43. ปีศาจรีบกลับบ้าน
วันถัดมา ฉินมู่ตื่นขึ้นเพราะเสียงตะโกนเอะอะของคนในหมู่บ้าน เมื่อเขาลุกขึ้นไปไต่ถาม ก็พบว่าเมื่อคืนนี้เวรยามราตรีที่เฝ้ายามกลางคืน ตายอย่างน่าอนาถ ทำให้ชาวบ้านกลัวขวัญผวา
ตอนหัวค่ำฉินมู่ตัดฟันต้นไม้ใหญ่ เมื่อต้นไม้ใหญ่โค่นลงงูยักษ์ก็โผล่ออกมา นั่นนับว่าน่ากลัวแล้วนะ แต่ไม่นึกว่าตอนดึกเที่ยงคืนกลับเกิดเรื่องอีก เวรยามราตรีถูกฆ่าตายกลางหมู่บ้าน ชาวบ้านจึงวิพากษ์วิจารณ์กระซิบกระซาบกันด้วยความกลัว
และหลังจากนั้น คู่ผัวเมียเมื่อวานนี้ก็ถือถาดอันมีผืนผ้าสีแดงปูอยู่ บนผ้าแดงนั้นมีของกำนัลจำนวนหนึ่ง “หมอตำแย น้องชายน้อย ครอบครัวเราไม่มีเงินทองมากมาย มีเพียงของกำนัลเหล่านี้ พวกท่านโปรดรับเอาไว้ด้วย”
ฉินมู่กำลังจะอ้าปากปฏิเสธ แต่เฒ่าบอดขัดจังหวะ “รับไว้ มู่เอ๋อ อย่าทำให้พวกเขารู้สึกติดค้างหนี้บุญคุณเจ้า”
ฉินมู่จึงเลือกรับของบางชิ้นมา แล้วกล่าวลาผัวเมียคู่นั้น ชายหนุ่มคนผัวกล่าวกับเขาว่า “ด้วยฝีมือสูงล้ำของน้องชาย เจ้าต้องโดดเด่นเป็นหงส์เป็นมังกรในโลกนี้!”
“เป็นหงส์เป็นมังกรมีอะไรดิบดี” ท่านยายซีกล่าว “ตับมังกร ดีหงส์ อย่างมากก็ใช้ทำอาหารเลิศรสเสิร์ฟวางบนโต๊ะ อย่าหมายเป็นหงส์เป็นมังกรเลย มุ่งเป็นผู้ที่เปิบหงส์กินมังกรในโลกนี้จะดีกว่า”
สองผัวเมียฟังแล้วก็ได้แต่หันไปมองตากันเองอย่างอึ้งกิมกี่ ท่านยายซีโบกมือให้พวกเขา “กลับกันเถอะ มู่เอ๋อ เฒ่าบอด เรายังต้องไปขายของตลาดนัดต่อ!”
