Skip to content

Tales of Herding Gods 353


ตอนที่ 353 : 4 เทพครองแดนแห่งเหนือฟ้า

“ให้เขาขึ้นมา” ราชครูสันตินิรันดร์ก์ล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย ข่านหรวนตี้ซึ่งเต็มไปด้วยบาดแผลและถูกพันธนาการไว้ในโซ่

อย่างแน่นหนาพร้อมกับทหารที่คุมมาข้างหลังอีกหลายคน ผลักเขาไปข้างหน้า

“นักโทษหรวนตี้…”

ข่านหรวนตี้นั้นกําลังจะคุกเข่าลง แต่ราชครูสันตินิรันดร์รีบ พยุงเขาเอาไว้ ด้วยยิ้มที่ไม่เชิงยิ้ม เขากล่าว “ศิษย์พี่หรวนตี้หมาย จะใส่ไคล้ข้าว่าเป็นขุนนางผู้คิดไม่ซื่อเช่นนั้นหรือ”

ข่านหรวนตี้ฉวยโอกาสลุกขึ้นและแย้มยิ้ม “หากว่าข้าสามารถ บ่อนเซาะมิตรภาพระหว่างท่านกับจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงได้ ข้าก็อาจจะมีโอกาสตั้งตัวใหม่”

ราชครูสันตินิรันดร์ส่ายหัว “ท่านบ่อนเซาะไม่ได้หรอก แม้ว่า ท่านจะโขกศีรษะคารวะข้าต่อหน้ากองทัพทั้งหมด จักรพรรดิก็จะ ยังคงไม่สงสัยในตัวข้า เพียงแต่ว่าพวกผู้ต่อต้านทั้งหลายจะใช้เรื่อง นี้ทําให้ข้าปวดหัว หากว่าข้ามีเรื่องปวดหัวน้อยลง ก็คงจะดีกว่า

ศิษย์พี่หรวนตี้ ถอดโซ่ของท่านออกเถอะ ข้าไม่รับการสวามิภักดิ์ของท่าน ท่านจะต้องไปสวามิภักดิ์ต่อหน้าองค์จักรพรรดิเท่านั้นเมื่อกลับไปยังเมืองหลวง”

ข่านหรวนตี้สะบัดตัว และโซ่ทั้งหลายบนร่างของเขาก็ปริแตก ออกไปทีละข้อๆ ทหารทั้งหลายแตกตื่นและก้าวเข้ามาข้างหน้า แต่ ทว่าราชครูสันตินิรันดร์ย์กมือห้ามไว้ให้พวกเขาถอยกลับไป “พวก เจ้าไม่จําเป็นต้องคอยระวังป้องกัน”

ข่านหรวนตี้สายตาวูบไหว “ข้าได้ยินว่าราชครูได้ต่อสู้กับเทพ เจ้าและได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้ว่าท่านจะมีราชาพิษน้อยและหมอ เทวดาน้อยที่ช่วยเหลือเยียวยา แต่วรยุทธ์ของท่านนั้นก็ยังไม่ฟื้น คืนมาถึงจุดสุดยอด ท่านไม่กลัวหรอกหรือว่าจู่ๆ ข้าอาจจะลงมือสังหารท่าน”

“ข้าไม่” ราชครูสันตินิรันดร์กล่าว “1 เดือนก่อนข้าอาจจะ เกรงกลัว ทว่านับแต่เมื่อข้าได้ตรึกตรองเข้าใจเต๋ากระบี่ แม้ข้าจะยัง บาดเจ็บก็ไม่มีความจําเป็นจะต้องกริ่งเกรงเจ้า หากเจ้าโจมตี เจ้าก็ จะตาย”

