ตอนที่ 237 พื้นที่ต้องห้าม
ฉินมู่ยืนอยู่บนเรือจันทราอันยิ่งใหญ่ด้วยมือของเขาเหยียดออกไปคว้าจับเสารอบๆ เขาเหมือนกับยักษ์ที่กําลังต้องโทษทัณฑ์ ซึ่งกําลังมองดูโลกอันเผยปรากฏต่อหน้าเขา
ข้างหลังเขา ดวงจันทร์แตกหักลอยอยู่บนท้องฟ้า ขณะที่อุกกาบาตพุ่งวาบลงมาเป็นระยะ เมื่อมันหล่นลงมาปะทะกับเรือจันทรา ความมืดอันเข้มข้นก็สว่างขึ้นมาเป็นพักๆ
ข้างหลังแสงนั้น เหล่ามารตกอยู่ในความระสํ่าระสาย พวกมันวิ่งวุ่นไปมาอย่างพลุ่งพล่านและก่อความโกลาหลไปทั่ว
ตรงหน้าของเรือ คือแดนบริสุทธิ์อันไม่ถูกความมืดร้ายกลํ้ากราย ตัดขาดจากโลกภายนอกทั้งมวล สงบเงียบ ลึกลับ และเต็มไปด้วยปริศนา
ไม่อาจคิดฝันได้เลยว่าจะมีสถานที่อันเงียบสงบเช่นนี้อยู่ในแดนโบราณวินาศ
ตรงหน้าของฉินมู่คือป่ากว้างใหญ่ แต่ทว่าสถานที่ไกลๆ ออกไป แผ่นดินพลันถูกตัดขาดเหมือนกับว่ามันถูกทําให้ว่างเปล่าด้วยนํ้ามือใคร ด้วยทะเลและหมู่เมฆที่คั่นกลางไว้ มีเมืองแห่งหนึ่ง อันตั้งตระหง่านลอยสูงในนภากาศ ราวกับที่พํานักของเซียนผู้อมตะ
ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆทองและแสงส่อง ขณะที่ข้างใต้หมู่ตําหนักราชวังอันลอยทะลุเมฆเหยียดสูงถึงสรวงสวรรค์ก็มียอดเขาอันแน่นขนัดเผยยอดปลายอันเป็นสีทองสุกปลั่งของมัน
ในส่วนลึกของหมู่เมฆ เทวรูปใหญ่มหึมาตั้งตระหง่านอยู่ราวกับจักรพรรดิที่ปกป้องอาณาจักรของตน
เครื่องกลไกขนาดยักษ์ลอยสูง 1,500 วาจากท้องฟ้า ทํางานของมันอย่างเงียบงัน พยุหะมากมายถูกผนึกเข้าไปโครงสร้างเหล็กและทองอันลึกลับ สรรค์สร้างเครื่องกลไกขนาดยักษ์อันอันซับซ้อนเหลือแสน พลังงานที่ถูกผลิตออกมาจากมันก่อรูปเป็นเส้นทางแสงอันไหลพุ่งพล่านซึ่งเชื่อมต่อเมืองนี้เข้ากับ ท้องฟ้า
แต่ทว่า…
ทุกๆ อย่างถูกทําลายไปเรียบร้อยแล้ว
ฉินมู่ตะลึงงัน ตรงหน้าของเขาคือหมู่บ้านไร้กังวลที่พังพินาศ เมืองบนท้องฟ้าอันตระการตาเหลือแต่ซากราชวังทั้งหลายที่สูงเสียดเมฆก็เต็มไปด้วยรูโหว่และยอดเขาลอยฟ้าอันเชื่อมต่อกันเป็นโซ่ขึ้นสู่ท้องฟ้าก็ถูกทุบทําลายและแตกหัก ก้อนหินหักพังทุกรูปลักษณ์ทุกขนาดลอยเกลื่อนอยู่ในทะเลเมฆ ขณะที่เทวรูปอันยิ่งยงนั้นก็เอียงกระเท่เร่ แขนหักขาขาด
ที่ใจกลางดวงอาทิตย์บนท้องฟ้ามีจุดดําขนาดใหญ่อันได้กลืนกินดวงอาทิตย์ไปมากกว่าครึ่ง มีแต่เพียงรัศมีทองรอบๆ มันที่ยังหลงเหลืออยู่ คล้ายกับห่วงทองเส้นหนึ่ง
