Skip to content

Tales of Herding Gods 47

47. บุคคลที่สาม

ตรงหน้าพวกเขา มังกรตัวใหญ่มหึมาขดตัวพันไปมารอบๆ ราชวังอลังการนั้น ศีรษะมังกรก็อยู่เหนือโถงใหญ่ จ้องมองลงมายังพวกเขา

นี่คือโครงกระดูกมังกร เลือดเนื้อของมันหายไปจนหมดเหลือแต่กระดูก เพียงแค่เขี้ยวของมันก็สูงใหญ่เท่าตัวฉินมู่

แม้ว่ามังกรตัวนี้จะตายไปแล้ว เดชานุภาพและความสูงส่งเหนือธรรมดาของมันยังคงฉายชัด ตอนที่มันยังมีชีวิตอยู่คงเป็นผู้ทรงพลังยิ่งยวดแม้ในหมู่มังกร

ฉินมู่ปลุกเนตรสวรรค์จ้องมอง และรู้สึกทันทีว่าโครงกระดูกมังกรกลับมามีชีวิต แสงเทวะของมันเจิดจ้าเสียดแทงถึงสวรรค์ มังกรยักษ์นี้ในสายตาเขายังดูเหมือนแหวกว่ายเอี้ยวกายไปมา มันตายไปแล้วชัดๆ ทว่าความน่าเกรงขามและจิตวิญญาณของมันทำให้เขารู้สึกราวกับว่ามังกรยังมีชีวิตอยู่!

ราชามังกรแม่น้ำหย่ง มังกรเลือดบริสุทธิ์…

ฉินมู่มองไปยังมังกรมหึมาและจิตเขาก็พลันประหวัดคิด เขานึกถึงกระบวนท่าหมัดที่เฒ่าหม่าถ่ายทอดให้ พายุสายฟ้าเก้ามังกร หนึ่งในฟ้าคำรามแปดจู่โจม ปราณชีวิตในพายุสายฟ้าเก้ามังกรจะถูกแบ่งออกเป็นเก้าระลอกพลัง ระลอกแรกคือมังกรพิโรธโจนทะยาน ระลอกที่สองคือมังกรคู่บิดเกลียว ยิ่งระลอกพลังมากเท่าไหร่ ก็จะมีพลังของมังกรเสริมเข้าไปอีกเสมอ!

เรียนวิชาหมัดมาตั้งแต่เล็กๆ กับเฒ่าหม่า เขาฝึกกระบวนท่าหมัดนี้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ยังมิอาจเข้าถึงแก่นแท้ของกระบวนท่า ด้วยพลังวัตรที่เพิ่มพูนขึ้นของเขาในระยะเวลาอันสั้นที่ผ่านมา เขาก็สามารถเสริมกำลังของพายุสายฟ้าเก้ามังกร แต่ก็ยังคงเสียเปรียบเป็นรองเมื่อสู้กับหมิงซิ่นอยู่ดี

ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะว่าเขามิได้ฝึกวิชาพระสูตรมหายานยูไลของวัดใหญ่ฟ้าคำราม แต่สาเหตุหลักเลยก็เพราะว่าพลังมังกรเก้าระลอกในหมัดของเขา เพียงแค่ดูคลับคล้ายมังกรเท่านั้น

คลับคล้ายมังกรย่อมมิใช่มังกรที่แท้จริง รูปลักษณ์อาจจะดูเหมือนแต่ฤทธานุภาพนั้นมิอาจทัดเทียม ดังนั้นกระบวนท่าหมัดของเขาจึงแตกทำลายไปด้วยการปะทะเพียงผิวเผิน

หากว่าพลังในหมัดของเขาเป็นพลังมังกรที่แท้จริง แม้ว่าเขาจะมิได้เรียนรู้พระสูตรมหายานยูไล พายุสายฟ้าเก้ามังกรของเขาก็จะคงสามารถแสดงฤทธานุภาพอันเที่ยงแท้!

