ตอนที่ 226 กระบี่แห่งจักรพรรดิก่อตั้ง ทะเลโลหิต
ในห้องใหญ่ ฮู่หลิงเอ๋อคลานไต่บนหลังกิเลนมังกร จากตําแหน่งนั้น นางแอบหรี่ตามองศีรษะทั้งหลายร่วงกราว
มันเป็นภาพอันแปลกประหลาด นี่เห็นชัดๆ ว่าไม่มีศัตรูใด แต่เมื่อใดที่ยอดยุทธ์ขั้นชาวสวรรค์ก้าวเข้ามาในลานบ้าน พวกเขาก็จะตายอย่างผิดธรรมชาติทันที!
คนอื่นๆ มีปฏิกิริยาตอบสนองราวกับว่าพวกเขากําลังพบเจอศัตรูร้ายกาจ ผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นชาวสวรรค์ผู้หนึ่งกู่ร้องและปราณกระบี่ของเขาห่อหุ้มทั่วร่างราวกับนํ้าแข็งเกาะ พลางย่างเท้าเข้าไปในลานบ้าน เขากวาดตามองไปทั่วๆ ด้วยสายตาอันระแวง
เพลงกระบี่ของเขาประณีตอัศจรรย์ และมีแสงกระบี่จํานวนนับไม่ถ้วนแหวกว่ายอยู่รอบร่างเขาราวกับปลาเล็กละเอียดยิบ
วิธีที่เขาใช้นั้นเป็นการตั้งรับแบบหนึ่งที่ใช้ป้องกันตนเอง ด้วยมัจฉากระบี่ละเอียดหลายพันตัวอันบรรจุไว้ด้วยพลังวัตรอันเข้มข้นของเขาแหวกว่ายไปรอบๆ ตัว เขาสามารถใช้พวกมันโต้กลับการโจมตีได้ทันทีเมื่อพบกับการจู่โจม และสามารถพิฆาตฆ่าศัตรูในพริบตา!
เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทําเช่นนี้ ในเมื่อศัตรูนั้นไปมาโดยปราศจากร่องรอยและเงาร่าง ดังนั้นเขาจึงมิอาจเห็นได้ว่าศัตรูเป็นใครและลงมืออย่างไร ด้วยมียอดฝีมือขั้นชาวสวรรค์มากมายที่ทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ มันแปลกประหลาดจนเกินไป
เขาไม่พบกับอันตรายในฉับพลันแต่เขาก็ไม่คลายการระวังป้องกันและเดินไปอย่างเชื่องช้าตรงไปยังห้องหลักที่ฉินมู่และพวกพ้องนอนหลับอยู่ ที่นั่น เขาเห็นภาพวาดแขวนอยู่ในห้อง
ฉินมู่จุดเทียนไขไว้เล่มหนึ่งหน้ารูปภาพนั้น ให้แสงสว่างแก่มัน
บนภาพวาดเป็นด้านหลังของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่สะพายกระบี่อยู่ ใบหน้าของชายกลางคนนั้นผินมาเบื้องหลังเล็กน้อยราวกับว่าเขาใช้หางตาเหลือบแลผู้วาดภาพ
หางตานั้น เผยให้เห็นจิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัว
การชําเลืองนั้นถูกจับเอาไว้โดยผู้วาดและเปลี่ยนมันให้เป็นรูปภาพ
แม้ว่าจะมีเพียงชายวัยกลางคนปรากฏในรูป แต่มันให้ความรู้สึกแก่ผู้คนเสมือนหนึ่งว่ามีข้อมูลอีกมากมายที่มิได้วาดเอาไว้ และมันซ่อนเร้นอยู่ในพื้นที่ว่างเปล่ารอบๆ
อันเป็นบทสรุปของการศึกสงครามอันน่าสยอง ศพของผู้แข็งแกร่งมากมายดารดาษเต็มเท้าของชายกลางคนนี้ ลอยอยู่ในทะเลเลือดอันไหลเจิ่งฟ้า กระดูกขาวย้อมเลือดจนแดงฉาน และสะท้อนแสงอย่างบิดเบี้ยว วิญญาณหลงทางจํานวนมากที่เซ่นสังเวยกระบี่ ถูกผู้นําทางวิญญาณจับกุมและลากลงไปในก้นบึ้งของความมืดมิด
ที่นั่น มารเทวะตนหนึ่งผู้มีเขายาว 2 ข้างอันบิดหมุน 9 รอบ กําลังจัดงานเลี้ยงให้แก่เหล่าดวงวิญญาณของยอดยุทธ์ทั้งหลายที่มาเป็นแขกเหรื่อและอาหารของเขาไปพร้อมๆ กัน
นี่ข้อมูลที่ซ่อนเร้นในพื้นที่ว่างเปล่าในภาพวาด!