นครเหนือหมู่เมฆถูกทําลายล้าง และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านบนฟากฟ้าก็ถูกพังไปเช่นกัน ส่วนประกอบแตกหักของมันกระจายเกลื่อนรอบๆ อย่างเงียบงัน
มีเพียงชิ้นส่วนเครื่องจักรขนาดยักษ์ 2 ชิ้นที่ยังทํางานอยู่ และคอยสร้างม่านคุ้มกันของหมู่บ้านไร้กังวล
ไม่ไกลจากเรือจันทรา มีแผ่นป้ายขวางขนาดใหญ่ที่ถูกปักชี้ฟ้าอยู่ในป่า ราวกับแท่งจารึกใหญ่โตเหลือประมาณที่แตกหัก และมีคําถูกจารึกไว้ 4 คํา มันเขียนว่า ‘สมบัติชั้นฟ้า’
ป้ายขวางนี้ก็หักครึ่งเช่นกัน
กลุ่มก้อนแห่งความเศร้าโศกพลันท่วมท้นฉินมู่ และมันแผ่ขยายอย่างคลุ้มคลั่งจนกระทั่งเติมเต็มไปทั้งหัวใจของเขา
ในโลกนี้ ไม่มีหมู่บ้านไร้กังวลอีกต่อไป ไม่มีสถานที่ที่ผู้คนจะปราศจากกังวลได้อีกต่อไป
ยักษ์ตนนี้ซึ่งยืนอยู่บนเรือจันทราและกุมกําเสาทั้ง 4 ก้มหัวลง ราวกับรับโทษทัณฑ์จากสรวงสวรรค์
เขาคุกเข่าลง และนํ้าตาก็หยดลงทีละหยดลงกับพื้นแข็ง บ้านเกิดอันเขาโหยหามาตลอดกลับถูกทําลายลงไปตั้งนานแล้ว ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่อีกต่อไป
เขาค้นหาที่นี่มาเป็นเวลานานเหลือเกิน คิดฝันไปต่างๆ นานา เกี่ยวกับบ้านเกิดของเขาในยามนิทรา ครอบครัวของเขา เพื่อนบ้านและสหาย แต่ความฝันทั้งหมดนี้ได้แหลกสลายไปพร้อมกับ การเผยปรากฏของโลกอันพังพินาศตรงหน้าเขา มันเหมือนกับภาพวาดที่วาดไว้บนผืนทราย อันมลายหายไปด้วยสายลมเพียงวูบเดียว
มันไม่มีบ้านที่รอให้เขากลับไปอีกแล้ว ไม่มีมารดาที่เฝ้ารอบุตรในอุทร ไม่มีบิดาผู้เข้มงวด…ทั้งหมดที่เขาคิดฝันไว้ไม่มีอยู่ที่นี่…
เขาตื่นขึ้นจากฝัน เขายังคงเป็นเด็กกําพร้าที่ถูกรับเลี้ยงโดยผู้เฒ่าพิการ ป่วย ชรา และอ่อนแอทั้งหลาย
บ้านเกิดของเขาหายไปแล้ว ราชามารตู้เถียนเงยหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นยักษ์
มหึมาคุกเข่าอยู่ท่ามกลางต้นเสา ยักษ์อันมีรัศมีจันทร์พร่าพรายคลี่คลุมอยู่ก้มหน้าลงกับพื้น เห็นก็แต่หัวไหล่เขาอันสั่นสะท้าน
ในตอนนั้น ราชามารตู้เถียนสามารถเข้าใจความเจ็บปวดของเด็กหนุ่มได้เป็นอย่างดี
เมื่อโลกตู้เถียนของเขาถูกทําลายล้าง เขาก็รู้สึกถึงความโศกแค้นแบบเดียวกัน อารมณ์ของเขาพลุ่งพล่านอย่างไม่อาจระงับไว้ ระหว่างที่เขาทุบอกชกหัว เขาก็โทษฟ้าโทษดินและด้วยความโกรธแค้นแน่นอกเขาก็ไปต่อสู้กับผู้นําทางความตายจากแดนใต้พิภพ หมายจะยื้อชิงชีวิตของสหายร่วมเผ่าพันธุ์กลับคืนมา!
