59. การปลุกพลังครั้งที่สาม
ที่ประตูหมู่บ้านพิการชรา ผู้ใหญ่บ้าน เฒ่าหม่า เฒ่าหนวก เฒ่าบอด และคนอื่นๆ มองไปยังพิธีกรรมหมู่บ้านข้างๆ ด้วยภวังค์ความคิดและอารมณ์ที่ท่วมท้นล้นใจ ใครจะคิดว่าลัทธิที่ใหญ่ที่สุดที่สุดบนเส้นทางสายมาร ลัทธิมารฟ้าอันยิ่งใหญ่เกรียงไกร จะมาน้อมรับจ้าวลัทธิในอนาคตของพวกเขาในดินแดนรกร้างห่างไกลเช่นนี้ น้อมรับจ้าวลัทธิน้อยซึ่งยังไม่ครบสิบสองขวบปี?
ได้เป็นประจักษ์พยานกับสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้พวกเขารู้สึกราวกับว่ากำลังเฝ้ามองตำนานปรัมปรา แม้กระทั่งแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมายังพื้นพิภพ ยังดูเหมือนจะเหลือบแสงเรืองรองหลากสีสัน
ท่านยายซีกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่และสะอื้นไห้ “เขากำลังจะจากพวกเราไป…”
“ก็ดีแล้วนี่ยายเฒ่า”
นักปรุงยายิ้มอย่างเอมใจแล้วกล่าว “ลูกนกที่ไหนก็ต้องเติบใหญ่ในสักวัน พวกเขาจะต้องโบยบินออกไปท่องโลกกว้างผจญคลื่นและลม พรากจากบ้านไกลเพื่อได้เห็นสิ่งอันตรายของโลกภายนอก พวกเราผู้เฒ่าพิการชราคงไม่สามารถเก็บเขาไว้ข้างๆ ตัวไว้ได้ตลอดชีวิตหรอก”
เฒ่าบอดมีสีหน้าสงบใจเมื่อเขากล่าว “ตำนานเริ่มต้นขึ้นก็ต่อเมื่อเขาย่างเท้าก้าวแรกออกจากหมู่บ้าน”
ด้วยรอยยิ้มเปื้อนหน้า เฒ่าใบ้ทำสัญญาณมือสองสามที เฒ่าหนวกเห็นแล้วก็หัวเราะ “เจ้าพูดถูกแล้ว อนาคตของมู่เอ่อ ต้องพิสดารน่าสนใจกว่าพวกเราเป็นไหนๆ”
ที่ริมฝั่งน้ำแม่น้ำหย่ง
เรือสำเภาหรูหราลำใหญ่มหึมาหลายต่อหลายลำแล่นเข้ามาเทียบริมฝั่งน้ำ ชาวบ้านในหมู่บ้านลัทธิมารทยอยกันกลับไปตามๆ กัน บางคนเหาะเหินไปกับท้องฟ้า บางคนก็ขึ้นเรือ บางคนก็แปลงกายเป็นสัตว์พิสดารแล้ววิ่งเข้าไปในป่า และบางคนก็แปลงกายเป็นน้ำและไฟไหลและโหมกระพือจากไป
พวกเขาล้วนแต่มีทักษะพิเศษเฉพาะตัวที่ฉินมู่ชมดูจนละลานตา แม้ว่าฉินมู่จะเอาชนะพวกเขาได้ในขั้นทารกวิญญาณ แต่เขาก็ไม่มีทักษะอันพิสดารหายากเหล่านั้น
“ลาก่อน จ้าวลัทธิน้อย!” หญิงผู้หนึ่งโบกมือลาเขา ก่อนจะทอดร่างลงกับแม่น้ำ แล้วกลายเป็นก้อนน้ำหายวับไป
ฉินมู่โบกมือกลับ เขาไม่รู้ว่าคนพวกนี้เป็นคนชั่วหรือคนดี แต่ที่แน่ๆ คือเขาได้กลายเป็นจ้าวลัทธิน้อยของพวกเขาไปแบบนี้ เมื่อเขาออกจากแดนโบราณวินาศจะยังได้พบกับคนเหล่านั้นอีกไหมนะ
