54. บ้าน 360 หลัง
ในหมู่บ้าน เฒ่าหม่าชักหมัดกลับ แล้วเอ่ยถามฉินมู่ “เจ้าเข้าใจสิ่งที่เจ้าเห็นไหม”
“ข้าเข้าใจ!”
ฉินมู่ขบคิดใคร่ครวญ “พลังมังกรประเภทที่แตกต่างกัน ก็สำแดงพลังหมัดประเภทอันแตกต่าง โดยการจัดเรียงพลังมังกรในลำดับที่ไม่เหมือนกัน ย่อมทำให้พลังของมันไม่เหมือนกันเช่นกัน ด้วยมีตัวเลือกพลังมังกรเขียวกว่าร้อยสายพันธุ์ และด้วยการสลับลำดับการจัดเรียงพลัง พายุสายฟ้าเก้ามังกรก็แทบจะมีการเปลี่ยนแปรไม่สิ้นสุด! เมื่อศัตรูตั้งรับหมัดแรกของท่าน เขาย่อมใช้วิธีเดิมป้องกันหมัดที่สองได้! แม้ว่าข้าจะปล่อยหมัดไปร้อยหมัดพันหมัด ก็สามารถทำให้หมัดทุกหมัดไม่ซ้ำกันได้!”
เฒ่าหม่าเผยรอยยิ้มที่หาดูได้ยากของเขา “ก่อนหน้านี้ กายาจ้าวแดนดินของเจ้าไม่มีคุณสมบัติธาตุ จึงไม่อาจฝึกปรือพระสูตรมหายานยูไล ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังได้สาบานไว้กับวัดใหญ่ฟ้าคำรามว่าจะไม่ถ่ายทอดพระสูตรมหายานยูไลออกไปภายนอก และบัดนี้เมื่อกายาจ้าวแดนดินของเจ้ามีคุณสมบัติธาตุมังกรเขียว ข้าก็ไม่ถ่ายทอดให้เจ้าอยู่ดี แต่ทว่าหากว่าเจ้าสามารถเข้าใจกระจ่างของความนัยอันจริงแท้ของหมัดนี้ ก็ไม่แตกต่างกันแม้ว่าจะเจ้าจะเรียนพระสูตรมหายานยูไลหรือไม่ เจ้าได้เรียนรู้ความสูงสง่า รูปลักษณ์ เดชานุภาพ รัศมี และจิตวิญญาณของมังกรแล้ว ต่อให้เจ้าไม่เคยได้เห็นร้อยรูปมังกรเจ้าก็ยังสามารถหยั่งคะเนถึงความมหัศจรรย์ของร้อยรูปมังกรได้ ด้วยวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะของเจ้า พละกำลังของหมัดฟ้าคำรามแปดจู่โจม ย่อมไม่ด้อยไปกว่าการใช้วิชาพระสูตรมหายานยูไล!”
ฉินมู่ฮึกเหิมขึ้นมาทันใด ปกติแล้วเฒ่าหม่าดูเป็นคนเย็นชาไม่ค่อยกล่าวชมใคร ดังนั้นเขาจึงลิงโลดดีใจเมื่อได้รับคำชมของเฒ่าหม่า ไม่เพียงเท่านั้น คำพูดของเฒ่าหม่ายังให้แรงบันดาลใจและความคิดใหม่ๆ แก่เขา หากว่าพลังมังกรคือหัวใจสำคัญของพายุสายฟ้าเก้ามังกร แล้วหัวใจสำคัญของกระบวนท่าหมัดสายฟ้าวสันต์ในทะเลบูรพาล่ะ?