ฉินมู่รีบติดตามท่านยายซีแล้วเอ่ยปากถามอย่างสงสัย “ท่านยาย เมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้นหรือ งูยักษ์ตัวนั้นเวรยามราตรีคนนั้นเป็นคนเลี้ยงใช่ไหม แล้วเขาตายได้อย่างไร อีกอย่าง ลูกกลมสีเงินๆ ที่หมุนติ้วเหนือหน้าผากช้าเมื่อคืนมันคืออะไร ไหนท่านยายบอกว่าทุกคนในหมู่บ้านเรามีแต่คนธรรมดา ทำไมข้ารู้สึกว่าท่านปู่ท่านยายไม่เห็นจะธรรมดาเหมือนคนหมู่บ้านอื่นๆ”
“สงสัยอะไรเยอะแยะนัก” ท่านยายซีปวดหัวตึ้บ นางส่งสายตาร้องเรียกให้เฒ่าบอดช่วย เฒ่าบอดหัวเราะในคอแล้วเดินไปข้างหน้า ชนเข้ากับต้นไม้ต้นหนึ่งแล้วล้มตึงสลบไป
ท่านยายซีเอาเท้าเหยียบหน้าเฒ่าบอด แต่เฒ่าบอดก็ยังแน่นิ่งไร้สติสัมปชัญญะ
ฉินมู่รีบแบกเฒ่าบอดไว้ที่หลัง แล้วมองด้วยสายตาคาดหวังคำตอบจากท่านยายซี ท่านยายซีเห็นดังนั้นหยิบเข็มออกมาจากตะกร้าของนางแล้วจิ้มเข้าไปในก้นของเฒ่าบอด ขนาดว่าเลือดกระฉูดจากรูเข็ม เฒ่าบอดก็ยังไม่ฟื้น
เมื่อไม่มีทางเลือก ท่านยายซีก็กระพริบตาปริบแล้วกล่าว “เวรยามราตรีผู้นั้นมันเป็นยอดฝีมือจากวิถีมารและเป็นผู้เลี้ยงงูจริงๆ นั่นแหละ พลังฝีมือเขาก็ไม่ได้อ่อนด้อยเลย เขาใช้วิชาเงามายา ซึ่งเป็นหนึ่งในยอดวิชาเทวะในลัทธิมารฟ้า ส่วนข้าใช้วิชาพิฆาตเงาเพื่อทำร้ายเงาของเขา และส่งอาการบาดเจ็บไปยังร่างจริงเขาอีกทอด แต่เพราะว่าข้าถูกมารในจิตหลอกหลอน ข้าจึงสัญญากับใครคนหนึ่งว่าจะไม่ทำร้ายศิษย์ลัทธิมารเด็ดขาด ดังนั้นข้าจึงได้แต่บีบให้เขาล่าถอยไป ผู้ที่สังหารเขาไม่ใช่ข้า แต่เป็นเฒ่าบอด”
ฉินมู่กระพริบตาปริบแล้วถามต่อ “แล้วลูกกลมเงินนั่นล่ะท่านยาย? มันคือไจกระบี่ใช่ไหม ท่านยายก็เชี่ยวชาญวิชาคุมกระบี่บินหรือ”
ท่านยายซีกะพริบตาปริบๆ ใส่ฉินมู่ ทั้งคู่กะพริบตาตีหน้าซื่อใส่กันจนเจ็บตา ท่านยายซีขบเคี้ยวเคี้ยวฟันแล้วเอาเข็มทิ่มตูดเฒ่าบอดที่น่าตายอีกเข็ม แต่เขาก็ยังไม่ยอมฟื้น
“ลูกกลมเงิน? อะแฮ่ม เจ้าหมายถึงนี่หรือ”
ท่านยายซีพลิกมือหงาย บนฝ่ามือนางมีลูกกลมเงินกลิ้งอยู่ลูกหนึ่ง ฉินมู่รีบผงกหัว “ท่านยาย สอนวิชาคุมกระบี่บินให้ข้าด้วย!”
ยายเฒ่าซีถอนหายใจยาว “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากสอนเจ้า แต่เพราะข้าสอนเจ้าไม่ได้ วิชาคุมกระบี่ของข้าอาจเป็นหนึ่งในยอดวิชา แต่มิใช่วิชากระบี่อันดับหนึ่งของโลก หากเจ้าเรียนวิชากระบี่ของข้า คนผู้นั้นก็จะไม่ยอมสอนเจ้า ดังนั้นไม่ว่าคอขาดบาดตายยังไงข้าก็ไม่อาจถ่ายทอดวิชากระบี่ให้เจ้า”
ฉินมู่คอตกทันที แต่แล้วก็ตื่นเต้นขึ้นมา “วิชากระบี่อันดับหนึ่งของโลก? คนผู้นั้นมาจากหมู่บ้านของเรางั้นหรือ”
“เลิกเดามั่วซั่วได้แล้ว” ท่านยายซีเตือนเขา “ต่อให้เจ้าไปวิงวอนเขา เขาก็ไม่สอนเจ้าอยู่ดี ต่อเมื่อเขาจัดการปมในใจตนเองได้ เขาถึงจะสอนเจ้า! ตอนนี้เจ้าเรียนสุดยอดวิชามากมายก่ายกอง แต่ไม่มีอันไหนที่เจ้าบรรลุลึกซึ้งสักวิชา เมื่อวันไหนที่เจ้าสามารถเอาชนะพวกเราผู้เฒ่าในหมู่บ้านได้ เจ้าค่อยคิดเรื่องฝึกกระบี่บิน! ต่อให้ตอนนั้นเขายังไม่ยอมสอนเจ้า พวกเราก็จะบังคับเค้นคอให้เขาสอน!”