ข่านหรวนตี้ตื่นตระหนก

ราชครูสันตินิรันดร์เงยหน้าขึ้นมองไปยังวังทองโหรวหลัน ตรงหน้าพวกเขาพลางกล่าวด้วยนํ้าเสียงเรียบเรื่อย “ศิษย์พี่หรวนตี้ โปรดมองดูวังทองโหรวหลันนั้นแข็งแกร่งแน่นหนาเป็นอย่างยิ่ง ด้วยหมอผีใหญ่และราชาหมอผีทั้งหลายคุ้มกันที่มั่น มันง่ายที่จะป้องกันและยากที่จะรุกราน ดังนั้นต่อให้ข้าขืนรุกรานเข้าไป กองทัพของข้าก็จะประสบความเสียหายอย่างหนัก ข้ายังรู้สึกได้ถึง รัศมีอันน่าสะพรึงกลัวที่ซุกซ่อนอยู่ในราชวัง อันจะต้องแผ่ออกมา จากกายหยาบต่างๆ ในอดีตชาติของผู้สูงศักดิ์ ข้าสามารถสัมผัสได้ถึงรัศมี 18 รัศมีอันราวกับเทพยดา และนั่นจึงเป็นเหตุให้ข้า หยุดยั้งทัพอยู่ที่นี่โดยไม่ลงมือกระทําการใด”

“ร่างเนื้อทั้ง 18 ร่างนี้อันราวกับเทพ พุทธ และมารนั้นเป็น กายหยาบของผู้สูงศักดิ์ในอดีตชาติทั้ง 18 พวกมันนั้นน่า สะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่งและเป็นมหาพลานุภาพที่พิทักษ์วังทอง

โหรวหลันเอาไว้ นอกจากร่างเนื้อของผู้สูงศักดิ์ 18 ร่าง ยังมี ตัวตนระดับจ้าวลัทธิอีก 12 คนผู้ซึ่งฝึกวรยุทธ์ถึงขั้นสะพานเทวะ ที่แข็งแกร่งที่สุดมิใช่ใครอื่น ย่อมเป็นผู้สูงศักดิ์เอง กําลังฝีมือของ

เขานั้นไม่ตํ่าต้อยไปกว่าข้า”

“มียอดฝีมือวรยุทธ์ขั้นเป็นตายในนั้นเท่าไรล่ะ” ราชครูสันตินิ รันดร์ถาม

ข่านหรวนตี้แย้มยิ้มกล่าว “ข้าจะรู้ได้อย่างไร”

“เจ้านั้นเลียนแบบจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง ดังนั้นเจ้าน่าจะรู้สิ” ราชครูสันตินิรันดร์มองไปที่เขาและกล่าวอย่างแผ่วเบา “อย่างเช่น ชื่อแซ่ กําลังฝีมือ และอาวุธวิญญาณของยอดฝีมือทั้งหมดในลัทธิ นักบุญสวรรค์ สํานักเต๋า และวัดใหญ่ฟ้าคําราม ล้วนแต่อยู่ในมือ

ของข้า จักรวรรดินั้นอยู่เหนือและไม่ยอมให้แดนศักดิ์สิทธิ์ใดขึ้นมา ขี่คํ้าเหนือหัวผู้คนได้ เจ้านั้นเป็นจักรพรรดิแห่งท้องทุ่งกว้าง ดังนั้น เจ้าย่อมต้องไม่ยอมให้วังทองโหรวหลันขึ้นมาขี่คํ้าหัวเจ้า เจ้าพึงรู้เรื่องนี้”

“ข้าไม่อาจเอาชนะจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงได้เพราะเขามีราชครู คอยสนับสนุน หากว่าข้ามีผู้ช่วยเหมือนอย่างท่าน ข้าจะต้องมา สวามิภักดิ์อย่างนี้หรือ ข้านั้นได้จัดเตรียมรายนามของยอดฝีมือขั้นชาวสวรรค์และเป็นตายไว้เรียบร้อยแล้ว นี่คือสิ่งที่มอบกํานัลให้แก่ราชครู”

ข่านหรวนตี้กล่าว เมื่อพูดจบ เขาก็นําสมุดออกมาเล่มหนึ่ง ราชครูส่งรายนามนี้ให้แก่เจ้านครเว่ยซึ่งยืนอยู่ข้างหลังเขาและ

