ตอนที่ 244 ผลาญพร่าประเทศและทําลายผู้คน
ทุกคนจากหมู่บ้านพิการชราออกมาแสดงความยินดีกับผู้ใหญ่บ้านที่มีผู้สืบทอดในที่สุด และยินดีกับฉินมู่ที่ได้สืบทอดมรดกของผู้ใหญ่บ้าน ขึ้นเป็นกษัตริย์มนุษย์รุ่นปัจจุบัน
แต่ทว่าผู้ใหญ่บ้านนั้นขุ่นเคืองเฒ่าใบ้ และฉินมู่เองก็ไม่ได้ยินดีมากกับตําแหน่งกษัตริย์มนุษย์
หลังจากความวุ่นวายยกใหญ่ ฉินมู่ก็เรียนเพลงกระบี่จากผู้ใหญ่บ้านต่อ
ภาพกระบี่นั้นเป็นเพลงกระบี่ชุดหนึ่งที่คิดค้นขึ้นมาโดยผู้ใหญ่บ้านและมิใช่เพลงกระบี่ของโถงแห่งกษัตริย์มนุษย์ กระบวนท่าแรก กระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ เป็นเพลงกระบี่อันซับซ้อนที่สุดเท่าที่ฉินมู่เคยพบเห็นมา มันยังซับซ้อนเสียยิ่งกว่ากระบวนท่าแรกของกระบี่เต๋าหยินหยางผันแปรสองรูปลักษณ์
แต่ทว่ากระบี่ย่างไปในทิวทัศน์กลับเป็นเพลงกระบี่ที่เรียบง่ายที่สุดในชุดภาพกระบี่ กระบวนท่าที่ 2 กระบี่จักรพรรดิก่อตั้งนั้นซับซ้อนยิ่งกว่ากระบี่ย่างไปในทิวทัศน์หลายเท่านัก และยากที่จะใช้มันคล่อง
เมื่อฉินมู่เรียนกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์เป็นครั้งแรกเขาต้องใช้เวลามากกว่า 10 วันเพื่อเรียนรู้เลยทีเดียว
หลังจากแสวงหาประสบการณ์ที่จักรวรรดิสันตินิรันดร์ วิสัยทัศน์ขอบฟ้าของเขาก็กว้างไกลขึ้น เขายังได้รับการสั่งสอนจากหินอาสนะของคนตัดไม้ และตรึกตรองเข้าใจวิชาร้อยรัดอันผสานเข้ากับวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ เพราะทั้งหมดทั้งมวลนี้ พรสวรรค์และปฏิภาณความเข้าใจของเขาจึงก้าวหน้าไปไม่น้อยเช่นกัน
แต่ทว่า การเรียนกระบี่จักรพรรดิก่อตั้งก็ยังทําให้เขาต้องใช้เวลามากกว่า 20 วัน
ถึงตอนนี้เขาถึงเข้าใจจิตเจตนาของผู้ใหญ่บ้าน หากว่าทั้งคู่มิได้ประลองกันด้วยกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ซํ้าๆ หลายครั้ง เขาก็คงจะต้องใช้เวลามากกว่านี้เยอะในการเรียนกระบี่จักรพรรดิก่อตั้ง อาจจะกินเวลาไปถึงปีครึ่งเพื่อเรียนรู้เพลงกระบี่นี้จนเจนใจ
ผู้ใหญ่บ้านได้รีดเร้นสติปัญญาทั้งหมดของตนออกมาเพื่อให้ฉินมู่สามารถเรียนรู้กระบี่จักรพรรดิก่อตั้งได้ภายใน 20 กว่าวัน และในเมื่อฉินมู่อยู่ที่ครึ่งก้าวก็จะถึงเขตขั้นทักษะกระบี่จากเขตขั้นวิชากระบี่ เขาก็สามารถเรียนรู้กระบวนท่านี้ได้ แม้ว่าจะยากลําบากเสียหน่อย
