Skip to content

Tales of Herding Gods 58

58. จ้าวลัทธิน้อย

ผู้คนที่ลานบ้านเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกที พวกเขามีรูปร่างท่าทีผิดแผกแตกต่างกันไปและต่างก็มีอาชีพไม่ซ้ำกัน สิ่งเดียวที่พวกเขาเหมือนกันก็คือทั้งหมดต่างแหงนคอมองขึ้นไปยังตึกไม้อันพังมิพังแหล่ซึ่งตอนนี้เต็มไปด้วยรูโหว่ผนังทะลุไปหมด

และในที่สุด หัวหน้าโถงไม้ก็ถูกโค่นล้มลงจนได้ พร้อมกับตึกไม้หลังนั้นที่โค่นลงสู่พื้นพร้อมๆ กัน

ท่ามกลางสิ่งก่อสร้างอันหักพังลงมานั้น ฉินมู่ปรากฏตัวพร้อมกับมังกรเขียวที่กระหวัดพันรอบกายของเขา หมัดต่อยทลายเศษไม้พวกนั้นให้กระเด็นออกไป เท้าก็ย่างไปสู่ตึกไม้หลังถัดไป

ตูม ตูม ตูม!

ตึกไม้หลังที่สองสั่นเป็นเจ้าเข้า ราวกับมีสัตว์เถื่อนดุร้ายวิ่งอาละวาดอยู่ในนั้น ตึกไม้หลังนั้นไม่ได้ดีไปกว่าตึกหลังก่อน เมื่อหัวหน้าโถงในตึกถูกซัดออกมาจากห้องปลิ่วว่อนไปทั่วทิศตามๆ กัน

ฉินมู่คืบหน้าไปอย่างรวดเร็วขึ้นทุกที เห็นได้ชัดว่าเขากำลังซึมซับประสบการณ์การต่อสู้ เพิ่มพูนความไวสัญชาติญาณ และสั่งสมทักษะอย่างต่อเนื่องทุกๆ ครั้งที่เขาเอาชนะหัวหน้าโถงเหล่านั้น!

ครืน

ตึกหลังที่สองพังราบเป็นหน้ากลอง ส่งฝุ่นคลีปลิวว่อนไปทั่ว

ฉินมู่ย่างเท้าสู่ตึกไม้หลังที่สาม

ยามราตรีมาถึง ในหมู่บ้านลัทธิมารฟ้า อ่างคบเพลิงบนยอดเสาหินถูกเติมน้ำมันและจุดไฟไว้ทั่วไปหมด ทำให้ทั่วทั้งหมู่บ้านสว่างจ้าราวกับกลางวัน ตัดกับความมืดดำดิบภายนอกนั่น เมื่อแสงเสาคบเพลิงจากในหมู่บ้านแผ่ไปกระทบม่านความมืด มันก็ถูกมวลมืดกลืนกิน ทำให้ข้างในและข้างนอกหมู่บ้านต่างกันเหมือนคนละโลก

และท่ามกลางแสงสว่างแจ้งตานั้น หัวหน้าโถงกว่าสามร้อยคนของลัทธิมารฟ้าก็ออกมายืนออกันอยู่ในหมู่บ้าน และแหงนดูตึกไม้หลังสุดท้ายที่ยังหลงเหลือ

ที่นี่เคยมีตึกไม้ทั้งหมดเก้าหลัง แต่ละหลังมีหัวหน้าโถงสี่สิบคนเฝ้าห้องคุ้มกันด่านของตนเอง และตอนนี้ฉินมู่ทะลวงผ่านด่านไปถึงตึกหลังที่เก้า และกำลังจะไปถึงยอดตึกไม้นั้น

“นายน้อยมู่ไม่ได้พักเลยตลอดทั้งวันทั้งคืน ใช่ไหมเนี่ย”