นั่นเพราะว่ากระบวนท่าพายุสายฟ้าเก้ามังกรคิดค้นขึ้นจากการเลียนแบบฤทธิ์เดชมังกรในการควบคุมสายฟ้าและพายุ ท่ามกลางพายุสายฟ้า มังกรเทพยดาสังหารศัตรูของมัน หากว่าเขาสามารถเข้าถึงแก่นแท้นี้ได้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องเรียนพระสูตรมหายานยูไล!

พายุสายฟ้าเก้ามังกร พายุสายฟ้าเก้ามังกร..

เพ่งพิจารณาโครงกระดูกมังกร ฉินมู่สาวเท้าไปข้างหน้าอย่างลืมตัว ในสายตาเขามีแต่เพียงโครงกระดูกมังกร เขาศึกษารูปร่างมังกร โครงสร้างกระดูก ฤทธานุภาพ ความสง่างาม และพยายามบรรลุเข้าใจออร่าและจิตวิญญาณของมังกร

เขาจมลึกลงไปในภวังค์มากขึ้นทุกที เมื่อคร่ำเคร่งกับการศึกษาโครงกระดูกมังกร ขณะที่เขาก้าวไปข้างหน้า เขาก็ขยับท่วงท่าร่างกายอย่างประหลาดพิสดาร แขนและร่างของเขาเลียนแบบของมังกรเลือดบริสุทธิ์โดยไม่รู้ตัว

ปราณชีวิตของเขาก็พลุ่งพล่านไหลเวียนไปทั่วร่างเหมือนกับมังกรเลือดบริสุทธิ์ ยิ่งโคจรไปก็ยิ่งสมบูรณ์แบบมากขึ้นทุกรอบวงโคจร

ในสมบัติเทวะทารกวิญญาณ ทารกวิญญาณของเขาก็เคลื่อนไหวในท่วงท่าเดียวกันกับกายเนื้อ มันสูดปราณชีวิตเข้าและออก และทำให้เกิดปรากฏการณ์อัศจรรย์ขึ้น ปราณชีวิตที่ทารกวิญญาณหายใจออกมา มิได้หวนคืนกลับสู่ร่างกายของฉินมู่ แต่กลัวแหวกว่ายวนเวียนรอบๆ ทารกวิญญาณ ก่อรูปลักษณ์เป็นมังกรตัวเล็กๆ และยิ่งปราณชีวิตถูกปลดปล่อยจากทารกวิญญาณมากเท่าไหร่ มังกรน้อยตัวนั้นก็เติบโตมากขึ้นทุกที จนตัวใหญ่เท่าคนขณะที่ยังคงแหวกว่ายไปรอบๆ ทารกวิญญาณ

ตอนแรกฮู่หลิงเอ๋อก็ยังอกสั่นขวัญหาย แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความกลัวในใจนางก็จางลง และไม่ถึงกับหวาดผวาจนขวัญบินเหมือนเดิม ฉินมู่ซึ่งกำลังจดจ่อกับการพิจารณากระดูกมังกรก็ไม่ได้สังเกตนาง เขาลืมว่ามีจิ้งจอกขาวอยู่ด้วยไปเสียสนิท

เวลาผ่านไป พุงของฮู่หลิงเอ๋อก็ร้องจ๊อกๆ นางไต่ลงมาจากร่างของฉินมู่อย่างระมัดระวัง แล้วย่องเขย่งอย่างเบาตีนออกจากวังมังกรใต้น้ำนี้ มิใช่ว่านางกลัวจะรบกวนสมาธิของฉินมู่ หากแต่กลัวว่าถ้านางส่งเสียงดังเกินไป กระดูกมังกรอาจจะทำอะไรแปลกๆ

หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง จิ้งจอกขาวก็กลับมาจากนอกวังถือถุงผ้ามาด้วย ในถุงเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตประหลาดที่คล้ายดอกแดนดิไลอ้อน

ฮู่หลิงเอ๋อฝืนใจพยายามไม่กลัวมังกร และย่องกลับเข้าไปในหมอก ไปยังที่ที่ฉินมู่อยู่ นางไต่ขึ้นหลังฉินมู่ แล้วนั่งอยู่บนบ่าของเขา พลางยัดสิ่งมีชีวิตนั้นเข้าปากเขา