แต่ทว่า กระบวนท่าที่ 3 ภัยพิบัติของจักรพรรดิสูงส่ง ได้ไปถึงขีดจํากัดสูงสุดของวิชาและการเปลี่ยนแปลงที่ทักษะกระบี่จะไปถึงได้ ดังนั้นจึงมิใช่สิ่งที่ฉินมู่จะสามารถเรียนรู้เข้าใจมัน เขาสามารถจดจํากระบวนท่า แต่หากเขาจะร่ายรํามันออกมาเขาจะต้องเข้าใจแง่อัศจรรย์ของมันเสียก่อนแต่ในตอนนี้ ไม่ว่าเขาจะเค้นสมองตรึกตรองเท่าใดก็มิอาจเข้าใจแง่อัศจรรย์ของภัยพิบัติจักรพรรดิสูงส่งได้โดยสมบูรณ์
เขานั้นถูกจํากัดด้วยความกว้างไกลของวิสัยทัศน์และความรอบรู้ รากฐานของเขาไม่ดีพอ ดังนั้นต่อให้ผู้ใหญ่บ้านสอนเขา เขาก็มิอาจเรียนรู้และร่ายรํามันออกมาได้
ฉินมู่ได้แต่ละวางความคิดที่จะเรียนมันจนคล่องเอาไว้ก่อนและพุ่งสมาธิไปยังกระบี่จักรพรรดิก่อตั้ง
กระบี่จักรพรรดิก่อตั้ง ทะเลโลหิต…ฉินมู่เคยได้ยินผู้ใหญ่บ้านตอนวัยฉกรรจ์ขับลํานําวลีนี้ตอนที่เขาเดินออกมาจากภาพวาดของเฒ่าหนวกในหมู่บ้านเล็กๆ ว่างเปล่าในเขตจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ในตอนนั้นเขารับรู้ได้ถึงอารมณ์อันแปลกประหลาดที่ซ่อนอยู่ในเพลงกระบี่
กระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ที่ผู้ใหญ่บ้านสอนเขามีเสน่ห์และอารมณ์อันชัดเจนอยู่ในนั้น มันเป็นความรู้สึกของเหล่าวีรชนที่มารวมกันเพื่อสังหารเทพ สังหารมาร ขณะที่กระบี่จักรพรรดิก่อตั้งมีอารมณ์ของการหวนรําลึกผู้เสียสละ
2 อารมณ์นี้แตกต่างกัน ไม่เข้ากันโดยสิ้นเชิง เพราะอย่างนี้ แม้ว่าฉินมู่จะเรียน 2 กระบวนท่ากระบี่ เขาก็ยังคงไม่อาจแยกแยกความรู้สึกอันแตกต่างเบื้องหลังพวกมันได้
ปราณชีวิตที่กระบี่จักรพรรดิก่อตั้งต้องการใช้นั้นมหาศาลจนน่าตกใจ ในเมื่อเพียงกระบวนท่าเดียวก็ผลาญเผาปราณชีวิตเขาไปครึ่งหนึ่ง หากใครหมายจะใช้กระบวนท่านี้คงต้องมีพลังวัตรอันเข้มข้นเสียก่อน
“ผู้ใหญ่บ้าน ในภาพกระบี่มีกระบวนท่าทั้งหมดเท่าไร” ฉินมู่ถาม
ผู้ใหญ่บ้านตอนอย่างเยือกเย็น “เพียง 8 กระบวนท่า”
ฉินมู่ตกตะลึง “8 เท่านั้นหรือ ทําไมน้อยจัง”
“หนึ่งกระบวนท่าต่อหนึ่งขั้นวรยุทธ์” ผู้ใหญ่บ้านหรี่ตา “นั่นจึงเป็นเหตุที่มันมีเพียง 8 กระบวนท่า”