กล่าว “ให้ทหารทั้งหลายอ่านมันให้ปรุโปร่งเพื่อค้นหาคู่ต่อสู้ที่

เหมาะมือ เตรียมสังหารศัตรู”

เจ้านครเว่ยเรียกแม่ทัพนายกองที่โด่งดังในกองทัพทั้งหมดใน ขั้นชาวสวรรค์และเป็นตาย จากนั้นได้ร่วมกันศึกษารายนาม ดังกล่าว

จากนั้นราชครูสันตินิรันดร์ก็กล่าว “วังทองโหรวหลันมีพยุหะ ค่ายกลปกป้องอยู่ ทั้งพยุหะจํากัดเขตและพยุหะสังหารอันถูกจัด วางไว้โดยผู้สูงศักดิ์ในชาติก่อนๆ และหมอผีอาวุโส บัดนี้ทุกๆ พยุหะค่ายกลถูกขับเคลื่อนทํางานเพื่อป้องกันกองทัพของข้า หากว่าข่านหรวนตี้มีใจคิดจะล้มล้างวังทองโหรวหลัน ท่านย่อมต้องมี แผนการวิถีทางในการทําลายล้างป้อมปราการนี้”

ข่านหรวนตี้ไม่ตอบ แต่ถามกลับไปแทน “ไฉนราชครูจึงไม่ ถามข้าว่าทําไมข้าจึงยอมสวามิภักดิ์ ท่านเห็นข้ามาสวามิภักดิ์ แต่ ก็ยังเชื่อมั่นในตัวข้าโดยไม่มีทีท่าระวังป้องกัน ท่านยังถึงกับถามข้า ในวิธีการทําลายล้างวังทองโหรวหลัน ท่านไม่กริ่งเกรงเลยหรือว่า ข้าอาจจะเพียงแค่เสแสร้งสวามิภักดิ์และให้ข้อมูลผิดๆ แก่ท่าน อัน จะทําลายกองทัพของท่านแทน”

ราชครูสันตินิรันดร์ส่ายหัวและกล่าว “ท่านสวามิภักดิ์เพราะพิษหมอผี”

ข่านหรวนตี้เงียบไป

“ผู้สูงศักดิ์สั่งให้หมอผีใหญ่และราชาหมอผีทั้งหมดวางยาพิษ ลงในแหล่งนํ้า อันทําให้ครอบครัวทั้งหลายในท้องทุ่งหญ้าล้มตาย ไป 9 ใน 10 ส่วน ชาวเผ่าหลงเหลือประชากรอยู่เพียงแค่ 1 ส่วน อันมีก็แต่ผู้คนในเมืองใหญ่ของพวกท่านที่ยังไม่ตกตาย”

“ท่านนั้นเป็นจักรพรรดิแห่งท้องทุ่งกว้าง แต่พสกนิกรมากมาย ของท่านถูกฆ่าล้างเผ่า ใครล่ะที่ท่านจะต้องไปล้างแค้น ก็มีแต่วังทองโหรวหลันเท่านั้น ดังนั้นข้าย่อมเชื่อในตัวท่าน ไม่มีความจําเป็นต้องสงสัยคําพูดของท่าน”

ข่านหรวนตี้เงียบงันไปพักหนึ่ง จากนั้นระบายลมหายใจสั่น สะท้าน “ประชาชนคนทั่วไปไม่ควรถูกสังหารในสงครามระหว่าง 2 จักรวรรดิ หากว่าข้าได้รุกรานเข้าไปยึดครองจักรวรรดิสันตินิ รันดร์ พสกนิกรแห่งสันตินิรันดร์ก็จะเป็นพสกนิกรของข้า ดังนั้นข้า ก็จะไม่ทําร้ายพวกเขา หากว่าจักพรรดิเอี้ยนเฝิงยึดครองท้องทุ่ง

