Skip to content

Tales of Herding Gods 243

ตอนที่ 243 ยอมรับนับถือ

ฉินมู่กระเด็นไปในกําแพงครั้งแล้วครั้งเล่า และเกิดภาพทิวทัศน์ภูเขาและแม่นํ้าปรากฏบนแทบจะทุกผนังกําแพงในหมู่บ้านพิการชรา มีเพียงแต่บ้านของยายเฒ่าซีที่ไม่มีรอยรูปนี้

ฉินมู่หมายจะพุ่งเข้าไปต่อสู้อีกครั้ง แต่พลันตระหนักว่าปราณชีวิตของเขาแห้งเหือดจนหมด เขาตะลึงงัน

พ่ายแพ้

กายาจ้าวแดนดินพ่ายแพ้ พ่ายแพ้อย่างหมดรูป ไม่เพียงแต่เพลงกระบี่ของเขาที่ไม่ทัดเทียมกับผู้ใหญ่บ้านแม้แต่ความเข้มข้นปราณชีวิตของเขาก็ไม่อาจทัดเทียมด้วยเช่นกัน ดูท่าเขาคงได้แต่ต้องยอมรับตําแหน่งกษัตริย์มนุษย์

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวอย่างนุ่มนวล “เจ้ารอให้ปราณชีวิตฟื้นฟูขึ้นมาแล้วลองใหม่ก็ได้นะ”

ฉินมู่สงบใจแล้วตอบ “ได้เลย!”

สีหน้าผู้ใหญ่บ้านมืดครึ้มเมื่อเขาเห็นเด็กเลี้ยงวัววิ่งตะบึงไปเพื่อฝึกปรือวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ

“เจ้าโกง” นักปรุงยาเดินเข้ามากล่าวเมื่อเห็นฉินมู่วิ่งไปไกลแล้ว

ผู้ใหญ่บ้านอึ้งไป “ข้าโกงหรือ?”

นักปรุงยายิ้มหยัน “เพลงกระบี่เจ้าจะต้องเผาผลาญปราณชีวิตจํานวนมหาศาล และด้วยความเข้มข้นของพลังวัตรของเจ้า เจ้าสามารถร่ายรํามันได้เพียง 2 ครั้งในขั้นห้าธาตุ หรืออย่างมากสุดก็ 3 ครั้ง แล้วตอนนี้เจ้าใช้มันไปกี่ครั้งแล้ว ราว 7 ครั้งใช่ไหม”

ผู้ใหญ่เก๊กหน้านิ่งต่อไม่ไหวและพึมพํา “ความเข้มข้นปราณชีวิตของข้าไม่เหมือนกับที่เจ้าคิดเอาไว้หรอก หากว่าข้าควบคุมมันดีๆ และใช้ปริมาณน้อยนิดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ข้าก็จะสามารถใช้กระบวนท่ากระบี่นี้ได้ 4 ครั้ง…แต่ทว่าปราณชีวิตของมู่เอ๋อเข้มข้นอย่างยิ่ง ข้าคิดว่าปราณชีวิตของข้าและเขาที่มีกักตุนในขั้นห้าธาตุไม่น่าจะแตกต่างกันมากมาย แต่ข้ากลับต้องประหลาดใจ…”

นักปรุงยาหัวเราะ “ประหลาดใจที่เขาเป็นหม้อใบใหญ่ แต่เจ้าเป็นแค่ถังนํ้าเล็กๆ น่ะเรอะ”

ผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจและส่ายหน้า “ปราณของเขาเข้มข้นกว่าข้าหลายเท่าในขั้นทารกวิญญาณ แต่มันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ยังเข้มข้นกว่าข้ามากในขั้นห้าธาตุ ขั้นห้าธาตุของข้าไร้จุดอ่อน แต่เขาเอง…ก็ไร้จุดอ่อนเช่นกัน เจ้าก็เห็นแล้วนี่ แต่เจ้าไม่ได้พูดออกมา”

