Skip to content

Tales of Herding Gods 242

ตอนที่ 242 อีกครั้ง

“กษัตริย์มนุษย์รุ่นต่อไป?”

ฉินมู่ฉงนฉงาย ตําแหน่งนี้ฟังดูแปลกประหลาด ในโลกนี้มีจักรพรรดิอยู่แล้ว เช่นเดียวกับจ้าวลัทธิและเจ้าสํานักแห่งสํานักใหญ่ต่างๆ ทุกอย่างมีระบบจัดการ และทุกที่ทางก็มีผู้ครองแดนแล้ว เช่นนั้นกษัตริย์มนุษย์จะทําหน้าที่อะไรล่ะ

ดูเหมือนว่าโลกนี้จะไม่มีที่ว่างที่กษัตริย์มนุษย์จะเข้าไปปกครอง

กษัตริย์มนุษย์ไม่ใช่เจ้าเหนือหัวใคร และไม่มีอํานาจอธิปัตย์ใดทั้งสิ้น มีเพียงแต่ความรับผิดชอบเท่านั้น” ผู้ใหญ่บ้านอธิบาย “กษัตริย์มนุษย์มิใช่ตําแหน่งที่เจ้าจะปกครองสรรพชีวิตและก็มิใช่จะให้สิทธิ์แก่เจ้าที่จะก่อศึกสงครามหรือประหารผู้คนที่ไม่ยอมสยบ กษัตริย์มนุษย์คือสถานะทางจิตแบบหนึ่ง ที่เที่ยงแท้และยุติธรรม กษัตริย์มนุษย์แต่ละรุ่นจะมีตราลัญจกรที่สืบทอดมาแต่กษัตริย์มนุษย์รุ่นแรกสุด ข้าโยนมันทิ้งเอาไว้ใต้เตียง เจ้าไปหยิบมันมาสิ”

ฉินมู่เข้าไปในห้องผู้ใหญ่บ้านและมันมีก้อนดําๆ อยู่ใต้เตียงจริงๆ เมื่อเขานํามันออกมา เขาก็พบว่ามันเป็นลัญจกรสําหรับประทับตราคําสั่งที่ทํามาจากเหล็กสีดําและมีลวดลายตราประทับยึกยือเหมือนภาพนกเหมือนภาพหนอนอยู่บนนั้น

ฉินมู่ส่งตราประทับเหล็กดําให้แก่ผู้ใหญ่บ้านซึ่งกล่าว “นี่คือลัญจกรของกษัตริย์มนุษย์ สมบัติศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของสายสืบทอดของพวกเรา”

ฉินมู่มองไปยังตราประทับและพึมพํา “ผู้ใหญ่บ้าน สายสืบทอดของพวกเรามีสมบัติศักดิ์สิทธิ์อย่างอื่นไหม”

ด้วยความโมโห ผู้ใหญ่บ้านทุบลัญจกรกษัตริย์มนุษย์ใส่หัวฉินมู่ ทําให้หัวเขาโนโหนกขึ้นมาทันที จากนั้นก้อนเหล็กนี่ถึงถูกมอบใส่มือเด็กหนุ่ม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าว “ลัญจกรกษัตริย์มนุษย์ได้ส่งให้แก่เจ้าแล้ว ดังนั้นตอนนี้เจ้าคือกษัตริย์มนุษย์รุ่นต่อไป”

แค่นี้น่ะหรือ ฉินมู่ตกตะลึง

นักปรุงยาเองก็ตะลึงไม่แพ้กัน

ผู้ใหญ่บ้านพรํ่าพูดมาตลอดว่า ความรับผิดชอบของเขาหนักอึ้งเกินไป และตําแหน่งกษัตริย์มนุษย์นั้นก็ทรงอํานาจและน่าตระหนกเป็นล้นพ้น เพราะอย่างนั้น เขาจึงคิดมาตลอดว่าเมื่อฉินมู่สืบทอดตําแหน่งกษัตริย์มนุษย์ จะต้องมีพิธีการอันยิ่งใหญ่ตระการตาเป็นแน่