ฉินมู่นับนิ้ว ทารกวิญญาณ ห้าธาตุ หกทิศ เจ็ดดาว ชาวสวรรค์ เป็นตาย สะพานเทวะ ไม่ว่าจะนับยังไง มันก็มีเพียง 7 ขั้นวรยุทธ์ แล้วทําไมภาพกระบี่ถึงมี 8 กระบวนท่า
เขตขั้นที่เหนือกว่าขั้นสะพานสวรรค์คือเขตขั้นเทพเจ้า! หรือว่ากระบวนท่าที่ 8 ของผู้ใหญ่บ้าน เป็นกระบวนท่าสำหรบัขั้นเทพเจ้า? หัวใจของเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
ในวันเวลาช่วงนี้ นอกจากตรึกตรองเพลงกระบี่ เขาก็ประลองกับผู้ใหญ่บ้านและยืมแรงกดดันของผู้ใหญ่บ้านมารีดเร้นตนเองให้ก้าวหน้าไปอีก
เขาหมายที่จะผนวกท่วงท่ากระบี่พื้นฐานของราชครูเข้าไปในกระบี่จักรพรรดิก่อตั้ง ด้วยตัวตนระดับผู้ใหญ่บ้านคอยชี้แนะเขา เขาย่อมก้าวหน้าไปราวกับเหินบิน
เพลงกระบี่ของผู้ใหญ่บ้านนั้นเข้าใกล้กับมรรคาเต๋าและทําให้ไม่ว่าจะมีท่วงท่าพื้นฐาน 14 หรือ 17 ก็ไม่แตกต่างกัน แต่ทว่าสําหรับฉินมู่แล้ว การเพิ่ม 3 ท่วงท่ากระบี่พื้นฐานของราชครูเข้าไปจะเพิ่มพูนพลานุภาพของกระบวนท่านี้อย่างยิ่ง
เมื่อวันเวลาผันผ่าน ความสําเร็จของเขาในเพลงกระบี่ก็รุดหน้าอย่างรวดเร็ว
ฉินมู่เหมือนจะย้อนกลับไปยังกิจวัตรสมัยก่อน ฝึกเพลงหมัดกับเฒ่าหม่าทุกวัน ประลองเพลงมีดกับคนแล่เนื้อ แข่งกันขโมยข้าวของจากกันและกันกับเฒ่าเป๋ ฝึกปรือเนตรเทวะกับเฒ่าบอด หลอมปรุงยากับนักปรุงยา วาดภาพกับเฒ่าหนวก และตัดเย็บเสื้อผ้ากับท่านยาย
แม้ว่าเขาจะโผเผไปที่เตียงอย่างหมดสภาพในทุกๆ คํ่าคืนแต่มันก็เติมเต็มเขาเป็นอย่างยิ่ง
กลับมายังหมู่บ้านพิการชราหลังจากรอนแรมไปไกล สิ่งที่เฒ่าหม่า คนแล่เนื้อ และคนอื่นๆ สั่งสอนเขาก็ซับซ้อนลึกซึ้งมากขึ้น ในอดีตพวกเขาเพียงถ่ายทอดวิชาขั้นต้นเท่านั้นแต่บัดนี้เมื่อวิสัยทัศน์ของฉินมู่กว้างไกลขึ้น พวกเขาก็สามารถสอนทักษะอันลึกซึ้งกว่าเดิมได้ เพราะอย่างนี้ ผู้เฒ่าทั้งหมดในหมู่บ้านจึงรู้สึกปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง
“มารจิตของยายเฒ่าอาละวาดอีกแล้ว!” พลันเกิดความวุ่นวาย ขึ้นมาในหมู่บ้าน เฒ่าเป๋รํ่าร้องด้วยเสียงดังลั่น “เจ้าบอดมานี่เร็วเข้า! ยายเฒ่าซีเผยรูปโฉมที่แท้จริงของนางแล้ว ดังนั้นข้าเข้าไปแตะต้องนางไม่ได้ ในเมื่อเจ้ามองอะไรไม่เห็นดังนั้นรีบมาจัดการนางปีศาจสาวนี่เร็วเข้า!”