“ลัทธิศักดิสิทธิ์ของเราได้เข้ามาในแดนโบราณวินาศเมื่อสี่สิบปีที่แล้วเพื่อเสาะหาฮูหยินลัทธิ และบัดนี้ความสำเร็จอันเที่ยงธรรมของพวกเราก็บังเกิดผล สหาย ฮูหยินลัทธิ พวกท่านพึงรู้ว่าลัทธิศักดิ์สิทธิ์ของเราปราศจากความเคลื่อนไหวมาสี่สิบปีแล้ว และไม่มีจ้าวลัทธิที่คอยควบคุมสถานการณ์ เมื่อปราศจากประมุขเสาหลัก ลัทธิศักดิสิทธิ์พวกเราปัจจุบันตกอยู่ในอันตรายร้ายกาจ”
ปรมาจารย์เยาว์ลุกขึ้นตระเตรียมจากไป พร้อมกับกล่าวคำลากับผู้ใหญ่บ้านและยายเฒ่าซี “ในเมื่อตอนนี้เราได้เลือกเฟ้นจ้าวลัทธิน้อยแล้ว ก็คงจะช่วยดับความร้อนรนใจของผู้คนได้เพียงชั่วคราวแต่คงไม่ยืนนาน ราชครูสันตินิรันดร์จับจ้องมองลัทธิเรามานานหมายจะสยบให้ลัทธิเป็นข้าช่วงใช้ของเขา แต่ด้วยข้ายังมีชีวิตอยู่ เขาคงยังไม่กล้าทำอะไรไปอีกหลายปี ดังนั้น เมื่อจ้าวลัทธิน้อยโตขึ้น เขาจะต้องออกมาจากแดนโบราณวินาศและขึ้นเป็นจ้าวลัทธิศักดิสิทธิ์ของเราอย่างเป็นทางการ”
ผู้ใหญ่บ้านปรายตาไปทางยายเฒ่าซี ซึ่งนางก็พยักหน้ารับคำ และตอบกลับไป “ไม่ต้องห่วง ปรมาจารย์ ในเมื่อข้าได้สังหารจ้าวลัทธิไปหนึ่งคน ข้าก็ต้องคืนอีกหนึ่งคนให้กับท่าน เมื่อเติบใหญ่ เขาจะไปที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์และกุมบังเหียนลัทธิตามที่ท่านประสงค์!”
ปรมาจารย์เยาว์จึงเรียกผู้อาวุโสคุมกฎ จากนั้นโค้งเล็กน้อยแก่ทุกคนก่อนจะหันกายกลับไป เดินไปทางแม่น้ำหย่ง หนึ่งเฒ่าหนึ่งเยาว์สวมเสื้อคลุมเก่ารองเท้าฟางเหยียบผิวแม่น้ำเดินทางห่างไป
เฒ่าบอดยืนอิงไม้เท้าไผ่ด้วยมือทั้งสองของเขา เมื่อเขาร้องเพลงด้วยเสียงอันดัง ก้องสะท้อนไประหว่างสองฝั่งน้ำ
“หนึ่งเสื้อคลุม หนึ่งหมวก หนึ่งเรือน้อย หนึ่งเท้าที่ก้าวคล้อยและตะขอเบ็ดหนึ่งนิ้ว หนึ่งเพลงสุขสันต์กับไหสุรา หนึ่งชายตกปลาริมธารน้ำพุ! ปรมาจารย์ลัทธิมาร เจ้าและข้าต่างก็เป็นไม้ใกล้ฝั่ง ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสพบกันอีกหรือไม่ ลาก่อน!”
ในแม่น้ำ ปรมาจารย์เยาว์ยั้งเท้าของตนและหันกลับมาโบกมือ “ลาก่อนทุกๆ คน! ฮ่าๆ!”
เขาก็เริ่มร้องเพลงด้วยเสียงอันดังเช่นกัน “แปดร้อยชายชราจับเจ่าเฝ้าบ้าน เปี่ยมฝันฮึกหาญและใจทะยานไม่สิ้นสุด แม้สิ้นชีพวิญญาณเหินหาว เมฆขาวยังคงลอย และแม่น้ำก็ยังล่อง!”