หัวหน้าโถงโคมเขียวตอบด้วยเสียงเบา “เขาเริ่มสู้ตั้งแต่เช้านี้ และนอกจากกินอาหารเที่ยงและอาหารเย็นแล้ว ก็ดูเหมือนเขายังไม่ได้หยุดต่อสู้เลย”

หัวหน้าโถงขี่ลมกล่าว “ตอนนี้เกือบจะเช้าแล้ว และเขาก็เกือบจะไปถึงชั้นบนสุดของตึกหลังที่เก้า พลังกายและปราณชีวิตเขาไม่หมดไปบ้างเลยหรือ ทำไมดูเหมือนพลังของเขาแทบไม่พร่องไปเลย นอกจากนั้น ความอดทนเขายังสูงลิ่วจนน่าขนลุก! แต่ก็นะ เจ้าพวกที่อยู่ชั้นบนสุดของตึกเก้านั้นก็ไม่ใช่ขี้ๆ”

บนชั้นบนสุดของตึกเก้า มีสี่บุคคลอันเป็นเสาหลักทั้งสี่ของหัวหน้าโถงทั้งสามร้อยหกสิบ อันได้แก่ มังกรเขียว หงส์แดง พยัคฆ์ขาว และเต่าดำ โถงทั้งสี่นี้ขนานนามสอดคล้องกับกายาวิญญาณหลักทั้งสี่ และผู้ถูกแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าโถงย่อมเป็นยอดอัจฉริยะผู้ถูกเลือกเฟ้นมาเป็นอย่างดี

หัวหน้าโถงทั้งสี่นี่มีกำลังฝีมือสูงล้ำที่สุดในบรรดาโถงทั้งสามร้อยหกสิบ โถงอื่นๆ มีความชำนาญเฉพาะของตนเอง และดูแลกิจการอาชีพเฉพาะนั้นๆ ขณะที่สี่โถงใหญ่นี้รับผิดชอบในฐานะเป็นกำลังต่อสู้ของลัทธิเท่านั้น

ในประวัติศาสตร์ของลัทธิมารฟ้า ผู้อาวุโสพิทักษ์ลัทธิมักจะมีที่มาจากหัวหน้าโถงทั้งสี่นี้ แม้กระทั่งจ้าวลัทธิบางรุ่นก็มีรากเหง้ามาจากโถงทั้งสี่

ห้องที่ฉินมู่ก้าวเข้าไปคือห้องของหัวหน้าโถงพยัคฆ์ขาว ปราณพยัคฆ์ขาวอันโดดเด่นในเรื่องความคมกริบและความทนทาน

เมื่อครั้งที่จ้าวลัทธิหลี่เทียนซิ่ง ถูกสังหารอย่างน่าเวทนาในคืนวิวาห์ และฮูหยินลัทธิก็หายสาบสูญไปพร้อมกับคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์สืบทอดลัทธิ ปรมาจารย์ลัทธิก็เลยปั้นฝึกหัวหน้าโถงทั้งสี่มาหมายจะให้เป็นจ้าวลัทธิคนต่อไป แม้ว่าเขาจะไม่มุ่งหมายขยายอิทธิพลของลัทธิ แต่การณ์นี้ก็เพื่อป้องกันมิให้ลัทธิถูกกลืนกินโดยจักรวรรดิสันตินิรันดร์

ถึงหัวหน้าโถงทั้งสี่จะไม่เติบโตถึงระดับที่ปรมาจารย์ลัทธิมารคาดหวัง แต่กำลังฝีมือของพวกเขาก็เพิ่มพูนรุดหน้าอย่างน่าแตกตื่น

ถึงแม้หัวหน้าโถงพยัคฆ์ขาวจะผนึกสมบัติเทวะอื่นๆ นอกจากสมบัติเทวะทารกวิญญาณเอาไว้ เขาก็ยังคงเป็นศัตรูที่ทรงพลังอันฉินมู่ไม่เคยต่อกรกับคู่ต่อสู้ระดับนี้มาก่อน!