กว้างได้ ผู้คนแห่งท้องทุ่งกว้างก็จะกลายเป็นประชาราษฎร์ของ จักรพรรดิเอี้ยนเฝิง ดังนั้นเขาก็จะไม่ทําร้ายผู้คนเหล่านั้น กระนั้น วังทองโหรวหลันกลับฆ่าล้างไพร่ฟ้าของข้า ข้าไม่อาจกลืนเลือด

ก้อนนี้ได้ ราชครู ข้าจะบอกท่านถึงจุดอ่อนทั้งหมดของวังทอง โหรวหลัน ไม่ปิดบังเลยแม้แต่นิด”

ราชครูสันตินิรันดร์เผยยิ้ม “ท่านรู้หรือไม่ว่าข้ารอท่านที่นี่มา นานแค่ไหนแล้ว บัดนี้เมื่อท่านมา ก็จะมีแดนศักดิ์สิทธิ์ในโลกหล้านี้ น้อยลงไปอีก 1 แห่ง!”

ข่านหรวนตี้ยอมรับทั้งกายและใจ “ตราบเท่าที่ยังมีราชครูอยู่ หรวนตี้ก็จะไม่กบฏ! หากว่าข้าฝืนคําสาบานนี้ ให้ดวงตาข้าถูก เหยี่ยวจิก และหัวใจข้าถูกนกอินทรีแหวกออกไป ให้ลูกหลานของ ข้ากลายเป็นทาสชั่วกัปชั่วกัลป์!”

เมืองหลวงนั้นเป็นสถานที่อัน 9 มังกรมาบรรจบ เทือกเขา 9  เทือกเขาอันราวกับมังกร 9 ตัวมาบรรจบกันที่นี่และรวบรวมปราณ เอาไว้ ทําให้สถานที่แห่งนี้เป็นเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิ

“ถ้าไม่ได้ลงมายังโลกมนุษย์ในครั้งนี้และได้เห็นจักรวรรดิสันติ นิรันดร์รุกรานทุ่งหญ้า พวกเราก็คงไม่ค้นพบว่ากองทัพสันตินิ รันดร์นั้นยิ่งดูเหมือนกองทัพสวรรค์มากขึ้นไปทุกที พวกเขาเริ่ม

ใกล้จะเหมือนกองทัพแห่งเทพและมารจากยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง”

บนท้องฟ้าเหนือเมืองหลวง เพิงหญ้ากกอันสร้างขึ้นมาอย่าง ลวกๆ ขนาดใหญ่ครึ่งไร่ลอยอยู่บนนภากาศ บนก้อนเมฆข้างใต้มัน ชายและหญิงอันมีท่วงทีเหนือธรรมดานั่งอยู่เหนือเมฆอันมีเพิงหญ้า กกบังแดดอยู่เหนือหัว พวกเขามองลงไปยังชะตาวาสนาแห่ง จักรวรรดิสันตินิรันดร์

ชายและหญิงทั้งหลายนี้ล้วนแต่หล่อเหลาและงดงามเป็นพิเศษ พวกเขาไม่มีใครดูชราภาพ แต่วรยุทธ์ของพวกเขาสูงส่งน่าตื่น ตะลึง ราวกับเทพยดาและพุทธองค์

หนึ่งในนั้นคือเทพครองดาวเฉียวผู้ซึ่งมีอวี้หลิ่วและดรุณีอีก 3 คนคอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างๆ ซวีเซิงฮวาก็อยู่ใกล้ๆ แต่เขา นั้นยืนอยู่ใกล้ชายหนุ่มอีกคนอันเป็นอาจารย์ของเขา เทพครอง แดนหยก

มิใช่มีแค่พวกเขาที่ออกมา ในเหนือฟ้ามีผู้นําอยู่ 4 คนและ นอกจากเทพครองดาวเฉียวและเทพครองแดนหยก ยังมีเทพครอง แดนบุปผา และเทพครองดาวเอี๋ยน

เพราะว่าผู้ใหญ่บ้านออกมาจากแดนโบราณวินาศ ผู้นําทั้ง 4 แห่งเหนือฟ้าจึงออกมาด้วยทั้งหมด