นักปรุงยายิ้มกล่าว “เขาก็แพ้ให้เจ้าแล้วด้วยการใช้เพลงกระบี่เดียวกัน ทําไมข้าต้องพูดอะไรด้วยล่ะ แต่ทว่า ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าตําแหน่งกษัตริย์มนุษย์มีแต่ความรับผิดชอบและภาระโดยไร้ผลประโยชน์ นั่นไม่ใช่เรื่องเท็จหรอกหรือ”

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวอย่างเกียจคร้าน “ผลประโยชน์อะไรกัน ทําไมข้าไม่เห็นจะรู้เรื่อง”

นักปรุงยาประกายตาวูบไหว “ข้าได้ยินตํานานเกี่ยวกับกษัตริย์มนุษย์และตราลัญจกรของเขา ลัญจกรของกษัตริย์มนุษย์ข้องเกี่ยวกับมรดกสายเลือดโบราณจํานวนมาก และหลายสายเลือดเหล่านั้นสามารถสืบสาวกลับไปได้เป็นหมื่นๆ ปี หลายแดนศักดิ์สิทธิ์ถูกก่อตั้งขึ้นโดยกษัตริย์มนุษย์ และข้าได้ยินว่าลัญจกร ของกษัตริย์มนุษย์มีประโยชน์มากกว่าลัญจกรหยกของจักรพรรดิเสียอีก”

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวอย่างไม่สะดุ้งสะเทือน “นั่นเป็นตํานานจากตั้งไม่รู้กี่พันปีมาแล้ว และลัญจกรของกษัตริย์มนุษย์ก็เป็นแค่ก้อนเหล็กก้อนหนึ่ง ใครมันจะไปฟังคําสั่งจากก้อนเหล็กง่อยๆ แบบนี้”

นักปรุงยาแย้มยิ้ม “ตํานานยังกล่าวอีกว่า เมื่อลัญจกรของกษัตริย์มนุษย์ถูกช่วงใช้ สามารถสั่งประกาศิตแก่วีรบุรุษทั้งโลกหล้า”

ผู้ใหญ่บ้านอ้าปากหาวและกล่าวอย่างเกียจคร้าน “ลัญจกรกษัตริย์มนุษย์อยู่ที่มู่เอ๋อ เจ้าลองให้เขาเอาออกมาแกว่งอวดข้างนอกสิ ดูว่าจะมีสํานักไหนที่จะฟังประกาศิตของเขา แต่ข้าว่าถ้าเขาไม่โดนตื้บปางตายก็ถือว่าโชคดีล่ะ”

นักปรุงยากล่าวอย่างแค้นเคือง “เจ้าก็รู้ว่ามันอันตราย แต่ทําไมยังส่งต่อลัญจกรกษัตริย์มนุษย์ให้แก่เขาล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านไม่มีท่าทีเกียจคร้านอีกต่อไป และแสงกระบี่พุ่งวูบวาบในดวงตาของเขา พลางกล่าวอย่างเคร่งขรึม “นี่เป็นความรับผิดชอบและยังเป็นภาระ เมื่อภาระนี้ถูกวางไว้บนบ่าของข้า ข้ามิอาจแบกรับมันได้ดังนั้นแขนขาของข้าถึงถูกตัดออกไป แต่ทว่าอย่างไรก็ต้องมีคนรับภาระนี้ ข้ามิอาจนํามันเข้าหลุมศพไปกับข้า! บางอย่างถึงอย่างไรก็ต้องทําแม้ว่าจะรู้ดีว่ามันแสนอันตรายสักเพียงไหน!”

ผู้ใหญ่บ้านระบายลมหายใจสะท้านและกล่าว “เมื่อลงมือกระทําสิ่งใดแล้ว ก็ยิ่งมีความเป็นไปได้ที่จะล้มเหลวและตกตาย แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีเศษเสี้ยวของความหวัง หากว่าไม่ทําอะไรเลย แม้แต่เศษเสี้ยวความหวังก็จะไม่หลงเหลือ สิ่งที่กษัตริย์มนุษย์รุ่นก่อนๆ ได้ลงมือกระทํานั้นมากเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการ มู่เอ๋อนั้นถือว่ายอดเยี่ยมมาก”

