาด ฉินมู่เดินเข้าไปในเมืองและเห็นเรือเหาะหลายลํากําลังลอยขึ้นสู่ฟ้า นอกจากทหารประจําเรือ ยังมีขุนนางจากสภาราชสํานักจํานวนหนึ่งไปด้วย เขาสงสัยว่าพวกเขาเหล่านั้นกําลังไปที่ไหน

“นี่ไม่เหมือนพวกเขาจะออกไปทําศึก”

ฉินมู่เงยหน้าขึ้นแต่ก็เห็นเรือเหาะ 10 กว่าลํานั้นบินสูงขึ้นทุกที พวกเขาลอยขึ้นข้างบนแทนที่จะมุ่งหน้าไปยังทิศขอบฟ้าไหน ทําให้เขาฉงนฉงายเป็นอย่างยิ่ง

เขากลับไปที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิและเห็นบัณฑิตมากมายที่กําลังพูดคุยกันเรื่องปีใหม่ ไม่มีใครสนทนาเรื่องที่ขุนนางทั้งหลายขึ้นเรือเหาะทะลุเมฆขึ้นไป และยังมีบัณฑิตอีกหลายคนที่สนทนากันเรื่องเรือเหาะลําที่จอดอยู่หน้าบัณฑิตนิเวศน์

“ลูกคนรวยที่ไหนนะ ถึงกับมีเรือเหาะเป็นพาหนะส่วนตัว”

วันถัดมา ท้องฟ้ายังคงขมุกขมัว กู่ลี่หนวนเรียกบัณฑิตทั้งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิมารวมกันและประกาศ “จักรพรรดิได้ประกาศวันหยุดเทศกาลปีใหม่ ดังนั้นพวกเจ้าสามารถกลับบ้านได้”

ทั้งภูเขาอึงอลไปด้วยเสียงโห่ร้องยินดี

ฉินมู่เงยหน้าขึ้นและเห็นเรือเหาะอีก 2 ลําลอยขึ้นสู่ฟ้า ทะยานไปยังชั้นฟ้าที่สูงลิบกว่าเดิม

ขณะเดียวกันบนเรือโจรสลัดกวดเมฆ ฝานอวิ๋นเสี้ยวยืนอยู่บนกราบเรือระหว่างที่สั่นงั่กๆ และแงะเอาติ่งนํ้าแข็งที่งอกจากปลายจมูกตนเอง พลางมองลงไปเบื้องล่าง

“น้องรอง พวกเราอยู่ที่ไหนแล้ว”

โจรอัคคีผู้หนึ่งมองไปข้างล่าง เพื่อระบุภูมิประเทศก่อนที่จะกล่าวตอบไป “พวกเรามาถึงแม่นํ้าหลี่”

“ทําไมแม่นํ้าหลี่ก็ยังมีหิมะตก”

ฝานอวิ๋นเสี้ยวรู้สึกตื่นตระหนก ชี้ไปยังภูเขาที่ลาดไปด้วยหิมะขาวโพลน เขากล่าว “นี่มันไม่ใช่แล้ว แม่นํ้าหลี่อยู่ชายแดนใต้สุดของแดนใต้ ปกติแล้วแม้ที่นี่อยู่ในฤดูหนาว มันก็ไม่มีหิมะตก แต่ทําไมปีนี้มองไปทางไหนก็มีแต่หิมะ”

โจรอัคคีเกือบทั้งหมดขึ้นมาจากในท้องเรือและมองลงไป เดาะลิ้นก๊อกๆ ด้วยความประหลาดใจ

ทันใดนั้นสีหน้าฝานอวิ๋นเสี้ยวก็แปรเปลี่ยนและเขารีบถาม “พวกเราอยู่ห่างจากเมืองหลวงหมื่นลี้แล้วใช่ไหม พวกเจ้ามีใครเห็นดวงตะวันไหม”

โจรอัคคี 10 กว่าคนหันไปมองหน้ากันและส่ายหน้า ฝานอวิ๋นเสี้ยวสูดลมหายใจหนาวเหน็บและมองไปยังเมฆทะมึนบนท้องฟ้าพลางพึมพํา “เมฆที่คลี่คลุมกว่าหมื่นลี้ เมฆเวรนี่ใช่เมฆธรรมดาแน่หรือ และหิมะนี้ แม้แต่แดนใต้ก็โดนมันปกคลุม…ปีใหม่ที่กําลังจะมาดูท่าจะไม่ใช่ปีอันแสนสงบ แต่น่าจะเป็นปีแห่งภัยพิบัติที่สร้างความอดอยากแก่ผู้คนทั่วแดนดิน…หากผู้คนอดอยากไม่มีอะไรกิน พวกเขาก็จะเริ่มกระด้างกระเดื่อง…ข้าคิดว่าข้าจะหาเงินในช่วงปีสองปีอันสุขสงบได้เสียอีก น้องรองเร่งแรงไฟเตาหลอมยา ให้ถึงขีดสุด พวกเราจะมุ่งลงทางใต้ต่อไป!”