ทั้ง 4 คนมองลงไปข้างล่างด้วยสีหน้าตื่นใจ

“ครั้งก่อนที่ข้าลงมาส่งภัยพิบัติ ข้าไม่ได้ดูพวกเขาอย่าง ละเอียด” เทพครองแดนหยกพึมพํา “ในตอนนั้นข้าเพียงแต่มองดู สายแร่ 9 มังกรอย่างคร่าวๆ อันเป็นสาเหตุให้จักรวรรดิสันตินิ รันดรได้ผงาดขึ้นมาเป็นอํานาจนํา”

เทพครองแดนบุปผาเป็นสตรีเลอโฉมอันมีเสียงไพเราะประดุจ นกขมิ้นเหลืองก็กล่าว “สายแร่ 9 มังกรเหล่านี้คือเทือกเขามังกร เหลือง แต่ข้างๆ พวกมันก็ยังมีสายแร่มังกรแม่นํ้าอีก 4 สาย แม่นํ้าโคลน แม่นํ้าทองคํา แม่นํ้าหย่ง และแม่นํ้าหลี่”

ฝ่ามือของนางลูบเบาๆ ในอากาศและปราณชีวิตของนางก็ แปรเปลี่ยนเป็นกระจกอันเผยให้เห็นชั้นใต้ดินของจักรวรรดิสันตินิ รันดร์

กระจกนี้สามารถมองทะลุทะลวงไปได้ลึกกว่า 10 ลี้และเผยให้เห็นมังกรมหึมา พวกมันคือหินหลอมเหลวใต้เมือง

“รวมทั้งสายแร่มังกรอัคคีที่ซ่อนอยู่ใต้พิภพ ในจักรวรรดิสันตินิ รันดร์มีสายแร่มังกรถึง 16 เส้นไปแล้ว” เทพครองแดนหยกกล่าว

เทพครองดาวเฉียวส่ายหัว “ไม่เพียงเท่านั้น ดูที่ชายฝั่งของจักรวรรดิสันตินิรันดร์สิ เทือกเขาแถบนั้นมุดขึ้นและลงอย่างผิดปกติราวกับมังกรคู่กระหวัดพันกัน นั่นคือสายแร่มังกรอีก 2  เส้น แม้ว่าข้าจะไม่แน่ใจว่ามันเรียกว่าอะไร แต่ไม่น่าแปลกใจเลยที่ จักรวรรดิสันตินิรันดร์จะเต็มไปด้วยผู้เปี่ยมความสามารถ และเจริญรุ่งเรืองอย่างอัศจรรย์”

“ทุ่งหญ้าจะถูกจักรวรรดิสันตินิรันดร์ยึดครองเมื่อไหร่นั้นเพียง ขึ้นกับเวลา ราชครูน่าจะไปถึงวังทองโหรวหลันแล้วในตอนนี้ ใน ท้องทุ่งหญ้ามีสายแร่มังกรกี่สาย” เทพครองดาวเฉียวถามอย่าง เคร่งขรึม

เทพครองแดนอีก 3 คนสะท้านใจไหวหวั่น

“และยังมีที่ราบนํ้าแข็งในทิศเหนือ ในประเทศรังหมาป่า สถานที่เหล่านั้นมีสายแร่มังกรอีกเท่าไร”

“จํานวนสายแร่มังกรในจักรวรรดิสันตินิรันดร์มีมากมายเกิน ความคาดหมายของข้า ถ้ามีแค่ 1 สายแร่มังกรก็พอทําเนา อันจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์อะไรได้ แต่ทว่า หากมังกร ทั้งหมดทะยานขึ้นสู่สวรรค์ นี่ก็จะกลายเป็นการช่วงชิงชะตาวาสนา ของฟ้าและดิน! ข้ารู้สึกว่าการสังหารกษัตริย์มนุษย์นั้นเป็นเพียง เรื่องเล็กน้อยเมื่อเทียบกับการเสาะหาสายแร่มังกรเส้นหลักในจักรวรรดิสันตินิรันดร์ และนํามันออกไปหรือเปลี่ยนแปลงมัน พวก

