ตอนที่ 233 เรือกระดาษ
อาการบาดเจ็บของฉินมู่หายดี ดังนั้นเขาจึงนําของขวัญที่เตรียมไว้ให้ลิงยักษ์อสูรออกไปจากหมู่บ้าน มุ่งหน้าไปยังหุบเขาวังสะกดเภทภัย ขณะที่เขากําลังออกไปนั่นเอง เขาก็เห็นสัตว์พิสดารกําลังลากซากศพอยู่ เมื่อมันเห็นเขาเดินมา สัตว์พิสดารนั้นก็แยกเขี้ยวขู่ ขนคอชูชัน
นํ้าในแม่นํ้าพองขึ้นมาเป็นก้อน เมื่อสัตว์พิสดารอีก 2 ตัวกระโดดขึ้นมาจากนํ้า และมุ่งตรงไปยังศพอื่นๆ สัตว์พิสดารเหล่านี้มีหัวเป็นปลาและร่างเป็นมนุษย์ พวกมันหยุดชะงักทันใดเมื่อเห็นฉินมู่และยอบตัวอยู่กับพื้น ไม่กล้าเข้าไปใกล้
ฉินมู่ไม่สนใจพวกมัน ระหว่าง 2 วันที่เขารักษาอาการบาดเจ็บอยู่นั้น ผู้ฝึกวิชาเทวะจากสันตินิรันดร์ได้ค้นพบหมู่บ้านนี้ตามมาอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ทันที่พวกเขาจะได้ย่างเท้าเข้าหมู่บ้าน พวกเขาก็ถูกกําจัดด้วยสิ่งของต่างๆ ที่เกลื่อนกลาดอยู่ทั่วหมู่บ้าน
มีสิ่งของหลายชิ้นที่น่าสะพรึงอย่างสุดๆ นอกจากแมลงในไห แล้วยังมีคราดที่ใช้กวาดหญ้า ม่านในโรงตีเหล็ก หม้อนํ้า ไจกระบี่ ใต้เตียงท่านยายซี หินลับมีดของคนแล่เนื้อ รางนํ้าที่ใช้ป้อนนํ้าแม่ไก่ และยังมีอ่างล้างหน้าที่กิเลนมังกรเอาไปใช้เป็นชามข้าว
มีผู้คนเยอะทีเดียวที่ไล่ล่าหมายชีวิตเขาด้วย นอกจากหลงเจี่ยวหนันและยอดฝีมือกลุ่มนั้น ก็ยังมียอดฝีมือจากสํานักอื่นๆ หลายต่อหลายคนเสาะหาหนทางมาถึงที่นี่ระหว่าง 2 วันที่ฉินมู่รักษาอาการบาดเจ็บ
หมู่บ้านพิการชรานี้เสาะหาไม่ยากเพียงแต่พวกเขาเดินตามแม่นํ้ามา และมันห่างจากเมืองเขตมังกรเพียงพันลี้เท่านั้น ซึ่งก็มิได้ไกลมากมายจากด่านชายแดนสันตินิรันดร์ นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าเมื่อพวกเขาต้องการตามหาที่อยู่ของฉินมู่จึงทําได้ง่ายดาย
ฉินมู่คะเนว่ามีผู้คน 40-50 คนหาที่นี่เจอระหว่าง 2 วันที่ผ่านมา แน่ล่ะ พวกเขาตอนนี้ล้วนแต่เป็นศพกันไปหมดแล้ว
“หลงเจี่ยวหนันยังหาทางมาที่นี่ไม่เจอ หรือว่านางจะหลงทาง หรือถูกสังหารระหว่างทาง? หรือว่า…”
เมื่อฉินมู่อยู่ในหมู่บ้าน เขารู้สึกตลอดเวลาถึงสายตาที่จับจ้องเขาจากนอกหมู่บ้าน ราวกับอสรพิษตัวมหึมาที่ซุ่มซ่อนอยู่ในมุมมืด พร้อมจะฉกใส่ทุกเวลา
“นางอยู่ใกล้ๆ นี่หรือ”
เดินออกจากหมู่บ้านคราวนี้นั่นก็เพื่อล่อหลงเจี่ยวหนันออกมาด้วย