สตรีนางนี้ฟั่นเค้นเส้นด้ายปราณชีวิตของนางจนเหนียวแน่นแข็งแรง นางมิได้ฝึกวิชาใช้ปราณคุมกระบี่บินใดๆ เพราะเส้นด้ายปราณชีวิตของนางก็ไม่ต่างอะไรจากกระบี่

แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเห็นเส้นด้ายปราณชีวิตของนางด้วยตาเปล่า เมื่อฉินมู่ย่างเท้าเข้าไปในห้อง หัวหน้าโถงพยัคฆ์ขาวก็ปล่อยเส้นด้ายปราณชีวิตออกจากนิ้วทั้งสิบของนาง และขึงเส้นด้ายนั้นไปทั่วทุกมุมห้อง ทำให้ฉินมู่เดินเข้าไปอย่างยากลำบาก

เรือนกายของนางก็เย้ายวนประดุจปีศาจสาวในแดนโบราณวินาศ เอวของนางอ่อน แขนขาก็คล่องแคล่ว เคลื่อนไหวไปมาในห้องอย่างรวดเร็ว ปลายนิ้วของนางยิงเส้นด้ายปราณชีวิตเส้นแล้วเส้นเล่าพุ่งมาจากรอบทิศทางโจมตีใส่ฉินมู่ ปราณเหล่านั้นดูคล้ายกับเล็บของนาง ทว่าสามารถยืดหดได้ตามใจราวกับกระบี่บินคล่องแคล่ว

นางเคลื่อนที่ราวกับแมวป่า ว่องไวจนแทบจะมองไม่ทันในห้องเล็กๆ นี้ ไม่ว่าจะเป็นผนังหรือกำแพง สำหรับนางแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับการเดินเล่นในสวน

การต่อสู้นี้น่าเหน็ดเหนื่อย ฉินมู่ใช้มีดเชือดหมูของเขาตัดฟันเส้นด้ายปราณชีวิตที่ขึงในห้อง ทว่าแต่ละเส้นทั้งเหนียวทั้งทนทาน ยากจะฟันให้ขาด ซ้ำร้ายหัวหน้าโถงพยัคฆ์ขาวยังยิงเส้นด้ายปราณชีวิตขึงเพิ่มเข้าไปอีกเรื่อยๆ ด้วยมืออันแม่นยำ ทำให้ฉินมู่ยากจะรับมือ

ไม่เพียงเท่านั้น หัวหน้าโถงพยัคฆ์ขาวยังเคลื่อนที่ไปได้อย่างอิสระรอบๆ ห้อง นางสามารถยืนด้วยแขนด้วยขาบนเส้นด้ายปราณชีวิตเหล่านั้น กระโจนไปมาจากเส้นหนึ่งสู่อีกเส้นหนึ่งราวกับว่านางบินในอากาศได้

ใช้ปราณชีวิตแทนเชือกเส้นเอ็น กระบี่ยืดหยุ่นของนางก็พิสดารพันลึก มันสามารถโค้งงอได้ทุกทิศทางและองศา แม้กระทั่งหักเหบิดไปมาสิบแปดโค้งก็ยังได้ แสดงให้เห็นว่าเพลงกระบี่ของนางก็สูงล้ำไม่แพ้กัน!

ฉินมู่ได้แผลหลายต่อหลายครั้ง เมื่อเขาจะต้องทั้งระวังเส้นด้ายปราณชีวิตที่นางขึงไว้ทั่วห้อง และต้องคอยหลบหลีกการโจมตีของกระบี่อ่อนนั้น ทำให้เขาเหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นวิชาหมัดของเฒ่าหม่า วิชาขาของเฒ่าเป๋ หรือกระทั่งเพลงมีดเชือดหมู่ของคนแล่เนื้อ ก็มิอาจเปล่งฤทธิ์ได้เต็มที่เมื่อการเคลื่อนไหวของเขาถูกจำกัดในทุกทาง ดังนั้นตอนนี้เขาตกเป็นรอง