เฒ่าบอดอ้าปากหาว แล้วกล่าวด้วยเสียงสบายๆ “เขาเป็นผู้ที่รอบรู้กว้างขวางที่สุด และมีพลังวัตรลึกล้ำที่สุด ช่วงหลายปีมานี้พลังฝีมือเขาน่ากลัวขึ้น น่ากลัวขึ้นทุกที ต่อให้พวกเราผู้เฒ่าสุมหัวรุม ก็อาจจะกินเขาไม่ลง”
“ในที่สุดเจ้าก็ยอมฟื้นงั้นหรือ” ท่านยายซีโลดเต้นด้วยความโกรธ แล้วจิ้มเข็มใส่ตูดเฒ่าบอดอีกที
เฒ่าบอดไต่ลงมาจากหลังของฉินมู่ แล้วเอาไม้เท้าไผ่ยันพื้นยืนดีๆ “บางอย่างต้องให้ข้าอธิบายจะดีกว่าเจ้า อย่างเช่นวิธีที่ข้าสังหารเวรยามราตรีนั่น วิชาเงามายาของมันร้ายกาจสุดๆ สามารถสลับสับเปลี่ยนระหว่างร่างจริงกับเงาได้ตลอด เงาของมันต่างหากที่เป็นร่างที่แท้จริงแทนที่จะเป็นร่างเนื้อ หากคู่ต่อสู้จู่โจมเพียงร่างเนื้อของมัน ก็จะถูกเงามันสังหาร ในตอนที่มันคิดจะสังหารข้า ข้าเลยใช้ไม้เท้าไผ่ทิ่มเงามันบนพื้นสองทีเพื่อจบชีวิต”
ฉินมู่ขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนถามต่อ “แล้วเรื่องที่เขาเลี้ยงงูไว้สูบวิญญาณและปราณเซียนเถียนของทารกเพื่อฝึกปรือล่ะท่านปู่?”