เราจะต้องทําให้มังกรเส้นอื่นๆ สูญเสียผู้นํา” เทพครองดาวเฉียว กล่าว

เทพครองดาวหยกพึมพํากับตนเองครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าว “หากว่าสายแร่มังกรเส้นหลักหายไป มังกรทั้งหลายก็จะไร้ประมุข และชะตาวาสนาก็จะปริแตกแยกกระจาย วีรบุรุษทั้งหลายในโลก หล้าจะผงาดขึ้นมาและแบ่งแยกจักรวรรดิสันตินิรันดร์ออกเป็น เสี่ยงๆ นี่เป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมจริงๆ แล้วสายแร่มังกรเส้นไหนล่ะ ที่เป็นเส้นหลักของจักรวรรดิสันตินิรันดร์”

ทุกคนมองไปรอบๆ เสาะหาอยู่ครู่หนึ่ง แต่พวกเขาก็ยังมองไม่ ออกว่าเส้นไหนคือสายแร่มังกรเส้นหลัก

“ถ้าเช่นนั้นไปเชิญเทพครองแดนเลี้ยงมังกรมาเสาะหาสายแร่ หลัก เขาเลี้ยงดูเผ่ามังกรเป็นปศุสัตว์ และน่าจะสามารถจําแนก แยกแยะมังกรประเภทต่างๆ เขายังเชี่ยวชาญในด้านพื้นดินและภูมิ ประเทศอีกด้วย”

“ชิงอิง เหยาฮวา กลับไปที่เหนือฟ้าและเชิญเทพครองแดน เลี้ยงมังกรลงมาพิจารณาสายแร่มังกรแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ เพื่อระบุสายแร่หลัก” เทพครองดาวเฉียวกล่าว

ชิงอิงและเหยาฮวารับคํา ก่อนจะรีบรุดจากไป

เทพครองแดนหยกแย้มยิ้ม “การที่กระบี่เทวะไม่ปรากฏตัว จนกระทั่งบัดนี้ ช่างน่าผิดหวังเสียจริง ข้าคิดว่าเขาจะมุ่งตรงมา ทันทีที่พวกเราปลดปล่อยรัศมี แต่กลายเป็นว่าเขามีทีท่าจะ หวาดกลัว นี่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดูท่ากระบี่เทวะจะชราไปแล้ว จริงๆ”

“นี่คือความน่าเศร้าของร่างมนุษย์ปุถุชน” เทพครองแดนบุป ผายิ้มแล้วกล่าว “ไม่ว่าตอนหนุ่มฉกรรจ์พวกเขาจะแข็งแกร่งเพียง ไหน แต่ปราณและโลหิตของพวกเขาก็จะแห้งเหือดและเปราะบาง เมื่อเข้าสู้วัยชรา คํานวณดูแล้ว อายุขัยเขาคงสิ้นสุดไปภายใน 2  ปีนับจากนี้ เพื่อจะมีชีวิตอยู่ไปได้อีก 2 ปี เขากลับหลบเลี่ยงการ ต่อสู้ น่าสังเวชจริงๆ ซวีเซิงฮวา เจ้าหาตัวกษัตริย์มนุษย์คนใหม่เจอ หรือไม่”

“ศิษย์ได้พบกับบุคคลผู้นั้นโดยบังเอิญ แต่ไม่ตระหนักว่าเป็น เขาจึงพลาดโอกาส แต่ทว่าข้าได้ให้ชาหนึ่งถุงแก่เขา และเขาก็เชื้อ เชิญข้าไปยังเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์เพื่อดื่มสุรา ข้า คิดว่าคงจะได้พบเขาอีกครั้งหากว่าไปที่นั่น”

เทพครองแดนหยกสนใจขึ้นมา “กําลังฝีมือของกษัตริย์มนุษย์ คนใหม่นี้เป็นอย่างไร”