ในลานบ้าน ยอดฝีมือขั้นชาวสวรรค์ผู้นั้นตกตะลึงเมื่อเขาเห็นภาพวาดและบุคคลในภาพ เขาเห็นศีรษะของตนร่วงหล่นลงจากบ่า และรู้สึกราวกับว่าทุกอย่างเชื่องช้าลงอย่างยิ่ง เมื่อเขาจมลงไปในความมืดไร้แสงใด เขารู้สึกว่าตนกําลังจมดิ่งไปอย่างไร้สิ้นสุด มิอาจไปถึงสุดก้นบึ้งของความมืดมิดนั้นได้
ตึง
ศีรษะเขาร่วงลงสู่พื้นและกลิ้งไป 2 ตลบ ดวงตาทั้ง 2 ของเขาเบิกกว้าง
ทันใดนั้น มือใหญ่ยักษ์ก็เอื้อมเข้ามาแล้วหยิบเอาศีรษะเขาไป นอกลานบ้านนั้นยังหลงเหลือผู้คนอีก 9 คนอันยืนอยู่ด้วยสีหน้าสยดสยอง มีแต่ผู้เฒ่าคิ้วขาว อาวุโสชิงซาน ที่ยังไม่ตระหนกมาก เขาเป็นผู้ที่คว้าหัวของยอดยุทธ์ชาวสวรรค์เมื่อครู่ออกมา
เขายังเป็นยอดฝีมือขั้นเป็นตายเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางคนเหล่านี้
นักพรตชิงซานมองเข้าไปในดวงตาของศีรษะที่เขาถืออยู่ และระบายลมหายใจลึกยาว “กระบี่อันวิเศษ”
อีก 8 คนที่เหลือรีบมองดูด้วยและถามด้วยเสียงสั่นสะท้าน “อาวุโสชิงซาน ท่านพบเบาะแสอะไร”
“มองในดวงตาเขาสิ”
คนทั้ง 8 มารวมตัวกันและเห็นว่ามีแสงกระบี่อยู่ในดวงตาซ้ายและขวาของยอดฝีมือนี้ กระบี่ดูเหมือนจะพุ่งตรงใส่หน้าเขา และในเสี้ยวพริบตาถัดมา ชีวิตของคนผู้นี้ก็ปลิดปลิว!
นักพรตชิงซานยกศีรษะนั้นขึ้นมา และมองไปยังห้องใหญ่ที่ฉินมู่และพวกพ้องนอนหลับอยู่ “กระบี่มาจากที่นั่น มันมีอะไรอยู่ตรงนั้นกันแน่”
เขาค่อยๆ เคลื่อนกายและหามุมอันเหมาะเจาะ เช่นนี้เขาจึงเห็นแสงวูบไหวของเทียนไขและมุมหนึ่งของรูปภาพ “มันเป็นภาพวาด ข้าเห็นชายเสื้อของคนที่อยู่ในภาพวาด…”
“อาวุโสชิงซาน เราต้องยุ่งยากด้วยหรือ ทําไมไม่แค่ทําลายทั้งบ้านและคนที่อยู่ในนั้นไปพร้อมๆ กันล่ะ”
ยอดฝีมือขั้นชาวสวรรค์ผู้หนึ่งลงมือทันที ไจกระบี่ของเขาพุ่งกรีดฟ้า แสงกระบี่ใหญ่เท่าเสาพุ่งออกมา และแทงไปยังเรือนพักที่ฉินมู่และคนอื่นๆ หลับอยู่ด้วยเสียงฟิ้ววว!
