Skip to content

Tales of Herding Gods 61

61. คลื่นน้ำแข็ง

“ที่ท่านพูดทั้งถูกและก็ผิด”

แม่ทัพฉินยิ้มกล่าว “ไม่มีหนทางที่จะสืบค้นที่มาต้นกำเนิดของแดนโบราณวินาศ แต่ว่าตอนที่พวกเราก่อตั้งจักรวรรดิสันตินิรันดร์เมื่อครั้งกระโน้น พวกเราได้รับคำทำนายจากทวยเทพ ในคำทำนายนั้นบ่งว่าแดนโบราณวินาศคือดินแดนที่ถูกละทิ้งโดยเทพเจ้า และหมายให้ผู้คนที่ถูกเทพเจ้าละทิ้งเหล่านั้นอยู่แต่ในแดนโบราณวินาศและไม่ออกมาข้างนอก หากว่าผู้คนที่เทพเจ้าละทิ้งเหล่านั้นออกมา จะต้องถูกสังหารทั้งสิ้น นอกจากจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ประเทศอื่นๆ ก็ได้รับคำทำนายจากทวยเทพที่คล้ายๆ กันนี้ แต่ทว่าในแดนโบราณวินาศไม่ได้มีแต่ผู้คนดั้งเดิม แต่ยังมีผู้คนชั่วร้ายที่ไม่มีที่จะไปเลยต้องหลบหนีมาซุ่มซ่อนในแดนโบราณวินาศ เท่าที่ข้าเห็น ผู้คนเหล่านั้นอันตรายร้ายกาจกว่าผู้คนที่เทพเจ้าละทิ้งหลายเท่า!”

คุณชายเจ็ดถามอย่างกังขา “ข้าเห็นพวกพ่อค้าเข้ามาในแดนโบราณวินาศที่สถานีชายแดน เหตุใดจักรวรรดิสันตินิรันดร์จึงทำการค้าขายกับผู้คนที่ถูกละทิ้งในแดนโบราณวินาศด้วยล่ะ”

“คุณชายท่านอาจจะไม่ทราบว่า แม้แดนโบราณวินาศจะรกร้างป่าเถื่อน แต่ทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ มีทั้งวัตถุดิบล้ำค่า สมบัติหายาก และหนังสัตว์ราคาสูงที่สามารถเอาของไร้ราคาในฝั่งเราอย่างพวกพริก เกลือ เครื่องปรุงไปแลกมา ทำไมเราต้องห้ามการค้าแบบนี้ด้วยล่ะ”

แม่ทัพฉินกล่าวต่อ “ด้วยการซื้อขายแลกเปลี่ยนที่สถานีชายแดน ข้าคำนวณไม่ถูกว่าเราได้กำไรมาตั้งเท่าไรในระยะเวลาหลายปีมานี้ ใช้เงินทองพวกนี้มาสนับสนุนกิจการทหาร ทำให้จักรวรรดิสันตินิรันดร์ของพวกเรามีกองทัพที่ทรงพลังและฝึกมาอย่างดีเหนือล้ำกว่าประเทศอื่นๆ ไปหลายขุม”

คุณชายเจ็ดถามอีกครา “แล้วหากผู้คนที่ถูกละทิ้งพยายามลอบเข้ามาผ่านทางชายแดน นั่นไม่แย่หรอกหรือ”

“ในตอนนั้นที่มีคำทำนายออกมา ทวยเทพก็มอบสมบัติล้ำค่าจำนวนหนึ่งมาให้ด้วย พวกมันเรียกว่ากระจกตรวจสอบ และถูกแขวนไว้ที่ยอดด่านทางภูเขาอันนำไปจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ตราบเท่าที่มีผู้คนที่ถูกละทิ้งจากแดนโบราณวินาศลอบเข้ามา ร่างของเขาก็จะถูกกระจกเหล่านั้นส่องใส่ ท่านราชครูเคยคาดเดาว่าผู้คนที่ถูกละทิ้งเหล่านั้นอาจจะมีสายพันธุ์แตกต่างจากพวกเรา แต่เขาไม่พบอะไรที่แตกต่างจริงๆ แม้ว่าจะตรวจดูทั่วทั้งร่างอย่างถี่ถ้วนแล้ว”