เฒ่าบอดตอบ “ยายเฒ่า เจ้าคล่องวิชามารมากกว่าข้า อธิบายทีซิ”
“วิชานี้เรียกว่าเซียนเถียนไร้จำกัด” ท่านยายซีอธิบาย “วิชานี้ลัทธิมารฟ้าใช้เพื่อฝึกจากขั้นฮ่าวเถียนสู่ขั้นเซียนเถียน แต่ว่าไม่รู้หมอนี่ไปได้วิชาไม่สมบูรณ์มาจากไหน ถึงใช้ทารกที่ยังไม่ลืมตาดูโลกในการฝึกปรือ วิชาเซียนเถียนไร้จำกัดที่แท้จริงนั้นแม้จะเรียกว่าวิชามาร แต่จริงๆ แล้วเป็นวิชาที่ไม่ชั่วร้ายและไม่ต่ำช้าใช้วิธีอันน่าละอายในการฝึกพลังวัตร แต่ใช้วิธีการดูดซับพลังฟ้าดิน อาศัยแก่นพลังปราณจากตะวันและจันทราในการฝึกปรือ”
สีหน้ากังวลใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของยายเฒ่าซี นางพึมพำกับตนเอง “คนจากลัทธิมารฟ้ามาเพ่นพ่านแถวนี้ ดูเหมือนว่าแดนโบราณวินาศคงไม่สงบสุขอีกต่อไป เจ้าพวกนี้ชอบปรากฏตัวกันทีละเป็นฝูงเสียด้วยสิ…”
ทั้งสามคนกลับไปที่วัดยายเฒ่า และเริ่มค้าขายกันต่อ เมื่อถึงเวลาบ่ายแก่ๆ ผู้คนจากหมู่บ้านต่างๆ ก็เริ่มแยกย้ายกลับไปยังหมู่บ้านของใครของมัน และฉินมู่เองก็กำลังขับเกวียนวัวกลับไปยังหมู่บ้านพิการชรา
“มู่เอ๋อ จากนี้ไป เจ้าสามารถออกล่าคนเดียวได้แล้ว” เฒ่าหม่าประกาศทันใดจากบนเกวียนเทียมวัวที่เขานั่งอยู่ ร่างเขากระเด้งขึ้นลงจากหนทางขรุขระที่เกวียนวิ่ง “เจ้าเติบโตแล้ว”
ฉินมู่รู้สึกถึงเลือดอุ่นระอุในหัวใจ แล้วหันไปแย้มยิ้ม เด็กเลี้ยงวัวแห่งหมู่บ้านพิการชราเผยรอยยิ้มสดใสดุจอาทิตย์แรกอรุณ
“แต่เจ้าล่าได้แค่สัตว์พิสดารธรรมดาเท่านั้นนะ อย่าไปแหยมสัตว์พิสดารระดับผู้ครองแคว้นเด็ดขาด” ท่านยายซีบอกเตือน “แล้วเจ้าต้องเอาวัวไปเลี้ยงทุกๆ เย็น ให้พวกมันกินหญ้าเยอะๆ หน่อย”
เด็กเลี้ยงวัวหนุ่มน้อยสีหน้ามืดคล้ำทันที วัวที่ลากเกวียนอยู่ก็ร้องมูเสียงต่ำด้วยความโกรธ ตาของมันมีน้ำตาเอ่อคลอ ดูเหมือนถูกรังแกยังไงอย่างงั้น
เมื่อเห็นท่าทีของวัว ฉินมู่ถามอย่างสงสัย “ท่านยาย ไม่ใช่ว่าวัวพวกนี้ก็เป็นคนเหมือนกันหรือเปล่า”
“ลองเดาดูสิ” ท่านยายซีหัวเราะคิกคัก
ฉินมู่ไม่กล้าเดา
ทันใดนั้นลมหอบหนึ่งก็พัดกระพือมาจากข้างหลัง หนุ่มน้อยผู้กำลังรับลมเย็นก็ก้าวเท้าไปข้างหน้ากระโดดจากเกวียนวัวเพื่อวิ่งไล่ลม เขาหมายที่จะตามลมหอบนั้นให้ทัน เพื่อเหยียบยอดลมแล้วเดินทางข้ามท้องฟ้า!