เฒ่าบอดกล่าวชม “สมแล้วที่เป็นปรมาจารย์ลัทธิมาร มองเห็นเป็นตายเบาบางเท่าขนนก ยังคงมุ่งหมายว่าเมื่อชีวิตสิ้นสุดก็จะยังคงเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงของโลกมาจากบนสรวงสวรรค์!”
ผู้ใหญ่บ้านพูดด้วยน้ำเสียงสบาย “นั่นคือกรอบคิดยอดฝีมือระดับปรมาจารย์ เฒ่าบอด เจ้าเองก็ไม่ไกลจากขั้นนี้แล้ว”
“แหม ทำเป็นเท่”
เฒ่าหนวกกล่าวกลั้วหัวเราะ “เฒ่าบอดรู้จักแต่จดจำบทกวีแบบบอดๆ ไม่รู้ความหมายอะไรสักอย่าง บทกวีที่เขาท่องไม่เข้ากับสถานการณ์และภูมิประเทศใดๆ ทั้งสิ้น ในทางกลับกัน บทกวีที่ปรมาจารย์ลัทธิมารร้องกลับสอดคล้องกับทั้งสถานการณ์และภูมิประเทศโดยไม่สูญเสียความเหี้ยมหาญของบทกวี”
เฒ่าบอดเถียงตะกุกตะกัก “จะ…เจ้าไม่รู้บทกวี เก่งแต่วิจารณ์คนอื่น!”
ทุกๆ คนระเบิดหัวเราะ
ฉินมู่เองก็มีรอยยิ้มบนใบหน้าเมื่อเขาจ้องมองดูเหล่าผู้เฒ่าผู้มองโลกในแง่ดีเหล่านี้ พวกเขาแต่ละคนอาจจะพิการในทางใดทางหนึ่ง แต่จิตวิญญาณของพวกเขานั้นกล้าแข็งและงดงาม
ครอบครัวของข้า…
ทันใดนั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังที่พวยพุ่งออกมาจากใจกลางระหว่างคิ้วของตน ฉินมู่ใจเต้นวูบหนึ่ง แล้วรีบมองเข้าไปในสมบัติเทวะทารกวิญญาณของเขา ก่อนที่จะตะลึงไปชั่วพริบตาหนึ่ง “ทารกวิญญาณของข้าปลุกพลังขึ้นมาอีกครั้ง!”
นี่เป็นครั้งที่สามที่ทารกวิญญาณของเขาปลุกพลังขึ้นมา ครั้งแรกคือตอนที่จิตสำนึกรู้ของเขาผสานเป็นหนึ่งเดียวกับมัน ครั้งที่สองคือตอนที่เขาเพ่งสังเกตน้ำและไฟในห้องหลอมตีเหล็ก ซึ่งทารกวิญญาณของเขาเกิดการปลุกพลังครั้งที่สองหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง
และในครั้งนี้ มันเกิดขึ้นหลังจากเขาผ่านการต่อสู้กับหัวหน้าโถงสามร้อยหกสิบโถง ซึ่งทารกวิญญาณของเขาได้ดูดซับแสงทองในสมบัติเทวะและจมลงไปสู่การหลับใหลอีกหน
ทว่า การหลับใหลครั้งนี้ยาวนานกว่าที่เคย และเพิ่งจะตื่นเอาเดี๋ยวนี้เอง!
การปลุกพลังครั้งนี้จะนำความเปลี่ยนแปลงอะไรมาให้เขากันแน่
“ปลุกพลังอีกครั้ง?”