ไม่คิดเลยว่า เพียงแค่ผู้ใหญ่บ้านโยนก้อนดําๆ นี่ให้ฉินมู่แล้วก็จบกันไป

เหลือผู้คนเพียงไม่กี่คนที่ยังรู้เกี่ยวกับตําแหน่งกษัตริย์มนุษย์ พวกเรามิใช่สํานักและมิใช่จักรพรรดิของประเทศใด มันเป็นแค่มรดกที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ดังนั้นจึงมีกษัตริย์มนุษย์เพียงแค่คนเดียวในหนึ่งรุ่นและปกติแล้วมีก็แต่ผู้ที่ชาญฉลาดที่สุดอันมีปฏิภาณความเข้าใจสูงสุดเท่านั้นที่จะถูกเสาะหามารับตําแหน่งนี้ ผู้ที่ชาญฉลาดที่สุดในยุคนี้คือราชครูสันตินิรันดร์ แต่ข้าคิดว่าเขาคงไม่สนใจมรดกนี้ เขานั้นได้ไปตามมรรคาของตนเองแล้ว ดังนั้นยากที่เขาจะยอมรับมรดกและภาระความรับผิดชอบของข้า”

ผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจ “ข้าเองก็ขี้คร้านเกินกว่าจะออกไปข้างนอก ดังนั้นหลังจากพิจารณาเจ้าอยู่นิดหน่อย ข้าก็ตัดสินใจว่าเจ้าก็พอผ่านเกณฑ์อย่างเฉียดฉิว”

ฉินมู่ปลอบใจ “ผู้ใหญ่บ้าน อย่าฝืนใจมอบให้ข้าเลย ข้าเชื่อว่าท่านจะต้องหาคนที่ดีกว่านี้ได้แน่นอน”

นักปรุงยามีสีหน้าประหลาด ขณะที่ผู้ใหญ่บ้านแทบขาดใจตายจากการกลั้นใจไม่ให้ตัวเองทุบไอ้เด็กนี่สักอึ้ก เห็นได้ชัดว่าเด็กดื้อนี่รู้สึกว่าตําแหน่งนี้มีแต่เรื่องยุ่งยาก แถมยังไม่มีผลประโยชน์ เขาเลยอิดออด

ตั้งแต่เจ้าจะออกจากหมู่บ้านไป ขวัญเจ้าดูจะกล้าขึ้นมากนะ กล้าดียังไงถึงประชดประชันข้า!” ผู้ใหญ่บ้านแค่นเสียงหยัน “เจ้าจะมาเป็นกษัตริย์มนุษย์หรือไม่เป็นหา?”

ฉินมู่กล่าวอย่างแค้นเคือง “ก็ได้ ก็ได้ ส่งงานสกปรกทั้งหลายมาให้ข้าทั้งหมดเลยก็ได้ ตอนนี้ข้าก็มีอะไรต่อมิอะไรต้องทําอยู่แล้ว แค่เพิ่มงานกษัตริย์มนุษย์เข้ามาอีกอย่างคงไม่แตกต่าง”

ผู้ใหญ่บ้านโมโหจนพูดไม่ออกเขาหมายอยากให้แขนงอกเงยออกมาจะได้ทุบหัวไอ้เด็กนี่สักที และดุด่าไป “ผู้คนมากมายวิงวอนให้ข้าสอนวิชากระบี่ แต่ข้าไม่สอนพวกเขา พวกนั้นวิงวอนให้ข้าถ่ายทอดมรดกให้พวกเขา แต่ข้าก็ไม่ถ่ายทอดให้ เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงปฏิเสธข้าแบบนี้”

ฉินมู่ก้มหน้าลงและเตะก้อนหินขณะที่กล่าวด้วยความเคืองใจ “ข้าไม่ได้ปฏิเสธสักหน่อย ก็แค่ตําแหน่งนี้ไม่เห็นมีประโยชน์ใช้สอยอะไรสักอย่าง ผู้ใหญ่บ้าน ทําไมท่านไม่แค่สอนเพลงกระบี่ข้า แล้วส่งตําแหน่งกษัตริย์มนุษย์ไปให้คนอื่นเสียล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านฉีกยิ้มอย่างเดือดดาลและมองไปยังนักปรุงยา “เจ้าดูสิ นี่เขาปฏิเสธใช่ไหม มันน่าอายขนาดไหนเชียวที่จะเป็นกษัตริย์มนุษย์ เจ้านี่นับวันยิ่งใจกล้ากําเริบ!”