เขาถูกซัดจนล้มไปนับครั้งไม่ถ้วน ร่างกายเขาแตกหักไปพร้อมๆ กับดวงวิญญาณ และตอนนั้น เขาจึงยอมศิโรราบ ศิโรราบตนต่อชะตากรรม
เขาเห็นตัวเองในอดีตในฉินมู่ตอนนี้ ตัวเขายามที่ยังเยาว์ ตัวเขาที่กําลังจะล้มควํ่าและยอมพ่ายแพ้ต่อโชคชะตา
เมื่อชีวิตอ่อนแอและทิศทางหายสูญ ระหกระเหเร่ร่อนดุจคนเสียสติ
เมื่อเกิดแต่ตมและจมจ่อมอยู่ในโคลนตม ย่อมไม่รู้จักประกายแสงแห่งไข่มุก ผ่านลมฝนเท่าไร ผ่านความล้มเหลวพินาศเท่าไร ผู้คนจึงจะยอมสยบใต้ความกลัว
ที่ไหนคือบ้าน ที่ไหนคือบ้านของข้า
ฉินมู่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นด้วยสายตาอันเยียบเย็น ดวงตาเขาเหมือนกับแสงกระจ่างประกายเงินอันสาดส่องจากดวงศศิธร เมื่อเขาหลับตาลง แสงนั้นหายไป แต่เมื่อเขาลืมตาขึ้น ดวงตาคู่นั้นก็เหมือนกับดวงจันทร์อันเจิดจรัส
เขายืนอยู่บนเรือจันทรา อารมณ์เขาพลุ่งพล่านขึ้นและสงบลง เมื่อความคิดจํานวนมากมายคล้ายห้วงมหาสมุทรผันผ่านวนเวียนในหัวของเขา เขาไม่อาจสงบใจลงไปได้นานสองนาน
“ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อเสาะหาหมู่บ้านไร้กังวล แต่มาตามหาผู้ใหญ่บ้าน ท่านยาย และคนอื่นๆ พวกเขาคือครอบครัวของข้า และหมู่บ้านพิการชราคือบ้านเกิดเมืองนอนของข้า มันคือหมู่บ้านไร้กังวลในหัวใจข้า!”
ฉินมู่ตั้งสติกลับมาและมองไปรอบๆ ทันใดนั้นเขาก็เห็นรูปสลักหิน 2 รูปตั้งอยู่ที่เขตแดนของม่านคุ้มกัน
แม้แต่ตัวตนในขีดขั้นเทวะก็ยังพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะเดินทางฝ่าความมืดในแดนโบราณวินาศ เว้นแต่พวกเขาจะแบกเทวรูปมาด้วย แต่ทว่าเทวรูปนั้นหนาหนักอย่างเหลือล้นแม้แต่ตัวตนระดับจ้าวลัทธิก็ยากที่จะแบกอุ้มมันขึ้นมา พวกเขาไม่สามารถเดินทางได้ไกลนักระหว่างที่อุ้มเทวรูปเหล่านั้น
รูปสลักหินที่ริมเขตแดนน่าจะถูกเคลื่อนย้ายมาที่นี่ด้วยฤทธิ์เดชอันมหาศาลเพื่อขับไล่ความมืดออกไป
หลังจากที่เข้ามาในหมู่บ้านไร้กังวล รูปสลักศิลาเหล่านั้นก็ไม่จําเป็นอีกต่อไป จึงถูกทิ้งไว้ที่นั่น
ฉินมู่ใจเต้นขึ้นมาทันที ผู้ใหญ่บ้านน่าจะสามารถพานักปรุงยาเดินทางในความมืดและรับมือกับสิ่งประหลาดพิลึกพิลั่นทั้งหลายได้ ขณะที่เฒ่าใบ้ก็คงจะมีวิธีการของตนเองในการจัดการกับความมืด