เขาจะสามารถเข้าถึงหัวใจสำคัญของกระบวนท่านี้ผ่านการเฝ้าสังเกตการขึ้นและลงของแม่น้ำที่ไหลลงทะเล และการเงี่ยหูฟังเสียงสายฟ้าแรกฤดูฝนหรือเปล่า
และนิ้วสายฟ้าบรรเลงปี่แป้นี่ก็อาจจะเกี่ยวกับดนตรีใช่ไหม
ยังมีกั๋วฟู่ล่าตะวันและแสงตะวันเผาวิญญาณหยาง กระบวนท่าพวกนี้ต้องมีวิธีเฉพาะเจาะจงในการบรรลุทำความเข้าใจ!
ยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้น และแทบจะอดรนทนไม่ได้ที่จะออกจากหมู่บ้านไปท่องเที่ยวทั่วโลก เพื่อไปมองดูทิวทัศน์มหัศจรรย์ในโลกนี้ และเฝ้าสังเกตกฎอันลี้ลับของธรรมชาติ!
“พรุ่งนี้เจ้าอย่าลืมรีบตื่นแต่เช้า แล้วแวะไปหมู่บ้านข้างๆ เพื่อเยี่ยมเยียนคารวะล่ะ” ท่านยายซียิ้มแฉ่งมา
ฉินมู่ฉงน “ท่านยาย ผู้คนในหมู่บ้านข้างๆ ที่มาจากลัทธิมารฟ้า ทำไมพวกเขาถึงเรียกท่านว่าฮูหยิน ทำไมพวกเขาถึงอยากให้ท่านเป็นจ้าวลัทธิ พวกเขาจะฆ่าพวกเราไหมถ้าพวกเราไม่ทำตาม”
ท่านยายซีบีบนวดขมับของตนแล้วยิ้ม “คำถามพวกนี้ เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง”
เช้าตรู่วันถัดมา หลังจากฉินมู่ทานอาหารเช้าและอาบน้ำแต่งตัวแล้ว เขาก็เข้าไปเก็บไข่ในเล้า และต้องปะทะจิกตีกับแม่ไก่มังกรซึ่งต่อสู้สูสีกันกับฉินมู่ มันกระพือปีกมันไปมา ใช้ขนคมกริบราวกระบี่เฉือนฟันไอ้โจรน้อยตัวขโมยไข่พร้อมกับพ่นไฟใส่ แต่ด้วยมังกรเขียวที่รัดพันรอบๆ ร่าง ฉินมู่ใช้นิ้วสายฟ้าบรรเลงปี่แป้เพื่อป้องกันกระบี่ขนไก่เหล่านั้น
“มู่เอ๋อ เลิกตีกับไก่แล้วไปเยี่ยมคารวะหมู่บ้านข้างๆ เร็วเข้า” ท่านยายซีกล่าว พลางเดินกระย่องกระแย่งเข้ามาไล่แม่ไก่มังกรไป
ฉินมู่รีบเดินตามนาง แม่ไก่มังกรที่โดนไล่หนีเมื่อครู่ กลับมาใหม่แล้ววิ่งรี่เข้ามาหมายจะจิกตีฉินมู่อีกครั้ง แต่ถูกสายตาพิฆาตของท่านยายซีจ้องจนมันหงอกลับไป
ท่านยายซีพาเขาไปที่หมู่บ้านข้างๆ และผู้อาวุโสคุมกฎก็มาออกมาต้อนรับพวกเขา ขณะที่เขากวาดตาสำรวจฉินมู่ไปๆ มาๆ เขาก็บอกท่านยายซี “ฮูหยินลัทธิ ทุกอย่างตระเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว คุณชายเพียงแค่ต้องเดินผ่านห้องทั้งหมดสามร้อยหกสิบห้องเท่านั้น”
“ต้องผ่านด่านสามร้อยหกสิบห้องในรวดเดียวงั้นรึ นี่ไม่ยากเกินไปหน่อยหรืออย่างไร”