สตรีนางนี้มีความแค้นลึกลํ้ากับเขา สํานักขี่มังกรถูกทําลายล้างลงด้วยนํ้ามือของฉินมู่แต่เพียงผู้เดียว หากว่ามิใช่เขาอัญเชิญราชามารตู้เถียนมายังเมืองคลื่นสวรรค์ สํานักขี่มังกรคงไม่ล่มสลายลงอย่างง่ายดายเช่นนี้
ฉินมู่ไปยังวังสะกดเภทภัยและเห็นสัตว์ป่าจํานวนมากที่นี่ แต่ท่ามกลางพวกมันไม่เห็นเงาร่างของลิงยักษ์อสูรและมังกรคชสาร
เขาเดินดูรอบๆ แต่ไม่พบเบาะแสใด น่าเศร้าที่สัตว์ป่าในหุบเขาไม่รู้จักการฝึกปรือหรือการพูดภาษาคน เขาจึงไม่อาจไต่ถามพวกมันได้ว่าลิงยักษ์อสูรหายไปไหน
ฉินมู่ได้แต่กลับมาที่หมู่บ้านพิการชรา ผ่านไปอีก 2 วันแล้ว และเขาก็ไม่อาจจะนิ่งเฉยได้อีกต่อไป ตอนนี้ก็ใกล้เวลาปีใหม่ เหลือเวลาอีกสองสามวันเท่านั้นแต่ท่านยายซี ผู้ใหญ่บ้านและคนอื่นๆ ก็ยังไม่กลับมา!
“พวกผู้เฒ่าในหมู่บ้านน่าเป็นห่วงกันทั้งนั้น!” เขาไปยังวังสะกดเภทภัยอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่พบเจอลิงยักษ์อสูร ซึ่งทําให้เขายิ่งร้อนรนทนไม่ไหวกว่าเดิม
“มังกรอ้วน ลุกขึ้น!” ฉินมู่เตรียมสัมภาระของเขาและให้อาหารแมลงกับแม่ไก่มังกรอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ลบคําว่าตรึงบนร่างของราชามารตู้เถียนและเรียกกิเลนมังกรมา “ไปตามหาพวกเขาที่ส่วนลึกของแดนโบราณวินาศกัน!”
ราชามารตู้เถียนยืดเหยียดร่างกายแล้วยิ้มหยัน “หากว่าตัวตนระดับครึ่งเทพอย่างเฒ่าหนวกยังไม่อาจกลับมาได้หลังจากเข้าไปในแดนโบราณวินาศ เจ้าไปจะช่วยอะไรได้”
ฉินมู่ส่ายหัว “แม้ว่าพละกําลังของข้าจะไม่สูงส่ง แต่ข้าก็มีผู้ช่วย ราชามาร เจ้ามาจากเผ่ามารฟ้าใช่หรือไม่”
ราชามารตู้เถียนกล่าวด้วยความภาคภูมิ “ที่แท้เจ้าก็หมายจะหยิบยืมพละกําลังของข้า หากว่าเจ้าปฏิบัติกับข้าดีๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะ เป็นไปไม่ได้หรอกนะที่ข้าจะช่วยเจ้าน่ะ แต่ทว่าเจ้ากระทืบข้าโดยไม่มีเหตุผลและทําให้ข้าขุ่นเคืองใจ ทําให้ข้าพอใจสิ ข้าถึงจะยอมช่วยเจ้า”
ฉินมู่ถามด้วยความใคร่รู้ “ข้าจะทําให้ใต้เท้าราชามารพอใจได้อย่างไรบ้างล่ะ”
ราชามารตู้เถียนตื่นเต้นขึ้นมาทันที และกําลังจะพูดสิ่งที่ปกติเขาจะพูดอย่างนั้นแต่เขารู้สึกสังหรณ์ไม่ดี หากว่าเขากล่าวออกไป คนที่จะคุกเข่าลงแล้วเลียหัวแม่เท้าของอีกฝ่ายคงเป็นเขาแน่ๆ
ฉินมู่กล่าวอย่างตัดสินใจแน่นอน “หากว่าเจ้าทุ่มเทความพยายามทั้งหมดในการช่วยข้าค้นหาพวกเขา ข้าจะปล่อยเจ้าไป เงื่อนไขนี้เป็นเช่นไรล่ะ”
ราชามารตู้เถียนตาลุกวาว “เจ้าสัญญานะ?”