ฝีเท้าเขาเร็วอย่างยิ่งยวด เขากระโดดขึ้นเหนือป่าแล้ววิ่งเหยียบยอดไม้ ความเร็วเขาทวีมากขึ้นทุกที จนกระทั่งตามยอดลมได้ทัน เขากระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้า แม้ว่าเขาจะอยู่กลางอากาศก็มีพลังลึกลับรองรับใต้เท้าของเขา และทำให้เขาลอยอยู่บนฟ้า
หนุ่มน้อยโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น เมื่อเขาก้าวเหยียบตามยอดลมยอดต่อยอด ก้าวข้ามฟ้าไป
เหล่าผู้เฒ่าบนเกวียนเงยหน้ามอง และเฒ่าบอดก็เอ่ยปากถาม “เขาจะตกลงมาไหม”
นักปรุงยาหยิบกระแสลมมาดมฟุดฟิดแล้วหัวเราะ “ฮ่าๆ ตกลงมาแหงอยู่แล้ว นี่เป็นลมปีศาจที่เกิดจากปีศาจเร่งรีบกลับที่พักของมัน เมื่อปีศาจตนนั้นสังเกตเห็นเขา มันต้องหยุดดูแน่ๆ ทีนี้พวกเราคนไหนจะไปคอยรับเขาตอนตกดีล่ะ”
ฝีเท้าของฉินมู่รวดเร็วขึ้นรวดเร็วขึ้นตามกระแสลม และวิ่งตะบึงไปหลายสิบลี้โดยไม่รู้ตัว และขณะที่เขากำลังสนุกสนานคึกคัก เขาก็เห็นจิ้งจอกสีขาวผ่องไร้ราคีราวหิมะนั่งอยู่บนใบกล้วยใบใหญ่ มันยื่นขาไปข้างหน้าขณะที่ขาหลังมันย่อนั่งอยู่
เมื่อเขาจ้องตะลึงมองจิ้งจอกขาว จิ้งจอกขาวก็จ้องตะลึงมองฉินมู่
หนึ่งคน หนึ่งจิ้งจอก หวีดร้องด้วยความตกใจพร้อมๆ กัน และฉินมู่พลันรู้สึกว่ากระแสลมหอบที่เขาเหยียบอยู่พลันหยุดยั้งลง เขาตะกายแขนขารัวๆ แต่ก็ร่วงหวือลงมาจากท้องฟ้า จิ้งจอกที่นั่งบนใบกล้วยชี้อุ้งมือของมันมาทางฉินมู่แล้วร้องอุทาน
“แย่แล้ว!”
ฉินมู่รีบเปลี่ยนท่าเท้า เมื่อเขาพยายามใช้วิชาขาขโมยสวรรค์ ตราบเท่าที่ข้าวิ่งเร็วพอ ข้าก็จะวิ่งบนอากาศได้…
แต่เขาพบว่าเขายังเร็วไม่พอ เมื่อเขามิอาจหยุดร่างกลางอากาศ และยังลงร่วงลิ่วลงสู่พื้น!
ฉินมู่ก้มลงมอง สยองจนขนหัวลุก เบื้องล่างเขาเป็นเขตภูเขาหินซึ่งไม่มีต้นไม้งอกเงยเลยสักต้น มีแต่หินระเกะระกะแหลมคม และหากว่าเขาร่วงเข้าใส่หินสักแห่ง คงได้ตายซากร่างยับเยิน!
ในตอนนั้นเอง จิ้งจอกขาวที่หวีดร้องบนท้องฟ้าก็ได้สติ นางรีบบังคับใบกล้วยร่อนตามลงมาอย่างรวดเร็ว ฉินมู่พลันรู้สึกถึงกระแสลมที่ก่อตัวใต้ฝ่าเท้า และเขาสามารถเหยียบไปตามยอดลมได้อีกครั้ง เท้าของเขาสับเหยียบตามยอดลมอย่างรวดเร็วเพื่อหยุดยั้งการร่วงหล่นก่อนจะถึงพื้น เขาสามารถพลิกตัวกระโดดใช้ยอดลม และเดินทางบนลมหอบนั้นได้ต่อ!
ระบายลมหายใจด้วยความโล่งอก เขาเห็นจิ้งจอกขาวนั่งใบกล้วยเหาะตามเขามา เมื่อมองกันไปมาพักหนึ่ง จิ้งจอกขาวก็พูดด้วยน้ำเสียงหวานรื่นหูในภาษามนุษย์ แต่เนื้อตัวมันกรุ่นอบอวลด้วยกลิ่นสุรามันเอ่ยถามเขาอย่างเมามาย “เจ้าทำอะไรน่ะ ทำไมเจ้ามาวิ่งตามลมของข้า”
ฉินมู่ตกตะลึงก่อนกล่าวตอบ “ข้าแค่ลองดูว่าจะสามารถเหยียบยอดลม เพื่อเดินทางบนสายลมได้หรือไม่ ข้าไม่รู้ว่านี่คือลมของเจ้า เจ้าบินได้ด้วยหรือ แถมยังพูดได้อีก?”