ผู้อาวุโสคุมกฎแย้มยิ้ม “หากว่าเขาผ่านทั้งสามร้อยหกสิบห้องไม่ได้ ข้าก็คงมีแต่ต้องเชิญให้ฮูหยินลัทธิกลับไปกับเรา”
ยายเฒ่าขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วถาม “เช่นนั้นเขาพักได้ไหม”
“พักได้ตามสบาย มีอาหารและเครื่องดื่มตระเตรียมไว้ในห้อง มีทั้งเตียง สมุนไพร ยาเซียน และทุกอย่างที่เขาต้องการ”
ยายเฒ่าซีกัดฟันอีกหน แล้วหันไปทางฉินมู่ “มู่เอ๋อ เจ้าเดินผ่านห้องสามร้อยหกสิบห้องเพื่อเยี่ยมคารวะพวกเขา จำไว้ว่าไม่ต้องเรียกเขาว่าผู้อาวุโส เรียกว่าศิษย์พี่และศิษย์พี่หญิงก็พอ”
ฉินมู่ผงกศีรษะและเดินไปยังบ้านหลังแรกแล้วยิ้ม “สามร้อยหกสิบห้อง ไม่รู้ว่าจะต้องเยี่ยมคารวะนานแค่ไหนถึงจะครบทุกห้อง ท่านยาย ข้าเข้าไปล่ะนะ”
ยายเฒ่าซีมองไปที่หลังของเขาแล้วถาม “มู่เอ่อ เจ้ารู้หรือไม่ว่าจะต้องเผชิญกับอะไรหลังจากเข้าไปข้างใน”
ฉินมู่พึมพำเบาๆ “ข้ารู้ ข้าไม่มีทางยอมให้พวกเขาเอาตัวท่านยายไปเด็ดขาด”
ยายเฒ่าซีรู้สึกอุ่นขึ้นมาในหัวใจเมื่อนางหันกายเดินกลับไป เมื่อนางเก็บเด็กคนนี้มาจากริมแม่น้ำในครั้งกระโน้น นางไม่คาดคิดเลยว่าจะมาถึงวันที่ทารกในวันนั้นจะเติบใหญ่จนช่วยแบกรับภาระของนางได้
ฉินมู่เดินไปยังชั้นที่หนึ่งของบ้านหลังแรก และเห็นห้องในบ้านนั้นค่อนข้างกว้าง ข้างในมีชายหน้าเหลืองซีด หน้าของเขาเหลืองอ๋อยราวกับว่าเพิ่งกินถุงน้ำดีเข้าไป ที่คางเขาไว้เคราแพะที่หวีไว้อย่างดี และในแขนของเขามีลูกคิด ทำให้เขาดูเหมือนเสมียนที่ทำหน้าที่จดบัญชี
“ศิษย์พี่”
ฉินมู่ยืนตรงกล่าวคารวะ จากนั้นถอดอาวุธบนหลังทั้งหมดของเขาวางไว้ที่หน้าประตู “ศิษย์พี่ เชิญ”
เสมียนผู้นั้นมองที่เด็กอายุสิบเอ็ดสิบสองด้วยความประหลาดใจแล้วถามอย่างทึ่งๆ “เจ้ารู้ด้วยหรือว่าเจ้ามาทำไมที่นี่ หรือว่าฮูหยินลัทธิบอกเจ้า”
ฉินมู่ยืดเหยียดร่าง ให้ปราณชีวิตของเขาแผ่พุ่งออกมา เขายิ้มตอบ “ไม่ต้องให้ท่านยายบอก ข้าก็รู้กระจ่างใจ!”
เมื่อพละกำลังพวยพุ่งจากฝ่าเท้าของเขา ด้วยการสาวเท้ารวดเดียวเขาก็พุ่งไปประชิดกับเสมียนผู้นั้น และด้วยเสียงฟ้าคำรามจากฝ่ามือ ปราณชีวิตของหนุ่มน้อยก็โหมกระพือประดุจเพลิงไฟ!