ในตอนนั้นฉินมู่กําลังประลองวิชามีดอยู่กับคนแล่เนื้อ เมื่อเขามองไปหลังจากได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย เขาก็เห็นหญิงสาวผู้หนึ่งเดินออกมาจากห้องของท่านยาย เมื่อเห็นนางเข้า หัวใจเขาก็เต้นตุบตับอย่างไม่อาจควบคุมได้ไปหลายครั้ง เขารู้สึกราวกับว่าถูกลูกศรที่มองไม่เห็นปักเข้าไปในอก
ท่านยายซีเผยรูปโฉมที่แท้จริงทั้งยังแต่งเนื้อแต่งตัวเสียสวยสะ อาภรณ์บนร่างของนางไม่ใช่เสื้อขาดๆ เก่าๆ ที่นางสวมใส่เป็นประจําอีกต่อไป หากแต่ถูกตัดเย็บจากไหมอันประณีตเพริศแพร้ว พวกมันเข้ากับเรือนร่างนางอย่างเหมาะเจาะ เผยแสดงส่วนโค้งส่วนเว้าอันลํ้าเลิศ
เครื่องประทินโฉมนางก็แต่งแต้มไว้อย่างละเอียดลออ ด้วยดวงตากลมสุกใสและฟันขาวกระจ่าง ผิวหน้าประทินไว้ด้วยแป้งเพียงเบาบาง เผยความสะคราญโฉมอันน่าตื่นตะลึงให้ฉายออกมาอย่างชัดตา
นางสวมกําไลไว้ที่ข้อมือซ้ายอันทําจากหยกเขียว และต่างหูมุกรูปหยดนํ้าห้อยจากติ่งหูของนาง เมื่อนางเดินออกมา ฤดูหนาวก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนแม้ว่าแอ่งนํ้าทั้งหลายจะยังคงเป็นนํ้าแข็ง แต่ทุกๆ คนในหมู่บ้านกลับรู้สึกถึงความอุ่นร้อนของฤดูร้อนที่กําลังเบ่งบาน
นางย่างออกมาราวกับเทพีก้าวลงจากสรวงสวรรค์สู่โลกมนุษย์ ทําให้ทุกคนในหมู่บ้านจ้องตาค้าง
นักปรุงยารู้สึกต้อยตํ่าไม่ควรค่า เขาจึงปิดบังใบหน้าของตนด้วยความอับอายและเดินหนี เฒ่าหนวกพู่กันหลุดมือลงไปบนโต๊ะ และรีบนํากระจกทองแดงออกมาเพื่อจัดแต่งผมเผ้าหน้าตาของตน เฒ่าใบ้รีบวิ่งไปที่หม้อนํ้าเพื่อวักนํ้าล้างหน้า ส่วนเฒ่าหม่าภาวนานามพุทธองค์เพื่อสยบมารจิตของเขา คนแล่เนื้อใช้มีดเชือดหมูของเขาโกนเคราเต็มหน้าที่เขาเคยโปรดปรานเป็นอย่างยิ่ง ส่วนเฒ่าเป๋ก็ปิดตาและได้แต่ร้องเรียกเฒ่าบอดให้รีบมาเร็วๆ
ผู้ใหญ่บ้านงกๆ เงิ่นๆ เล็กน้อยและรีบหันหน้าหนีพลางร้องเรียก “เฒ่าบอด เฒ่าบอด!”
เฒ่าบอดเดินเข้าไปยังยายเฒ่าซีด้วยไม้เท้าไผ่ของเขาพลางถามอย่างเยือกเย็น “เจ้าคือจ้าวลัทธิหลี่หรือยายเฒ่าซี?”
เฒ่าเป๋ร้องด้วยความโมโห “แน่สิว่านางก็คือจ้าวลัทธิหลี่ ไอ้คนวิปริตนั่น! ยายเฒ่าซีสยบเขาไม่ได้อีกต่อไป! เจ้ามองไม่เห็นรูปโฉมที่แท้จริงของนาง เช่นนั้นให้เจ้าเป็นคนสยบจ้าวลัทธิหลี่เอาไว้!”