นี่คือท่วงท่ากระบี่เกลียวที่ราชครูสันตินิรันดร์คิดค้น!
ราชครูสันตินิรันดร์มิใช่คนเห็นแก่ตัว ท่วงท่ากระบี่ที่เขาคิดค้นก็ถูกถ่ายทอดออกไปเป็นส่วนมาก และมีสํานักกระบี่หลายสํานักในยุทธจักรที่ได้ฝึกปรือท่วงท่ากระบี่เหล่านี้ ผู้ที่เพิ่งลงมือเมื่อครู่ ก็เป็นหนึ่งในคนจากสํานักกระบี่เหล่านั้น!
ปฏิภาณความเข้าใจของเขาต่อท่วงท่ากระบี่เกลียวเหนือลํ้ากว่าคนจํานวนมาก
กระบวนท่ากระบี่นี้น่าประทับใจ และหากว่ามันกวาดเข้าไปถึงห้องใหญ่ มันก็จะป่นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นผุยผงแน่ ทําลายให้สาบสูญไปจากโลก ไม่ว่าจะเป็นฉินมู่ ราชามารตู้เถียน หรือกิเลนมังกร ทุกๆ คนก็จะถูกฉีกทึ้งเป็นจุณ!
“อย่าพุ่งจิตสังหารเจ้าไปยังภาพวาดนั้น!” นักพรตชิงซานสีหน้าแปรเปลี่ยนทันใด เขาหมายจะหยุดยั้งอีก
ฝ่าย แต่มันสายไปเสียแล้ว
เสากระบี่ดูเหมือนจะปะทะเข้ากับม่านคุ้มกันอันไร้รูป เมื่อมันหยุดยั้งอยู่กลางอากาศก่อนสลายไปทีละนิ้วสองนิ้ว จากนั้นมันก็ระเบิดกระจายไปด้วยเสียงดังสนั่น
รอยสีแดงพลันปรากฏที่หว่างคิ้วของยอดมือกระบี่ และหยดเลือดสดหยดหนึ่งก็หยาดลงมา ก่อนที่เขาจะล้มควํ่าลงกับพื้น
“พวกเจ้าระวัง ป้องกันตัว!” นักพรตชิงซานตะโกนด้วยเสียงอันเฉียบขาด
รัศมีเขาแผ่พุ่ง และเสียงตูม 6 เสียงดังมาจากร่างกายเขา ทารกวิญญาณ ห้าธาตุ หกทิศ เจ็ดดาว ชาวสวรรค์ เป็นตาย สมบัติเทวะทั้ง 6 ของเขาถูกปลุกขึ้นมาพร้อมกันในคราเดียว!
รอบๆ เขา ยอดยุทธ์ขั้นชาวสวรรค์ทั้งหลายไม่อาจยั้งเท้ายืนได้มั่นและถูกบีบให้ถอยร่นไปอย่างต่อเนื่องจากรัศมีอันไหลบ่าท่วมท้นของอาวุโสชิงซาน
ตึม!