“ให้ข้าตะลุยซัดตั้งแต่ห้องแรกถึงห้องที่สามหกสิบ ก็แค่นั้นไม่ใช่หรือ”
เสมียนคนนั้นรีบยกมือเขาขึ้นต่อต้าน และพบว่ามีพลังมหาศาลกระแทกใส่เขา ทำให้เขาลอยลิ่วกระแทกทะลุผนังไม้ข้างหลัง และกระเด็นไปกลิ้งอยู่กับลานบ้าน ไถลไปกว่าสิบวาถึงตั้งหลักได้
เขาทั้งตกตะลึงทั้งโมโห เมื่อเขามองไปยังรูที่เขาเพิ่งทะลุออกมา และเห็นฉินมู่เดินออกไปเก็บอาวุธของตนเอง ก่อนตระเตรียมไปเยี่ยมคารวะห้องต่อไป
“ทำไมข้าต้องหงุดหงิดกับเด็กน้อยด้วยล่ะ”
เสมียนผู้นั้นเปลี่ยนจากเคืองใจเป็นหัวเราะ เขาตะโกนไปให้คนอื่นในหมู่ตึกได้ยิน “พวกเจ้าที่เหลือระวังให้ดีๆ เด็กน้อยคนนี้เจ้าเล่ห์แสนกลนัก ปราณชีวิตของเขาที่ขั้นทารกวิญญาณหนาแน่นกว่าข้าที่ขั้นเดียวกันมากกว่าสองเท่า ระวังจะแพ้แบบไม่ทันตั้งตัว”
“มากกว่าเจ้าถึงสองเท่า?”
เสียงไพเราะของหญิงผู้หนึ่งร้องขึ้นมาด้วยความตระหนก “พลังวัตรระดับนี้ สมแล้วที่เป็นคุณชายลัทธิเรา แต่ถึงยังไง ข้าก็สงสัยว่าเขาจะเก่งกาจแค่ไหนในเรื่องเวทมนตร์”
ฉินมู่เดินต่อไปยังบ้านหลังต่อไป และผลักประตูเปิด ในห้องมีบัณฑิตที่กำลังโคลงหัวไปมา จากการจ่อมจมกับหนังสือในมือตนเอง
“ศิษย์พี่” ฉินมู่กล่าวทักทาย
บัณฑิตมีสีหน้าระแวดระวังทันที แล้วเผยยิ้ม “เจ้ากะจะลอบโจมตีข้าระหว่างที่ข้าสนทนาทักทายกับเจ้างั้นรึ ไม่มีทาง…”
“ฉีเก่อตั๋ว!”
ตู้มมม!
เสียงสายฟ้าฟาดดังสนั่น และแผ่นดินก็สะเทือนจนรู้สึกได้ เศษไม้ปลิวว่อนในอากาศเมื่อบัณฑิตผู้นั้นกระเด็นไปข้างหลัง กระแทกทำลายผนังไม้แล้วชนติดกับต้นไม้
บัณฑิตยืนกับพื้นได้ก็รีบร้องเตือนด้วยเสียงอันดัง “ระวังด้วย เจ้าเด็กนี่มีคาถามารร้ายกาจเชี่ยวชาญ พลิกแพลงยากคาดเดายิ่งกว่าคาถาลัทธิศักดิ์สิทธิ์เรา..”
ตู้มมม!
พุดไม่ทันขาดคำ ครูสอนตามบ้านสูงอายุก็ปลิวออกมาจากเรือนไม้ แล้วกลิ้งไปชนเสาหิน ร้องโวยวายด้วยความโมโห “เหลวไหล! ข้าถูกเจ้าหลอกให้มัวแต่ระวังคาถามารของเขา ปล่อยให้เขามีโอกาสใช้วิชาวัดใหญ่ฟ้าคำรามที่แทบจะทำลายวิญญาณข้า! อย่าโดนหลอกนะ! เขาใช้วิชาฟ้าคำรามแปดจู่โจมของวัดใหญ่ฟ้าคำราม!”