ฮู่หลิงเอ๋อป้อนสิ่งประหลาดนั้นให้ฉินมู่ไปกว่ายี่สิบตัว ก่อนเคี้ยวที่เหลือตุ้ยๆ อย่างเอร็ดอร่อย

ฉินมู่ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นจากภวังค์ เมื่อเขาเคลื่อนไหวท่าร่างอย่างอิสระลื่นไหลทั้งที่สายตายังจับจ้องโครงกระดูกมังกรราวกับทากาวติดเอาไว้ บางครั้งเขาก็ถึงกับปีนขึ้นไปบนโครงกระดูกมังกร และเดินวนไปมาบนกระดูกใหญ่โตมโหฬารนั้น

ในระหว่างนั้น มังกรเขียวก็พัวพันแหวกว่ายรอบๆ ทารกวิญญาณของเขาพลางส่งประกายไฟฟ้าออกมาเป็นระยะ ทว่าฉินมู่ซึ่งมีใจจดจ่อกับการศึกษากระดูกมังกรก็ไม่ได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลง

สองวันผ่านไปเช่นนั้น ฉินมู่กิน ดื่ม ฉี่ อึ และหลับไหลในสถานที่นั้น จนตัวเขาเหม็นหึ่ง ทว่ายังคงไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นจากภวังค์

ฮู่หลิงเอ๋อเองก็ใจเย็นอดทนอย่างสูงเมื่อนางคอยดูแลฉินมู่ตลอด เมื่อเขากระหาย นางก็จะใช้ใบไม้ช้อนน้ำมาให้ เมื่อเขาหิวนางก็จะไปจับสิ่งมีชีวิตประหลาดมาป้อน แต่ในการที่จะจับพวกมันมา นางต้องผ่านบ่อน้ำและระมัดระวังมิให้ถูกปลาร้ายกาจเหล่านั้นจับกิน นับว่าโชคดีที่นางฉลาด ไหวพริบว่องไว และไม่พลาดพลั้ง

และแน่ล่ะ เมื่อฉินมู่ปล่อยอึออกมา ก็เป็นนางก็เก็บกวาดไปทิ้งให้

เมื่อวันที่สามมาถึง ขณะที่ฮู่หลิงเอ๋อไปตักน้ำ นางก็ได้ยินเสียงอุทานของฉินมู่ “ทำไมข้าสกปรกอย่างนี้เนี่ย”

ฮู่หลิงเอ๋อตกใจ แต่ก็ดีใจ เมื่อนางตอบไปตรงๆ “เจ้ายืนอยู่ตรงนี้ตั้งสามวันสามคืน แปลกอะไรที่จะสกปรกขนาดนี้!”

“ผ่านมาสามวันแล้วหรือ”

ฉินมู่ตระหนกและร้องออกมา “แย่แล้ว! พวกผู้เฒ่าในหมู่บ้านคงเป็นห่วงข้าแทบตาย ที่ข้าไม่กลับบ้านไปตั้งสามวัน! เร็วเข้า รีบกลับกันเถอะ!”

ทันใดนั้น เขาก็ชะงักเท้าแล้วกล่าว “แต่ถ้าข้ากลับไปตอนนี้ ยังไงก็จะโดนดุแน่ๆ แถมอาจจะโดนห้ามไม่ให้ออกมาเที่ยวเล่นอีกนาน ในเมื่อข้าออกมาแล้ว ทำไมข้าไม่ลองเที่ยวชมให้ทั่ววังมังกรล่ะ เผื่อว่าจะเจอสมบัติล้ำค่าอะไรบ้าง”

ด้วยอารมณ์คึก เขาเดินลึกเข้าไปในวังมังกรใต้น้ำ ฮู่หลิงเอ๋อเดินตามเข้าไปในห้องโถงอลังการ แต่ด้วยว่าความใจเสาะของนาง ทำให้จิ้งจอกขาวเกาะแข้งขาฉินมู่ไม่กล้าไปไหนไกล

โถงอลังการใจกลางวังนั้นอบอวลไปด้วยม่านหมอกหนาทึบ ซึ่งขมุกขมัวยิ่งกว่าข้างนอก เขาจึงมองไปได้ไม่ไกล