และในที่สุด เขาก็ใช้การแทงกระบี่ กระบี่ไม้ของเขาแทงไปที่หน้าอกของหัวหน้าโถงพยัคฆ์ขาว และถึงแม้กระบี่นี้จะถูกเส้นด้ายปราณชีวิตของนางผ่าออกเป็นสองเสี่ยง แต่พวกมันก็ยังกระแทกนางไปปะทะกับฝาผนัง จนกระทั่งแรงแทงนั้นส่งกำแพงให้พังทลาย และร่างนางก็ลอยละลิ่วร่วงจากตึก

จากนั้นฉินมู่จึงใช้มีดของเขาฟันเส้นด้ายปราณชีวิตที่ยังหลงเหลือในห้อง แล้วจึงนำยาทาแผลออกมาทาตามเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยแผล ตามด้วยการใช้ผ้าพันแผลพันซ้ำทับเอาไว้

เขานั่งลงและใช้เวลานั้นฟื้นฟูเรี่ยวแรง พร้อมทั้งรับประทานอาหารที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้ในห้อง เมื่อความเจ็บปวดในร่างกายทุเลาลง และความอดทนของเขาฟื้นฟูกลับมานิดหน่อย ฉินมู่ลุกขึ้น หักแผ่นไม้ฝาผนังมาอันนึง แล้วใช้มีดเชือดหมูตัดแต่งแผ่นไม้นั้นให้เป็นกระบี่ จากนั้นพาดไว้กลางหลังแทนอันที่หักไป แล้วจึงก้าวสู่ห้องต่อไป

สามร้อยหกสิบห้อง เขาตีฝ่ามาแล้วสามร้อยห้าสิบเจ็ด เหลือเพียงสามห้องสุดท้าย

ความอดทนและจิตมุ่งมั่นของเขามาถึงขีดจำกัดสุดท้ายที่เขายังรับไหว เสียงหึ่งดังในหัวของเขาราวกับเสียงพูดไม่ได้ศัพท์ของคนเป็นร้อยๆ

เขาไม่เคยเหนื่อยหมดแรงขนาดนี้มาก่อน และตอนนี้ก็อยากจะล้มตัวหลับลงกับพื้นมากกว่าสิ่งอื่นใด แม้กระทั่งทารกวิญญาณในตัวเขาก็ไม่กระฉับกระเฉงเหมือนเดิม มันเชื่องช้าไร้ชีวิตชีวา

เขามิได้ถูกขับเคลื่อนด้วยจิตมุ่งมั่นอีกต่อไป แต่ด้วยวิธีการต่อสู้เหมือนเครื่องจักร…การต่อสู้โดยอาศัยสัญชาติญาณการต่อสู้เพียงถ่ายเดียว

มีเพียงสิ่งเดียวที่อยู่ในหัวเขา…จะไม่ยอมให้คนพวกนี้เอาท่านยายซีที่เลี้ยงเขามาจากไป บิดามารดาอาจจะให้ชีวิตแก่เขา แต่ท่านยายซีเป็นผู้ที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ และอุตส่าห์เลี้ยงดูมาด้วยความยากลำบาก ท่านยายซีก็เหมือนแม่ของเขา และเป็นญาติสนิทที่สุดในชีวิต!

ในห้องถัดไปนั้น หัวหน้าโถงมังกรเขียวลุกเดินมาเบื้องหน้าเมื่อเห็นฉินมู่ก้าวเท้าเข้ามาในห้อง เขาขมวดคิ้ว “นายน้อยมู่ ท่านดูอาการไม่ค่อยดีเลย ไม่ต้องรีบร้อน ท่านพักก่อนก็ได้…”

ไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ฉินมู่ก็ยกมือขึ้น แล้วแทงไปข้างหน้า ในพริบตา กระบี่ไม้ก็พุ่งตรงไปยังหัวหน้าโถงมังกรเขียว และซัดร่างเขากระเด็นออกไป!