นักปรุงยากล่าวด้วยความเศร้าใจ “ข้าเพียงแต่รู้สึกปวดร้าวแทนมู่เอ๋อที่ถูกดึงเข้าไปในมรรคาเก่าของเจ้า เขาจะชนะเจ้าได้อย่างไร”

“เขาชนะไม่ได้หรอก” นํ้าเสียงผู้ใหญ่มีวี่แววของความภาคภูมิใจ “เขาไม่มีทางเอาชนะข้าได้ด้วยการใช้กระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ แม้กระบวนท่านี้จะถูกก่อรูปขึ้นมาจากท่วงท่ากระบี่พื้นฐาน 14 ท่า แต่หลังจากที่ข้าขัดเกลามันครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ไม่มีจุดอ่อนช่องโหว่ในกระบวนท่านี้อีกต่อไป เมื่อเขาพยายามผนวกท่วงท่ากระบี่พื้นฐานอีก 3 กระบวนท่าของราชครูเข้าไปในเพลงกระบี่ของข้า เขาก็จําเป็นต้องปรับเปลี่ยนดัดแปลง แม้ว่าความคิดของเขาจะเยี่ยมยอด แต่วิสัยทัศน์ขอบฟ้าของเขาไม่กว้างเท่ากับข้า การเปลี่ยนแปลงหนึ่งก็สร้างหนึ่งช่องโหว่ และยิ่งเขาดัดแปลงมากเท่าไร ก็จะยิ่งปรากฏช่องโหว่มากขึ้นเท่านั้น”

นักปรุงยาอึ้งไป เขาระบายลมหายใจที่อั้นไว้และมองไปยังฉินมู่ที่วิ่งตะบึงไปมาด้วยความเวทนา

“แต่ทว่า เขาสามารถยืมมือข้าช่วยเขาขัดเกลาเพลงกระบี่ของตน” ผู้ใหญ่บ้านแย้มยิ้ม “ยิ่งเขาปรับเปลี่ยนกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์มากเท่าไร เขาก็จะยิ่งเข้าใจกระบี่มากเท่านั้น ยิ่งเขาเข้าใจกระบี่มากเท่าไร เขาก็จะยิ่งก้าวพ้นไปจากวิชากระบี่มากเท่านั้นและเข้าใกล้มรรคาเต๋า หากว่าปฏิภาณความเข้าใจของเขาในกระบี่ไปถึงขั้นมรรคาเต๋า ไม่ว่าจะใช้ท่วงท่ากระบี่ 14 ท่า หรือ 17 ท่า ก็ไม่มีปัญหาใดทั้งสิ้น”

“เรียนรู้เพลงกระบี่และช่วงใช้เพลงกระบี่เป็นเพียงแค่เขตขั้นของวิชา คือการเรียนและช่วงใช้บางอย่าง แต่หากว่าต้องการก้าวไปให้สูงกว่านี้อีกขั้น ก็จะต้องละทิ้งวิชาและทักษะอันเป็นเขตขั้นมรรคาเต๋า”

ผู้ใหญ่บ้านกล่าว “ตอนนี้มู่เอ๋ออยู่ในเขตขั้นระหว่างวิชาและเขตขั้นทักษะ การที่เขายืมมือข้าขัดเกลาเพลงกระบี่ตนนั้นดีกว่าให้ข้าสอนเพลงกระบี่ให้เขามากนัก”

หลังจากนั้นสักพัก พลังวัตรของฉินมู่ก็ฟื้นฟูกลับมาเต็มเปี่ยม แต่เขาไม่เข้าไปหาผู้ใหญ่บ้านโดยทันที เขานั่งลงและตรึกตรองทําความเข้าใจอย่างเงียบสงบ เขาพยายามที่จะขัดเกลากระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ของตนให้สมบูรณ์เพื่อที่จะไม่หลงเหลือช่องโหว่เอาไว้

สิ่งที่เขาต้องการจะทําคือการผนวกท่วงท่ากระบี่พื้นฐาน 3 ท่าของราชครูเข้าไปในกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์และไม่หลงเหลือจุดอ่อนเอาไว้