“เหลวไหล!”
เสียงเกรี้ยวกราดของหญิงผู้หนึ่งดังออกมาจากบ้านหลังที่สี่ “เฒ่าเซี่ย เจ้าลวงข้า! วิชาที่เขาใช้คือมารฟ้าเสกสรร ตรึงสามวิญญาณและเจ็ดจิต! เจ้ากล้าหนีไปอีกหรือหลังจากที่แต๊ะอั๋งไปทั่วเนื้อทั่วตัวข้า ทำข้าเสื่อมเสียชื่อเสียง เด็กร้ายกาจ!”
ใบหน้าฉินมู่แดงขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อเขาเดินออกมาจากห้องที่สี่ ดรรชนีที่ใช้จี้ในวิชามารฟ้าเสกสรรนั้นต้องจี้ไปที่จุดง่ามขา หน้าอก และท้องน้อย สามตำแหน่งนี้เป็นจุดสงวนเร้นลับของสตรี ดังนั้นไม่ง่ายเลยที่ฉินมู่จะต้องลงมือ เพราะจุดเหล่านี้ค่อนข้างดูทะลึ่ง โดยเฉพาะจุดง่ามขา
“ข้ายังเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจเรื่องพวกนี้” เด็กเลี้ยงวัวแห่งหมู่บ้านพิการชรากะพริบตาอย่างใสซื่อและพึมพำกับตนเอง
ในห้องที่ห้า ชายผอมแห้งยังกับหนังหุ้มกระดูกมองไปที่ฉินมู่ เขาก้าวเข้ามาแล้วแค่นเสียง “เฮอะ ไม่ว่าเจ้าจะใช้วิชามารอะไร ก็อย่าหมายจะผ่านข้าไปได้ วิชาคางคกทองข่มนาม!”
เมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้ฉินมู่ เขาก็สูดลมหายใจลึกยาว ซึ่งในขณะเดียวกันก็สร้างเสียงคร๊อกๆ ในคอ เสียงคร๊อกๆ นี้ดังขึ้นดังขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนกับเสียงคางคกร้องระงม!
ฉินมู่มองดูจนตกใจ ร่างผอมแห้งของหัวหน้าโถงลัทธิมารฟ้าผู้นี้ขยายพองใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ หนังแห้งติดกระดูกของเขาพลันพองขึ้นกลายเป็นกล้ามเนื้อแข็งแกร่งมากขึ้นทุกครั้งที่เขาสูดลมเข้าไป
วิชาคางคกทองข่มนามนี้เป็นวิชาในแนวการแปลงร่างมาร โดยการเลียนแบบคางคกทองข่มนาม อันคางคกทองข่มนามนี้เป็นสัตว์พิสดารสายพันธุ์พิเศษ ปกติแล้วมันจะตัวใหญ่เท่ากับอ่างล้างหน้า แต่เมื่อมันสูบลมเข้าไปในร่าง ตัวมันก็จะพองใหญ่ขึ้นร้อยเท่ากัดกินเสือเถื่อนสิงโตดุได้ในคำเดียว
เมื่อใดที่เขาใช้วิชาคางคกทองข่มนามของลัทธิมารฟ้า พละกำลังของเขาก็จะมากมายไร้ประมาณ และปราณชีวิตของเขาก็จะกลายเป็นหนาแน่นเป็นพิเศษ ถึงแม้จะไม่เพิ่มพูนเป็นร้อยเท่าแบบคางคกทองข่มนามตัวจริง แต่ก็นับว่าเพิ่มขึ้นไม่ใช่น้อย!