ส่วนเฒ่าหม่า เฒ่าเป๋ คนแล่เนื้อ และเฒ่าบอด พวกเขาจะต้องใช้รูปสลักหินเพื่อให้เดินทางฝ่าความมืด ร่างกายของเฒ่าหม่า เฒ่าเป๋ และคนแล่เนื้อกลับมาสมบูรณ์ครบถ้วนแล้ว ดังนั้นพวกเขาคงแบกเทวรูปเดินทางไกลได้
ไม่มีใครรู้ว่าเฒ่าหนวกมีกําลังฝีมือสูงส่งถึงขีดขั้นใด ทว่า แม้แต่ภูตผีและทวยเทพก็ไม่กล้ากังขาวิชาฝีมือจิตรกรรมของเขา ราชครูสันตินิรันดร์ก็เป็นผู้คลั่งไคล้ตัวเอ้ของเขาที่ปลาบปลื้มใจอย่างถึงที่สุดทุกครั้งที่ได้ภาพของเขามา
ขณะที่สําหรับท่านยาย มีจ้าวลัทธิคนก่อน หลี่เทียนซิ่งซ่อนอยู่ในร่างของนาง ดังนั้นนางก็น่าจะสามารถแบกรูปสลักหินมาได้เช่นกัน
รูปสลักหินเหล่านี้น่าจะถูกทิ้งไว้โดยผู้เฒ่าในหมู่บ้าน
“ถ้าอย่างนั้น พวกเขาก็คงจะต้องเสาะหาหนทางมายังที่นี่ได้ หรือว่าพวกเขาเข้าไปในที่แห่งนี้และติดกับดัก นั่นจึงเป็นเหตุที่พวกเขาไม่อาจกลับบ้านไปฉลองปีใหม่?”
ฉินมู่ลืมตาและมองไปรอบๆ พลังงานอันกร้าวแกร่งไหลบ่าเข้ามาในดวงตาเขา และเขาขับเคลื่อนวิชาปลุกเนตรสวรรค์เก้าที่เฒ่าบอดสอนเขาจนถึงขีดสุด “ข้าอยู่ที่นี่แล้ว ผู้ใหญ่บ้าน ท่านยาย ข้าจะพาพวกท่านกลับไปฉลองปีใหม่ให้ได้!”
เขาไม่ก้าวเข้าไปในหมู่บ้านไร้กังวลโดยทันที แต่สํารวจตรวจตรามันจากข้างนอกก่อน
ผู้ใหญ่บ้านและคนอื่นๆ แข็งแกร่งเลิศลํ้าอย่างยิ่ง และหากว่าพวกเขาเข้าไปในหมู่บ้านไร้กังวลและติดกับดักไม่อาจหลบหนีออกมาได้ ที่นี่คงไม่ได้สงบเงียบไร้เขี้ยวเล็บอย่างที่เห็นจากภายนอก ข้างในคงเปี่ยมด้วยอันตราย
แม้แต่เรือจันทราก็ไม่อาจรับประกันความปลอดภัยของฉินมู่ สายตาของเขาจ้องจับที่ป่าใหญ่เบื้องหน้าหมู่บ้านไร้กังวลและเห็นร่องรอยที่ผู้ใหญ่บ้านและคนอื่นๆ หลงเหลือเอาไว้ ทักษะเทวะของสุดยอดฝีมืออย่างผู้ใหญ่บ้านและเฒ่าใบ้จะต้องทิ้งความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่สภาพแวดล้อม
แต่ทว่า ในป่านี้กลับไม่เป็นเช่นนั้นแม้ว่าจะมีร่องรอยการต่อสู้ในป่า แต่ความเสียหายที่เกิดกับสภาพแวดล้อมมิได้มากมายเกินเลย
สายตาของฉินมู่ไล่ตามร่องรอยไปและเห็นซากโบราณจํานวนหนึ่งในป่า เส้นทางผู้ใหญ่บ้านและคนอื่นๆ เดินทางไปผ่านซากโบราณเหล่านั้นทั้งหมด
สาเหตุที่เส้นทางของพวกเขาไปตามซากโบราณเหล่านั้น ก็เพราะว่าเป็นเส้นทางสายเดียวอันปลอดภัย ที่จะใช้เดินทางเข้าหมู่บ้านไร้กังวล!