เขาย่อมไม่มีทางเอาชนะผู้ใหญ่บ้านโดยใช้วิชากระบี่เดียวกันเป๊ะๆ ได้ แต่หากว่าเขาพัฒนามันเพิ่มไปอีก ก็จะมีโอกาสที่เขาจะชนะได้

เขาตรึกตรองอย่างขะมักเขม้นและทุกกระบวนท่ากระบี่ในหัวของเขาก็ปนเปกันไปหมดก่อนที่จะมันจะจัดเรียงกันใหม่อีกครั้ง จากนั้นเขาก็จําลองภาพการปะทะกับเพลงกระบี่ของผู้ใหญ่บ้านในจิต

แต่ทว่า ทุกๆ การปะทะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ การต่อสู้หลายหลากถูกจําลองสถานการณ์ขึ้นมาในจิตของเขา แต่ไม่ว่าเขาจะพัฒนากระบวนท่าไปมากแค่ไหน ก็ไม่อาจพลิกผลพ่ายแพ้ได้

ผ่านไปสักพัก ฉินมู่ก็ฮึกเหิมขึ้นมาและลุกขึ้น ในพายุความคิดในหัวของเขา ในที่สุดเขาก็เอาชนะผู้ใหญ่บ้านได้ด้วยเพลงกระบี่ใหม่ของเขา ดังนั้นเขาจึงวิ่งรี่ไปด้วยความตื่นเต้น “ผู้ใหญ่บ้าน อีกครั้ง!”

ผู้ใหญ่บ้านยิ้มกว้าง “ได้สิ”

ฉินมู่พุ่งเข้าไปและร่ายรำเพลงกระบี่ที่เขาพัฒนาขึ้นมา แต่วินาทีถัดมาเขาก็กระเด็นไปในอากาศและร่วงไปใส่เล้าไก่

แม่ไก่มังกรสิบกว่าตัวร้องกุ๊กๆ และพุ่งเข้ามาอย่างดุร้าย ฉินมู่รีบทะยานขึ้นไปบนอากาศ แม่ไก่มังกรก็กระพือปีกบินขึ้นมาด้วยเช่นกัน ปีกของมันคมราวกระบี่และก็พ่นไฟใส่เขาด้วย

ภูเขาและแม่นํ้าพลันปรากฏขึ้นมากลางอากาศและโถมทับใส่ฝูงแม่ไก่มังกร ด้วยเพียงกระบวนท่าเดียว แม่ไก่เหล่านั้นก็ร่วงลงจากอากาศด้วยเนื้อตัวเปลือยเปล่าปราศจากขน ขนไก่ของพวกมันปลิวว่อนไปทั่วทุกที่

ฉินมู่หยั่งเท้าลงกับพื้นอึ้งไป

แม่ไก่มังกรเหล่านั้นร้องกุ๊กแล้ววิ่งกลับเข้าไปในเล้าไก่ ปิดประตูไม้ตามหลัง และไม่กล้าเสนอหน้าอีกต่อไป

“กุ๊กๆ!” แม่ไก่แก่ร้องด้วยเสียงเข้มขึง

ฉินมู่โบกมือของเขาและสัมผัสร่องรอยที่ปราณกระบี่ของเขาหลงเหลือไว้บนบานประตูไม้

ทั้งเล้าไก่เต็มไปด้วยความผวา

ฉินมู่ตกตะลึงและมองไปที่มือของตน เขาแข็งแกร่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

“มู่เอ๋อนี่แน่จริงๆ ในที่สุดเขาก็เอาชนะไก่ได้!” เฒ่าเป๋ชมเปาะ

ใบหน้าฉินมู่กลายเป็นสีแดงเรื่อ และเขามุ่งสมาธิเข้าไปในการตรึกตรองทําความเข้าใจสิ่งที่เขารู้สึกสัมผัส ทันใดนั้น เฒ่าใบ้ก็โยนไจกระบี่เข้ามาและทําท่าทาง “อบา! อบา! อา อา!”