หัวหน้าโถงลัทธิมารฟ้าสูดลมหายใจลึก ฉินมู่เองก็สูดลมหายใจอัดอากาศเข้าปอดเช่นกัน แต่ที่แตกต่างจากวิชาคางคกทองข่มนามก็คือ หน้าอกของเขามิได้พองขึ้นมาแม้ว่าปริมาณอากาศที่เขาสูบเข้าไปจะมหาศาลน่าขนลุก อากาศเกือบทั้งหมดรอบๆ ตัวเขาถูกดูดดึงเข้าไปจนเกือบหมด ทำให้รอบๆ ข้างเขากลายเป็นสุญญากาศไปพริบตาหนึ่ง จนกระทั่งมีลมหลั่งไหลเข้ามาในบ้านไม้นี้อย่างรุนแรงจนหน้าต่างสะเทือน!
ปราณชีวิตของหัวหน้าโถงเดือดพล่านขึ้นทันตาหลังจากที่เขาสูดลมหายใจจนสุด ทั่งร่างเขาปูดโปนด้วยมัดกล้ามซึ่งแข็งปั๋งราวกับหินผา ดันเสื้อเขาปริออกมาดูราวกับว่าจะฉีกเสื้อขาดออกจากกันในเดี๋ยวนั้น!
ร่างกายของเขาสูงใหญ่มหึมาขึ้นจนแทบจะสูงสามวาดูคล้ายกับยักษ์มินิตัวหนึ่ง!
ส่วนฉินมู่นั้นยังมีรูปลักษณ์แบบเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“วิชาคางคกทองข่มนามมีพละกำลังไร้เทียมทาน สามารถบดขยี้เจ้าได้ในหมัดเดียว! คร๊อก…”
หัวหน้าโถงเงื้อฝ่ามือ มันขยายใหญ่เท่าใบลานและแดงก่ำราวกับโลหิต ด้วยแสงแดงดุฉายฉานในห้องนั้น อากาศรอบข้างก็ระเบิดเมื่อหมัดแหวกอากาศซัดใส่ฉินมู่
อย่างไม่ยอมกัน ฉินมู่ซัดหมัดสวน กำปั้นยักษ์และกำปั้นเล็กปะทะกันดังสนั่น และในพริบตานั้น ทั้งบ้านก็สั่นไหวสะท้านสะเทือน
ผู้นำโถงครางหนักๆ แล้วผงะถอยไปหนึ่งก้าว กล้ามเนื้อเขาบิดขยุกขยักราวกับว่ามีมังกรมุดเข้าไปข้างในและมุ่งหน้าไปยังก้อนหัวใจของเขาด้วยความเร็ว!
สีหน้าเขาแปรเปลี่ยน เขารีบยกมืออีกข้างลงมาสับที่แขนของเขา เพื่อผ่ามังกรออกเป็นสองท่อน เขาผงะถอยหลังไปอีกก้าวและแขนของเขาก็ปูดพองขยุกขยักอีกครั้งแต่คราวนี้ดูเหมือนมีมังกรสองตัวมุดเข้าไปใต้ผิวหนัง เขารีบสับพวกมันให้ขาดอีกหน!
เมื่อเขาถอยก้าวที่สี่ กำแพงข้างหลังที่เขาถอยไปชนก็หักพัง และด้วยก้าวที่ห้า เท้าเขาก็ถอยไปเหยียบพื้นนอกบ้าน เขาถอยกรูดอีกสี่ก้าว ก่อนที่จะไปพิงอยู่กับต้นไม้ใหญ่อันสั่นเทิ้มอย่างน่ากลัว ลำต้นไม้แตกระเบิดออก และยอดไม้ก็หักร่วงลงมา
เศษซากต้นไม้ปลิวว่อนกระจายในอากาศ รูปเงามังกรเก้าตัวอันเรียกลมเรียกฝนก็ทะลวงผ่านออกมาจากหลังของหัวหน้าโถง ตามมาด้วยสายฟ้าฟาด แสงแปลบปลาบ และเสียงคำรามเก้ามังกร
เขาไม่สามารถยับยั้งพลังระลอกที่เก้าของพายุสายฟ้าเก้ามังกร