ข้างหลังอาวุโสชิงซาน ปรากฏเงารูปเทพยดาที่มีเศียรมังกร และกายมนุษย์ มันดูเหมือนเทพยดาได้จุติลงมาจริงๆ ด้วยร่างครึ่งหนึ่งของเขายังอยู่ในอวกาศอันลึกลํ้า แต่ร่างอีกครึ่งได้ก้าวเข้ามาในโลกจริงแล้ว
อาวุโสชิงซานคว้ากระจกหนึ่งขึ้นมา และมองอย่างกระสับกระส่ายไปทางฉินมู่และคนอื่นๆ ที่ยังคงหลับใหลอยู่ในห้องหลัก ก่อนที่จะตะโกนด้วยเสียงแหบพร่า “พวกเจ้าจะไม่ระวังป้องกันตัวหรืออย่างไร เจ้าจะรนหาที่ตายหรือ”
ในตอนนั้นเอง ฉินมู่ผู้เสแสร้งเป็นหลับในห้องใหญ่ก็หรี่ตาขึ้นมามองและเห็นเงาร่างคนผู้หนึ่งลอยออกมาจากผนังเบื้องหลังเขา เขาสามารถเห็นแผ่นหลังของชายวัยกลางคนที่ได้รับแสงจากเทียนไขทาบทา เขาผู้นั้นเงียบสงัดเป็นอย่างยิ่งและดูเหมือนวิญญาณที่ไร้ร่างเนื้อ เมื่อเขาลอยเลื่อนไปยังลานบ้าน
เงาร่างนั้นเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า และดึงกระบี่ออกจากหลังของตน ชายผู้นั้นวาดกระบี่ไปรอบหนึ่งแล้วขับร้องด้วยเสียงอันเบา พร้อมกับแสงกระบี่ที่เคลื่อนวูบวาบราวกับมัจฉาและมังกรเริงระบํา
“กระบี่แห่งจักรพรรดิก่อตั้งทะเลโลหิต ขุนเขาและแม่นํ้าทั่วทิศ จิตเวิ้งว้างขมุกขมัว เหลียวแลซ้ายมองขวา มิอาจหาผู้คนในเสื้อผ้ามาตุภูมิ…”
ฉินมู่มิกล้าขยับเลยแม้แต่น้อย รู้สึกราวกับว่ามีปราณกระบี่คมกล้าและแสงกระบี่เต็มไปทั่วโลกหล้าแห่งนี้ซึ่งกําลังเคลื่อนคล้อยไปๆ มาๆ ข้างๆ เขา แหวกว่ายอยู่ในกาลและอวกาศ
เขาหลับตาลง แต่ก็ยังเห็นแสงกระบี่วูบวาบที่หน้าดวงตาเขา กรีดทําลายความมืด
เขาได้ยินเสียงปราณกระบี่อันคล่องแคล่วว่องไวทะลวงไปในอากาศ
เขาลืมตาขึ้นดูและพบว่ามีแสงกระบี่พุ่งสานกันไปมาเบื้องหน้าเขา เสียงคํารามด้วยความโกรธเกรี้ยวดังมาจากนอกลานบ้านและแสงสั่นสะเทือนจากการปะทะพลันโถมถล่มใส่เขาในราตรีอันมืดมิด เรือนหลังอื่นๆ ในหมู่บ้านกระเด็นขึ้นบนท้องฟ้า แหลกทําลายและป่นเป็นชิ้นๆ
ฉินมู่หัวใจเต้นตุ๊มต่อม “ท่านปู่หนวกได้มอบวิญญาณ เขาได้มอบวิญญาณให้ผู้ใหญ่บ้านในภาพวาด…”
ทันใดนั้น ทั้งเสียงและแสงก็หายวับหายไปพร้อมกับเสียงขับลํานําเบาบางนั้น
ฉินมู่ลืมตาครึ่งหนึ่ง และเขาสามารถมองเห็นรางๆ ถึงเงาร่างหนึ่งที่เดินกลับมาหาเขา ราวกับว่าคนผู้นั้นหมายจะกลับไปสถิตในภาพวาดตามเดิม แต่ทันใดนั้น เงาร่างนั้นก็แตกออกจากกัน กลายเป็นหมึกกองหนึ่งบนพื้น
ฉินมู่ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นรีบลืมตาขึ้นมา เขามองไปข้างหลังอย่างระมัดระวังและเห็นแค่แผ่นกระดาษขาวห้อยอยู่บนกําแพง