เสียงชราแหบแห้งดังมาจากปากท่านยายซีซึ่งแย้มยิ้มอย่างยั่วยวน “ฮูหยินของข้าไม่ใช่คู่มือข้าอีกต่อไป และตอนนี้นางเป็นผู้ที่ถูกสยบเอาไว้แทน ดูข้าสิ ข้าไม่งดงามหรอกหรือ”
นางเผยยิ้มอันหวานเยิ้ม ลุ่มหลงในความงามของตนเอง เมื่อนางกล่าวต่อ เสียงของนางยังแหบห้าวอยู่แต่นํ้าเสียงนั้นนุ่มนวลอย่างมาก ทั้งลมหายใจนางก็กรุ่นกลิ่นเหมือนเอื้องป่าและกล้วยไม้
“เมื่อข้าแต่งกับฮูหยินข้า ข้าก็ตระหนักดีว่าตนไม่คู่ควรกับโฉมสะคราญเยี่ยงนาง และไม่เพียงแต่ข้าเท่านั้น ไม่มีบุรุษเหม็นเน่าผู้ใดในโลกหล้าที่คู่ควรกับนาง! แต่ทว่าข้าก็ยังคงแต่งงานกับนาง และข้ารู้ว่าที่นางตกลงแต่งกับข้าเพราะข้าเป็นอาจารย์ของนาง และนางไม่อาจขัดขืนได้”
“ข้ารู้ว่านางตระเตรียมสังหารข้าในคํ่าคืนเข้าห้องหอ แต่ข้ายินยอมพร้อมใจให้นางสังหารข้า นั่นก็เพราะว่า…”
นางยกข้อมือของนางขึ้นมาเพ่งพิศผิวขาวพิลาสอันไร้ที่ติที่เพริศแพร้วเสียยิ่งกว่าหยกไขมันแกะชั้นดี แม้แต่กําไลอันผุดผาดไร้ราคีก็ทําได้เป็นเพียงสิ่งเสริมประดับ อันไม่คู่ควรกับข้อมือของนาง
จ้าวลัทธิปิดปากหัวเราะคิกคัก “นั่นก็เพราะว่าข้าอิจฉานางมากเกินไป ข้ามิได้ต้องการแต่งงานกับนาง แต่ต้องการกลายเป็นนาง หลังจากที่นางสังหารข้าและข้าก็ได้กลายเป็นนาง มิใช่ข้าหรอกหรือที่สมประโยชน์ทั้ง 2 ต่อ”
เฒ่าบอดเดินเข้าไปด้วยไม้เท้าของเขา แม้ว่าสตรีเบื้องหน้าเขาจะงามสะท้านโลกอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่ได้ทําให้เฒ่าบอดหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย เขากล่าวอย่างไม่รีบร้อน “จ้าวลัทธิหลี่ เจ้าเกินไปหน่อยไหม หรือเจ้าลืมไปแล้วว่าครั้งหนึ่งเจ้าเคยเป็นบุรุษ”
“มีอะไรน่าเสียดายกับการเป็นบุรุษเหม็นเน่าพวกนั้นอย่างนั้นหรือ” เรือนร่างของจ้าวลัทธิหลี่นั้นเย้ายวนเป็นอย่างยิ่งเมื่อนางกลอกตาใส่เขา “เฒ่าบอดที่น่าตาย ตาเจ้าก็บอด หัวใจก็ยังบอดอีก เจ้าไม่รู้ถึงความดีงามของการเป็นหญิงเลยแม้แต่น้อย อย่าขวางทางข้า เจ้าขวางข้าคนเดียวไม่ได้หรอก ข้าจะออกไป ข้าจะ ใช้ชีวิตเป็นผู้หญิงสักรอบ!”
ฉินมู่ปิดตาสนิทเพื่อจะได้มองไม่เห็นโฉมสะคราญ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะลืมตาขึ้นมาแทบจะทันที “จ้าวลัทธิหลี่ จิตเจ้าป่วยไปแล้ว! เมื่อเจ้าก็เป็นจ้าวลัทธิครูบาศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธินักบุญสวรรค์เช่นเดียวกัน ข้าดูแคลนเจ้าในฐานะมนุษย์!”
เฒ่าบอดใช้ไม้เท้ายันตัวยืนตรงพลางแย้มยิ้ม “พูดได้ดี มู่เอ๋อ”
จ้าวลัทธิหลี่เหลือบแลฉินมู่คราหนึ่ง และฉินมู่พลันรู้สึกเหมือนจิตใจวูบโหวง ไม่หลงเหลือความคิดใดในจิตเขานอกจากว่า หญิงผู้นี้งามเหลือเกิน
“พูดอีกสิ แล้วข้าจะได้ฆ่าเจ้าเสียเพื่อกลับไปเป็นเจ้าลัทธิต่ออีกรอบ” จ้าวลัทธิหลี่หัวเราะขณะที่จีบนิ้วเป็นรูปดอกกล้วยไม้
ฉินมู่สะท้านใจอย่างรุนแรง เขารู้สึกราวกับว่าหากหญิงงามผู้นี้ต้องการชีวิตเขา เขาก็จะเข้าไปถวายศีรษะตนอย่างยินยอมพร้อมใจ
“ไม่นะ ไม่! นางคือท่านยายซี…เอ๊ะ เอ๊ะ มันคือจ้าวลัทธิหลี่ต่างหาก ตาเฒ่าเน่าเหม็นนี่! เอ๊ะ เอ๊ะ ต่อให้เป็นท่านยายซี ก็ไม่ได้นะ นางเป็นท่านยายที่เลี้ยงข้ามา!”