“ข้าสัญญา!” ฉินมู่เก็บข้าวของเสร็จก็เดินออกไปจากหมู่บ้านพิการชรา ให้กิเลนมังกรมุ่งหน้าไปทางเหนือนํ้า ทุกคนออกไปเพื่อเสาะหาสถานที่ตั้งของหมู่บ้านไร้กังวล และผู้ใหญ่ได้พาเขาขึ้นไปทางต้นนํ้าเมื่อคราวก่อนมุ่งไปยังใจกลางแดนโบราณวินาศอันพวกเขาได้พบพานประสบการณ์ประหลาดพิลึกมากมาย
แต่ที่พวกเขาค้นพบมิใช่หมู่บ้านไร้กังวล แต่เป็นเรือจันทราแห่งเฝิงตู่
เรือจันทราได้นําทางจี้หยกห้อยคอฉินมู่ ดึงดูดให้จี้หยกลอยไปหา ล่อลวงฉินมู่ไปยังสถานที่นั้น
เขารู้สึกว่าหากผู้ใหญ่บ้านและคนอื่นๆ หมายจะเสาะหาหมู่บ้านไร้กังวล พวกเขาคงเริ่มต้นสืบเสาะจากที่นั่นและคงจะทิ้งร่องรอยเบาะแสบางอย่างเอาไว้
ความเร็วของกิเลนมังกรไม่เชื่องช้า แต่เมื่อเทียบกับความเร็วของผู้ใหญ่บ้าน เขานั้นช้ากว่ามากเมื่อผู้ใหญ่บ้านพาฉินมู่มา เขานั้นเหมือนกับเทพยดาที่ส่องแสงเจิดจ้าในความมืด เคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วอันยิ่งยวด
ฉินมู่ได้แต่เข้าไปในแดนโบราณวินาศระหว่างเวลากลางวัน เมื่อกลางคืนมาถึง เขาก็ต้องหาหมู่บ้านอื่นๆ หรือซากโบราณสถานเพื่อหลบหลีกความมืด
แดนโบราณวินาศยามกลางวันและในยามกลางคืนนั้นเป็นโลกอันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ผู้ใหญ่บ้านได้คาดเดาว่าแดนโบราณวินาศในยามกลางวันนั้นเป็นโลกจริง ขณะที่ในยามกลางคืน โลกมืดบางแห่งได้ปรากฏขึ้นมาซ้อนทับกับมัน
หากว่าผู้ใหญ่บ้านและคนอื่นๆ ได้เข้าไปในโลกมืดแห่งนั้นและถูกโลกนั้นพาไป ฉินมู่ก็คงไม่อาจตามหาเขาเจอ เขาได้แต่หวังว่าผู้ใหญ่บ้านและคนอื่นๆ หาหมู่บ้านไร้กังวลพบ
ไม่นานนักหลังจากเขาออกจากหมู่บ้านพิการชราไป เด็กสาวผู้สวมใส่ชุดยาวสีเขียวเข้มก็มาที่เขตแดนหมู่บ้าน ต่างหูรูปงูสีแดงที่ห้อยจากใบหูของนางก็เหยียดร่างออกไปมองดูเช่นกัน จริงๆ แล้วมันคืองูแดงตัวเล็กๆ
“สมบัติลํ้าค่าเกลื่อนกลาดไปทั่วหมู่บ้านแห่งนี้ ข้าจะเข้าไปขโมยพวกมันออกมาได้ไหมนะ” หลงเจี่ยวหนันกล่าวด้วยเสียงเบา “แดงน้อย เจ้าไปเรียกผู้ช่วยมาเร็ว”