“ข้าใช้คาถาขี่ลม ดังนั้นข้าจึงเรียกสายลมมาช่วยเดินทางได้” จิ้งจอกขาวอธิบาย “ข้าเพิ่งกลับมาจากงานเลี้ยงฉลอง และเร่งรีบกลับบ้านเพราะฟ้าดูใกล้จะมืดแล้ว ข้าไม่ส่งเจ้านะ ไปก่อนล่ะ ถ้าโชควาสนาต้องกัน เราคงได้พบพานกันใหม่!” เมื่อมันกล่าวจบ มันก็พุ่งวาบหายวับไปกับสายลม
ฉินมู่พลันรู้สึกถึงพลังลมที่อ่อนแรงลง เขารีบวิ่งลงมาจากท้องฟ้า เมื่อเขาเหยียบถึงพื้น หมู่บ้านพิการชราก็อยู่ไม่ไกลข้างหน้า เขาเงยหน้าขึ้นมองแต่จิ้งจอกตนนั้นจากไปโดยไร้ร่องรอยเรียบร้อยแล้ว
“กลับจากงานเลี้ยงงั้นหรือ” ฉินมู่มีข้อสงสัยเต็มพุง “น่าสนใจจริงๆ จิ้งจอกพูดได้ตนนี้ ทั้งรู้คาถา ทั้งไปร่วมงานเลี้ยง ถ้าข้าพบมันอีกครั้ง ข้าต้องซักถามให้กระจ่างเลย…”
สองวันถัดจากนั้น นักพรตเฒ่าและนักพรตหนุ่มเดินทางตรากตรำมาถึงหมู่ตึกจาง เมื่อทั้งคู่เดินเข้าไปในหมู่บ้าน นักพรตเฒ่าก็เอ่ยปาก “มีผู้เมตตาท่านใดพอจะให้น้ำพวกเราดื่มสักขันบ้างหรือไม่ พวกเรานักพรตร่อนเร่อยู่ภายนอก ท้องไส้ไม่ค่อยดีอยากจะได้น้ำอุ่นๆ สักถ้วย”
ชาวบ้านหมู่ตึกจางรินน้ำสองถ้วยให้นักพรตเฒ่านักพรตหนุ่ม ซึ่งกล่าวขอบคุณในความเมตตาของชาวบ้านผู้นั้น ด้วยสีหน้าแช่มชื่นเบิกบาน นักพรตเฒ่าแย้มยิ้ม “พวกเราอาจารย์และศิษย์พเนจรไปทั่วและพอรู้วิชาอาคมอยู่บ้าง ข้าสัมผัสได้ถึงรังสีมารปีศาจในหมู่บ้านของเจ้า ไม่ทราบว่าเจ้าอยากให้พวกเราช่วยกำจัดปีศาจนั่นให้หรือไม่”
ชาวบ้านผู้นั้นยิ้มตอบ “ปีศาจนั้นถูกกำจัดไปเรียบร้อยแล้ว มันเป็นงูยักษ์ที่ซ่อนตัวอยู่ในลำต้นไม้ มันถูกเด็กหนุ่มจากหมู่บ้านใกล้ๆ สังหาร!”
นักพรตเฒ่าอุทาน “แล้วไฉนข้าถึงยังรู้สึกรังสีมารที่นี่อยู่อีกล่ะ ช่วงนี้มีผู้ใดเสียชีวิตในหมู่บ้านหรือไม่”