นอกจากเส้นทางนี้ สถานที่อื่นๆ ล้วนแต่มีเวทจํากัดเขตต้องห้าม!
ฉินมู่มองด้วยเนตรเทวะสวรรค์เก้าและเห็นริ้วแสงเบาบางอันร้ายกาจเหลือคณาในป่า แต่ทว่าเขาไม่อาจมองเห็นได้ว่าเวทจํากัดเขตนั้นคืออะไร
เวทจํากัดเขตพวกนั้นอันตรายร้ายแรง ดังนั้นเส้นทางที่เดินไปตามซากโบราณจึงปลอดภัยกว่ามากเมื่อเทียบกันแล้ว
ฉินมู่ยังคงเบิกตามองไปข้างหน้าอย่างไม่กะพริบ ในตอนนั้นเอง เขาก็เห็นเส้นแสงบางละเอียดปะทุออกมาจากซากโบราณ หนึ่งอันอยู่ห่างจากเขาไป 300 ลี้ แต่ไม่ไกลจากสุดเขตป่าเท่าไร
ปราณชีวิตของฉินมู่แผ่พุ่ง และเขาดึงจี้หยกลงมาจากม่านคุ้มกัน ขับเคลื่อนเรือจันทรา เขาก้าวยาวๆ ทะลุเข้าไปในม่านคุ้มกัน
หึ่ง
แรงสั่นสะเทือนเบาบางส่งมายังเขา และเขารู้สึกราวกับว่ากําลังทะลุมิติข้ามมายังอีกโลก ความมืดที่คลี่คลุมแดนโบราณวินาศพลันหายวับ และเมื่อเขาเหลียวหลังไปมอง ก็ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
ในตอนนั้น เขาพลันได้ยินเสียงหัวเราะแปลกประหลาด มารจํานวนมากมายนับไม่ถ้วนที่เกาะเรือจันทราอยู่ กระโดดออกจากเรือและถาโถมเข้าไปในป่าดุจนํ้าหลาก
มารเทวะตนหนึ่งที่มี 2 หัวและ 5 หางลอยขึ้นไปบนอากาศ นางยังมีขายาวเหยียด 8 ข้างซึ่งมีฝ่ามือแทนฝ่าเท้าอันนางใช้พวกมันไต่ขยุกขยุยขึ้นไปบนอากาศพลางตะโกนอย่างเฉียบขาด “วัดฮา!” (ฆ่า!)
ราชามารตู้เถียนสะดุ้งโหยง เขาไม่คาดคิดเลยว่าจะมีมารมากมายที่ลอบซุกซ่อนในเรือจันทราภายใต้การปิดบังของความมืด
มารเทวะนั้นหันหน้าของนางกลับมาและหัวเราะระริกให้ฉินมู่บนเรือ “เสาะหาจนรองเท้าสึกหรอยังไม่อาจพบพาน แต่ครั้งจะพบเจอก็แทบไม่ต้องใช้ความพยายาม! พวกข้าหมายจะเข้ามาในหมู่บ้านไร้กังวลมาตั้งนมนาน นับว่าต้องขอบใจเจ้าที่นําทาง!”