งูแดงตัวกระจ้อยที่ห้อยจากใบหูของนางส่งเสียงฟ่อๆ และงูหงอนแดงตัวใหญ่ก็เลื้อยออกมาจากป่า แต่ทันทีที่มันเข้าไป แมงมุมสีดําที่ชักใยอยู่บนสมุนไพรวิญญาณก็พลันกระโดดขึ้นมาจากสวนสมุนไพร และร่อนลงบนหัวของงูยักษ์เพื่อกัดลงบนหัวของมัน
งูยักษ์นั้นตายทันที ทั้งเลือดและเนื้อของมันเปื่อยเป็นกองยุ่ยๆ อันถูกดูดกลืนไปจนเกลี้ยงโดยแมงมุมตัวนั้น เหลือแต่หนังงูว่างเปล่า
แมงมุมนั้นขยายใหญ่ขึ้นทุกที หลังจากที่สูบเลือดเนื้อของงูยักษ์จนแห้งเหือด มันก็พ่นลูกไฟแท้ออกมาเผาผลาญตัวเอง เพื่อย่อตัวกลับไปขนาดเท่าเดิม ก่อนกระโดดกลับเข้าไปในสวนสมุนไพรเพื่อซุ่มซ่อนต่อ
หางตาหลงเจี่ยวหนันกระตุก และนางรีบหันหลังจากไปทันที รังงูข้างหลังนางก็กระจัดกระจายไปทั่วทิศทาง “หมู่บ้านนี้ แม้แต่ชาวสวรรค์ก็เข้าไปไม่ได้!”
กิเลนมังกรตามกระแสนํ้าขึ้นไป 600 ลี้ ฉินมู่เงยหน้ามองดูท้องฟ้าเพื่อดูเวลา ท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว ดังนั้นเขาจึงสํารวจดูรอบๆ หาสถานที่พักอาศัย
“บนแผนที่ภูมิประเทศของแดนโบราณวินาศ มันน่าจะมีวังดูแลสัตว์อัศจรรย์แถวๆ นี้ บางทีข้าอาจจะไปหลบภัยที่นั่นได้”
ฉินมู่หวนระลึกแผนที่ภูมิประเทศของแดนโบราณวินาศและพลันตาเป็นประกาย เขาให้กิเลนมังกรขึ้น บก ไม่นานนัก พวกเขาก็พบซากโบราณของวังแห่งหนึ่ง อันมีสัตว์พิสดารจํานวนหนึ่งหลบอยู่ในนั้นก่อนหน้าแล้ว
ฉินมู่เข้าไปในซากโบราณของวังดูแลสัตว์อัศจรรย์และเห็นโครงกระดูกของสัตว์ยักษ์จํานวนมากเกลื่อนกลาดอยู่รอบๆ พวก มันล้วนแต่นิ่งเงียบไม่กระดุกกระดิกเมื่อเขาเข้าไป
ฉินมู่เงยหน้าขึ้นเพ่งพิศพวกมัน โครงกระดูกของสัตว์ยักษ์ในวังดูแลสัตว์อัศจรรย์นั้นใหญ่โตเหลือเชื่อ มันใหญ่กว่ากิเลนมังกรตอนคืนร่างจริงเป็น 10 เท่า หากว่าพวกมันยังมีชีวิตอยู่ พวกมันจะต้องสูงกว่า 1,500 วาและดูเหมือนภูเขาเคลื่อนที่!