ทุกๆ คนมีสีหน้าประหลาดเมื่อฉินมู่บอกพวกเขาถึงการปลุกพลังหนที่สามของทารกวิญญาณ สีหน้าของผู้ใหญ่บ้าน นักปรุงยา เฒ่าหม่ายิ่งพิลึกประหลาด ทารกวิญญาณของบุคคลอื่นมีแต่ปลุกพลังแค่หนเดียว แล้วไฉนทารกวิญญาณของฉินมู่ถึงปลุกพลังไปๆ มาๆ ตั้งสามครั้ง
“กายาวิญญาณทั้งสี่ก็ปลุกพลังสามครั้งเหมือนกันไหม” ฉินมู่ถาม
ทุกคนเหลียวไปมองดูกัน จากนั้นสั่นศีรษะ ก่อนที่จะหันไปจ้องมองผู้ใหญ่บ้านเป็นสายตาเดียวกัน
ผู้ใหญ่บ้านปวดหัวตึ้บขึ้นมาทันที เขาก่นด่าตนเองในใจ คงจะดีหรอกถ้าฉินมู่ปลุกพลังแค่ครั้งเดียว แต่นี่ปลุกพลังซ้ำแล้วซ้ำอีก เรื่องนี้ก็ลึกลับเกินเขาจะเข้าใจเช่นกัน
“เพราะกายาจ้าวแดนดิน”
ผู้ใหญ่บ้านกระแอมไอแล้วผลักภาระความไม่รู้ของเขาไปให้กายาจ้าวแดนดิน “พวกเจ้าทุกคนไม่คิดน้อยไปหน่อยหรือ วิชาหายใจของกายาแดนดินเรียกว่าอะไร มันเรียกว่ากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ! แล้วอะไรคือสามอมตะ ปลุกพลังครั้งแรกเรียกว่าหนึ่งอมตะ ปลุกพลังครั้งที่สองเรียกว่าสองอมตะ และปลุกพลังครั้งที่สามเรียกว่าสามอมตะ และตอนนี้มู่เอ่อปลุกพลังครบสามครั้ง แปลว่าเขาสำเร็จขั้นพื้นฐานในการฝึกวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ เจ้ารู้แล้วก็อย่าลำพองไปล่ะมู่เอ๋อ!”
ฉินมู่รีบพยักหน้ารับ “ข้าจะไม่เหลิงลำพองแน่นอน”
นักปรุงยายิ้มแบบไม่จริงใจแล้วถาม “หากว่ามู่เอ๋อปลุกพลังครั้งที่สี่ล่ะ? หรือจะกลายเป็นสี่อมตะ”
ผู้ใหญ่บ้านเดือดปุดๆ ขึ้นมาจากการถูกจี้ใจดำ เขาอยากจะกระโจนขย้ำใส่หมอนี่แล้วเอามีดแทงเข้าชายโครงสักฉัวะสองฉัวะ
แต่ว่าที่นักปรุงยาพูดก็ไม่ผิด หากว่าเจ้าเด็กนี่ปลุกพลังขึ้นเป็นรอบที่สี่ล่ะ?
เขาจะปั้นเรื่องสร้างราวยังไงต่อ
“แค่ก แค่ก มู่เอ๋อ การปลุกพลังครั้งที่สามนี้ เจ้ารู้สึกมีอะไรเปลี่ยนไปไหม” ผู้ใหญ่บ้านรีบถามเปลี่ยนเรื่อง
ฉินมู่ส่งจิตเข้าไปสำรวจดูทารกวิญญาณของเขาจนถ้วนทั่ว แต่ก็ไม่พบความแตกต่างใดๆ สิ่งเดียวที่แตกต่างคือทะเลแสงทองอันเนืองนองในสมบัติเทวะ ดูเบาบางลงกว่าเดิม
ฉินมู่ใช้ปราณชีวิตของเขา และทารกวิญญาณก็ใช้ปราณชีวิตเช่นกัน บางครั้งก็จะเป็นมังกรเขียวที่พัวพันรอบร่างของเขา บางครั้งก็เป็นเต่าดำ และบางครั้งก็มีปีกงอกเงยมาที่หลัง ปราณชีวิตของเขาเปลี่ยนแปรคุณสมบัติธาตุได้ตามอำเภอใจโดยไม่จำเป็นต้องเพ่งพิจารณาน้ำและไฟอีกต่อไป!