ด้วยใจลอยไร้ความคิด ฉินมู่หันหลังกลับ ยกเท้าก้าวเหมือนหุ่นยนต์เครื่องจักร เดินอย่างเชื่องช้าไปยังห้องต่อไป

ตูม!

ผนังไม้ของห้องถัดไปก็ระเบิดออกมา หัวหน้าโถงเต่าดำยกโล่เต่าดำขึ้นมาป้องกันกระบี่ของฉินมู่ แต่เขาไม่คาดคิดว่าพละกำลังที่ซ่อนในกระบี่จะมหาศาลเหลือคณากระทั่งเป่าทั้งเขาทั้งโล่ให้กระเด็นทะลวงผนังไป!

ฉินมู่ก้าวช้าๆ ออกจากห้องนี้ และย่างแต่ละย่างก้าวด้วยเท้าอันหนักอึ้ง

“นายน้อยมู่ ข้าสามารถรอให้ท่านพักเหนื่อยก่อนได้…”

ตู้ม!

ฉินมู่แทงไปข้างหน้า และส่งหัวหน้าโถงหงส์แดงปลิวไปเช่นกัน

“เรียบร้อยแล้วหรือ”

ฉินมู่ชะงัก ทันใดนั้นพละกำลังที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในร่างเขาก็พลันรั่วไหลแห้งเหือด ขาของเขาอ่อนพับ ทำให้ร่างล้มลงกับพื้น ไกลๆ นั้น เขาได้ยินเสียงแว่วก๊อกๆ ของแม่ไก่มังกร อันเป็นสัญญาณว่ามันเพิ่งวางไข่ในเล้าในหมู่บ้านพิการชรา

แต่ถึงอย่างไร เด็กหนุ่มก็เหนื่อยสาหัสจนผล็อยหลับไร้สติไปไม่นานนัก และในตอนนี้ทารกวิญญาณของเขาก็สูบดูดซับเอาแสงทองในสมบัติเทวะทารกวิญญาณเข้าไปในตัวอย่างบ้าคลั่ง ก่อนที่จะผล็อยหลับไปเช่นกัน

ฉินมู่ไม่รู้ว่าเขาหลับไปนานเท่าไร เมื่อเขาตื่นมาอย่างงัวเงียงุนงง ก็เหมือนจะเห็นผู้ใหญ่บ้านและนักปรุงยา และได้ยินเสียงพวกเขาคุยกันแว่วมาเหมือนส่งมาจากที่ไกลๆ “ไม่มีปัญหาอะไรมากมาย แค่ว่าเขาเหนื่อยเกินไป…” จากนั้นฉินมู่ก็หลับต่อ

เขาตื่นแวบๆ มาเป็นระยะ และเห็นหลายต่อหลายใบหน้าเฝ้าอยู่ข้างๆ เขา บางทีก็เป็นท่านยายซี บางทีก็เป็นปรมาจารย์เยาว์แห่งลัทธิมารฟ้าเขาอ้าปากหมายจะพูดอะไร แต่ไร้เรี่ยวแรง จึงหลับใหลลงไปอีกหน

และเมื่อฉินมู่ตื่นขึ้นมาเต็มตา เขาก็รู้สึกถึงความรวดร้าวไปทั้งร่างแต่ก็รู้สึกเปี่ยมไปด้วยพลัง บาดแผลทั่วร่างเขาแห้งจนสะเก็ดแผลเริ่มจะล่อนกันแล้ว ดูท่าคงเป็นนักปรุงยาที่ทายาให้เขา

เขาลุกขึ้นนั่งและเหลียวแลไปรอบๆ เขาพบว่าเขายังคงอยู่ในห้องของหัวหน้าโถงหงส์แดงและรอบๆ นั้นเงียบสนิทไร้สุ้มเสียง