แม่ทัพฉินกล่าวต่อ “ทุกๆ ปี ด่านภูเขาเหล่านั้นมักจะจับพวกผู้คนชั่วร้ายที่พยายามหลบหนีเข้าจักรวรรดิสันตินิรันดร์ของพวกเรา บางพวกก็ถูกสังหารคาที่ และบางพวกก็ถูกนำไปใช้แรงงานในเหมือง ซึ่งหากพวกเขามีชีวิตรอดในเหมืองได้สักสองปีก็นับว่าดีถมเถแล้ว”

เรือแล่นห่างออกไป บนผนังผา ฉินมู่อุทานด้วยความทึ่ง “คนผู้นั้นแข็งแกร่งสุดๆ สายตาของเขาทรงพลังมาก มิน่าเขาถึงสามารถเป็นแม่ทัพได้ด้วยอายุเพียงเท่านั้น! เขากำลังวาดภาพภูมิประเทศทั้งหมดของแม่น้ำหย่ง หรือว่าจักรวรรดิสันตินิรันดร์กำลังเคลื่อนกำลังทัพเข้ามาในแดนโบราณวินาศ”

เขางงงวยเล็กน้อย แดนโบราณวินาศเป็นแดนรกร้างที่เต็มไปด้วยอันตรายชัดๆ ยิ่งเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ก็จะมีปรากฏการณ์การรุกรานของมวลมืด เขาไม่คิดว่าเป็นความคิดที่ดีสำหรับจักรวรรดิที่จะนำกำลังทหารเข้ามาในแดนโบราณวินาศ

หากว่ากองทัพที่บุกเข้ามานั้นเล็กเกินไป ก็คงไม่พอเป็นไม้จิ้มฟันให้กับสัตว์พิสดาร แต่หากกองทัพใหญ่เกินไป พวกเขาจะไปซ่อนอยู่ที่ไหนยามที่ราตรีมาถึง

ก็เพราะว่าแดนโบราณวินาศอันตรายร้ายกาจเช่นนี้ จึงไม่มีใครเข้ายึดครองแดนโบราณวินาศได้สักราย

ไม่ แม้แต่จักรวรรดิสันตินิรันดร์

หากว่าจักรวรรดิสันตินิรันดร์พยายามที่จะเข้ายึดครอง พวกเขาต้องย่อยยับเสียหายขนาดหนักแน่นอน!

ทันใดนั้น ฉินมู่ก็นึกขึ้นได้ และรีบเอ่ยปากร้องขอ “เจ้าตัวใหญ่ เจ้าช่วยรีบกลับไปที่วังสะกดเภทภัยแล้วทำลายแผนที่ของแดนโบราณวินาศ!”

ลิงยักษ์อสูรผุดลุกขึ้นทันใด คว้าคอมังกรคชสาร ด้วยเสียงคำราม มันกระโดดขึ้นขี่มังกรคชสารควบตะบึงแล่นจากไป

“ในเมื่อจักรวรรดิสันตินิรันดร์ริเริ่มทำแผนที่แม่น้ำหย่ง พวกเขาคงสะดวกขึ้นไปอีกหากพบเจอแผนที่ในวังสะกดเภทภัย” ฉินมู่มีสีหน้ายุ่งใจ ขณะที่ครุ่นคิด

น่าเสียดายที่จะทุบทำลายแผนที่บนผนัง แต่เขาได้จดจำแผนที่นั้นไว้ในสมองอย่างลึกซึ้งแล้ว และไม่มีทางหลงลืมได้

ไม่นานหลังจากนั้น น้ำในแม่น้ำก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงอ่อน ฉินมู่ชะงักเมื่อมองไปทางต้นน้ำและเห็นว่าน้ำที่กำลังไหลมายิ่งแดงฉานกว่าเดิม!