ฉินมู่ขอบคุณเฒ่าใบ้ ที่เฒ่าใบ้บอกก็คือเขาเพิ่งหลอมตีไจกระบี่นี้และให้ฉินมู่ลองใช้ดู

เขากําไจกระบี่ในมือแน่นและปราณชีวิตเขาก็ไหลบ่าเข้าไปในนั้นแสงกระบี่จํานวนนับไม่ถ้วนพลันไหลหลั่งออกมา และมันดูราวกับรังสีกระบี่อันดูไร้รูปร่าง มันสามารถบิดงอไปมาได้ตามใจเขาอย่างง่ายดายราวกับว่าเป็นปราณชีวิตของเขาเอง!

ฉินมู่กําไจกระบี่และต่อยหมัดออกไปข้างหน้า รังสีกระบี่จํานวนนับไม่ถ้วนในไจกระบี่พลันแปรเปลี่ยนเป็นมังกรมหึมาที่พุ่งทะยานออกไปและคํารามกึกก้องไปทั่วทั้งหมู่บ้านเล็กๆนี้!

ฉินมู่กระโดดโหยงด้วยความตกใจ ผู้ใหญ่บ้านก็สะดุ้งไม่แพ้กันก่อนที่จะส่งสายตาโมโหไปยังเฒ่าใบ้

ฉินมู่รั้งหมัดกลับมา และจิตของเขาเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกได้ราวกับว่าไจกระบี่ที่เขากําไว้อย่างแน่นนั้นกําลังละลาย เขากํามันแน่นขึ้นอีกและรังสีกระบี่ก็พลันเปลี่ยนแปลงเป็นค้อนตีเหล็กเมื่อเขาฟาดค้อนนั้นลงไปด้วยกําลังแรง มันก็สร้างหลุมใหญ่

เขากระโดดขึ้นมา และรังสีมีดก็พลันปรากฏ ตะวันทะเลบูรพาคลื่นซัดพันระลอกอันมีรังสีมีดราวกับระลอกคลื่น 1,000 ลูก ซ้อนทับกันและมีดวงตะวันผงาดขึ้นมาบนท้องฟ้า

เพลงมีดนี้พลันถูกรั้งกลับมาเมื่อแสงกระบี่เหล่านั้นแปรเปลี่ยนเป็นพู่กันใหญ่ที่ปาดป้ายขึ้นไปบนท้องฟ้าวาดมังกรไร้เขาตัวหนึ่ง อันทะยานพุ่งขึ้นไปยังนภากาศและจําแลงร่างเป็นทวนยาวกว่า 6 วา ฉินมู่คว้าจับทวนนี้กลางอากาศและแทงไปข้างหน้า

หางตาของผู้ใหญ่บ้านกระตุกอย่างรุนแรง และเหลือบมองเฒ่าใบ้ด้วยสายตาหาเรื่อง

เฒ่าใบ้พลันมุดหัวกลับไปในโรงตีเหล็กของเขาและไม่กล้าโผล่หน้าอีก

ทวนหายวับไป แทนที่ด้วยแสงกระบี่จํานวนนับไม่ถ้วนอันก่อรูปเป็นทิวเขาและมวลแม่นํ้า

กระบี่ย่างไปในทิวทัศน์!

ฉินมู่ร่อนลงมายังพื้นด้วยสีหน้าประหลาดใจแกมยินดี ไจกระบี่ที่เฒ่าใบ้หลอมตีขึ้นมาสมใจเขาอย่างยิ่ง เฒ่าใบ้คงจะสกัดปราณทองออกมาจากเหล็กลึกลับและทองลึกลับ คัดสรรมาแต่ปราณโดยละทิ้งรูปร่าง

แม้ว่าไจกระบี่นี้จะเป็นไจกระบี่ แต่มันก็มีการเปลี่ยนแปลงนับพันนับหมื่น เพลงหมัดของเขา เวทมนตร์ และเพลงกระบี่ล้วนแต่ถูกปลดปล่อยออกมาจากไจกระบี่นี้ได้โดยไม่มีอุปสรรคขัดขวางใดๆ

วิชาตีเหล็กของเฒ่าใบ้นั้นเข้าใกล้เขตขั้นมรรคาเต๋า!