แสงจากตะเกียงไหววูบเป็นระยะ ขณะที่สิ่งรอบข้างนั้นเงียบสนิท
ฉินมู่ระบายลมหายใจลึกยาว และฮู่หลิงเอ๋อก็ลืมตาของนางขึ้นมา ถามด้วยเสียงเบา “คุณชาย…”
“ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว หลับกันเถอะ” จากนั้นเขาก็เสริม “พวกเรายังต้องข้ามภูเขาในวันพรุ่งนี้ และต้องเดินไปอีกไกล”
ฮู่หลิงเอ๋อมุดหัวลง และฉินมู่ก็เอนกายลงไปเช่นกัน มองไปยังแผ่นกระดาษขาวหลังแสงเทียน เขารู้สึกสุขสงบในจิตใจ
วันถัดมา ฉินมู่ตื่นขึ้นและมายังลานบ้าน หมู่บ้านเล็กๆ เมื่อวานนี้ได้กลายเป็นที่ดินว่างเปล่า ไร้วี่แววของบ้านเรือนหลังอื่นๆ มีแต่เรือนพักของพวกเขาที่ยังเหลือดีอยู่ครึ่งหนึ่ง ด้วยกําแพงพังไปมากกว่าครึ่ง ห้องตะวันออกหายไปเกือบหมด ส่วนเพดานของห้องตะวันตกก็ปลิวไปไหนไม่รู้
ฉินมู่ล้างหน้าล้างตาแล้วเริ่มประกอบอาหารเช้าด้วยกระทะของเขา ฮู่หลิงเอ๋อปรับกลไกในร่างราชามารตู้เถียนและออกไปวิ่งเล่นกับเขา ระหว่างที่นางออกไป นางก็อุทานอย่างตกใจตลอด
กิเลนมังกรตื่นขึ้นมาอย่างสะโหลสะเหล และมองออกไปข้างนอกเขาหาวหนึ่งที เลียอุ้งเล็บของตนและใช้มันล้างหน้าตัวเอง ก่อนจะถามอย่างสงสัย “พวกเราอยู่ที่ไหนนี่ หมู่บ้านเมื่อวานหายไปไหน…จ้าวลัทธิ นี่มันใช่เวลาอาหารเช้าหรือเปล่า ท่านโรยขมิ้นใส่ยาวิญญาณเพลิงฉานให้ข้าวันนี้ได้ไหม ข้าอยากลองเปลี่ยนรสชาติดูบ้าง…”
ฉินมู่เอาขมิ้นออกมาจํานวนหนึ่ง และนํายาวิญญาณเพลิงฉานออกมาครึ่งถัง ซึ่งเขาก็โรยขมิ้นลงไปบนนั้น
กิเลนมังกรก้มหัวลงไปดูอาหารของเขา แล้วเงยหัวขึ้นมาด้วยความสงสัย “นี่มันแค่ครึ่งถังเอง”
ฉินมู่กล่าวด้วยความโมโห “ตอนนี้เจ้าอ้วนขนาดวิ่งก็ยังไม่ไหว ครึ่งถังนี้เกินพอเสียอีก!”
กิเลนมังกรกล่าว “ร่างกายของข้าอยู่วัยกําลังโต หากว่าท่านลดอาหารข้า ข้าคงไม่อาจเติบโตได้…”
“ร่างของเจ้าอยู่ในวัยกําลังโต?” ฉินมู่โมโหขึ้นมา และหมายจะหยิกเนื้อที่พุงของกิเลนมังกรแต่พบว่าเขาทําไม่ได้ “ร่างกายของเจ้าไม่ได้กําลังโต มีแต่ไขมันเจ้าสิที่โตขึ้นทุกวัน ลองหยิกพุงตัวเองดูสิ ว่าเจ้าหยิกหนังออกมาได้ไหม!”
กิเลนมังกรก็ลองใช้เล็บตัวเองหยิกดูและพบว่ามันไม่อาจหยิกเนื้อหนังอันกลมเป่งของตนเองได้ “กายาของข้าเป็นประเภทที่แม้แต่ดื่มนํ้าเย็นก็ยังอ้วน…”
ฮู่หลิงเอ๋อวิ่งเข้ามาแล้วกล่าวอย่างมีนํ้าโห “มังกรอ้วน เช่นนั้นจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าก็ดื่มแต่นํ้าเย็นอย่างเดียวนะ!”