“คุณชาย มีศพอยู่ในแม่น้ำแน่ะ!” ฮู่หลิงเอ๋ออุทานด้วยความตกใจ

ฉินมู่เห็นซากศพจำนวนมากลอยมาตามน้ำ แต่เขาไม่ได้พูดอะไร มองไปทางต้นน้ำยิ่งมีร่างสังขารลอยลงมาเยอะขึ้นทุกที ปลายักษ์และสัตว์ประหลาดในแม่น้ำว่ายวนไปมา ทำน้ำผุดกระเพื่อมเต็มไปหมด เมื่อมันฉวยโอกาสแทะทึ้งศพเหล่านั้น ทำให้น้ำบริเวณนั้นดูเดือดพล่าน

ฉินมู่ปลุกเนตรสวรรค์แล้วมองไปยังใบหน้าของศพที่ลอยลงมาตามน้ำ และตัวสั่นเทาทันใด ใบหน้าเหล่านั้นเป็นของผู้มาเยือนที่วิ่งตะบึงผ่านหุบเขาเมฆหยกเมื่อครู่นี้!

ด้วยกระแสน้ำเชี่ยวกราก สีโลหิตแดงยิ่งมายิ่งแก่ก่ำ กระทั่งย้อมน้ำแข็งที่ลอยอยู่ให้แดงฉานไปด้วย

นี่ไม่ใช่ปริมาณโลหิตจากคนแค่ร้อยคนแน่ๆ!

แม่น้ำหย่งนั้นกว้างใหญ่ ความกว้างของมันจากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งนั้นยาวกว่าสิบลี้ ด้วยกระแสน้ำเชี่ยวกราก โลหิตจากคนแค่ร้อยคนไม่อาจย้อมแม่น้ำจนแดงฉานได้ขนาดนี้

ฉินมู่สีหน้าชะงักงันเมื่อเขาเห็นคลื่นของซากศพที่ไหลบ่ามาจากต้นน้ำ!

มันไม่ใช่แค่ซากศพที่ประกอบเป็นคลื่น แต่เป็นศพหลายพันผสมปนเปกับก้อนน้ำแข็งลอยน้ำ ซึ่งสร้างให้เกิดคลื่นน้ำแข็งซากศพ!

ผู้คนเหล่านี้น่าจะเป็นผู้เยี่ยมยุทธที่คอยดักซุ่มโจมตีแม่ทัพ จำนวนของพวกเขามีมากมาย คงเพราะแบ่งกำลังออกเป็นกลุ่มๆ แยกย้ายก่อตั้งค่ายกลเพื่อซุ่มโจมตีเขา แต่สุดท้ายก็ถูกสังหารโดยแม่ทัพคนนั้น!

ศพของพวกเขาก่อรูปเป็นคลื่นน้ำแข็งได้ แสดงว่าผู้คนเหล่านี้ถูกสังหารพร้อมๆ กันในรวดเดียว!

พวกเขาตกตายในเวลาเดียวกันด้วยน้ำมือของแม่ทัพหนุ่ม ไม่ก็ยอดฝีมือที่อยู่บนเรือลำนั้น!

ฉินมู่พยายามระงับความปั่นป่วนในใจ เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นภาพอันน่าสยองนองเลือดเช่นนี้ ภาพนี้ยิ่งน่ากลัวกว่าการฆ่าล้างหมู่บ้านตอนที่เขาตามท่านยายซีไปช่วยทำคลอดเมื่อเขายังเล็กๆ!