ฉินมู่เก็บไจกระบี่ แต่เขามิได้ใช้มันไปท้าสู้ผู้ใหญ่บ้านอีก

เฒ่าใบ้โผล่หัวมาทํามือทําไม้ท่าปาดคอ เขาหมายความว่าด้วยไจกระบี่นี้สามารถกําจัดผู้ใหญ่บ้านที่ใช้วรยุทธ์ขั้นห้าธาตุได้แน่นอน

ผู้ใหญ่บ้านเดือดปุดๆ จนรอยตีนกาบนใบหน้าเขาบิดเบี้ยวไปมา หากว่าฉินมู่ใช้ไจกระบี่นี้เข้าจริงๆ พลานุภาพของเพลงกระบี่เขาก็จะทวีขึ้นมาอย่างสูงลํ้า และอาจจะเอาชนะเขาเข้าได้จริงๆ

ฉินมู่ส่ายหน้า “ท่านปู่ใบ้ ผู้ใหญ่บ้านมิได้ใช้อาวุธ ดังนั้นข้าย่อมมิอาจใช้ด้วยเช่นกัน ไม่เช่นนั้นต่อให้พ่ายแพ้เขาก็คงไม่ยอมรับ”

เฒ่าใบ้กลอกตาใส่ และส่งสายตาที่ราวจะบอกว่า ‘เจ้านี่มันเกินเยียวยา’

ฉินมู่ยังคงเพ่งสมาธิกับการตรึกตรองทําความเข้าใจและพัฒนากระบี่ย่างไปในทิวทัศน์อย่างไม่หยุดยั้ง ทว่าผลลัพธ์ของการจําลองการปะทะก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

ทุกครั้งที่เขาล้มเหลว เขาก็จะมีความเข้าใจใหม่ๆ ที่จะช่วยให้เขาสามารถเสริมแต่งกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นและยิ่งขึ้น แต่ทว่าไม่ว่าจะพัฒนาไปเท่าไหร่ก็ยังล้มเหลวอยู่ดี

ในที่สุด หลังจากความล้มเหลวครั้งนี้ ฉินมู่ก็พบว่าเขาไม่อาจพัฒนากระบวนท่าของเขาต่อไปอีกได้

ด้วยความรู้และประสบการณ์ที่เขามีในปัจจุบัน เขาไม่อาจเลื่อนขั้นวิชาของตนต่อ

เขานิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง และพลันกระจ่างขึ้นโดยพลัน เขาร่ายรําหนึ่งในกระบวนท่าของเพลงกระบี่อาทิตย์อัสดง อาทิตย์อัสดงบนแม่นํ้าหย่ง และเพลงกระบี่ของเขาก็ดูราวกับนํ้าในแม่นํ้าหย่งที่มีดวงตะวันแดงฉานจมครึ่งหนึ่งในใจกลางแม่นํ้า จากดวงตะวันแดงนั้นแสงกระบี่จํานวนนับไม่ถ้วนสามารถปะทุออกมาได้ตลอดเวลา

เขาเคยฝึกกระบวนท่านี้เพียงครั้งสองครั้ง แต่พลานุภาพที่เขาปลดปล่อยออกมานั้นน่าสะพรึงกลัวจนเหลือล้น ราวกับว่าเขาใช้เวลาเป็นร้อยปีในการขัดเกลากระบวนท่านี้

ฉินมู่พลันยอมรับนับถือ และเขาคุกเข่าลงตรงหน้าผู้ใหญ่บ้าน เพื่อคารวะตามพิธีการขอเข้าเป็นศิษย์

ผู้ใหญ่บ้านแย้มยิ้ม “ลุกขึ้น ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรมาก ข้าจะสอนกระบวนท่าอื่นๆ ของภาพกระบี่ในเวลาไม่นานนัก และด้วยความสําเร็จของเจ้าในตอนนี้ คงไม่ยากมากที่เจ้าจะเรียนรู้มัน…เจ้าใบ้ ไอ้ตัวแสบ เจ้ายังมีหน้าออกมาชื่นชมยินดีกับเขาอีกหรือ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!