ฉินมู่บอกสิ่งนี้กับทุกๆ คน และพวกเขาก็เหลียวแลสบตากันอย่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงนี้มีอะไรดีพิเศษ
“นี่มันเยี่ยมมาก”
ผู้ใหญ่บ้านปล่อยลมหายใจที่กลั้นไว้แล้วกล่าว “การปลุกพลังครั้งที่สามของทารกวิญญาณกายาจ้าวแดนดิน ทำให้เขาสามารถสลับเปลี่ยนคุณสมบัติธาตุได้ตามใจคิด ในการต่อสู้นี่จะทำให้เขาสามารถปลดปล่อยกระบวนท่าต่างๆ นานาอย่างลื่นไหล และสำแดงความมหัศจรรย์ของกายาจ้าวแดนดิน”
ทุกๆ คนพยักหน้า นักปรุงยาทำท่าจะขัดคอ แต่เจอผู้ใหญ่บ้านถลึงตาจ้อง เขาได้แต่สงบปาก และก่นด่าผู้ใหญ่บ้านในใจ “ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะหาเรื่องโกหกยังไงตอนที่มู่เอ่อปลุกพลังครั้งที่สี่!”
…
“ปล่อยลมหายใจผ่านจมูกของเจ้าดุจควันไฟ ทำจิตและกายให้ว่างเปล่า สร้างโลกเหมือนขอบฟ้าโค้งกลมอันว่างเปล่าและกระจ่างประดุจแก้ว…”
ภายใต้น้ำตกในหุบเขาเมฆหยก เสียงของเด็กหนุ่มท่องกล่าวดังมาจากกระท่อมหญ้าฟาง เมื่อมองเข้าไปในหน้าต่าง ก็จะเห็นเด็กชายอายุสิบสี่สิบห้าปีถือหนังสือในมือ เดินไปมาในบ้านพลางท่องอ่านหนังสือนั้น จิ้งจอกขาวราวหิมะตัวหนึ่งนั่งจับจ้องดูเขาไม่วางตา
เด็กหนุ่มผู้นั้นคือฉินมู่ ส่วนจิ้งจอกขาวคือฮู่หลิงเอ๋อ ปีศาจชั้นสูงแห่งหุบเขาเมฆหยก
ไม่นาน ลมหายใจของฮู่หลิงเอ่อก็ยาวขึ้น และลมปราณขาวสองสายอันดูเหมือนควันไฟ ก็เข้าและออกจากร่างเมื่อนางหายใจเข้าและออก
ปราณชีวิตของฮู่หลิงเอ๋อก็กลับกลายเป็นรุ่มรวยและกลมกล่อมขึ้น คุณภาพปราณชีวิตของนางบรรลุถึงขั้นสูงลิ่วเมื่อลมหายใจของนางกลายเป็นควัน
นี่ก็ผ่านมาสองปีแปดเดือนแล้วหลังจากที่ลัทธิมารฟ้าได้มาเยี่ยมเยือนหมู่บ้านพิการชรา ฤดูหนาวเพิ่งผ่านพ้นไป และทุกชีวิตก็เบิกบานฟื้นคืนมา ฤดูนี้ยังคงมีความหนาวเย็นของอากาศฤดูใบไม้ผลิ ผิวน้ำของแม่น้ำหย่งยังไม่ละลายอย่างเต็มที่ เห็นก้อนน้ำแข็งหักๆ ลอยล่องไปตามแม่น้ำ
โค้งคุ้งของแม่น้ำมักจะทำให้ก้อนน้ำแข็งเหล่านั้นเกาะติดไม่ไปไหน ยิ่งมีน้ำแข็งสะสมมากเท่าไหร่ กองน้ำแข็งนั้นก็ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็จะกลายเป็นเขื่อนทะเลสาบ นี่จะทำให้มีน้ำเข้าไปสะสมมากขึ้นทุกที และเมื่อกำแพงน้ำแข็งนี้ไม่อาจรับน้ำหนักมวลน้ำสะสมได้อีกต่อไป มหาอุทกภัยก็จะเกิดขึ้น และท่วมซัดกลืนชีวิตผู้คนกับสัตว์พิสดารจำนวนนับไม่ถ้วน เมื่อมวลน้ำเหล่านั้นทลายเขื่อนน้ำแข็งโถมท่วมลงไปทางปลายน้ำ
หลายวันมานี้ เฒ่าบอด ท่านยายซี เฒ่าเป๋ และคนอื่นๆ ต่างก็เดินทางไปตามแม่น้ำเพื่อตรวจหาเขื่อนน้ำแข็งพวกนี้ จึงไม่ค่อยมีใครเหลืออยู่ในหมู่บ้าน ดังนั้นฉินมู่ถึงออกมาหาฮู่หลิงเอ๋อเพื่ออธิบายคัมภีร์ให้นางฟัง
ในสองปีกว่านี้ ร่างกายของเขาเติบใหญ่จนเกือบสูงเท่ากับเฒ่าบอด แม้ว่าจะยังคงเตี้ยกว่านักปรุงยามาก ก็เพราะฝ่ายนั้นตัวสูงชะลูด
ทันใดนั้น ก็มีเสียงคำรามสะเทือนป่าดังมาจากนอกหน้าต่าง ฉินมู่ปิดหนังสือในมือ วางมันลงคืนที่ชั้นวางหนังสือ จิ้งจอกขาวเองก็สะดุ้งจากสมาธิจากเสียงคำรามนั้น เมื่อทั้งคู่มองออกไป ก็เห็นสัตว์ยักษ์ตัวใหญ่มหึมา ที่สูงกว่าสิบห้าวาวิ่งตะบึงเข้าหากระท่อมหญ้าฟางของพวกเขา!