“ลํ้าเลิศ” ซวีเซิงฮวาหวนนึกถึงตอนที่ปะทะกับฉินมู่และกล่าว “พลังวัตรของเขาในตอนนั้นเข้มข้นเป็นอย่างยิ่ง และปราณชีวิต ของเขาถึงกับหนาแน่นกว่าข้า แต่ทว่ากระบวนท่าและทักษะเทวะ ของเขาด้อยกว่าข้า และปฏิภาณความเข้าใจในทักษะเทวะก็ อ่อนแอกว่าข้าเช่นกัน”

“พลังวัตรเข้มข้นกว่าเจ้าเชียวหรือ”

4 เทพครองแดนแห่งเหนือฟ้าเผยสีหน้าตื่นตะลึง พลังวัตรของซวีเซิงฮวานั้นลํ้าเลิศเหนือใครในเหนือฟ้า แม้แต่พลังวัตรในวรยุทธ์ขั้นเดียวกันของ 4 เทพครองแดนก็ยังด้อยกว่าเขา แต่กระนั้นก็

ยังมีบุคคลที่พลังวัตรนําหน้าเขาไปได้!

“แต่ทว่า ข้าไปได้ยังนครหยกน้อยและซ่อมปะความบกพร่อง ในพลังวัตรของข้าแล้ว” ซวีเซิงฮวากล่าว “หากว่าเขาไม่ได้รับ โอกาสเดียวกัน พลังวัตรของข้าก็จะแข็งแกร่งกว่าเขา”

เทพครองแดนหยกแย้มยิ้มแล้วกล่าว “จงไปเมืองหลวง สังหาร เขาเสีย และรีบกลับมายังเหนือฟ้าให้เร็วที่สุด โลกมนุษย์นั้นเป็น สถานที่อันแปดเปื้อน ดังนั้นอยู่ที่นี่นานจึงไม่ใช่เรื่องดี พวกเราจะเสาะหาสถานที่เพื่อรอเทพครองแดนเลี้ยงมังกร และตรวจสอบสายแร่มังกร ถ้ากระบี่เทวะรับการท้าทายของพวกเราก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ หากเขาไม่ยอมรับการท้าทาย พวกเราก็จะกลับเหนือฟ้าหลัง จากพรากสายแร่มังกรเส้นหลักออกไป”

ซวีเซิงฮวารับคํา

“ข้าจะให้จิงเอี้ยนและอวี้หลิ่วติดตามเจ้า เพื่อมิให้พวกมุสิก โสโครกตัวอื่นแตะต้องเจ้า” เทพครองดาวเฉียวกล่าว

อวี้หลิ่วและจิงเอี้ยนลอบลิงโลดยินดี อวี้หลิ่วถือแจกันหยก ส่วนจิงเอี้ยนอุ้มปี่แป้ในอ้อมแขนของนางติดตามซวีเซิงฮวาไปยังเมืองหลวง

เทพครองแดนทั้ง 4 แห่งเหนือฟ้าเห็นท้องฟ้ามืดลง ดังนั้นพวก เขาจึงบังคับเมฆให้ลอยตํ่า พวกเขามายังสถานที่อันสงบ และให้เพิงหญ้ากกลงมาตั้งกับพื้น

สถานที่นี้มีเนินเขาเขียวขจีและลําธารใสกระจ่าง ไม่มีหมู่บ้าน ผู้คนอยู่ใกล้เคียง แต่กระนั้นก็มีบ้านหลังหนึ่งอยู่ตรงหน้าพวกเขา เมื่อประตูบ้านหลังนี้เปิด ก็มีสตรีท่วงท่างามสง่าเดินออกมา นางถือ ถังไม้อันเล็กบอบบางออกไปตักนํ้า 4 เทพครองแดนแห่งเหนือฟ้า พลันหน้าแดงฉานเมื่อเห็นนาง และหัวใจของพวกเขาเต้นโครม ครามอย่างรุนแรง