ไม่นานนักนักพรตเต๋าคู่หนึ่งก็เข้ามาในซากโบราณ ผู้ซึ่งน่าจะเป็นยอดฝีมือที่เข้ามาในแดนโบราณวินาศเพื่อแสวงประสบการณ์ เมื่อพวกเขาเห็นฉินมู่ ก็เผยสีหน้าตระหนก แต่พวกเขาก็นิ่งเงียบไม่ปริปาก ก่อกองไฟเพื่อประกอบอาหารของตน
ฉินมู่ทําอาหารสองสามจานและทานอาหารเย็นก่อนเอนตัวลงข้างๆ กิเลนมังกรเพื่อนอนหลับ
นักพรต 2 คน มองหน้ากันและกันแต่ก็ยังคงไม่กระโตกกระตาก พวกเขาเขียนข้อความลงบนพื้นและขณะที่พวกเขาทําเช่นนั้น พื้นดินก็สั่นสะเทือน เสียงคํารามดังมาจากข้างนอก และเสียงอันลึกลับยากจะเข้าใจก็เอ่ยวาจาออกมาจากความมืด ฟังคล้ายกับมารเทวะกระซิบกระซาบกันไปมา
ฉินมู่ลุกขึ้นนั่งและเห็นกระดูกของสัตว์ยักษ์เหล่านั้นพลันเปล่งประกายเจิดจ้าด้วยแสงเทวะ แรงสั่นสะเทือนที่พื้นหนักหน่วงขึ้นทุกที และเขาเห็นสัตว์ยักษ์เหล่านี้พลันยกขาของพวกมันขึ้นจากพื้น โครงกระดูกเหล่านั้นพลันเหมือนกลับมามีชีวิต เมื่อพวกมันพากันเดินออกไปจากซากโบราณ
เสียงคํารามสะเทือนฟ้าดินดังมาจากข้างนอก และก็มีแสงเทวะสาดส่องทะลุความมืดมาเป็นระยะ จากแสงเทวะเหล่านี้ ผู้ที่อยู่ข้างในซากโบราณสามารถเห็นได้ว่าสัตว์ยักษ์เหล่านี้กลับกลายเป็นงอกเงยเลือดเนื้อขึ้นมาและกลายเป็นสัตว์เทพที่ต่อสู้กับสัตว์ประหลาดมารร้ายในความมืด
นักพรตเต๋าทั้ง 2 อัศจรรย์พันลึกใจ
ราชามารตู้เถียนเองก็ตกตะลึง
ฉินมู่ไม่ประหลาดใจจากภาพแปลกประหลาดและเอนตัวลงตามเดิม จากนั้นกล่าวด้วยเสียงเบา “ตู้เถียนเลิกมองได้แล้ว ข้าเคยเห็นของประหลาดกว่านี้มาก”
ราชามารตู้เถียนกระซิบด้วยเสียงแผ่ว “นักพรตพวกนี้ไม่ชอบมาพากล”
ฉินมู่ไม่ยี่หระ “ข้ารู้ หนึ่งในนั้นคือหลงเจี่ยวหนัน”
ผ่านไปสักพักเขาก็เริ่มกรนและราชามารตู้เถียนก็ได้แต่ยับยั้งใจไม่ให้ลงมือ
การต่อสู้นอกซากโบราณดําเนินไปตลอดคืน เมื่อรุ่งเช้ามาถึง พื้นดินก็สั่นสะเทือนเมื่อสัตว์เทพอันน่ายําเกรงเหล่านั้นกลับเข้ามาในซากโบราณ เมื่อพวกมันหมอบลงกับพื้น เลือดเนื้อของมันก็มลายหายไป พวกมันกลับกลายเป็นโครงกระดูกที่จมทรายอยู่ครึ่งหนึ่ง อันเหมือนกับที่ฉินมู่เห็นในตอนที่เข้ามาไม่ผิดเพี้ยน
ความมืดถอยกลับไปเหมือนนํ้าป่า และแสงอาทิตย์ก็สาดส่องลงมาจากฟากฟ้า สัตว์พิสดารตัวอื่นๆ ก็เคลื่อนย้ายออกไปจากซากโบราณและกระจัดกระจายไปทุกทิศทาง
ฉินมู่ก่อไฟอีกครั้งและทําอาหารเช้า ขณะที่นักพรตเต๋าคนอื่นๆ ก็ทําเหมือนกัน พวกเขาทั้งหมดไม่พูดจาและทานอาหารเช้าของตนไปอย่างนั้น
กิเลนมังกรนําอ่างล้างหน้าจากหมู่บ้านพิการชราที่เขาซ่อนไว้อย่างไรก็ไม่รู้มาตั้งนานและวางเอาไว้ตรงหน้าฉินมู่เพื่อรออาหารของเขา
ฉินมู่เทยาวิญญาณเพลิงฉานครึ่งถังลงไปให้ จากนั้นนําอ่างล้างหน้าออกมาอีกอ่างหนึ่งแล้วเทนํ้าจากทะเลสาบมังกรหยกลงไปครึ่งอ่าง
กิเลนมังกรกินอย่างอิ่มหมีพีมัน จากนั้นพวกเขาก็ออกเดินทางต่อ นักพรต 2 คนมองหน้ากันและกัน จากนั้นก็ดับไฟและตามฉินมู่ไปอย่างติดๆ
ฉินมู่พลันหยุดในตอนนั้นและหันไปพร้อมกับรอยยิ้ม “ศิษย์พี่ทั้ง 2 มีอะไรให้ข้าช่วยไหม”
หนึ่งในนักพรตเต๋ายอกย้อน “แดนโบราณวินาศออกจะกว้างใหญ่ มันเป็นบ้านเจ้าหรืออย่างไร พวกข้าจะไปตามทางพวกข้า ส่วนเจ้าก็ไปตามทางของเจ้า มีใครไปขัดขาเจ้าล่ะ!”