เหงื่อเย็นเยียบหลั่งจากหน้าผากฉินมู่เมื่อมารจิตแทบจะงอกเงยขึ้นมาในหัวใจเขา เขารีบปิดตาลงทันที
จ้าวลัทธิหลี่เดินต่อไปยังชายเขตหมู่บ้านและปราณมารรอบกายเขาก็หนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ สันดานมารก็เข้มข้นขึ้นทุกที บนถนนเบื้องหน้าของหญิงผู้นี้มีชายตาบอดกับไม้เท้าของเขายืนขวางอยู่
ทั้งคู่ลงมือแทบจะในพริบตาเดียวกัน ท่ามกลางประกายไฟฟ้าและสะเก็ดเพลิง ผลลัพธ์การต่อสู้ก็เผยออกมาในทันที
พลังงานพลุ่งพล่านไปทั่วทิศ และสมบัติวิเศษมากมายที่เกลื่อนกลาดไปทั่วหมู่บ้านก็ถูกกระตุ้นเร้าให้ทํางานจากคลื่นกระแทกที่ส่งมาจากการต่อสู้ของทั้งสอง แสงเจิดจ้าสาดส่องไปทั่ว และคลื่นกระแทกแผ่กระจายไปยังท้องฟ้าบดขยี้เมฆหมอกบนฟ้าให้แหลกกระจาย
จ้าวลัทธิหลี่กุมหน้าอกตนเองและล้มลง “เฒ่าบอด วรยุทธ์ของฮูหยินข้าตํ่าต้อยจนเกินไป ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่แพ้เจ้าหรอก ข้าจะต้องแข็งแกร่งกว่าเจ้าให้ได้…”
เฒ่าบอดยันร่างตนบนไม้เท้าไผ่และกล่าวอย่างไร้อารมณ์ “พวกเราไม่เคยต่อสู้กันมาก่อนแล้วเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าจะแข็งแกร่งกว่าข้า”
ฉินมู่รีบรุดไปยังห้องของท่านยายซีและคว้าผืนหนังมนุษย์และเสื้อผ้าเก่ามาคลี่คลุมจ้าวลัทธิหลี่ ตาเฒ่าผู้นี้เปลี่ยนรูปลักษณ์กลับเป็นหญิงเฒ่าอีกครั้ง และกรีดร้อง “ข้าไม่อยากเป็นแบบนี้! ข้าคือหญิงงามที่สุดในสามโลก ข้าไม่อยากขี้เหร่อัปลักษณ์! เอาเสื้อผ้างดงามมาให้ข้าใส่เดี๋ยวนี้ ให้ข้าเป็นโฉมสะคราญอันดับหนึ่งในแดนดิน!”