แม้แต่เทพครองแดนบุปผา เทพนารีที่เลอโฉมที่สุดในเหนือฟ้า ก็กลายเป็นอับอายในรูปโฉมของตนเองและรู้สึกต้อยตํ่ากว่า และ ในเวลาเดียวกัน นางก็ลุ่มหลงในตัวสตรีนางนี้

“นี่คือความงามอันจริงแท้ที่แม้แต่เทพเจ้ายังต้องริษยา!” ขณะที่ 4 เทพครองแดนกําลังพยายามสงบใจอยู่นั่นเอง หญิงผู้

นั้นก็สังเกตเห็นว่ามีเพิงพักที่ปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า นางมองไปยังกลุ่มคนทั้ง 4 และทักทายพวกเขา “อาคันตุกะที่นับถือทั้ง 4 ท้องฟ้าใกล้จะมืดคํ่าแล้ว และพวกท่านไม่ควรออกมาในยาม

ราตรี”

เทพครองแดนหยกมีความเอ็นดูขึ้นมาในใจและแย้มยิ้ม “นางฟ้า สถานที่นี้มิใช่แดนโบราณวินาศ ไฉนพวกเราจะออกมาในยามราตรีมิได้ล่ะ ต่อให้เป็นแดนโบราณวินาศ พวกเราก็ทําอะไรได้ตามใจตนอยู่ดี”

ความเอ็นดูรักใคร่ก็พลันผุดขึ้นมาในใจของเทพครองดาวเฉียวและเทพครองดาวเอี้ยน ดังนั้นพวกเขาจึงแย้มยิ้มจนปากแทบฉีกถึงใบหู พวกเขาอยากจะเข้าใกล้ชิดกับหญิงผู้นี้มากขึ้น “ช่วงเวลาอันเปี่ยมมนตร์เสน่ห์ ทิวทัศน์อันงามตระการ และสาวงาม เป็นเพื่อนบ้าน ที่นี่คือแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง”

เทพครองแดนบุปผารู้สึกถึงความอิจฉาริษยา แต่เมื่อนางเห็น ความงามของสตรีตรงหน้าอีกครั้ง ความริษยาของนางก็มลาย หายไปในพริบตา

สตรีผู้นี้เผยสีหน้าตกตะลึง และกล่าว “ที่แท้พวกท่านทั้ง 4 ก็ ล้วนแต่เป็นผู้อมตะ เหมือนกับผู้คนที่สามารถเดินทางไปมาใน ความมืดของแดนโบราณวินาศได้โดยอิสระ ขออภัยด้วย เป็นข้า เองที่คิดวุ่นวายมากจนเกินไป” เมื่อนางกล่าวจบ นางก็เดินไปตัก

นํ้าตามที่ตั้งใจตั้งแต่แรก

เมื่อกลางคืนมาถึง เทพครองดาวแห่งเหนือฟ้า 3 คนมองไป ยังบ้านตรงหน้าพวกเขาด้วยสายตาจดจ่อ เทพครองแดนบุปผาเอง ก็เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น นางแย้มยิ้ม “ในเมื่อหัวใจพวกท่าน หวั่นไหว ไฉนไม่เชื้อเชิญนางมาร่วมนั่งที่นี่ล่ะ”

ขณะที่นางกล่าวอยู่นั่นเอง ประตูของบ้านหลังนั้นก็เปิดออก เสียงสรวลอันสามารถทําให้โลหิตผู้คนเดือดพล่านและแล่นเร็วจี๋ก็ ดังมา “อาคันตุกะที่นับถือทั้ง 4 อุตส่าห์มาจากแดนไกล แต่ผู้เหย้าอย่างข้ากลับมาต้อนรับล่าช้า”

4 เทพครองแดนแห่งเหนือฟ้ามองไปใต้แสงจันทร์อันสลัวราง และพวกเขาต่างก็อุทานเป็นเสียงเดียว “นี่คือสุดยอดโฉมสะคราญ อันแม้แต่ผู้อมตะก็ยังต้องลุ่มหลง!”

ACAC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version