ในตอนนั้น ขวัญวิญญาณเขาตกใจจนบินออกมาจากร่าง และถูกคว้าจับกลับมาคืนโดยท่านยายซี และในตอนนี้ถึงแม้เขาจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธแล้ว วิญญาณเขาก็ยังสั่นไหวสะทกสะท้านกับภาพที่เห็น

โหดร้ายเกินไปแล้ว

หากว่าแม่ทัพเล็กๆ ของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ยังแข็งแกร่งและโหดเหี้ยมได้ขนาดนี้ จะเกิดอะไรขึ้นกับแดนรกร้างนี้หากว่ากองทัพทหารม้าของจักรวรรดิสันตินิรันดร์รุกรานเข้ามาในแดนโบราณวินาศ

ฉินมู่สลัดศีรษะไล่ความคิดไม่สบายใจของตนเอง จากนั้นเขาหันไปทางฮู่หลิงเอ๋อและกล่าวเตือน “ช่วงสองสามวันนี้เจ้าอย่าเพิ่งออกไปดื่มที่ไหน บอกพวกพี่สาวของเจ้าด้วยให้เก็บเนื้อเก็บตัวไม่ออกนอกที่พัก”

ฮู่หลิงเอ๋อพยักหน้าทันที

นางอาจจะเป็นปีศาจ แต่ภาพตรงหน้าก็ทำนางอกสั่นขวัญหายอยู่ดี

“หลิงเอ๋อ เช่นนั้นเจ้ากลับไปส่งข่าวพวกพี่สาวของเจ้าก่อน ส่วนข้าจะตามลงไปทางปลายน้ำเผื่อว่าศพนับพันพวกนี้จะก่อรูปแออัดกันเป็นเขื่อนขวางแม่น้ำ!”

เมื่อบอกความเสร็จ ฉินมู่ก็กระโดดลง และวิ่งบนผนังผาจนกระทั่งเขามาถึงผิวแม่น้ำ จากนั้นเขาก็วิ่งเหยียบน้ำจากไป

ซากร่างเหล่านั้นกองสุมไปกับก้อนน้ำแข็ง และเมื่อมันไหลไปที่ใด มันก็จะกวาดเศษน้ำแข็งในบริเวณนั้นไหลสะสมตามไปด้วยทางปลายน้ำ ฉินมู่ตามคลื่นน้ำแข็งนั้นทันอย่างรวดเร็ว และพบว่ามันขยายตัวใหญ่ขึ้นทุกที เมื่อน้ำแข็งโสโครกเหล่านั้นกระแทกเข้าหากัน ซากศพก็ถูกบดเละเป็นชิ้นๆ และถูกกลืนเข้าไปในน้ำแข็ง ล่องลอยอยู่ในก้อนน้ำแข็งพวกนั้นแทน

หลังจากวิ่งไปหลายสิบลี้ น้ำแข็งลอยน้ำพวกนั้นก็ก่อรูปรวมตัวกันเป็นภูเขาน้ำแข็งอันน่าสยดสยองซึ่งมีซากศพฝังอยู่เต็มไปหมด

ทั้งคลื่นน้ำแข็งและภูเขาน้ำแข็งหนักขึ้นและมหึมาขึ้นทุกที ขณะที่พวกมันค่อยๆ ไหลไปข้างหน้าเรื่อยๆ แม้กระทั่งน้ำในแม่น้ำที่จะไหลลงไปทางปลายน้ำก็ถูกสกัดกั้นเอาไว้โดยภูเขาน้ำแข็ง ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำสูงขึ้นทุกขณะจิต

ฉินมู่ขมวดคิ้ว แม่น้ำช่วงนี้ยังคงไหลไปเป็นเส้นทางตรง แต่เมื่อมันไปถึงเกาะกลางน้ำที่ซึ่งแม่นางอู๋ถูกกักขังไว้อยู่ มันจะมีโค้งใหญ่ของแม่น้ำหย่ง ซึ่งหากน้ำแข็งลอยพวกนี้ไม่สามารถผ่านโค้งนั้นไปได้ มันก็จะติดแหง็กและกลายเป็นเขื่อนทะเลสาบ ทั้งน้ำและน้ำแข็งก็จะมาสะสมอัดแน่นกันไปเรื่อย ๆ จนอาจจะสูงถึงร้อยห้าสิบวา!