มารเทวะตนนี้ มิใช่ใครอื่น นอกเสียจากมารตนที่ฉินมู่และ ผู้ใหญ่บ้านพบเจอในแดนยม ยังเป็นมารเทวะตนนี้เองที่ล่อลวงฉินมู่ออกไปในความมืดหลังจากที่เขาได้พบพานเรือตะวันในเมืองเขตมังกร เพื่อหมายจะลักพาตัวเขา
เห็นได้ชัดว่ามารเทวะตนนี้ได้หลบซ่อนอยู่บนเรือจันทรามานานมากและรอคอยโอกาสของนาง
นางดูเหมือนจะหยั่งรู้ว่าฉินมู่จะต้องกลับมายังแดนยมในสักวันหนึ่งและยืมเรือจันทราเพื่อเดินทางกลับมายังหมู่บ้านไร้กังวล และบัดนี้ นางก็ประสบความสําเร็จในที่สุด
“ทายาททั้งหลายของข้า ยึดครองแดนบริสุทธิ์แห่งสุดท้ายนี้ซะ จากนี้เป็นต้นไป โลกนี้จะกลายเป็นของพวกเรา!” มารเทวะตนนั้นร้องออกมา และพามารอันคลาคลํ่าดาษดาไปทุกหนทุกแห่งโถมพุ่งไปยังสุดแดนป่าอีกฟาก
ฉินมู่มองมารฟ้าพวกนี้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ทันใดนั้น คลื่นอันลึกลับชวนฉงนก็กระเพื่อมมาจากป่า และเลือดเนื้อกระดูกของมารฟ้านับหมื่นที่โถมพุ่งเข้าไปก็ละลายหายลับ ทิ้งไว้แต่ผืนหนังว่างเปล่า และเมื่อลมโชยมาอีกวูบ แม้แต่ผืนหนังเหล่านั้นก็สลายเป็นเถ้าถ่านและกระจายหายไป
มารเทวะที่ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือป่า รีบพุ่งตัวหนีห่าง “สา ปารมี!”
วังนํ้าวนใหญ่พลันปรากฏและดูดตัวนางเข้าไป ฉินมู่เคยเห็นวิชานี้มาก่อน ตอนที่นางต่อสู้กับผู้ใหญ่บ้าน มารเทวะตนนี้ได้สร้างห้วงมิติที่นําทางไปยังอีกฟากฝั่งมิติและดึงผู้ใหญ่บ้านเข้าไป หมายที่จะกักตัวเขาไว้ในนั้นแต่นางก็ไม่คาดคิดว่าจะติดกับดักไปด้วยเช่นกัน
คราวนี้นางใช้กระบวนท่าไม่ใช่เพื่อกักขังใคร แต่เพื่อหลบหลีกอันตรายจากป่า โดยหลบหนีไปยังอีกฟากฝั่งมิติ!
ทันใดนั้นก็มีลูกไฟลอยขึ้นมาจากป่า และมีลําแสงยิงออกมาจากมันเข้าไปในห้วงลึกของห้วงมิติ
ในท้องฟ้า รอยเลือดสดๆ ไหลหลั่งออกมา และศพของมารเทวะนั่นก็ปรากฏและร่วงหล่น เมื่อมันร่วงลงไปยังป่า ก็กลายเป็นเถ้าถ่าน
บนเรือจันทรา ราชามารตู้เถียนเงียบกริบ ทั้งใจทั้งร่างเหมือนตกลงในหล่มนํ้าแข็ง “โลกผีสางอะไรกันเนี่ย มันจะอันตรายร้ายกาจน้อยกว่านี้ไม่ได้หรือ”
แสงจันทร์ขาวพิสุทธิ์ในดวงตาฉินมู่ไหลวนในนั้นดุจเมฆหมอกที่เคลื่อนคล้อย และเสียงดังกัมปนาทก็เกิดขึ้นเมื่อเขาพึมพํากับตนเอง “ความตายของเจ้าได้ยืนยันข้อสันนิษฐานของข้า พื้นที่ต้องห้ามนี้มิได้มีเพื่อป้องกันการรุกรานของศัตรู แต่ป้องกันมิให้ผู้คนแห่งหมู่บ้านไร้กังวลหนีออกมา! มันถูกทิ้งไว้โดยตัวตนที่ทําลายแดนโบราณวินาศ”