สัตว์ยักษ์ตัวนี้มีเกราะกระดูกอยู่ทั่วร่าง และวิ่งตะบึงความเร็วดุจสายฟ้า มันมีศีรษะของมังกรและเท้าของช้างสาร มันคือมังกรคชสาร ลูกผสมที่เกิดจากมังกรและช้าง แต่ว่าบนหลังของมันนั่งไว้ด้วยลิงยักษ์อสูรตัวดำเมี่ยม ลิงยักษ์อสูรนั้นทั้งสูงใหญ่บึกบึน และมีไม้เท้าพระสิบสองห่วงอยู่ในมือ มันขี่มังกรคชสารวิ่งเข้าใส่กระท่อมหญ้าฟางอย่างก้าวร้าว
ฮู่หลิงเอ๋อพลันกระโจนมาขวางเบื้องหน้าฉินมู่ นางอ้าปากรวบลมหายใจลึกยาว แล้วเป่าไปเบื้องหน้า
ฟู่ววว
ลมหมุนรุนแรงพลังพัดกระพือเข้าใส่มังกรคชสารและลิงยักษ์อสูร หางของฮู่หลิงเอ๋อโบกไปมา และลมหมุนนั่นก็ยิ่งทวีความรุนแรงและบ้าคลั่ง เมื่อมันบิดเกลียวหมุนจนกลายเป็นพายุใต้ฝุ่นที่ซัดมังกรคชสารและลิงยักษ์อสูรปลิวขึ้นไปบนท้องฟ้า
ลิงยักษ์อสูรกระโดดลงจากหลังมังกรคชสาร มือทั้งสองของมันกุมไม้เท้าขักขระซึ่งขยายใหญ่ขึ้นใหญ่ขึ้นทุกที!
“ขักขระ”
ลิงยักษ์อสูรกู่ร้องเสียงดังลั่น แล้วฟาดลงมาจากเบื้องบนราวกับภูเขาย่อมๆ ลูกหนึ่ง สองมือมันกุมไม้เท้ากระแทกลงสู่พื้น สร้างลมแรงพัดกระชากไปทั่วสารทิศ ทลายเวทมนตร์พายุไต้ฝุ่นของจิ้งจอกน้อย
ลิงยักษ์อสูรดึงไม้เท้าของมันขึ้นแล้วทะยานราวกับบินได้ ฟาดไม้เท้าใส่ฮู่หลิงเอ๋อ แต่ทว่าเสียงปังดังสนั่นเมื่อฉินมู่ยกมือต้านรับกระบวนท่านี้แทนฮู่หลิงเอ๋อ
ในตอนนั้นเอง ฮู่หลิงเอ๋อก็กระโดดขึ้นมา แล้วเป่าลมที่คล้ายกับมีดโค้งวงพระจันทร์ยาววาครึ่งออกมา มีดลมโค้งหกเจ็ดริ้วนั้นพวยพุ่งผ่าอากาศ มันมิได้โจมตีใส่ลิงยักษ์อสูร แต่กลับพุ่งใส่ฉินมู่!