นักปรุงยากระแอมไอและกล่าว “เจ้าทั้งสองค่อยๆ คุยกันไปละกัน ข้าจะไปดูแลพวกหนอนแมลงของข้าไม่ให้พวกมันโดนอากาศหนาวตาย”

ผู้ใหญ่บ้านเดือดปุดๆ แต่ทันใดนั้นเขาก็สะดุ้งตระหนักขึ้นมา และระเบิดหัวเราะ “คนอื่นๆ วิงวอนให้ข้าสอนพวกเขา แต่ข้าไม่สอนและตอนนี้เจ้ากําลังกลับทิศกลับทางให้ข้าวิงวอนให้เจ้าเรียนแทนใช่ไหม เจ้านี่นับวันจะซุกซนขึ้นมากทุกที จริงๆ แล้วเจ้าน่ะไม่เหมาะจะเป็นกษัตริย์มนุษย์หรอกเพียงแต่ข้าขี้เกียจขี้คร้านที่จะออกไปข้างนอก มิเช่นนั้นข้าคงเสาะหาเด็กหนุ่มที่เลิศลํ้ากว่าเจ้าได้แน่ๆ”

ฉินมู่พึมพําเบาๆ ด้วยแก้มตุ่ย “ข้ามีกายาจ้าวแดนดิน ใครมันจะเลิศลํ้ากว่าข้าได้”

ผู้ใหญ่บ้านฟังแล้วแทบจะสําลักอากาศตาย ฉินมู่รีบเข้าไปบีบนวดหลังชายชราที่เค้นคอหน้าเขียวหน้าดําอยู่ เมื่อผู้ใหญ่บ้านหายใจได้ตามปกติ และฉินมู่ก็อ้าปากจะพูดอะไรสักอย่าง เฒ่าผู้นี้ก็ชิงพูดขึ้นมา “หยุดพูดได้ละ ปล่อยให้ข้าผ่อนคลายบ้าง นี่มันมากเกินกว่าที่สมองข้าจะรับไหว…”

หางตาของเฒ่าผู้นี้กระตุก ในฐานะผู้ที่ริเริ่มคําโกหกเรื่องกายาจ้าวแดนดิน ในที่สุดเขาก็ได้รับผลกรรม

หลังจากนั้นพักหนึ่ง เขาก็สงบใจลงได้ มันเป็นแค่คําโกหก ด้วยความหวังดีที่ทุกๆ คนเชื่อว่าเป็นความจริง อันเขาก็ลอบภาคภูมิใจที่หลอกทุกคนได้สนิท ทว่าในตอนนี้เมื่อเขาเลือกฉินมู่เป็นผู้สืบทอด หรือว่าแม้แต่เขาก็หลงเชื่อไปด้วยเช่นกันว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ครอบครองกายาจ้าวแดนดิน?

โกหกมากเกินไปทำให้ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเชื่อด้วยเช่นกัน แม้ข้าจะรู้แก่ใจว่าเป็นเรื่องเท็จ เฮ้อ เฮ้อ

ผู้ใหญ่บ้านเผยยิ้มผ่อนคลาย “พวกเราในฐานะกษัตริย์มนุษย์ มีภาระความรับผิดชอบเพียงหนึ่งเดียว” รัศมีแสงส่งออกมาจากดวงตาของเขาราวกับแสงกระบี่จํานวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามาละลานตาฉินมู่ไปหมด “เพื่อประหารเทพ มาร และสวรรค์!”

เรื่องของเทพก็ให้เทพจัดการ เรื่องของมารก็ให้มารปกครอง ส่วนเรื่องของมนุษย์ก็ต้องอยู่ในอํานาจของมนุษย์! หากว่าเทพหรือมารแส่เท้ายื่นมือเข้ามา ข้าจะตัดมือเท้ามันให้สิ้น!”