เฒ่าหม่ารีบรี่เข้ามาและภาวนานามพุทธองค์เพื่อสยบสันดานมาร และสะกดจ้าวลัทธิหลี่เอาไว้อย่างแน่นหนา ผ่านไปสักพัก ยายเฒ่าซีถึงได้สติสํานึกรู้กลับมา และกล่าวขอบคุณเฒ่าหม่า
นักปรุงยารีบเข้ามาตรวจดูอาการบาดเจ็บของนาง หลังจากตรวจดูแล้วเขาก็กล่าว “เฒ่าบอด เจ้านี่มือหนักไปนะ มู่เอ๋อ เจ้าหลอมปรุงยาได้ไวกว่าข้า ดังนั้นเจ้าปรุงยาวิญญาณให้นาง”
ฉินมู่รับคําและหลอมปรุงยาวิญญาณโดยพลัน เฒ่าบอดถอนหายใจ “ข้าจะทําอะไรได้นอกจากมือหนัก วรยุทธ์ของยายเฒ่าซีนั่นรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว จิตดั้งเดิมของจ้าวลัทธิหลี่คงผสานเข้ากับนางไปอย่างมาก ยิ่งกว่านั้นวิชาร้อยรัดของจ้าวลัทธิหลี่นั้นแข็งแกร่งอย่างล้นเหลือ”
ยายเฒ่าซีลุกขึ้นเพื่อรับยาวิญญาณที่ฉินมู่ส่งให้มากลืนเข้าไป “ข้าดีขึ้นละ ดีกว่าเดิมมาก”
ผู้ใหญ่บ้านลอยเข้ามาและส่ายหน้า “ยายเฒ่า โชคดีที่เจ้าอยู่ในหมู่บ้าน หากว่าเจ้าอยู่ข้างนอกและจ้าวลัทธิหลี่เข้าครอบงําร่างของเจ้า ข้าเกรงว่าเจ้าคงผลาญพร่าประเทศและทําลายผู้คน สันดานมารของเขาร้ายฤทธิ์เป็นอย่างยิ่ง จึงไม่แปลกที่เขาจะสร้างความปั่นป่วนแก่โลกหล้า แม้แต่จักรพรรดิเองก็คงไม่อาจยับยั้งตนเองได้ และทั้งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ก็คงย่อยยับลงในนํ้ามือของจ้าวลัทธิหลี่”
เฒ่าหม่ากล่าว “มารจิตของเจ้าพยศหนักขึ้นทุกที ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ดีแน่ วิชาพุทธของข้าไม่ลึกลํ้าเท่ากับยูไลเฒ่า บางทีเขาอาจจะช่วยเจ้าสะกดข่มจ้าวลัทธิหลี่เอาไว้ได้ ทําไมเจ้าไม่ไปวัดใหญ่ฟ้าคํารามกับข้าเสียล่ะ”
คนแล่เนื้อแตะหน้าของตนเองและพบว่าทั้งมือของเขาเต็มไปด้วยเลือด เขาโกนหนวดตนเองไวเกินไปและเฉือนแผลบนหน้าด้วยมีดเชือดหมูตนแต่ว่าในตอนนั้นเขาลุ่มหลงในความงามของยายเฒ่าซี จึงไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่เมื่อยายเฒ่าซีคลุมหนังหญิงชรากลับไปอีกครั้ง เขาจึงตระหนักขึ้นมาว่าเกิดอะไรขึ้นและรีบกล่าวอย่างเร่งร้อน “ไม่มีเวลารอช้าแล้ว ให้ยายเฒ่าไปเดี๋ยวนี้เลยจะดีที่สุด! ยิ่งเจ้าถ่วงเวลามากแค่ไหน ก็ยิ่งจะอันตรายมากขึ้นเท่านั้น!”
ผู้ใหญ่บ้านกระแอมไอเบาๆ แล้วกล่าว “พวกเราจะไปวัดใหญ่ฟ้าคํารามเพื่อร้องขอให้ยูไลเฒ่าสะกดข่มสันดานมารในตัวยายเฒ่า มิใช่จะไปกวาดล้างวัด ดังนั้นไม่จําเป็นต้องยกคนไปกันเยอะนัก”
“เฒ่าหม่ารู้เส้นทาง ดังนั้นเขาคนหนึ่งล่ะที่ต้องไป ส่วนเฒ่าบอดสามารถเมินเฉยรูปโฉมของยายเฒ่าได้เขาจึงต้องไปเช่นกัน มู่เอ๋อนั้นฉลาดเฉลียวและฝึกปรือวิชามารฟ้าเสกสรร ดังนั้นเขาก็สามารถช่วยได้เช่นกัน ไม่เพียงเท่านั้นเขายังเชี่ยวชาญในศาสตร์วิชาแพทย์ พวกเจ้าทั้ง 3 พายายเฒ่าไปวัดใหญ่ฟ้าคํารามล่ะกัน”
สีหน้าของเขาเคร่งเครียดและกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“จําเอาไว้ให้ดี อย่าปล่อยให้จ้าวลัทธิหลี่หนีไปได้ ไม่เช่นนั้นโลกนี้คงไม่มีทางสงบสุข”