เมื่อคลื่นน้ำแข็งและภูเขาน้ำแข็งไม่อาจทานแรงกดดันได้อีกต่อไป มันก็จะแตกร้าวและพังทลาย มหาอุทกภัยก็จะเกิดขึ้นในบัดนั้น ซึ่งจะซัดท่วมกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างในเส้นทางของมัน ไม่ว่าจะเป็นผู้คนหรือสัตว์พวกเขาก็จะถูกซัดกลบไปโดยกระแสน้ำท่วม!

หมู่บ้านหลายหมู่บ้านในแดนโบราณวินาศ ก่อตั้งอยู่ริมแม่น้ำเพื่อความสะดวกในการสัญจร หากว่ามหาอุทกภัยนี้โถมถล่มขึ้นมาจริงๆ เขาก็ไม่รู้ว่าจะมีกี่หมู่บ้านที่ถูกทำลายล้างจากมหันตภัยครั้งนี้!

ท่านยายซีและคนอื่นๆ ยังคงอยู่ที่ปลายน้ำเพื่อเก็บกวาดเศษน้ำแข็ง พวกเขาคงไม่รู้ว่ากำลังจะมีเขื่อนใหญ่ก่อตัวขึ้นที่นี่ มีแต่ผู้ใหญ่บ้านที่หลังเหลืออยู่ในหมู่บ้าน แต่เขาไร้แขนขา คงขยับเขยื้อนไปไหนไม่สะดวก เช่นนั้นใครกันจะช่วยข้าแก้ปัญหาคลื่นน้ำแข็งนี้ได้

ฉินมู่ขบคิดจนหัวแทบระเบิด ตอนนี้คลื่นน้ำแข็งกำลังไหลผ่านฝั่งริมหมู่บ้านพิการชรา ส่งเสียงครืดคราดจากการที่ก้อนน้ำแข็งบดเบียดกันไปมา ด้วยพลังน้อยนิดของเขา คงไม่มีทางทำลายคลื่นน้ำแข็งมหึมาเหล่านี้ได้

ที่ประตูหมู่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านนั่งกินลมชมวิวอยู่ จนกระทั่งเขาเห็นฉินมู่และก้อนน้ำแข็งลอยผ่านไปข้างๆ หมู่บ้าน จึงเบิกตาจ้อง จากนั้นเขาส่ายหน้าแล้วแย้มยิ้ม “เด็กซนคนนี้ ก่อเรื่องอีกแล้วสินะ…”

เพราะว่าการขวางกั้นของคลื่นน้ำแข็ง ทำให้น้ำในแม่น้ำไหลเอ่อแทบมาถึงตอขาของเขา ในตอนนั้นเองปราณชีวิตของผู้ใหญ่บ้านก็หลั่งไหลออกมาจากขาที่ขาดหายไปของเขา และก่อรูปเป็นขาดีๆ สองข้าง จากนั้นเขาจึงก้าวขึ้นไปบนท้องฟ้า และนั่งขัดสมาธิอยู่บนนั้น มองลงไปยังฉินมู่

ขาเหล่านั้นอันถูกสร้างขึ้นจากปราณชีวิตดูแทบไม่แตกต่างจากเลือดเนื้อจริงๆ หากว่าเขาสลายปราณชีวิต ขาคู่นี้ของเขาก็จะหายไปเช่นกัน

“จริงด้วย ข้าหาแม่นางอู๋ก็ได้นี่!”