หากเทพและมารยื่นคอเข้ามา ข้าจะบั่นคอพวกมัน! นี่คือความรับผิดชอบพื้นฐานของกษัตริย์มนุษย์”

เมื่อเจ้าแข็งแกร่งขึ้น เจ้าก็จะมีความรับผิดชอบอื่นเพิ่มขึ้น ประหารเทพ ประหารมาร ประหารสวรรค์! ตะลุยเลือดบุกแดนฟ้า…เฮ้ย กลับมาเดี๋ยวนี้นะ!”

ฉินมู่โยนลัญจกรกษัตริย์มนุษย์คืนให้ผู้ใหญ่บ้านแล้วหันหลังเดินหนีโดยพลัน

ผู้ใหญ่เบ่งพลัง และปราณชีวิตของเขาแปรเปลี่ยนเป็นมือมหึมาที่คว้าคอเสื้อฉินมู่เอาไว้ เขากล่าวด้วยสีหน้าแย้มยิ้มยินดี “เจ้าเป็นกษัตริย์มนุษย์รุ่นนี้ เจ้าจะไม่รับรู้เป้าหมายของสายสืบทอดพวกเราได้อย่างไรกัน ข้ายังพูดไม่จบ ยังจะพยายามหนีอีกเรอะ? นักปรุงยา นักปรุงยา ช่วยข้าจับเขาด้วยเร็ว!”

นักปรุงยาไม่มาช่วย แต่ฉินมู่ก็หนีหลุดไปไม่ได้อยู่ดี และต้องยอมแพ้

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวต่อ “สายสืบทอดของเรามีกฎเกณฑ์ไม่มาก และเป้าหมายก็มีเพียงเท่านี้ ข้าจะถ่ายทอดเพลงกระบี่ของข้าให้แก่เจ้า แต่เจ้าจะตรึกตรองเข้าใจมันได้เท่าไรก็ขึ้นกับตัวเจ้าแล้ว จริงสิ เรายังมีโถงแห่งกษัตริย์มนุษย์ ดังนั้นหากเจ้าว่างแวะไปก็จะได้ประจักษ์ถึงคุณงามความดีของกษัตริย์มนุษย์รุ่นก่อนๆ และอีกอย่าง แม้ว่าเพลงกระบี่ของข้าจะไม่เลว แต่หากเทพและมารเห็นเจ้าช่วงใช้มันออกมา พวกมันก็จะลงมือสังหารเจ้าแน่ หยุดวิ่งหนีนะ เจ้าหนีข้าไม่พ้นหรอก! เฮ้อ ในตอนนั้นข้าไม่ได้วิ่งหนีแบบเจ้าและรับสืบทอดมรดกนี้โดยไม่ได้คิดให้ถี่ถ้วน”

ท่านยาย ช่วยข้าด้วย!” ฉินมู่ร้องขอความช่วยเหลือ

ท่านยายซีใบหน้าเกลื่อนยิ้มขณะที่กล่าวกับเฒ่าบอดข้างๆ “ในที่สุดตาเฒ่าผู้ใหญ่บ้านนั่นก็ยอมสอนมรดกก้นหีบให้มู่เอ๋อ ดูสิ มู่เอ๋อดีใจจนนํ้าตาแทบไหลเลย”

เฒ่าบอดหันหน้าไปและกล่าวอย่างสงสัย “ข้าได้ยินเขาร้องขอความช่วยเหลือนะ”

เขาลิงโลดอยู่ไง” ท่านยายซียิ้มแฉ่ง “มรดกของผู้ใหญ่บ้าน ทําให้ผู้คนนับไม่ถ้วนอิจฉา ในครั้งนั้นเขาคือยอดยุทธ์อันดับหนึ่งในโลกหล้า กระบี่เทวะผู้ลือชา ดังนั้นไม่แปลกหรอกที่มู่เอ๋อจะพูดจาไม่ได้ศัพท์จากความตื่นเต้นยินดี”

ฉินมู่หลุดไปไม่ได้ จึงต้องจําใจรับชะตาและโยนลัญจกรกษัตริย์มนุษย์เข้าไปในถุงเต๋าตี้

ผู้ใหญ่บ้านเห็นแล้วพอใจเป็นอย่างยิ่ง “เจ้าได้เรียนรู้ภาพกระบี่กระบวนท่าแรกไปแล้ว กระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ ตอนนี้แสดงให้ข้าดูสิว่าเจ้าก้าวหน้าไปมากแค่ไหนแล้ว”