“แปลกจริง หมอกพวกนี้มาจากไหนกัน”

ฉินมู่งุนงง หมอกนี้มิใช่ไอน้ำ และขนาดว่าเขาใช้เนตรสวรรค์มองก็มิอาจทะลุไปไกล ยิ่งเขาเข้าโถงนั้นลึกไปเท่าไหร่ หมอกก็ยิ่งหนาทึบมากขึ้น และทัศนวิสัยเขาก็แย่ลงเป็นเงาตามตัว ฮู่หลิงเอ๋อหวาดผวากับบรรยากาศมากขึ้นทุกที นางงับชายขากางเกงฉินมู่เอาไว้แน่นเพื่อไม่ให้พลัดจากเขา

ในตอนนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงแปลกประหลาด ซึ่งอ่อนโยน สงบนิ่ง แต่ก็แฝงได้ด้วยความเศร้ากำสรดใจในนั้น ราวกับว่ามีใครกำลังร้องเพลงอันเศร้าสร้อยอยู่ในหมอก แต่เนื้อเพลงนั้นมิอาจเข้าใจความหมายได้

มันเป็นภาษาโบราณซึ่งทั้งลึกลับและซ่อนเงื่อน โบราณพอๆ กับภาษาเทพและภาษามาร

เมื่อฉินมู่เงี่ยหูฟังเพลง เขาก็แตะใบหน้าตนเองและพบว่า น้ำตาของตนหลั่งไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว

เพลงนี้ทำให้เขาจินตภาพถึงสตรีที่ลอยล่องไปมาในหมอก ระหว่างที่ร้องเพลงบอกเล่าเรื่องราวแสนรวดร้าวใจของนาง

ทันใดนั้น ห่วงบนไม้เท้าขักขระก็สั่นกรุ๊งกริ๊งอย่างรุนแรง

ท่านปู่หม่าบอกว่า ไม้เท้าขักขระมีความวิเศษตรงที่สามารถขจัดความคิดชั่วร้ายไม่บริสุทธิ์ได้ เมื่อจิตใจหวั่นไหว ห่วงก็จะสั่นกระทบกันไปมา แต่ละความคิดอันชั่วร้ายไม่บริสุทธิ์จะทำให้ห่วงสั่นไหวหนึ่งครั้ง ตอนนี้ห่วงบนไม้เท้าสั่นกรุ๊งกริ๊งไม่หยุด ความคิดชั่วร้ายไม่บริสุทธิ์ของข้าเยอะขนาดนั้นเลยหรือ

แต่เมื่อมองลงไป ฉินมู่ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ เมื่อพบว่าตัวต้นเหตุคือฮู่หลิงเอ๋อที่ตัวสั่นงันงกกอดขาเขาแน่น หางของนางก็ไปพาดบนไม้เท้าขักขระ ไม่ใช่จิตใจของฉินมู่ที่กำลังหวั่นไหว แต่เป็นจิ้งจอกน้อยตัวนี้

“หลิงเอ๋อ เอาหางเจ้าออกไปก่อน” ฉินมู่บอก

ฮู่หลิงเอ๋อ กวาดหางหนีจากไม้เท้า และยังคงตัวสั่นเทาต่อ

ฉินมู่ขมวดคิ้ว แม้ว่าฮู่หลิงเอ๋อจะเบี่ยงหางหนีจากไม้เท้าแล้ว แต่ไม้เท้าขักขระก็ยังคงส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งไม่หยุดหย่อน

หรือว่าจะมีบุคคลที่สามนอกเหนือจากข้าและฮู่หลิงเอ๋อ หรือว่านี่จะเป็นกิเลสจากจิตของบุคคลที่สามนั้น และคนผู้นั้นหรือว่าจะเป็นผู้หญิงที่กำลังร้องเพลงอยู่

ไม้เท้าขักขระยิ่งมายิ่งส่งเสียงดังลั่นสันสะเทือนรุนแรง ชัดเลยว่าบุคคลที่สามที่กำลังแตะไม้เท้าจะต้องมีกิเลสความคิดไม่บริสุทธิ์หนักหนาก่ายกอง ด้วยสัมผัสถึงความคิดกิเลสของคนผู้นั้น ไม้เท้าขักขระถึงสั่นกรุ๊งกริ๊งไม่หยุด!