ทารกวิญญาณของข้าหลับใหลอีกแล้ว

ฉินมู่ตรวจตราร่างกายของเขา นอกจากทารกวิญญาณที่หลับอยู่ ก็ไม่มีอย่างอื่นผิดปกติ ดังนั้นเขาจึงฝืนความปวดเมื่อยในร่างแล้วพยายามลุกขึ้น เขาเดินเกาะฝาผนังไปยังบันได และค่อยๆ ก้าวลงไปทีละขั้น ทุกการเคลื่อนไหวและทุกย่างก้าว นำความรวดร้าวเจ็บปวดสู่กล้ามเนื้อของเขา

เมื่อเขาลงไปถึงชั้นล่างสุดของตึกไม้หลังที่เก้าด้วยความลำบากยากเย็น เขาก็เดินออกมาจากตึก โงหัวขึ้นมองดู และตกตะลึงพรึงเพริดกับภาพที่เห็น

หมู่บ้านของลัทธิมารฟ้าแออัดไปด้วยผู้คน และส่วนใหญ่นั้นคือคนที่เขาเคยผ่านหน้าพบตากันมาแล้ว เขาเห็นหัวหน้าโถงทั้งสามร้อยหกสิบคนและคนเหล่านั้นก็อยู่ในกลุ่มคนที่รอต้อนรับเขา

นอกจากบรรดาหัวหน้าโถง ยังมีใบหน้าที่เขาไม่คุ้นเคยอยู่ด้วย มียักษ์กรรมกรที่สูงกว่าสิบวา ผู้เฒ่าผมขาว ผู้พิทักษ์ซ้ายขวาอันเคร่งขรึม สี่จตุรเทพลัทธิ และแปดผู้ตรวจการ

พวกเขามีทั้งนั่งทั้งยืน แต่ทั้งหมดรออยู่ในความเงียบสงบไม่ส่งเสียงใด

เมื่อเห็นฉินมู่ก้าวออกมาจากตึก พวกเขาทั้งหมดก็ลุกขึ้นยืน และจับจ้องมองที่ฉินมู่เป็นสายตาเดียวกันด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง

ปรมาจารย์เยาว์แห่งลัทธิมารยืนอยู่ที่ทางเข้าหมู่บ้านกับผู้ใหญ่บ้าน นักปรุงยา เฒ่าหม่า และผู้เฒ่าพิการคนอื่นๆ ท่านยายซีก็ยืนอยู่ด้วย สีหน้านางซับซ้อนยากอธิบายเมื่อนางมองไปที่ฉินมู่

ทันใดนั้น ผู้อาวุโสทั้งสี่ก็โค้งคารวะ เสียงกึกก้องของพวกเขาสะท้อนสะเทือนไปถึงเมฆา “จตุรเทพลัทธิแห่งลัทธิศักดิ์สิทธิ์น้อมพบท่านจ้าวลัทธิน้อย!”

“แปดผู้ตรวจการแห่งลัทธิศักดิ์สิทธิ์น้อมพบท่านจ้าวลัทธิน้อย!”

“สิบสองผู้อาวุโสพิทักษ์ลัทธิแห่งลัทธิศักดิ์สิทธิ์น้อมพบท่านจ้าวลัทธิน้อย!”

“สามร้อยหกสิบหัวหน้าโถงแห่งลัทธิศักดิ์สิทธิ์น้อมพบท่านจ้าวลัทธิน้อย!”

ฉินมู่เคยเห็นฉากอลังการยิ่งใหญ่แบบนี้เสียเมื่อไหร่ เขารู้สึกฟูฟ่องทำอะไรไม่ถูกจนต้องส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปทางผู้ใหญ่บ้าน ท่านยายซี และคนอื่นๆ ทว่าพวกผู้เฒ่านั้นนั่นยืนนิ่งทอดสายตามองเขาอยู่ที่เดิม

เด็กเลี้ยงวัวแห่งหมู่บ้านพิการชราจึงตั้งสติสงบใจ และพลันมีท่วงทีอันสงบเย็นเมื่อเขายกมือทั้งสองขึ้น และกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง

“พวกเจ้าลุกขึ้นได้”

“ขอบพระคุณ ท่านจ้าวลัทธิน้อย!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!