หลังจาก 2 ชั่วโมง เรือสลัดกวดเมฆก็บินออกมาจากแดนใต้ และมาถึงน่านฟ้าทะเลใต้ ทันใดนั้นแสงเจิดจ้าเบื้องหน้าก็ละลานตาพวกเขา และเมื่อพวกเขาบินไปถึงที่นั่น พวกเขาก็พบกับดวงตะวันสาดแสงแจ่มจ้าอย่างเสรี ส่องลงยังผิวทะเลราวกับไพลินเปล่งประกาย

ฝานอวิ๋นเสี้ยวหันกลับไปดูข้างหลังและสูดลมหายใจลึกยาว

เมฆทะมึนอันหนาวเหน็บไร้ประมาณคลี่คลุมทั้งเขตแดนจักรวรรดิสันตินิรันดร์!

ในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ ฉินมู่กําลังจัดเตรียมสัมภาระเพื่อเดินทางกลับไปยังแดนโบราณวินาศ แต่พลันมีครูผู้สอนคนหนึ่งเดินเข้ามาและตะโกนด้วยเสียงอันดัง “เสนาวัง องค์จักรพรรดิมีพระบัญชาให้ขุนนางเจ้าหน้าที่ทุกคนที่อยู่ชั้นหกขึ้นไปมุ่งหน้าไปยังสภาราชสํานักเพื่อปรึกษาหารือ! ผู้ใดที่ไม่ปฏิบัติตามจะถูกลงโทษ!”

ฉินมู่วางสัมภาระลงและกล่าวแก่ฮู่หลิงเอ๋อ “พวกเจ้าอยู่ที่นี่กันก่อน ข้าจะไปวังหลวงเพื่อดูเหตุการณ์สักหน่อย”

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะไปเข้าร่วมสภาราชสํานัก และเมื่อเขามาถึงท้องพระโรงสภาราชสํานัก ที่นั่นก็คับคั่งไปด้วยผู้คนแล้ว เจ้าหน้าที่หลายพันแออัดยัดเยียดอยู่ในนั้น โชคยังดีที่ท้องพระโรงของจักรพรรดิสามารถรองรับผู้จํานวนมากขนาดนี้ไหว

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรในท้องพระโรง และมีสีหน้าวิตกกังวล เขาจะคอยถามตลอดอยู่เรื่อยๆ ว่า “ราชครูมาถึงหรือยัง”

เมื่อเขาได้คําตอบว่าราชครูยังไม่มา ความวิตกกังวลบนใบหน้าจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงก็ยิ่งลึกลํ้าเข้าไปใหญ่

หลังจากนั้นสักพัก จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงก็กระแอมให้คอโล่ง แล้วกล่าวด้วยเสียงอันก้องกังวาน “ไม่จําเป็นต้องรอราชครูแล้ว ขุนนางที่รักของข้าทั้งหลาย นี่ก็เกิน 10 วันเข้าแล้วที่พวกเจ้าได้เห็นดวงตะวันเป็นครั้งสุดท้ายใช่หรือไม่ ข้าเองก็ไม่เห็นดวงตะวันมาเกิน 10 วันและไม่ใช่แค่ข้า ทั้งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ไม่เห็นดวงตะวันมากว่า 10 วัน ข้าได้รับฎีกาจากขุนนางเจ้าหน้าที่ทั่วทั้งโลกหล้าว่าหิมะตกไปทั่วทุกหนแห่ง จากทะเลทรายทางเหนือถึงน่านฟ้าแดนใต้ จากหมู่เกาะอรุณรุ่งทางตะวันออกถึงด่านวารีลับทางตะวันตก หิมะตกลงมาอย่างมากมาย สั่งสมมาหกเจ็ดวัน!”

จักรพรรดิยืนขึ้นจากบัลลังก์มังกรและชี้ไปยังท้องฟ้าด้วยนิ้วอันสั่นเทา “มวลเมฆคลี่คลุมไปทั่วทั้งเขตแดนจักรวรรดิสันตินิรันดร์!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!