ฉินมู่รับคําและร่ายรํากระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ เพลงกระบี่ที่เขาแสดงออกมาแตกต่างจากที่ผู้ใหญ่บ้านสั่งสอน ก็ในเมื่อเขาได้ผนวกท่วงท่ากระบี่เกลียว ท่วงท่ากระบี่เจาะ ท่วงท่ากระบี่ว่ายของราชครูสันตินิรันดร์เข้าไปในกระบวนท่าด้วย ทั้งยังเสริมแต่งการผันแปรเข้าไปจํานวนมาก

หลังจากร่ายรํากระบวนท่านี้ ฉินมู่รั้งปราณกระบี่กลับและมองไปยังผู้ใหญ่บ้านอย่างกระวนกระวาย

ผู้ใหญ่บ้านดูจะตะลึงใจและครุ่นคิดอยู่ก่อนจะกล่าว “นี่คือท่วงท่ากระบี่พื้นฐานที่ราชครูสันตินิรันดร์สอนเจ้าหรือ”

ฉินมู่พยักหน้า “ผู้ใหญ่บ้าน ข้าดัดแปลงกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ที่ท่านสอนข้า เท่ากับไม่เคารพท่าน ท่านจะไล่ข้าออกและหากษัตริย์มนุษย์คนใหม่ไหม”

ไม่เลว ไม่เลว” ผู้ใหญ่บ้านกล่าวชม “ราชครูสันตินิรันดร์ไม่เลวเลย ถึงกับสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่และเพิ่มเติมท่วงท่าเข้าไปใน 14 ท่วงท่ากระบี่พื้นฐานได้ เขานั้นเหมาะที่จะเป็นกษัตริยมนุษย์มากกว่าจริงๆ…แต่ทว่า เจ้าเองก็ไม่เลวเช่นกัน ไม่ยึดติดกับกฎเกณฑ์และกล้าที่จะร่ายรํากระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ที่ถูกปรับปรุงดัดแปลงต่อหน้าข้า เยี่ยมมาก เยี่ยมจริงๆ เส้นด้ายปราณชีวิตของเจ้าก็เปลี่ยนแปลง เจ้าได้ใช้ท่วงท่ากระบี่เกลียวในการฟั่นเฟ้นปราณชีวิตเจ้าเป็นเส้นด้ายใช่ไหม”

ฉินมู่พยักหน้า

ผู้ใหญ่บ้านกล่าว “ข้าจะใช้วรยุทธ์ขั้นห้าธาตุ ส่วนเจ้าก็จงใช้กระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ที่ดัดแปลงใหม่นี้ และพวกเราจะแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากัน”

ฉินมู่ตาลุกวาบและแย้มยิ้ม “ผู้ใหญ่บ้าน หากข้าสามารถเอาชนะท่านได้ด้วยกระบวนท่าของข้า ข้าจะเลิกเป็นกษัตริย์มนุษย์ได้ไหม”

ผู้ใหญ่บ้านเผยอยิ้มและฟั่นเฟ้นปราณของเขาให้เป็นกระบี่ พลางกล่าวอย่างสบายๆ “ได้อยู่แล้ว หากว่าเจ้าเอาชนะข้าได้ ข้าจะแบกลัญจกรกษัตริย์เข้าหลุมศพไปด้วย”

ฉินมู่สูดลมหายใจลึก และร่างกายเขาพลันแปรเปลี่ยน เขาจําแลงร่างเป็นเทพครองดาวศุกร์ซึ่งมีศีรษะพยัคฆ์ขาวและยืนอยู่บนมังกร 2 ตัว ปราณชีวิตของเขาแปรเปลี่ยนเป็นปราณธาตุทอง และเขารวบรวมปราณขึ้นมาเป็นกระบี่อันมีแสงกระบี่พลันปะทุเจิดจ้า!

กระบี่ย่างไปในทิวทัศน์!