กิเลนมังกรรีบกอดยาวิญญาณเพลิงฉานตรงหน้าเขาไว้อย่างหวงแหนแล้วแย้มยิ้มอย่างขอโทษขอโพย “ข้าเพียงแค่กลัวจะอดอาหาร และหมายจะกินเพิ่มอีกหน่อยเองไม่ใช่หรือ ก็ได้ ครึ่งถังใช่ไหม อย่าน้อยไปกว่านี้นะ ไม่เช่นนั้นข้าคงเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก”
ราชามารตู้เถียนเดินเข้ามาและเมื่อเขาเห็นว่าฉินมู่ทานอาหารเสร็จแล้วและกําลังเก็บม้วนภาพวาดอันเหลือแต่กระดาษขาวลงมา “ภาพวาดนี้วาดโดยผู้เฒ่าที่บ้านของเจ้า?”
ฉินมู่พยักหน้า
ราชามารตู้เถียนนิ่งไปครู่ จากนั้นถาม “คนที่อยู่ในภาพวาดนั้นก็เป็นผู้เฒ่าที่บ้านเจ้า?”
ฉินมู่ใส่ม้วนภาพวาดลงในถุงเต๋าตี้พลางพยักหน้า
ราชามารตู้เถียนกล่าว “ข้าไม่ได้กลัวพวกเขาหรอกนะ แต่อย่างไรก็ไม่ใช่หนทางที่ดีที่จะคอยกักข้าไว้ในหุ่นพยนต์มารเทวะนี้ ทําไมเจ้าไม่คลายผนึกเพื่อให้สํานึกรู้ของข้าสามารถไปจากโลกนี้ และกลับไปยังตู้เถียน โดยไม่ย่างกรายกลับมายังดินแดนนี้อีกต่อไป เจ้าว่าอย่างไรล่ะ”
ฉินมู่ไม่แสดงความคิดเห็นและกลับบอก “หลิงเอ๋อ กินเร็วๆ เข้า พวกเราจะได้เดินทางกันต่อ”
ราชามารตู้เถียนปวดหัวตึ้บ
หลังจากฮู่หลิงเอ๋ออิ่มแล้ว ฉินมู่ก็ก้าวเข้ามาช่วยล้างถ้วยชาม จากนั้นนําถ้วยชามที่ล้างจนสะอาดเก็บเข้าไปในถุงเต๋าตี้ เขามองไปยังเสบียงข้างในนั้นและกล่าว “มีเหลือพอให้พวกเรากินจนกว่าจะถึงแดนโบราณวินาศ ใต้เท้าราชามาร เชิญเดินทาง”
ราชามารตู้เถียนเดินตามไปพลางกล่าว “ข้าไม่กลัวพวกเขา หากว่าร่างจริงของข้าจุติลงมา ข้าไม่กลัวใครทั้งนั้น…”
เทือกเขาเทพทําลายแผ่ยาวไปกว่าหมื่นลี้ และเมื่อฉินมู่กับพวกพ้องมาถึงตีนเขา ในตีนเขา พวกเขาก็เห็นแต่ภูเขาสูงเสียดฟ้าชันราวกําแพงที่ยากที่จะผ่านแม้จะเป็นลิงอันว่องไวและนกอันโบยบิน
ฉินมู่นําแผนที่สันตินิรันดร์ออกมาและมองหาบางสิ่งอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก่อนที่จะเผยยิ้ม “สันเขาเดียวดายอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ไปกันเถอะ!”
เมื่อเขากล่าวอยู่นั้น ก็มีเส้นแสงปรากฏจากเมฆทะมึนบนท้องฟ้า และงูแดงตัวมหึมาก็โผล่หัวออกมา พ่นเพลิงไฟลูกใหญ่ ความร้อนสลายเมฆไปทั่วทิศทาง และฝูงแมลงทองคําอันสะท้อนแสงวาววามก็บินออกมาทั่วทิศ บางตัวก็บินมาทางกลุ่มของฉินมู่