ฉินมู่ยิ้มแล้วเดินทางต่อไป
พวกเขาออกมาแต่เช้าในวันนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงมาถึงจุดสิ้นสุดแม่นํ้าหย่งก่อนตะวันตกดิน ฉินมู่เห็นหมู่บ้านรกร้างใกล้ๆ และดวงตาของเขาเป็นประกาย เขาให้กิเลนมังกรเข้าไปในนั้นทันที
นักพรตที่ตามเขามาและเห็นหมู่บ้านนี้เก่าพัง มีหยากไย่จับอยู่ทุกที่ กระทั่งรูปสลักหินก็สึกกร่อนไปตามกาลเวลา
ที่แปลกก็คือ ในโบราณสถานอื่นๆ จะมีสัตว์พิสดารเข้ามาหลบภัยจากความมืดอยู่เสมอ แต่ที่นี่ไม่มีสัตว์พิสดารสักตัว
นักพรตคนหนึ่งงุนงงและหลงเจี่ยวหนันซึ่งตอนนี้เป็นนักพรตหญิงโฉมสะคราญก็กล่าวด้วยเสียงเบา “ที่นี่มีอะไรบางอย่างประหลาดพิกล…”
เมื่อนางกล่าวอยู่นั่นเอง ความมืดก็แผ่สยายมา และอุณหภูมิพลันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยือกจับกระดูก เรือน้อยเดียวดายลอยมาอย่างไม่รีบเร่งจากโลกอื่นด้วยตะเกียงอันห้อยอยู่บนกราบเรือ ภายใต้ตะเกียงนั้นคือผู้เฒ่าซึ่งกําลังพับคนกระดาษ ม้ากระดาษ และเรือกระดาษ
ผู้เฒ่านั้นมายังหมู่บ้านดังกล่าว และลงจากเรือ ทุกคนตัวสั่นเทิ้มเมื่อรู้สึกราวกับว่าดวงวิญญาณตกลงไปในหล่มนํ้าแข็ง
ผู้เฒ่าวางเรือกระดาษอันลอยละลิ่วจากไป หนึ่งในนักพรตเต๋าพลันพบว่าเขาได้ลงมาอยู่ในเรือกระดาษนั้นอันล่องลอยไปไร้นํ้าหนักสู่ห้วงมืดอันไกลลิบ
ด้วยความตระหนกเขามองกลับไปและเห็นตัวเขาอีกคนยังคงนั่งอยู่ในหมู่บ้าน
นั่นคือกายเนื้อของเขา
“พี่ทางเต๋า” ฉินมู่ขับเคลื่อนวิชาแท้เทพดาวเสาร์ครองธาตุดินและจําแลงเป็นเทพยดาร่างงูศีรษะมนุษย์ ประตูน้อมสวรรค์ปรากฏเบื้องหลังเขา และเขาคารวะทักทายผู้เฒ่า หลังจากกล่าวถ้อยคําในภาษาแดนใต้พิภพ เขาก็นําภาพวาดรูปผู้ใหญ่บ้าน นักปรุงยา และคนอื่นๆ ออกมาไต่ถาม “ขอเรียนถามพี่ทางเต๋าได้หรือไม่ว่าท่านเห็นพวกเขาเหล่านี้บ้างไหม”