บนแม่น้ำ ฉินมู่ตาเป็นประกายและเร่งฝีเท้าทันที ด้วยการก้าวปราดๆ ไม่กี่หน เขาก็กระโดดขึ้นไปบนยอดภูเขาน้ำแข็ง จากนั้นสะกิดกระโจนพุ่งไปเบื้องหน้าจากไปลิบตา

วิ่งตะบึงไปด้วยความเร็วดุจเหินบิน ฉินมู่ก็มาถึงเกาะกลางน้ำนั้นในที่สุด เกาะกลางน้ำนั้นเป็นเกาะโดดเดี่ยวกลางแม่น้ำอันมีวัดที่พันธนาการปีศาจเก่าแก่นามว่าแม่นางอู๋อยู่

ฉินมู่กระโดดขึ้นไปบนยอดเกาะกลางน้ำสูงลิ่วนั้นด้วยไม่กี่ย่างก้าว และมุ่งตรงเข้าไปในวัดซอมซ่อแห่งนั้น

ข้างในวัด เด็กผู้หญิงเจ้าของเปียถักสามเส้นนั่งแกว่งเท้าอย่างเบื่อหน่ายระหว่างที่รอเหยื่อส่งมาถึงหน้าประตู แต่เมื่อเห็นฉินมู่ถลันเข้ามา นางก็โมโหจนตาแดงเถือกเมื่อพบกับคู่อริ เด็กผู้หญิงตัวเล็กนั้นรีบกระโดดลงจากฝ่ามือพุทธรูปแล้วไปซ่อนข้างหลังพุทธรูปทันที โผล่หัวมาส่งสายตาเคียดแค้นจับจ้องฉินมู่

“แม่นางอู๋ ข้ามาดี!”

ฉินมู่รีบอธิบาย “คลื่นน้ำแข็งเกือบจะมาถึงที่นี่แล้ว ข้าอยากให้เจ้าช่วยทลายคลื่นน้ำแข็ง!”

เด็กผู้หญิงตัวเล็กจึงออกมาจากที่ซ่อนอยู่หลังพุทธรูป แล้วกระโดดกลับไปนั่งบนฝ่ามือพุทธรูปนั้นอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าไม่สนใจ คลื่นน้ำแข็งมันก็มีทุกปีนั่นแหละ แต่ด้วยอำนาจของพุทธรูปนี้ คลื่นน้ำแข็งไม่มีทางท่วมมาถึงที่นี่”

ฉินมู่สายตาวูบไหวก่อนจะกล่าว “ข้าสามารถตัดโซ่นี้ออก และปล่อยให้เจ้าเป็นอิสระ!”

แม่นางอู๋ตาลุกวาบ ก่อนจะจืดจางลงไปเมื่อมันส่ายหน้า “หากว่าเป็นผู้เฒ่าในหมู่บ้านของเจ้า พวกเขาคงตัดโซ่นี้ได้ แต่เจ้าทำไม่ได้หรอก”

ฉินมู่เรียกใช้ปราณชีวิต ชักกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์ออกจากหลังของเขาและฟันลงไปเบื้องหน้า

เคร้ง!

เสียงกระทบดังลั่นหู เมื่อโซ่หนึ่งในนั้นที่รัดพันรอบๆ พุทธรูปเกิดรอยบิ่นแหว่งขนาดใหญ่ แต่สิ่งที่แปลกก็คือ รอยบิ่นนั้นกลับสมานเข้าหากันเองโดยอัตโนมัติ

โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ฉินมู่เพิ่มพูนปราณชีวิตของเขา และสับโซ่นั้นด้วยการฟาดฟันอีกหลายที!

เคร้ง เคร้ง เคร้ง เสียงกระทบฉาดฉานดังต่อเนื่อง และโซ่นั้นแทบจะถูกตัดขาดออกจากกันโดยฉินมู่

แม่นางอู๋ตกตะลึง ทั้งความแตกตื่นและความยินดีปรี่ล้นขึ้นมาในใจนาง แต่ในตอนนั้นเอง พุทธรูปทองแดงก็ลืมตาขึ้นมาทันทีและตวาดด้วยเสียงกึกก้องราวสายฟ้า “มารร้ายบาปหนา กล้าดีอย่างไรถึงมาขัดขวางการฝึกกุศลขัดขวางผลบุญของข้า”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!