ในอากาศ เสียงเพลงล่องมาจากทางโน้นที ลอยมาจากทางนี้ที ยิ่งร้องก็ยิ่งฟังดูเศร้ารันทด

ฉินมู่มองลงไปข้างหน้า และขนลุกวาบเมื่อเห็นมือกระดูกเอื้อมมาหมายคว้าจับไม้เท้าพระ แต่ก่อนที่มือนั้นจะแตะต้องไม้เท้าได้ มันก็ชะงักและชักกลับไปราวกับว่าถูกไฟฟ้าช็อต

ฉินมู่ปักไม้เท้าขักขระลงกับพื้นแล้วมองไปรอบๆ หางตาเขากระตุกรัวๆ เมื่อเห็นว่าภายในหมอกหนานั้น เต็มไปด้วยฝ่ามือกระดูกที่เอื้อมมือไขว่คว้าใส่เขาจากทั่วทุกทิศทาง และมันชักกลับก็เมื่อมันเข้าไปแตะต้องไม้เท้าขักขระ

เพลงอันอ่อนหวานในหมอก ก็ฟังชัดเจนเสียงกระจ่างยิ่งขึ้น ราวกับว่ามีคนมาร้องใส่หู

มีอะไรอยู่ในหมอกนี้กันแน่

ขนทั้งตัวเขาลุกวูบวาบ ส่วนฮู่หลิงเอ๋อ ไต่จากปลายขากางเกงเขาเรียบร้อยแล้ว นางมุดเข้าไปในเสื้อชั้นนอกของเขา และซ่อนขดตัวรอบๆ เอวฉินมู่ มีเพียงหน้าขนเล็กๆ ของนางที่แอบมองสถานการณ์รอบๆ จากในเสื้อ ทั้งที่ยังตัวสั่นงันงก

ภาพที่เห็นนั้นน่ากลัวเกินไป ทำให้ฉินมู่ก็กระวนกระวายเช่นกัน แต่ว่าเมื่อห่วงทองคำส่งเสียงกริ๊ง เสียงห่วงไม้เท้านั้นก็ปลอบใจให้เขาสงบลงได้

เขาตั้งหลักและสังเกตดู ด้วยจำนวนของมือมากมายก่ายกองขนาดนี้ ย่อมไม่ได้มาจากบุคคลเพียงผู้เดียว

“ไม่ว่าพวกเจ้าคือตัวอะไร จงถอยไปให้หมด!”

ปราณชีวิตของฉินมู่โถมพุ่ง และถ่ายเทเข้าไปในไม้เท้าขักขระ เขายกไม้เท้าขึ้น แล้วกระแทกลงพื้นด้วยกำลังแรง เสียงเคร้งดังสนั่นเมื่อไม้เท้าขักขระเปล่งแสงทองสาดส่องไปทั่วทุกทิศ ในเวลาเดียวกันนั้นเงารูปของพุทธองค์ก็ปรากฏเบื้องหลังเขา เงาพุทธองค์นั่งขัดสมาธิและเปล่งเสียงภาษาสันสกฤต

“พุทธองค์ตรัสไว้ว่า!”

เสียงสันสกฤตจากเงารูปพุทธองค์แผ่พุ่งสั่นสะเทือนโดยรอบ

“นับแต่จักรวาลถือกำเนิด สรรพสัตว์ล้วนเกิดใหม่และตายวนเวียนไม่รู้จบสิ้น เพราะสรรพสัตว์เหล่านั้นไม่กระจ่างถึงสัจธรรมอันบริสุทธิ์ ว่าไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้เป็นตัวตน ร่างเป็นมายา ทุกๆ สิ่งเป็นมายา ด้วยหลงผิดคิดยึดติดในมายา สรรพสัตว์จึงได้แต่ว่ายวนในวัฏสงสาร…วัฏสงสาร…วัฏสงสาร…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!