ภายใต้กระบี่ของเขา เทือกเขาและแม่นํ้ามากมายก็ปรากฏราวกับภาพวาดที่คลี่ม้วนคลุมทั่วทั้งหมู่บ้าน ส่งผู้ใหญ่บ้านเข้าไปในนั้น!

ไม่เพียงแต่เขาผสานท่วงท่ากระบี่พื้นฐานของราชครูเข้าไป เขายังผสานเต๋าแห่งภาพวาดที่เฒ่าหนวกสอนอีก ด้วยภูเขานับพันและแม่นํ้านับร้อยที่โถมใส่หน้าศัตรู ราวกับว่าการโจมตีนี้เป็นโลกจริง

เพลงกระบี่อันลึกซึ้งเช่นนี้มิอาจบรรยายว่าเป็นเพียงเพลงกระบี่ได้อีกต่อไป มันคือมรรคาเต๋า มรรคาเต๋าแห่งกระบี่

กระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ของเขาปลดปล่อยพลานุภาพถึงขีดสุด และในจังหวะนั้นเอง แสงกระบี่ของผู้ใหญ่ก็พลันวูบวาบ มันคือกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์เช่นกัน ดังนั้นมันจึงดูราวกับว่ามีโลก 2 โลกชนปะทะกัน ไม่มีแสงกระบี่เล็ดลอดออกมาให้เห็น มีแต่พลังอํานาจอันน่าสะพรึงกลัวระเบิดออกมา!

ชิ้ง ชิ้ง ชิ้ง ชิ้ง!

รังสีโลหิตกว่า 10 เส้นปรากฏรอบตัวฉินมู่เมื่อเขาได้รับบาดเจ็บตามที่ต่างๆ และกระเด็นไปข้างหลัง เมื่อเขาปะทะเข้ากับกําแพงของร้านคนแล่เนื้อ แสงกระบี่ก็ปรากฏรอบตัวเขาวาดเป็นภาพภูเขาและแม่นํ้าห้อมล้อม

นั่นคือร่องรอยที่ถูกทิ้งไว้จากแสงกระบี่ของผู้ใหญ่บ้าน

อีกครั้ง!” ฉินมู่ตะโกนและปิดผนึกบาดแผลบนร่างกายพลางพุ่งทะลวงไปยังผู้ใหญ่บ้านและร่ายรํากระบี่ย่างไปในทิวทัศน์อีกครั้ง ในจังหวะถัดมา ก็มีร่างคนปลิวทะลุไปข้างในบ้านของเฒ่าหม่า และมีรูปรอยภูเขาและแม่นํ้ารอบๆ เด็กหนุ่มอีกครั้ง

ฉินมู่ตกตะลึงระหว่างที่ร่วงครืดลงมาจากผนัง เขาทานํ้าลายมังกรให้ตนเอง ครุ่นคิดอย่างหนักและพยายามพัฒนากระบี่ย่างไปในมิวทัศน์ของตน หลังจากนั้นพักหนึ่ง เขาก็พุ่งไปยังผู้ใหญ่บ้าน “อีกครั้ง!”

ตูม

ผนังโรงตีเหล็กเกิดรอยรูปมนุษย์และรอบๆ ร่างของเขามีลวดลายภูเขาและแม่นํ้า ลวดลายนี้แตกต่างอย่างมากกับลวดลายบนผนังอื่นๆ

ทุกครั้งที่ผู้ใหญ่บ้านใช้กระบวนท่า ลวดลายทิวทัศน์ที่เกิดขึ้นก็จะแตกต่างกันไปทุกครั้ง

เฒ่าใบ้โผล่หัวออกมาจากโรงตีเหล็กและมองไปยังฉินมู่ก่อนจะหัวเราะร่าอย่างไร้เสียง

ฉินมู่สีหน้ามืดคลํ้าและทายารักษาแผลให้ตนเอง ก่อนที่จะเค้นสมองคิดต่อ เมื่อขจัดจุดอ่อนในกระบวนท่าของตนได้แล้ว เขาก็พัฒนาเพลงกระบี่ของตนขึ้นไปอีก

อีกครั้ง!”

ร่างคนกระเด็นทะลุภูเขาและแม่นํ้าอันยิ่งใหญ่ไปปะทะกับผนังบ้านเฒ่าหนวก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!